Categories
Technical Analysis การลงทุน

Pivot Point คืออะไร ใช้งานอย่างไร

Pivot Point คืออะไร ใช้งานอย่างไร

Pivot Points คือราคากลางที่ นักลงทุน นักเกร็งกำไร และ นักเทรด ให้การยอมรับและนำมาใช้เป็น ค่าราคากลางเพื่อวางแผนการเทรดในวันถัดไปโดย จะนำค่าราคาดังกล่าวมาสร้างเป็น แนวรับ แนวต้าน ของแต่ละวัน โดยการคำนวนนั้นจะใช้ ราคาสูงสุดของวันก่อนหน้า ราคาต่ำสุดของวันก่อนหน้า และ ราคาปิดของวันก่อนหน้า มาคำนวนโดยจะมี สูตรดังนี้

Download โปรแกรมเทรดฟรี

ขอรับ ลิ้ง Download Pivot Indicator

สูตรคำนวน Pivot Point

Pivot Point = [High + Low + Close] / 3

แนวต้าน1 ( R1 )= (2 x Pivot ) – Low
แนวต้าน2 ( R2 ) = (Pivot – แนวรับ 1) + แนวต้าน 1
แนวต้าน3 ( R3 ) = (Pivot – แนวรับ 2) + แนวต้าน 2

แนวรับ1 ( S1 ) = (2 x Pivot ) – High
แนวรับ2 ( S2 ) = Pivot  – (แนวต้าน 1 – แนวรับ 1)
แนวรับ3 ( S3 ) = Pivot  – (แนวต้าน 2 – แนวรับ 2)

Pivot point Goo Invest Trade

นับว่าเป็น อินดิเคเตอร์ ที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะ เทรดเดอร์ ที่เทรดแบบ Price Action เพราะเป็นเครื่องมือที่คำนวนหา แนวรับ แนวต้าน ให้ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ เป็นเพียงการคาดการณ์ เท่านั้น การจะใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควรใช้เครื่องมือหรือการวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อเป็นการยืนยันสัญญาณการกลับตัว หรือ หาแนวโน้มหลัก เพื่อประกอบ การวิเคราะห์ด้วย

เครื่อเมือที่เหมาะกับ การใช้งานประกอบ การยืนยัน การกลับตัว เช่น

Stochastic เป็น Indicator ที่ค่อนข้างไวกับการเปลี่ยนแปลงของราคาการเข้าที่เหมาะสมควรเข้าประกอบกับการ Overbought หรือ Oversold

Relative Strength Index RSI เหมาะกับการหา จุดกับตัวของคลื่น ซึ่งจะให้สัญญาณ ที่ช้ากว่า Stochastic แต่สัญญาณการกลับตัว ของ RSI นั้นค่อนข้างจะให้ความแม่นยำกว่า Stochastic จะบอกถึงการพักตัวในระยะสั้นๆเท่านั้น

เครื่อเมือที่เหมาะกับ การใช้งานประกอบ การยืนยัน แนวโน้ม เช่น

Moving Average เป็น Indicator ประเภทบอกแนวโน้มที่ นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในกลุ่ม เทรดเดอร์ ซึ่งสิ่งสำคัญในการเริ่มต้น การวิเคราะห์ นั้นคงดีไม่พ้นเรื่องการหาแนวโน้ม เพื่อวางแผนการเทรด 

Trend line เป็นเครื่องมือประเภท Price Action ที่ไม่มีใครไม่รู้จักแนว ซึ่งสามารถ นำมาประกอบการวิเคราะห์ ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

MACD Indicator ที่เป็นประเภท Index หรือ ดัชนี ที่วัดการแกว่งของตลาด ได้อีกด้วย แต่ Indicator ตัวนี้จะนิยมใช้สำหรับหา แนวโน้มตลาด โดยมีค่ากลางที่ 0 

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเครื่องมือ การวิเคราะห์ ที่สามารถนำมาใช้ประกอบกับ Pivot Point ได้ท่านยังสามารถ ลงทะเบียน เข้าเรียนเครื่องมือเหล่านี้ได้ฟรีกับเราได้ แต่ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์อีกมาก ที่มีให้เลือกใช้ การวิเคราะห์มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องศึกษา เพื่อที่จะอยู่รอดในตลาด รวมถึง การบริการจัดการเงิน ที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก แม้คุณจะมีกลยุทธ์การเทรด ที่ดีเพียงใด แต่การจัดการเงินไม่ดีสุดท้ายก็สร้างความเสียหายให้ การลงทุนของท่านอยู่ดี 

Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
Technical Analysis การลงทุน

แนวรับ แนวต้าน

แนวรับ แนวต้าน

แนวรับ แนวต้าน หากจะให้พูดถึง กันอย่างละเอียดแล้วเราต้องมาพูด ถึง พฤติกรรม การเทรดกันสักหน่อย หรือ จะเรียกว่า จิตวิทยาการเทรดกันเลยก็ว่าได้ อย่างที่ทราบกันดีว่า ราคาตลาดมีการขยับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และมันไม่ได้เคลื่อนไหวได้เองจากระบบ คอมพิวเตอร์ แต่อย่างใด แต่มันขึ้นจากแรงกระทำจากการซื้อขายของนักลงทุนนี่เอง และมันเกี่ยวอะไรกับแนวรับแนวต้านอย่างนั้นเหรอ เพราะ นักเทรด หรือนักลงทุน ทั่วโลกให้ความสำคัญกับมันและยอมรับมันในสิ่งที่เรียกว่าแนวรับแนวต้าน ซึ่งเป็นจุดที่จะทำให้ นักเทรด หรือ นักลงทุน ตัดสินใจซื้อหรือขาย ที่บริเวณกล่าว เกิดการต่อสู้กัน ระหว่าง นักเทรด ที่มีมุนมองต่างกัน กระทำการบางอย่างที่บริเวณนี้ ยิ่งเป็น แนวรับแนวต้านสำคัญในระดับ เดือน หรือ ปี แล้วยิ่งมีจำนวน การซื้อขายมาก

ซึ่งหากเกิดความชัดเจนหลังการต่อสู้กันของ นักลงทุน หรือนักเทรดที่เห็นต่างกันในแต่ละระดับราคา ก็จะยิ่งส่งให้ เกิด ปริมาณการซื้อขายตามมาอีกที่ เช่นการทดสอบแนวต้านแล้วไม่ผ่านก็มักจะมีแรงขายตามมาจำนวนมาก หรือหาก สามารถผ่านแนวต้านไปได้ ราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไป ไกล และมีปริมาณซื้อตามเข้ามาในตลาดจำนวนมากเช่นกัน

แนวรับ แนวต้าน จิตวิทยาการเทรด Goo Invest Trade

แนวรับ หรือเรียกกันว่า Demand Zone คือ ระดับราคาที่มีคนต้องการซื้อมากที่บริเวณนั้น แต่ระดับราคานั้นจะอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างมากเมื่อราคาลงมาที่บริเวณดังกล่าว

และหากมีการซื้อเข้ามาที่มากเพียงพอ ก็จะสามารถหยุด หรือรับราคาที่กำลังลงมาได้ นั่นหมายถึง มีแรงซื้อที่มากกว่า แรงขาย ยิ่งมีการทดสอบ หรือ พยายามจะลงให้ผ่าน แนวรับนี้มากเท่าไหร แต่ไม่สามารถลงไปได้ จะยิ่งตอกย้ำ ความมั่นใจให้กับ ฝั่งที่เป็น แรงซื้อ มากขึ้นเท่านั้น กลับกันมันกลับ ทำลายความมั่นใจ ให้กับกลุ่มที่เป็น ฝั่งขาย ด้วยเช่นกัน

แนวต้าน หรือ เรียกกันว่า Supply Zone คือ ระดับราคาที่มีคนต้องการขายมากที่บริเวณนั้น แต่ระดับราคานั้นจะอยู่บริเวณที่สูงกว่าราคาในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาอย่างมากเมื่อราคาขึ้นมาที่บริเวณดังกล่าว และหากมีการขายเข้ามาที่มากเพียงพอก็จะสามารถหยุด หรือต้านราคาที่กำลังขึ้นมาได้ นั่นหมายถึงมีแรงขายที่มากกว่าแรงซื้อ ยิ่งมีการทดสอบหรือ พยายามจะขึ้นให้ผ่านแนวต้านนี้มากเท่าไหร แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้จะยิ่งตอกย้ำความมั่นใจให้กับฝั่งที่เป็นแรงขายมากขึ้นเท่านั้น กลับกันมันกลับทำลายความมั่นใจให้กับกลุ่มที่เป็นฝั่งซื้อด้วยเช่นกัน

จึงเป็นที่มาของวลีที่ติดหูกันว่า ” รับไม่ให้ลง ต้านไม่ให้ขึ้น “

ความสำคัญของ แนวรับ แนวต้าน

หากจะถามว่าราคาไหนถูก ราคาไหนแพง ก็คงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน หากไม่มีเกณฑ์มาวัดความพอใจของผู้เทรด จึงเกิดการสร้างเกณฑ์ความพอใจขึ้นจากผู้เทรด ซึ่งก็เกิดจากมุมมองที่ต่างกันไปอีก สำหรับผู้เทรดแต่ละคนแต่หาจุดไหนที่มีความชัดเจน ก็มักจะนำมาใช้เป็นเกณฑ์กันมากยิ่งมีความชัดเจน ของระดับราคา มากแค่ไหน ก็ยิ่งนำมาใช้เป็น เกณ์วัดความถูกแพง ของราคามากเท่านั้น การมองหา แนวรับแนวต้าน หรือระดับราคา ที่จะใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจ ในการสร้างระดับราคา

ซื้อขายนั้นขึ้นมาก็มีหลากหลายปัจจัย และก็จะมีกลุ่มนักเทรดที่ต่างกันไป เช่นกลุ่มที่เทรดด้วยระสั้นหรือกลุ่ม เดย์เทรด Daytrade,  กลุ่มที่เทรดระยะกลางหรือ สวิงเทรด์ Swingtrade หรือเป็นกลุ่มที่เป็นระยะยาว มุมมองต่อระดับราคา หรือ แนวรับแนวต้าน ของแต่ละกลุ่มก็จะต่างกันออกไป แต่ การวิเคราะห์ส่วนใหญ่นักเทรด เกือบทุกกลุ่มเทรด มักให้ความสำคัญต่อ กราฟที่เป็น Daily เป็นอย่างมาเพราะเป็นระยะการเทรดที่ไม่สั้น และไม่ยาวจนเกินไป เหมาะสำหรับการเก็งกำไร และ ลงทุน

จึงทำให้ระดับราคา แแนวรับแนวต้าน กราฟระดับ Daily นั้นมีความนิยม และมีปริมาณการซื้อขายมาก ในระดับ timeframe นี้ เพื่อหาต้นทุนที่ถูกนักลงทุนมัก เข้าซื้อที่บริเวณแนวรับ และขายที่บริเวณแนวต้าน

โอกาศในการทำกำไร และ การควบคุมความเสี่ยง ด้วย แนวรับ แนวต้าน

จากพฤติกรรมราคา โดยทั่วไปเมื่อมันเข้าทดสอบกับ แนวรับแนวต้าน หลังจากที่มีการ แลกเปลี่ยนการซื้อขาย ที่บริเวณทดสอบ หรือ หลังจากการจบ การต่อสู้กัน ของ ผู้ซื้อ และ ผู้ขาย แล้วไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ ราคาก็มักจะวิ่งแรง และ ไกล ซึ่งเราสามารถ ควบคุมความเสี่ยงได้ด้วย การตัดขาดทุน ในระยะที่สั้นกว่า ระยะทำกำไร  ด้วยการตัดขาดทุน ที่บริเวณแนวรับ หรือ ต้าน นั้นเท่านั้นแต่อาจทำ กำไรได้ 2 – 3 เท่าตัวของระยะการตัดขาดทุนขาดทุน

 

แนวรับแนวต้าน ไม่ได้หมายถึงระดับ ราคาที่อยู่ในระนาบเดียวกันเท่านั้น มันอาจเกิดขึ้นได้ด้วยการสร้าง เทรนไลน์ Trend Line ด้วยหลักการในการซื้อขาย เดียวกัน

 

Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
Technical Analysis การลงทุน

Bollinger Bands

Bollinger Bands

Bollinger Bands เป็น Indicator หนึ่งที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับในวงการ การเทรดเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น หุ้น Futures ทองคำ น้ำมัน หรือ แม้แต่ Forex เนื่องจากมีประโยชน์หลากหลายและสามารถพลิกแพลงเทคนิคให้แปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย John Bollinger ในช่วงปี 1980s เป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีชื่อเสียงของโลก 

จุดประสงค์หลักของมันมีแนวคิดหลักคือการวัด “ความผันผวน” ของตลาด ซึ่งนิยมจัดให้เป็นเครื่องมือ “Technical Analysis” ในกลุ่ม Trend หรือใช้เพื่อเทรดในตลาดที่มีแนวโน้ม แต่ในขณะเดียวกันมันยังสามารถหาก Overbought และ Oversold ได้อีกด้วย โดยการสร้าง “Band” หรือกรอบราคาขึ้นมาอีก 2 เส้น ซึ่งช่วยหาจุดเข้าออกให้นักเทรดไปด้วยในเวลาเดียวกัน โดยส่วนประกอบของ Bolinger Band จะประกอบไปด้วยเส้นทั้งหมด 3 เส้นคือ

  1. เส้น Moving Average period20 เป็นค่ากลาง
  2. เส้น Upper Band
  3. เส้น Lower Band
bollinger Bands Goo invest trade

สูตรการคำนวณ

สำหรับการคำนวณ Bollinger Band นั้น สามารถสร้างได้ด้วยสูตรง่าย ๆ แบบ Excel หรือการคำนวณด้วยโปรแกรม MT4 โดยเราต้องเห็นภาพของหลักการก่อน ดังนี้

 

BOLU=MA(TP,n)+m∗σ[TP,n]
BOLD=MA(TP,n)−m∗σ[TP,n]

BOLU คือสูตรของ Upper Bollinger Band
BOLD คือสูตรของ Lower Bollinger Band
MA=Moving average เส้นค่าเฉลี่ย
TP (typical price) ค่าราคาวันปัจุบัน =(High+Low+Close)÷3
n = ค่า period ของ MA (ปรกติ Bollinger Band จะใช้ค่า 20)
m = standard deviations ( ค่าที่ใช้ทั่วไปคือ 2 )
σ[TP,n]=Standard Deviation ค่าที่สร้างขึ้นมาเป็นกรอบระยะห่าง

การใช้งาน Bollinger bands

1. ดูแนวโน้มตลาด

Bollinger Bands Trend Goo Invest Trade
Bollinger Bands up trend Goo invest trade

Bollinger Bands แม้จะนิยมใช้ในการดูจังหวะ Overbought หรือ Oversold แต่ค่าพื้นฐานของ Bollinger Bands นั้นถูกสร้างขึ้นมาจาก MA หรือ Moving Average ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้งานกันอย่างมากในการหาแนวโน้ม และ เส้น MA ก็ได้ถูกใส่ลองมาในเครื่องมือ Bollinger Band อีกด้วยนั่นคือเส้นตรงกลางของ Bolling Band 

 

กลยุทธ์

สามารถใช้กลยุทธ์พื้นฐานการหาแนวโน้มของ MA ในการเข้าออเดอร์ได้เลยเมื่อเข้าออเดอร์ได้แล้วสามารถปิดออเดอร์ทำกำไรบริเวณ Upper Band หรือ Lower Band ได้เช่น

  • แนวโน้มขาขึ้นให้เข้า Buy หรือ Long ที่บริเวณ MA และปิดออเดอร์ที่ Upper Band
  • แนวโน้มขาลงให้เข้า Sell หรือ Short ที่บริเวณ MA และปิดออเดอร์ที่ lower Band
 

2. Overbought Oversold

สัญญาณ Overbought Oversold Bollinger Bands Goo Invest Trade

Overbought บอกถึงสภาวะการซื้อมากเกินไป และ Oversold บอกถึงสภาวะการขายมากเกินไป หากราคาขึ้นไปบริเวณ Upper Band จะเป็นการแสดงถึงสภาวะการซื้อที่มากเกินไปมีโอกาศที่ราคาจะมีการพักตัวในไม่ช้า และ หากราคาขึ้นไปบริเวณ Lower Band จะเป็นการแสดงถึงสภาวะการขายที่มากเกินไปมีโอกาศที่ราคาจะมีการพักตัวในไม่ช้า

 

 

 กลยุทธ์
  • เข้าออเดอร์ Sell หรือ Short บริเวณ Upper Band  อาจใช้สัญญาณจาก กราฟแท่งเทียน เป็นตัวช่วยยืนยันจังหวะ การเกิดสัญญาณกลับตัวที่ปิดสูงกว่า Upper Band จะเป็นสัญญาณที่ดีกว่า การที่ราคาปิดต่ำกว่า Upper Band
  • เข้าออเดอร์ Buy หรือ Long บริเวณ Lower Band  อาจใช้สัญญาณจาก กราฟแท่งเทียน เป็นตัวช่วยยืนยันจังหวะ การเกิดสัญญาณกลับตัวที่ปิดตำกว่า Lower Band จะเป็นสัญญาณที่ดีกว่า การที่ราคาปิดสูงกว่า Lower Band

3. ใช้เป็น แนวรับ แนวต้าน

แนวรับ แนวต้าน Bollinger Bands Goo Invest Trade

เมื่อตลาดอยู่ในช่วงแนวโน้มที่เป็น Sideway สามารถใช้ Lower Band และ Upper Band เป็นแนวรับและแนวต้านได้ ซึ่งจะสังเกตุได้ว่าในช่วงที่ Sideway เส้น Upper Band และ Lower Band จะบีบเข้าหากันและเคลื่อนไหวไปในแนวระนาบหรือยังไม่มีการขึ้นลงที่ขัดเจน โดยให้เส้น Upper Band = ทำหน้าที่เป็นแนวต้าน และ  Lower Band = ทำหน้าที่เป็นแนวรับ.

 

กลยุทธ์

  • เข้าออเดอร์บริเวณที่เป็นแนวรับแนวต้านหรือบริเวณเส้น Upper Band หรือ Lower Band อาจใช้สัญญาณจาก กราฟแท่งเทียน เป็นตัวช่วยยืนยันจังหวะ การเข้าออเดอร์โดยเข้า Sell หรือ Short บริเวณ แนวต้าน และ เข้า Buy หรือ Long บริเวณ แนวรับ
  • Breakeout หรือการที่ราคาวิ่งหลุดแนวต้านขึ้นไป หรือ ราคาวิ่งหลุดแนวรับลงมาเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่มักใช้กับบริเวณ แนวรับ แนวต้าน เข้าออเดอร์โดยเข้า Sell หรือ Short เมื่อราคาวิ่งหลุดแนวรับลงมาเป็นการ Follow trend ขาลง หรือ เข้า buy หรือ Long เมื่อราคาวิ่งหลุดแนวต้านขึ้นมาเป็นการ Follow trend ขาขึ้น แล้วจึงใช้ เส้น MA หรือ Trend Line ช่วยหาแนวโน้ม

4. วัดความผันผวนของตลาด

Volume Bollinger Band Goo Invest Trade

Bollinger Bands สามารถบอกเราให้ทราบถึงความผันผวนและปริมาณการซื้อขายของตลาดว่า สถานะของตลาดเป็นยังไง มีการซื้อที่มากน้อยเพียงใดโดยจะแสดงออกโดยระยะห่างของเส้น Upper Band และ Lower Band หรืออยู่ในช่วงที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย โดยให้ประเมิณจากระยะหากของเส้น Upper Band และ Lower Band ถ้าหากเส้นมีลักษณะ บีบ ชิดเข้าหากัน เป็นช่วงแคบ นั้นหมายถึงตลาดมีปริมาณซื้อขายน้อย แต่ถ้าเส้นแยกออกห่างออกจากกัน แล้วอยู่ห่างๆ กันยิ่งมากเมื่อไหร่ นั้นหมายถึง ยิ่งมีปริมาณซื้อขายที่มากขึ้นเท่านั้น 

 

กลยุทธ์

  •  หากอยู่ในช่วงที่ Upper Band และ Lower Band บีบตัวเข้าหากกันหรืออยู่ในช่วงที่แคบแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ที่เหมือนกับ Sideway โดยทำกำไรในระยะสั้น
  • หากอยู่ในช่วงที่ Upper Band และ Lower Band ออกห่างจากกัน แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ ที่เล่นตามแนวโน้มจะปลอดภัยกว่า หรือให้เข้าตอนตลาดพักตัวที่เส้น MA ซึ่งหมายถึงเส้นกลาง ของ Bollinger Band ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในการเล่นกับแนวโน้มตามหลักการ MA
Facebook
Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
Technical Analysis การลงทุน ธุรกิจ

trend line เทรนไลน์

TREND LINE เทรนไลน์

trend line เทรนไลน์ เป็นอีกหนึ่ง เทคนิคการวิเคราะห์กราฟ ที่ได้รับความนิยม และ เทรดเดอร์ ทุกคนต้องรู้จัก ไม่แพ้ กราฟแท่งเทียน เป็นเครื่องมือหนึ่ง ในการช่วยหาแนวโน้ม หรือ แนวรับ – แนวต้าน แต่ เทรนไลน์ ไม่มีสูตรคำนวนที่ตายตัวว่า การตีเทรนไลน์ของแต่ละคนก็อาจแตกต่างไป ไม่มีถูกผิด ขึ้นกับประสบการณ์และการนำไปประยุคต์ใช้  แต่ก็มีหลักการพื้นฐานการตีเดียวกัน

 

การใช้งาน TREND LINE

การสร้างเส้น แนวโน้ม หรือ Trend Line มีประโยชน์เพื่อหา แนวโน้มตลาด ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อนำมาประกอบในการวางแผนการเทรด โดยมีหลักการ ตีเส้นเทรนไลน์ หลักๆ ด้วยกัน 2 แบบคือ

1. แนวโน้มขาขึ้น Low to Higher Low

Trend Line เทรนไลน์ การตีเทรนไลน์ แนวโน้ม ขาขึ้น Low to Higher Low support แนวรับ Goo Invest

การตีเส้น เทรนไลน์ จากจุดต่ำ Low ไป หาจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น Higher Low เกิดขึ้นในช่วงสภาวะตลาด แนวโน้มขาขึ้น โดยแนวเส้นเทรนไลน์ จะอยู่ใต้ราคา และบริเส้นเทรนไลน์ จะถือว่าเป็นเส้น แนวรับ support line สำหรับใครที่เทรดด้วย Trend Line สามารถใช้เส้นเทรนไลน์เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์เช่นใช้เข้า ออเดอร์ Buy ( Long ) บริเวณที่ราคาลงมาทดสอบเส้นแนวโน้ม หรือใช้เป็นเกณฑ์ ในขายทำกำไร เมื่อราคาลงต่ำกว่าแนวเส้น Trend Line

2. แนวโน้มขาลง High to Lower High

Trend Line เทรนไลน์ การตีเทรนไลน์ แนวโน้ม ขาลง High to Lower High Resistant แนวต้าน Goo Invest

การตีเส้น เทรนไลน์ จากจุดสูง High ไป หาจุดสูงที่ต่ำลง Lower High เกิดขึ้นในช่วงสภาวะตลาด แนวโน้มขาลง โดยแนวเส้นเทรนไลน์ จะอยู่ต่ำกว่าราคา และบริเส้นเทรนไลน์ จะถือว่าเป็นเส้น แนวต้าน resistance line สำหรับใครที่เทรดด้วย Trend Line สามารถใช้เส้นเทรนไลน์เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์เช่นใช้เข้า ออเดอร์ Sell ( Short ) บริเวณที่ราคาขึ้นมาทดสอบเส้นแนวโน้ม หรือใช้เป็นเกณฑ์ ในขายทำกำไร เมื่อราคาขึ้นสูงกว่าแนวเส้น Trend Line

3. ไม่มีแนวโน้ม หรือ Sideway High to High , Low to Low

Trend Line เทรนไลน์ การตีเทรนไลน์ แนวโน้ม Sideway High to High Resistant แนวต้าน, Low to Low Support แนวรับ Goo Invest

การตีเส้น เทรนไลน์ จากจุดสูง High ไป หาจุดสูง High ในระดับเดียวกัน เกิดขึ้นในช่วงสภาวะตลาด แบบไม่มีแนวโน้มหรือ Sideway โดยแนวเส้นเทรนไลน์ จะอยู่เหนือราคา และบริเส้นเทรนไลน์ จะถือว่าเป็นเส้น แนวต้าน resistance line 

 

การตีเส้น เทรนไลน์ จากจุดต่ำ Low ไป หาจุดต่ำ Low ในระดับเดียวกัน เกิดขึ้นในช่วงสภาวะตลาด แบบไม่มีแนวโน้มหรือ Sideway โดยแนวเส้นเทรนไลน์ จะอยู่ใต้ราคา และบริเส้นเทรนไลน์ จะถือว่าเป็นเส้น แนวรับ Support line 

 

สำหรับใครที่เทรดด้วย Trend Line สามารถใช้เส้นเทรนไลน์เป็นตัวกำหนดกลยุทธ์เช่นใช้เข้า ออเดอร์ Sell ( Short ) บริเวณที่ราคาขึ้นมาทดสอบเส้น แนวต้าน Resistant หรือใช้เป็นเกณฑ์ ตัดขาดทุน เมื่อราคาขึ้นสูงกว่าแนวเส้น แนวต้าน Resistant ในทางกลับกันสามารถใช้เข้า ออเดอร์ Buy ( Long ) บริเวณที่ราคาลงมาทดสอบเส้น แนวรับ Support หรือใช้เป็นเกณฑ์ ตัดขาดทุน เมื่อราคาขึ้นสูงกว่าแนวเส้น แนวรับ support

ความชันของ Trend Line บอกความแข็งแรงของแนวโน้ม

หลายคนอาจได้ศึกษาเรื่อง Trend Line เทรนไลน์ มาอยู่บ้างแต่ทราบหรือไม่ว่า ความชันของเส้นแนวโน้ม มีผลของความแข็งแรงของเส้นเทรนไลน์ และสามารถบอกถึงแนวโน้มตลาดได้อีกด้วย โดยจะแบ่งได้หลักๆ 3 แนวโน้ม

Trend Line เทรนไลน์ ความชัน ความแข็งแรงของแนวโน้ม Goo Invest

1. แนวโน้มขาขึ้น

ความชันของเส้น Trend Line ขาขึ้น 1 – 45 องศา วัดจาก จุดที่หนึ่ง ไปยังจุดที่สอง ในช่วงแนวโน้มขาขึ้นยังแบ่งย่อยระดับความชัน ลงได้อีก 3 ระยะ คือ 

  • ความชัน 1 – 5 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาขึ้นแต่ยังไม่แข็งแรง มักเรียกแนวโน้มระดับความชันนี้ว่า Sideway Up
  • ความชัน 6 – 15  องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาขึ้น ที่มีความแข็งแรงและเส้นแนวโน้มในช่วงความชันนี้จะใช้งานได้ดี
  • ความชัน 16 – 45 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาขึ้น ที่มีปริมาณซื้อขายปริมาณมากกว่าปรกติ เส้นแนวโน้มในช่วงความชันนี้จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้นราคาอาจมีการทดสอบเส้นราคาเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้นก่อนที่จุดตัดเส้นแนวโน้มลง เหมาะกับคนที่เล่นใน ระยะสั้น

2. แนวโน้มขาลง

ความชันของเส้น Trend Line เทรนไลน์ ขาลง 315 – 359 วัดจาก จุดที่หนึ่ง ไปยังจุดที่สอง ในช่วงแนวโน้มขาลงยังแบ่งย่อยระดับความชัน ลงได้อีก 3 ระยะ คือ 

  • ความชัน 355 – 359 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาลงแต่ยังไม่แข็งแรง มักเรียกแนวโน้มระดับความชันนี้ว่า Sideway Down
  • ความชัน 345 – 354 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาลง ที่มีความแข็งแรงและเส้นแนวโน้มในช่วงความชันนี้จะใช้งานได้ดี
  • ความชัน 315 – 344 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาลง ที่มีปริมาณซื้อขายปริมาณมากกว่าปรกติ เส้นแนวโน้มในช่วงความชันนี้จะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆเท่านั้นราคาอาจมีการทดสอบเส้นราคาเพียง 2-3 ครั้งเท่านั้นก่อนที่จุดตัดเส้นแนวโน้มขึ้น เหมาะกับคนที่เล่นใน ระยะสั้น

3. ตลาดไม่มีแนวโน้ม Sideway

ความชันของเส้น Trend Line แบบไม่มีแนวโน้ม หรือ Sideway 356 – 4 องศา วัดจาก จุดที่หนึ่ง ไปยังจุดที่สอง ในช่วงแนวโน้มขาลงยังแบ่งย่อยระดับความชัน ลงได้อีก 3 ระยะ คือ 

  • ความชัน 0 องศา ถือเป็นตลาดไม่มีแนวโน้ม หรือ Sideway 
  • ความชัน 1 – 5 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่แข็งแรงถือว่ายังไม่มีแนวโน้มชัดเจน มักเรียกแนวโน้มระดับความชันนี้ว่า Sideway Up
  • ความชัน 355 – 359 องศา ถือเป็นแนวโน้มตลาดขาลงเล็กน้อย แต่ยังไม่แข็งแรง ถือว่ายังไม่มีแนวโน้มชัดเจน มักเรียกแนวโน้มระดับความชันนี้ว่า Sideway Down
Share Facebook
Share Twitter

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ