LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 17 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 17 ตุลาคม 2564

ROH ลดพาร์จาก 10 ต่อ หุ้น เหลือ 1 บาทต่อหุ้น

บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด  (มหาชน) หรือ ROH   ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) โดยบริษัท มีมติอนุมัติ เปลี่ยนแปลงมูลค่าโดย ลดมูลค่าพาร์ จาก 10 บาทต่อหุ้น เหลือ 1 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทมีจำนวนหุ้นเพิ่มเป็น 937.5 ล้านหุ้น  รวมถึงมีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 937.50 ล้านบาท เป็น  1,117.50 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 180 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP)  คือ Advanc Opportunities Fund ( AO Fund)และAdvanc Opportunities Fund 1( AO Fund 1)  ซึ่งประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจการเงินในประเทศสิงคโปร์

ในการเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องมากขึ้นเนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับจากเงินเพิ่มทุน จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ในการประกอบธุรกิจของบริษัท เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดําเนินธุรกิจและการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต  รวมถึงสามารถเพิ่มฐานะทางการเงินเพิ่มความแข็งแกร่งและเสถียรภาพฐานะทางการเงินจากการดําเนินงานปกติในธุรกิจหลักปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะสร้างรายได้และกําไร เพิ่มเติมให้แก่บริษัท รวมถึงเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยเรื่องการแก้ไขคุณสมบัติการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท (Free Float) ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนแต่ละรายเป็นบุคคลที่มีลักษณะความสัมพันธ์ และมีความเกี่ยวข้องกัน จึงนับรวมหุ้นของนักลงทุน2 รายเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งนักลงทุนดังกล่าวจะไม่ส่งบุคคลใดๆ เข้ามาเป็นกรรมการในบริษัท  ทำให้นักลงทุนดังกล่าวถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน16.11% ของจำนวนหุ้นที่ออกชำระแล้วหลังจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน ซึ่งจะกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 พ.ย.2564 และรายย่อยของบริษัท (Free Float) ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

 

ทั้งนี้บริษัทมีแผนใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทและเป็นเงินทุนเพื่อเตรียมตัวขยายธุรกิจหลักและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับโอกาสทางธุรกิจอื่น ๆ ในอนาคตที่จะมาถึง นอกจากนี้การเพิ่มทุนยังเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเรื่องการแก้ไขคุณสมบัติการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ธนชาต เปิดขายหุ้นกู้แปรสภาพ18-25 ต.ค.นี้

วันที่ 18-25 ต.ค. 64 Thanachart Fund Eastspring เปิดขายไอพีโอ (IPO) กองทุน Thanachart Eastspring Global Convertible Bond Fund กองทุนมีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ ( Convertible Bond) ไม่ต่ำกว่า 80% ของพอร์ตลงทุนในรอบปีบัญชี พิเศษเฉพาะช่วงไอพีโอ (IPO) ลดค่าธรรมเนียมขาเข้า 0.5% สำหรับเงินลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาท หากลงทุนตามเงื่อนไข

โดยมีทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารกองทุนในลักษณะ Fund of Funds คาดว่าจะมุ่งลงทุนเฉพาะในสองกองทุนหลักคือ Calamos และ Lazard Asset Management ซึ่งเป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลกในด้านหุ้นกู้แปลงสภาพ

สำหรับกองทุน Calamos Global Convertible Fund เน้นสร้างผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่น่าพอใจตลอดวัฎจักรตลาด กองทุนใช้ประโยชน์จากทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ และโครงสร้างการวิจัยเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอ (Alpha) และบริหารความผันผวนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ส่วนกองทุน Lazard Global Convertibles Investment Grade Fund จะสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าดัชนี Refinitiv Global Focus Investment Grade Convertible โดยเน้นลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพทั่วโลก ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ออกโดยบริษัทเอกชน รัฐบาล หน่วยงานราชการ องค์กรภาครัฐ หรือองค์กรกลางที่เป็นอิสระจากรัฐบาลของประเทศ

 

นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนบริหารผลิตภัณฑ์ TMBAM Eastspring กล่าวว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bonds) เป็นทางเลือกการลงทุนที่สร้างพอร์ตเติบโตภายใต้สภาวะตลาดผันผวน เพราะลักษณะของสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงจำกัดแบบตราสารหนี้ แต่ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนขาขึ้นในแบบของหุ้นด้วยความนิยมของหุ้นกู้แปลงสภาพ ทั่วโลกมีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว สะท้อนผ่านขนาดตลาดที่สูงถึง 5.1 แสนล้านดอลลาร์ ที่กระจายอยู่ในสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย และกระจายอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี สินค้าฟุ่มเฟือย การแพทย์ และการเงิน รวมถึงเชื่อมั่นว่าการลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ เหมาะสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยความคืบหน้าในการปูพรมเร่งฉีดวัคซีน ส่งผลดีต่อการเปิดประเทศและช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ดีขึ้น ในแง่หนึ่งการลงทุนยังสามารถสร้างความยืดหยุ่นของพอร์ตต่อสภาวะผันผวนจากแนวโน้มการปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และด้วยประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนหลักที่มีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์ประเภทนี้ มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเมื่อผสม Convertible bonds เข้ากับพอร์ตลงทุน จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่เหนือกว่า

 

ทั้งนี้การผสมผสานระหว่างกองทุนหลัก Calamos และ Lazard ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้แปลงสภาพในหลายหลายกลุ่มประเทศโดยเฉาะสหรัฐฯและยุโรปที่เป็นหัวหอกของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และผสมผสานโอกาสสร้างผลตอบขาขึ้นจากตราสารพันธบัตรอัตราผลตอบแทนสูง (High Yield) จากบริษัทขนาดกลางที่มีศักยภาพ และลดทอนความผันผวนของพอร์ตลงทุนจากตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

 

3 หุ้นเด่น รับฟื้นตัวเศรษฐกิจ แข็งแกร่งไตรมาส 3

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ 3 หุ้นเด่น KBANK รับอนิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ NER และ JMT เก็งงบฯ ไตรมาส 3 ปี 2564 โตแกร่ง

  1. หุ้น KBANK  โดยราคาเป้าหมาย 160 บาท คาดว่าได้รับอานิสงส์บวกจากเศรษฐกิจฟื้นตัว และการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นใน 4Q64 รวมถึงมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งผสาน Valuation Gap ต่างจาก SCB มากเกินไป โดยปัจจุบัน KBANK เทรดที่ 0.7x 2021 P/BV และ 7.3% ROE ในขณะที่ SCB เทรดที่ 1.0x 2021 P/BV และ 8.0% ROE
  2.  หุ้น NER โดยราคาเป้าหมาย 9 บาท คาดว่ากำไรปกติ 3Q64 แข็งแกร่งที่ระดับ 521 ล้านบาท (+159.6%YoY) ทำสถิติใหม่เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน และมีโอกาสในการ rerating ด้วยการยก P/E ratio สูงขึ้น จากการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ โดยได้เริ่มทยอยติดตั้งเครื่องจักรแล้ว ซึ่งตั้งเป้าผลิตและจำหน่ายในช่วง 1Q65
  3. หุ้นJMT โดยราคาเป้าหมาย 58 บาท คาดว่ากำไร3Q-4Q64 แข็งแกร่งกว่าตลาด และประเมินการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 65 ที่ +67%YoY จะสามารถชดเชย Dilution 18% จากการเพิ่มทุนได้ และรักษาการเติบโตของ EPS เฉลี่ย (CAGR) 43% ในอีกสามปีข้างหน้า เราปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 58 บาท (PEG 75x)

ทั้งนี้คาดจากตลาดหุ้นไทยระหว่างวันที่ 18-21 ต.ค.64 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,625-1,650 จุด มีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐฯ ความคืบหน้าแผนการเปิดประเทศ และการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม อาจมีแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศ

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

4. กระทรวงพาณิชย์ ประชุมทางไกลร่วมสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน พร้อมเปิดประเทศ

ดร.สรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์  เป็นผู้แทนกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล กับคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S. – ASEAN Business Council: USABC) นายไมเคิล มิคาลัค รองประธานกรรมการอาวุโสและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคของ USABC พร้อมด้วยผู้แทนจาก 12 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมสุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง การผลิต การเงิน ประกอบด้วย Abbott, Adobe, Amazon, Citi, Facebook, FedEx, Ford, Google, Johnson & Johnson, MSD, UL และ Visa

ดร.สรรเสริญ กล่าวว่า ไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน โดยไทยได้ให้ความมั่นใจแก่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการดำเนินมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตลอดจนดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวบนฐานเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model และการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

รวมถึงให้ความสำคัญกับกติกาการค้าโลกที่โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่สร้างภาระแก่ภาคธุรกิจในการทำการค้า การขยายตลาดการค้าใหม่ๆ ผ่านการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) การค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัลในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมหารือสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน USABC พร้อม 12 บริษัทสหรัฐฯ ย้ำไทยเตรียมพร้อมเปิดประเทศ มีมาตราการรับมือโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เร่งฟื้นฟูและยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ด้านสหรัฐฯ ย้ำจุดยืนเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เหนียวแน่น พร้อมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

สิ้นปี64 แนวโน้มการใช้พลังงานพุ่งสูงตามเศรษฐกิจ

วัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า พยากรณ์อ้างอิงสมมุติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไว้ว่า แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2564 จะพุ่งสูงขึ้นตามเศรษฐกิจไทยสิ้นปีนี้โดยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 0.7–1.5% จากปัจจัยหลัก คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ซึ่งจะส่งผลให้การใช้พลังงานขั้นต้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 0.1% ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาการผลิตเพื่อการส่งออกจากเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่เริ่มฟื้นตัว คาดการณ์ว่าการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทยกเว้นการใช้น้ำมัน

สำหรับปี 2564 การใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน/ลิกไนต์ คาดว่ามีการใช้เพิ่มขึ้น 3.5% และ 1.8% ตามลำดับ ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าเพิ่มขึ้น 11.7% ในขณะที่การใช้ LPG ในภาคครัวเรือน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.9% ภาคอุตสาหกรรมและการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.3% และ 11.5% ตามลำดับ ขณะที่ภาคขนส่งคาดว่ามีการใช้ลดลง24.0% ก๊าซธรรมชาติ คาดว่าการใช้จะเพิ่มขึ้น 3.5% ส่วนการใช้ไฟฟ้า จะมีการใช้ไฟฟ้าลดลงเล็กน้อยที่ 0.4%

ในปัจจุบันราคา LPG คาร์โก้ถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยกระทรวงพลังงานมีนโยบายจะตรึงราคาก๊าซ LPG ให้ได้ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ดังนั้น คงต้องจับตาดูว่าราคา LPG ตลาดโลกจะเป็นอย่างไร รวมทั้งอาจมีการขยายกรอบวงเงินดูแลราคา LPG ประมาณ 2.1–2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากเดิมในกรอบ 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อลดผลกระทบผู้บริโภคจากราคา LPG ปรับสูงขึ้น เพราะปัจจุบันใช้เงินชดเชยราคา LPG ไปแล้วกว่า 17,431 ล้านบาท เหลือเงินเพียง 569 ล้านบาท ซึ่งไม่อาจดูแลราคา LPG ได้จนถึงสิ้นเดือนธ.ค.2564 ซึ่งตามมติเดิมของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2564 ที่กำหนดให้ตรึงราคา LPG ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปจนถึง 31 ธ.ค.2564 โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มี “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้ขยายกรอบวงเงินบัญชี LPG เพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท จากกรอบเดิม 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีกรอบวงเงินที่สามารถใช้ชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ได้รวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยจะสามารถใช้ตรึงราคา LPG ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เพื่ออุ้มราคาไปถึงเดือนม.ค.2565

โดยกระทรวงพลังงานพิจารณาแนวทางปรับขึ้นราคา LPG แบบขั้นบันได ไตรมาสละ 1 บาทต่อกิโลกรัม จาก 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปเป็น 363 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม จากการตรึงราคา LPG ตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ที่แต่เดิมกำหนดจะดำเนินการแค่ระยะสั้น แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดรุนแรงขึ้นจึงตรึงราคามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าช่วยเหลือมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว

ด้านบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) หรือ PTT  นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า จะช่วยผู้ที่มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง จากการขยายระยะเวลาช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อย อาทิ กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงิน 100 บาท/คน/เดือน ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 จากที่ได้ช่วยเหลือตั้งแต่เดือนตุลาคม2562 โดยคิดเป็นมูลค่าการช่วยเหลือแล้วกว่า 10 ล้านบาทแล้ว

ทั้งนี้ต้นปีหน้าราคาน้ำมันโลกจะปรับลดลงหรือไม่ หากราคาปรับลดลง กระทรวงพลังงาน อาจมีการพิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากผู้ใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ โดยจะต้องดูสถานการณ์ที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อประชาชน ซึ่งฐบาลควรเตรียมมาตรการรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อไม่ให้กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศที่จำนวนประชากรผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลังราว 13.65 ล้านคน และอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 11 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 ตุลาคม 2564

ราคาน้ำมัน" ดีเซล B7 ปรับลด 2 บาท มีผลวันนี้

บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) และ บมจ.บางจาก ประกาศผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ลดอย่างต่อเนื่อง มีการปรับลดราคาน้ำมัน ดีเซล B7 และ ดีเซล พรีเมียม B7 โดยน้ำมันดีเซล B7 และดีเซล พรีเมียม B7 ปรับลด 2 บาท/ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลอื่นๆ และน้ำมันในกลุ่มเบนซินราคาคงเดิม มีผลวันนี้  (11 ตุลาคม 64 ) ตั้งแต่เวลา 05.00 .ที่ผ่านมา  สำหรับราคาน้ำมันวันนี้คือ

  • ดีเซลล์พรีเมียม B7 ราคา 33.06 บาท
  • ดีเซลล์ B7 ราคา 28.29 บาท
  • ดีเซลล์ B20 ราคา 28.04 บาท
  • เบนซิน ราคา 38.56 บาท
  • เบนซินแก็สโซฮอล์ 95 ราคา 31.15 บาท
  • เบนซินแก็สโซฮอล์ 91 ราคา 30.88 บาท
  • เบนซินแก็สโซฮอล์ E20 ราคา 29.64 บาท
  • เบนซินแก็สโซฮอล์ E21 ราคา 23.44 บาท

สำหรับราคาน้ำมันที่ลดลงเกิดจาก  กระทรวงพลังงาน ใช้วิธีการลดการผสมน้ำมันปาล์มลงเหลือร้อยละ 6 แทนร้อยละ 7 และร้อยละ 10 เนื่องจากน้ำมันปาล์มมีราคาสูงถึงลิตรละ 40 บาท ไม่ใช่การเปลี่ยนชนิดน้ำมัน ดังนั้นผู้ใช้ดีเซลสามารถเข้าเติมในหัวจ่าย B7 หรือ B10 โดยไม่มีการเปลี่ยนป้ายที่หัวจ่ายน้ำมัน ก็จะได้น้ำมันคุณภาพเดียวกัน และราคาเท่ากัน ตั้งแต่วันที่ 11 – 31 ตุลาคม  และหลังจากนั้น จะมีการพิจารณามาตรการเพิ่มเติมตามสถานการณ์

ทั้งนี้จากการรายงาน สำนักงานงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กระทรวงพลังงาน ระบุว่า เงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท และมีเงินไหลจากการเก็บผู้ใช้น้ำมันประเภทอื่น เพียงพอสำหรับการอุดหนุนราคาดีเซล ในช่วงเดือน ตุลาคม 64 และกฎหมายเปิดช่องสำหรับให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลง สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มเติมหากมีความจำเป็น

ขอบคุณ : เฟสบุ๊คPTT Station, ไทยพีบีเอส

การตลาดของ DTAC ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) ประกาศปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คแซส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโทรคมนาคมไทย เป็นลบจากมีเสถียรภาพ และประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-Term Rating) ที่ ‘AA(tha)’ นอกจากนี้ฟิทช์ได้ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) ของ DTAC ที่ ‘F1+(tha)’

  การปรับแนวโน้มเครดิตเป็นลบนี้ สะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกระแสเงินสดจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน (FFO Net Leverage) ของ DTAC ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมาอยู่ที่ระดับ 2.3 เท่า ณ สิ้นครึ่งปีแรกของปี 2564 เป็นระดับที่ฟิทช์อาจพิจารณาปรับลดอันดับเครดิต จากการที่บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง อัตราส่วน FFO Net Leverage อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกและอยู่ในระดับสูงกว่า 2.3 เท่าอย่างต่อเนื่อง หากบริษัทยังคงจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูง DTAC อยู่ในช่วงที่มีการลงทุนในระดับสูง ในขณะที่การเติบโตของรายได้และกำไรอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ล่าช้า การจ่ายเงินปันผลในระดับที่สูง อาจลดความสามารถของ DTAC ในการปรับลดอัตราส่วนหนี้สิน และส่งผลลบต่ออันดับเครดิต

 ฟิทช์มองว่าการจ่ายเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่บริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่สูง สะท้อนถึงนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นที่มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการปรับลดอัตราส่วนหนี้สินของบริษัทน้อยลง การจ่ายเงินปันผลในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทจ่ายปันผลคิดเป็นร้อยละ 100 ของกำไรสุทธิของบริษัทในปี 2563 และครึ่งปีแรกของปี 2564 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 ในปี 2562 และร้อยละ 50 ในปี 2561

การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวยังคงสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทในการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ และรักษาอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt/EBITDA) ต่ำกว่า 3 เท่า ฟิทช์คาดว่าเงินปันผลที่จ่ายในปี 2564 จะมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 34 ของกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน เทียบกับระดับเฉลี่ยที่ร้อยละ 19 ในช่วงปี 2561-2563

ทั้งนี้ ฟิทช์มองว่าสภาพคล่องของ DTAC สามารถบริหารจัดการได้ในปี 2564 โดยสภาพคล่องของ DTAC ได้รับการสนับสนุนจากเงินสดที่อยู่ในระดับสูงจำนวน 7.1 พันล้านบาท และ วงเงินกู้ที่สามารถเบิกถอนได้จำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 และ ความสามารถในการเข้าถึงตลาดเงินกู้ภายในประเทศ บริษัทมีหนี้จำนวน 1.1 หมื่นล้านบาท ที่ถึงกำหนดชำระใน 12 เดือนข้างหน้าจากครึ่งปีแรกของปี 2564 DTAC ได้มีการเบิกเงินกู้จำนวน 1.8 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 เพื่อชำระคืนเงินกู้ที่ถึงกำหนดในปี 2564 และสนับสนุนการลงทุน

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
การลงทุน ธุรกิจ

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 หรือ บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก OR สำนักงานใหญ่อยู่ที่  555/2 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคาร บี ชั้นที่ 12 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กทม ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PTT โดยมี นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ เป็น ประธานกรรมการ และ นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ 

 

เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 16-18 บาท/หุ้น โดยเปิดจองวันแรกเมื่อวันที่ 24 มกราคาม 2564 และดำเนินการประกาศราคาเสนอขายวันสุดท้ายในเวลา 09.00 น.ของวันที่ 2 ก.พ.64 ผ่านเว็บไซต์ของ OR www.pttor.com

โดยการเปิดจองวันแรกก็ทำเอาระบบแบงค์ทั้ง 3 ที่เปิดให้บริการจองถึงกับล่มกันเลยทีเดียวนับว่าเป็นหุ้นที่ใครหลายต่อหลายคนหมายตากันอย่างมาก นับเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากเนื่องจากในช่วงที่มีการเสนอขายหุ้น IPO อยู่ในช่วงวิกฤต โควิด 19 ที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำอย่างสุดขีด แต่ ผู้เข้าซื้อหุ้น ปตท OR ยังเข้าซื้อกันอย่างมหาศาล

PTT OR หุ้นแรง ปี 2564 Goo Invest

ผู้ถือหุ้นของ ปตท. เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ PTT OR ในส่วนที่จัดสรรไว้ให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ปตท. (Pre-emptive Rights) เมื่อวันที่ 25-28 ม.ค.64 ในการขาย IPO ของ OR มีการจัดสรรหุ้นแบบ small lot first คือผู้จองซื้อจำนวนน้อยได้รับการจัดสรรหุ้นก่อน กำหนดให้จองซื้อขั้นต่ำ 300 หุ้น ราคาหุ้นล่ะ 18 บาท เป็นเงิน 5400 บาท ถ้ามีหุ้นเหลือจึงจัดสรรเพิ่มให้แต่ละรายเท่ากันจนกว่าหุ้นจะหมด 

โดยครั้งนี้ เสนอขายหุ้น ipo ไม่เกิน 3000ล้านหุ้น ราคาหุ้นล่ะ 18 บาท และหุ้นจะออกเสนอขายให้ประชาชนครั้งแรก 2610 ล้านหุ้น สำรองไว้ที่ 390 ล้านหุ้น เพราะในตอนนี้ การจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อย เพียง 300 ล้านหุ้น และส่วนใหญ่ถูกจัดสรรให้กับนักลุงทุนรายใหญ่  ที่เป็นกองทุนส่วนบุคคล และสถาบันต่างๆรวมไปถึงกระทรวงการคลัง 

 

ธุรกิจ PTT OR ทำอะไรบ้าง

ธุรกิจน้ำมัน

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจ น้ำมันค้าปลีก ของ PTT OR Goo Invest
PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจน้ำมันเชิงพาณิชย์ ของ PTT OR Goo Invest

แน่นอนว่า ธุรกิจแรกของ ปตท.ต้องเป็นการค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเลย สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ที่ครอบคลุมทั้วประเทศ มีจำนวนสถานีถึง 1,900 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นปั้มที่มีจำนวนเยอะที่สุด ในประเทศเราแล้ว

และเป็นปั้มที่ทันสมัย พร้อมการปรับตัวหรือการพัฒนาสู่อนาคต ในเรื่องของ พลังงานไฟฟ้า ที่ตอนนี้คนหันมาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งปตท.นั้น ก็ติดตั้ง อุปกรณ์ สายชาร์ต ที่ทันสมัย และชาร์ตได้รวดเร็วตามความต้องการในอนาคต ซึ่งตอนนี้ติดตั้ง ไปแล้วประมาณ 14 สถานี

ซึ่งอนาคตที่ปตท. มีเป้าหมายติดตั้ง ให้ครอบคลุมทั้วประเทศ เพื่อ ตอบสนองความต้องการ หรือ การให้บริการ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และนอกจากนี้ pttor ยังจำหน่ายผลิตภัฌฑ์ ปิโตเลียม เชิงพานิชย์ ให้กับกลุมธุรกิจ อากาศยาน อุตสาหกรรม เรือขนส่งสินค้า ไปจนถึง PTT LPG

ผลิตภัณฑ์ น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ซึ่งผลกำไรของการทำธุรกิจน้ำมันนั้นตกเป็นเงินประมาณ 291,764.65 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ของ PTTOR

ธุรกิจค้าปลีกสินค้า หรือ Non-oil

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจค้าปลีก ของ PTT OR Goo Invest

ธุรกิจค้าปลีก หรือที่เรียกกันว่าธุรกิจ Non-Oil Business ที่ OR นำเข้ามาบริการกับผู้บริโภคที่ปั๊ม PTT Station อย่างเช่นร้าน Cafe Amazon ซึ่งในปี 2562 มียอดขายอยู่ถึง 264 ล้านแก้ว ขณะที่ปี 2563 (ข้อมูลถึง 30 ก.ย.63)

ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่เราเห็นหลักๆในทุกๆสถานี ได้แก่ Cafe Amazon / Texas Chiken / Hua Seng Hong Dimsum และ Pearly Tea ไปจนถึงร้านสะดวกซื้อ Jiffy ซึ่งเป็นธุรกิจลองลงมา ซึ่งทำกำไรให้กับ PTTOR ไม่น้อยเลยทีเดียวโดยมูลค้า ของธุรกิจนี้สูงถึง 11,690.81 ล้านบาท

ถือได้ว่า PTTOR เห็นช่องทางและโอกาศที่ดี ที่ทำธุรกิจควบคู่กันไป จึงทำให้สถานีบริการของ ปตท. นั้น ครบครันทั้งเครื่องดื่ม อาหาร ร้านสะดวกซื้อ เพราะนอกจากคนที่แวะเข้ามาใช้บริการเติมน้ำมันแล้วนั้น ก็มีอีกหลายคนที่แวะเข้ามาพัก ทานข้าว หรือซื้อเครื่องดื่ม เช่นกาแฟ เป็นต้น มีจำนวนสาขา 3,168 สาขา ทั้งนี้ยอดเฉลี่ยของการเข้ามาใช้บริการร้านคาเฟ่อเมซอนใน PTT Station ราวๆ 3 ล้านคนต่อวัน

หลังจากเริ่มปรับรูปแบบการขยาย ร้านคาเฟ่อเมซอน เป็นแบบแฟรนไชส์ ทำให้ภาพการเติบโตสูงขึ้น ทั้งในและนอกสถานีบริการเติบโตขึ้น เป็นเท่าตัว อีกทั้งยังขยายการทำธุรกิจไปแล้ว 10 ประเทศ

ธุรกิจในต่างประเทศ

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจต่างประเทศ ของ PTT OR Goo Invest

และเป็นการต่อยอดของ PTTOR ทีประสบความสำเร็จในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PTT Station Cafe Amazon / Jiffy / และ FIT Auto ในประเทศไทย ซึ่ง PTTOR มีศักยภาพ พอที่จะพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ออกๆไปให้กว้างกว่าเดิม โดยการขยายสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ พร้อมกับธุรกิจค้าปลีก ที่เราพูดถึงเมื่อข้างต้น โดยเริ่มต้นจาก ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆเราเช่น ประเทศ ลาว / กัมพูชา / มาเลเชีย / เมียนม่า / ฟิลิปปินส์ / ญี่ปุ่น / สิงคโปร์ / โอมาน และประเทศจีน ซึ่งมีรายได้จากตัวเลขอ้างอิง ประมาณ 15,845.98 ล้านบาท ซึ่งถ้ามองดูแล้ว ก็ถือได้ว่า PTTOR ได้ก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความสำเร็จไปอีกขั้นแล้วนั้นเอง

ธุรกิจใหม่ในอนาคตของ PTT OR

PTT OR หุ้น แรงรับปี 2564 ธุรกิจ พลังงานทดแทน ของ PTT OR Goo Invest

ตอนนี้หลายคนสงสัยว่า อนาคต ของ or นั้น จะเอาเงินลงทุนไปทำอะไรบ้าง ซึ่งอย่างที่ทราบกันดี ที่ or นั้นจะเปิดสาขาปั้มน้ำมันเพิ่ม ให้ครอบคุม รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน และวันนี้มีข่าวคราว ว่านอกจาก จะเพิ่มสาขาแล้วนั้น or ยังให้ความสนใจ กับวงการยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งค้าปลีกและ จุดเติมพลังงานไฟฟ้า และ แบตเตอร์รี่ อย่างครบวงจร ต้องบอกเลยว่า

อนาคตอันใกล้นี้ความเปลี่ยนแปลงด่านยานยนต์ค่อนข้างท้าทาย และแน่นอน ว่า or ไม่มองข้ามโอกาสนี้แน่นอน และตอนนี้ orนั้นก็เริ่มทำที่ชาตประจุไฟฟ้า ไปแล้วถึง 25ปั้ม และตอนนี้ยังมีบริษัทอัตประจุไฟฟ้า ภายนอกติดต่อมาขอร่วมธุรกิจ อย่าง DELTA ที่มีระบบ fast chage ที่สามารถชาตเต็มภายในไม่กี่นาที และรองรับทุกหัว ให้ลองรับในทุกๆเส้นทางหรือ ตามปั้มของ ปตท. หรือแม้แต่ กฟภ ที่PEA ก็ได้มีการจับมือกับทางปั้ม บางจากไปแล้ว ถึง20 จุด แต่อย่างไรก็ตาม

ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า การคิดคำนวนค่าชาต ไฟจะอยู่ในราคาเท่าไหร่ เพราะต้องคำนวนทั้งค่าเช่า ส่วนแบ่งผลกำไรต่างๆ อีกมากมาย และก็ยังไม่แน่นอนที่ว่าสรุปแล้ว or จะจำมือกับใคร ใครจะได้เป็นคนร่วมลงทุน หรือ orจะเป็นคนลงทุนเองทั้งหมด 

โอกาสที่สอง นั้นก็คือในเรื่องของแบตเตอร์รี่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักหรือหัวใจสำคัญของรถ ที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า  แบตเตอร์รี่ตัวไหน ใช้ทนทานกว่า ใช้ได้นานกว่า หรือทำให้รถวิ่งๆได้ไกลกว่า ทำให้ or ได้จับมือกับ GPSC และหลายคนต้องสงสัยกับ GPSC ว่าเค้าทำธุรกิจอะไร GPSCนั้นเป็นบริษัทที่พัฒนาพลังงานทดแทน

หรือพลังงานไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ ต่างๆ รวมกระทั้งเครื่องกักเก็บพลังงานที่ได้จากธรรมชาติ เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ และ or เล็งเห็นว่า คนเริ่มหันมาใส่ใจโลกมากขึ้น หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นจึงเป็นเรื่องดีที่ or และ GPSC ร่วมกันพัฒนา เพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการพลังลังงานทั้งพลังงานจากปิโตเลียม จนไปถึงพลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้า

และลดต้นทุนในการชื่อจากต่างประเทศ จึงร่วมมือกันพัฒนา แบตเตอร์รี่ต้นแบบ semisolid ที่ให้กำลังไฟเยอะ แต่ต้นทุนแพง ซึ่งor ได้ร่วมลงทุนกับ GPSCในการพัฒนาแบตตัวนี้ถึง 20ล้านเหรียญ ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 600 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปี 2562 ตั้งแต่เดือนสิงหา 

ซึ่งเป็นเวลา เกือบสองปีที่ร่วมพัฒนา และตอนนี้ก็บอกได้เลยว่า ได้ทำต้นแบบของแบตเตอร์รี่ส่วนนี้สำเร็จแล้ว ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าจะเริ่มผลิตเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ซึ่งที่คาดการ น่าจะนำมาผลิตที่ประเทศไทย โดย ราคาอยู่ที่ 100us/kWh หรือ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 3000บาท/kWh ซึ่งก็เท่ากับที่ TESLA ทำเอาไว้

ซึ่งข่าวตอนนี้บอกว่าโรงงานผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่เครื่องจักและการเซ็ตอัพ ซึ่งก็ติดปัญหาเรื่องของโควิด จึงทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือเดินทางมาเซ็ทอัพได้แต่อย่างไรนั้น ถ้าผลิตได้นั้น แน่นอนครับว่านอกจากที่ขายภายในประเทศแล้วนั้น ยังสามารถส่งออกได้ เนื่องจาก ทุกคนต่างต้องการเเท็คโนโลยีที่ดี และราคาที่สามารถสู้กับ เจ้าอื่นได้นั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของ or เลยทีเดียว  

 

OR กับ นวัตกรรมใหม่ อย่างรถพลังงานไฟฟ้า

อีกหนึ่งธุรกิจของ or นั้นเป็นก้าวที่ใหญ่ และท้าทายเลยทีเดียวคือการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทาง orนั้นได้เดินทางไปคุยกับบริษัท รถยนต์ไฟฟ้า สัญชาติจีน ที่เป็นบริษัท น้องใหม่ที่มีกระแสมาแรงมากๆ นั้นก็คือ ค่าย WM motor หรือ WELTMEISTER ซึ่งไปเซ็นสัญญาต่างๆเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบอกเลยว่า ค่ายWM motor เป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยในหลายๆด่านไม่น้อยหน้าTESLA เลยทีเดียว ซึ่งมียอดขายเป็นอันดับต้นๆของจีน แพ้ ค่าย NIO,Li Auto,Xpeng แค่นิดเดียว เท่านั้นเอง 

 

นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของ or ที่จะพัฒนาธุรกิจ และสร้างผลกำไรในอนาคต และนี้เองคือเหตุผลที่ทำให้การเปิดขายหุ้น ของ PTT.OR เป็นกระแสที่มาแรง และมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก แล้วถ้ามีข้อมูลอัพเดทหรือข่าวคราวเพิ่มเติมเราจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง

 

Cr : https://investor.pttor.com/th

 
Facebook
Twitter
Front page Stochastic Oscillator Goo Invest

Stochastic Oscillator

Stochastic Oscillator Stochastic Oscillator เป็น indicator ที่เหมาะกับการวิเคราะห์ในตลาด ที่เป็น Sid

Read More »
แนวรับ แนวต้าน จิตวิทยาการเทรด Goo Invest Trade

แนวรับ แนวต้าน

แนวรับ แนวต้าน แนวรับ แนวต้าน หากจะให้พูดถึง กันอย่างละเอียดแล้วเราต้องมาพูด ถึง พฤติกรรม การเทรดกัน

Read More »
MACD Moving Average Convergence Divergence indicator หน้าปก Goo invest

MACD Indicator

MACD Indicaror MACD ( นิยมอ่านชื่อย่อกัน 2 อย่างคือ M-A-C-D หรือ Mac-Dee ) ย่อมาจาก Moving Average C

Read More »
Categories
การลงทุน ข่าวหุ้น ธุรกิจ

PTT OR IPO ใหม่ มาแรง

PTTOR IPO ใหม่ มาแรงทำระบบ แบงค์ล่ม

PTT OR IPO ใหม่ มาแรง หรือ OR  บริษัท ปตท.นํ้ามันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)  IPO ใหม่ มาแรงทำระบบ แบงค์ ที่เปิดให้จองซื้อหุ้น OR ล่ม ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2564 ใน วันเปิดจองวันแรก โดยที่เสนอขายครั้งแรก ที่ราคา 18 บาท / หุ้น แต่อย่างใดระบบก็สามารถกลับมาใช้งานได้ตามปรกติ และจะสิ้นสุดการดำเนินการขายวันที่ 2 ก.พ. 2564

PTT OR IPO ใหม่ มาแรง ข่าว หุ้น ลงทุน PTTOR OR เปิดจองวันแรก IPO ราคาหุ้น ปตท ค้าปลีก OR GOO Invest

โดยการจัดสรรหุ้นแบบ small lot first คือผู้จองซื้อจำนวนน้อยได้รับการจัดสรรหุ้นก่อน กำหนดให้จองซื้อขั้นต่ำ 300 หุ้น ราคาหุ้นล่ะ 18 บาท เป็นเงิน 5400 บาท ถ้ามีหุ้นเหลือก็จัดสรรเพิ่มให้แต่ละรายเท่ากันจนกว่าหุ้นจะหมด

 

ครั้งนี้ เสนอขายหุ้น ipo ไม่เกิน 3000ล้านหุ้น ราคาหุ้นล่ะ 18 บาท และหุ้นจะออกเสนอขายให้ประชาชนครั้งแรก 2,610 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 22.5 ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดที่ออกและจำหน่ายได้แล้วของ OR 

หุ้นสำรองไว้ที่ 390 ล้านหุ้น โดยจะนำออกขายเพิ่มเติมหากหุ้นไม่เพียงพอต่อการขาย แต่มีการจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อย เพียง 300 ล้านหุ้น เท่านั้นทำให้นักลงทุน ต่างเข้าไปแย่งกัน จองซื้อหุ้น กันเป็นจำนวนมาก นับว่า PTT OR IPO ใหม่ มาแรง จริงๆ สำหรับ นักเทรดหุ้น สายเทคนิค อาจต้องรอหลังขึ้นกระดานกันก่อน

 

กระทั่งทำให้ระบบเว็บธนาคารที่ให้บริการจองซื้อหุ้นสัญญานล่ม ทำให้จองซื้อหุ้นไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามระบบสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปรกติแล้ว และยังมีเวลาจองซื้อหุ้นถึงวันที่ 2 ก.พ.2564 ท่านใดสนใจศึกษา OR เพิ่มเติมลองเข้าไปดูกันที่เว็บ https://www.pttor.com/th

ธุรกิจของ บริษัท ปตท.นำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) PTTOR

PTTOR ทำอะไรบ้างหลายคนอาจจะสงสัย วันนี้เราจะมาเจาะลึกถึง บริษัท ปตท.นำมันและการค้าปลีก จำกัด(มหาชน) หรือ ที่เราเรียกกันว่า pttor เป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับนักลงทุนเป็นอย่างมาก และถือว่า หุ้นipo ตัวนี้ เป็นหุ้นแห่งปีเลยก็ว่าได้ จะมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนเป็นจำนวนไม่เกิน 2700ล้านหุ้น และจัดสรรหุ้นสามัญให้แกผู้ถือหุ้นเดิมของ ปตท. ไม่เกิน300ล้านหุ้น เรามาทำความรู้จัก กับ PTTOR กันดีกว่าว่า เค้าทำธุรกิจอะไรบ้าง ผลประกอบการ รายได้ของแต่ละธุรกิจเป็นอย่างไรกันบ้าง และ อนาคตของ PTTORนั้นจะพัฒนาไปในรูปแบบใด

ธุรกิจน้ำมัน

แน่นอนว่า ธุรกิจแรกของ ปตท.ต้องเป็นการค้าที่เกี่ยวกับน้ำมัน และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดเลย สถานีบริการน้ำมัน PTT Station ที่ครอบคลุมทั้วประเทศ มีจำนวนสถานีถึง 1,900 สาขา ซึ่งถือว่าเป็นปั้มที่มีจำนวนเยอะที่สุด ในประเทศเราแล้ว และเป็นปั้มที่ทันสมัย พร้อมการปรับตัวหรือการพัฒนาสู่อนาคต ในเรื่องของ พลังงานไฟฟ้า ที่ตอนนี้คนหันมาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งปตท.นั้น ก็ติดตั้ง อุปกรณ์ สายชาร์ต ที่ทันสมัย และชาร์ตได้รวดเร็วตามความต้องการในอนาคต ซึ่งตอนนี้ติดตั้ง ไปแล้วประมาณ 14 สถานี ซึ่งอนาคตที่ปตท. มีเป้าหมายติดตั้ง ให้ครอบคลุมทั้วประเทศ เพื่อ ตอบสนองความต้องการ หรือ การให้บริการ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และนอกจากนี้ pttor ยังจำหน่ายผลิตภัฌฑ์ ปิโตเลียม เชิงพานิชย์ ให้กับกลุมธุรกิจ อากาศยาน อุตสาหกรรม เรือขนส่งสินค้า ไปจนถึง PTT LPG ผลิตภัณฑ์ น้ำมันหล่อลื่น PTT Lubricants และศูนย์บริการยานยนต์ FIT Auto ซึ่งผลกำไรของการทำธุรกิจน้ำมันนั้นตกเป็นเงินประมาณ 291,764.65 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ของ PTTOR

ธุรกิจค้าปลีกสินค้า หรือ Non-oil

ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่เราเห็นหลักๆในทุกๆสถานี ได้แก่ Cafe Amazon / Texas Chiken / Hua Seng Hong Dimsum และ Pearly Tea ไปจนถึงร้านสะดวกซื้อ Jiffy ซึ่งเป็นธุรกิจลองลงมา ซึ่งทำกำไรให้กับ PTTOR ไม่น้อยเลยทีเดียวโดยมูลค้า ของธุรกิจนี้สูงถึง 11,690.81 ล้านบาท ถือได้ว่า PTTOR เห็นช่องทางและโอกาศที่ดี ที่ทำธุรกิจควบคู่กันไป จึงทำให้สถานีบริการของ ปตท. นั้น ครบครันทั้งเครื่องดื่ม อาหาร ร้านสะดวกซื้อ เพราะนอกจากคนที่แวะเข้ามาใช้บริการเติมน้ำมันแล้วนั้น ก็มีอีกหลายคนที่แวะเข้ามาพัก ทานข้าว หรือซื้อเครื่องดื่ม เช่นกาแฟ เป็นต้น

 

ธุรกิจในต่างประเทศ

และเป็นการต่อยอดของ PTTOR ทีประสบความสำเร็จในธุรกิจสถานีบริการน้ำมัน PTT Station Cafe Amazon / Jiffy / และ FIT Auto ในประเทศไทย ซึ่ง PTTOR มีศักยภาพ พอที่จะพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ออกๆไปให้กว้างกว่าเดิม โดยการขยายสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ พร้อมกับธุรกิจค้าปลีก ที่เราพูดถึงเมื่อข้างต้น โดยเริ่มต้นจาก ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆเราเช่น ประเทศ ลาว / กัมพูชา / มาเลเชีย / เมียนม่า / ฟิลิปปินส์ / ญี่ปุ่น / สิงคโปร์ / โอมาน และประเทศจีน ซึ่งมีรายได้จากตัวเลขอ้างอิง ประมาณ 15,845.98 ล้านบาท ซึ่งถ้ามองดูแล้ว ก็ถือได้ว่า PTTOR ได้ก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความสำเร็จไปอีกขั้นแล้วนั้นเอง

และในขณะเดียวกัน ผลประกอบการโดยรวมของ PTTOR อ้างอิงข้อมูลล่าสุดปี 2561 มีรายได้รวมที่ 500,000ล้านบาท และกำไรสุทธิ ที่ประมาณ 7,900 ล้านบาท เมื่อคิดเป็นมาจิ้นแล้วจะอยู่ที่ 1.58% ซึ่งดูตัวเลขแล้วค่อนข้างน้อย แต่เมื่อเทียบกับธุรกิจค้าปลีกน้ำมันอื่นๆ ตัวเลขระดับนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติของธุรกิจน้ำมัน

ธุรกิจที่ PTT OR ให้ความสนใจและร่วม ธุรกิจในอนาคต

นั้นก็คือในเรื่องของแบตเตอร์รี่ ซึ่งเป็นหัวใจหลักหรือหัวใจสำคัญของรถ ที่ใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ตัวไหน ใช้ทนทานกว่า ใช้ได้นานกว่า หรือทำให้รถวิ่งๆได้ไกลกว่า ทำให้ or ได้จับมือกับ GPSC และหลายคนต้องสงสัยกับ GPSC ว่าเค้าทำธุรกิจอะไร GPSCนั้นเป็นบริษัทที่พัฒนาพลังงานทดแทน หรือพลังงานไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ ต่างๆ

 

รวมกระทั้งเครื่องกักเก็บพลังงานที่ได้จากธรรมชาติ เช่นพลังงานแสงอาทิตย์ และ or เล็งเห็นว่า คนเริ่มหันมาใส่ใจโลกมากขึ้น หันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นจึงเป็นเรื่องดีที่ or และ GPSC ร่วมกันพัฒนา เพื่อเป็นผู้นำในการให้บริการพลังลังงานทั้งพลังงานจากปิโตเลียม จนไปถึงพลังงานสะอาดอย่างพลังงานไฟฟ้า และลดต้นทุนในการชื่อจากต่างประเทศ จึงร่วมมือกันพัฒนา แบตเตอร์รี่ต้นแบบ semisolid ที่ให้กำลังไฟเยอะ แต่ต้นทุนแพง

 

ซึ่งor ได้ร่วมลงทุนกับ GPSCในการพัฒนาแบตตัวนี้ถึง 20ล้านเหรียญ ตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 600 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปี 2562 ตั้งแต่เดือนสิงหา ซึ่งเป็นเวลา เกือบสองปีที่ร่วมพัฒนา และตอนนี้ก็บอกได้เลยว่า ได้ทำต้นแบบของแบตเตอร์รี่ส่วนนี้สำเร็จแล้ว

 

ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ที่ว่าจะเริ่มผลิตเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ซึ่งที่คาดการ น่าจะนำมาผลิตที่ประเทศไทย โดย ราคาอยู่ที่ 100us/kWh หรือ ตีเป็นเงินไทยประมาณ 3000บาท/kWh เท่ากับที่ TESLA ทำเอาไว้ ซึ่งข่าวตอนนี้บอกว่าโรงงานผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่เครื่องจักและการเซ็ตอัพ ซึ่งก็ติดปัญหาเรื่องของโควิด จึงทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือเดินทางมาเซ็ทอัพได้แต่อย่างไรนั้น ถ้าผลิตได้นั้น แน่นอนครับว่านอกจากที่ขายภายในประเทศแล้วนั้น ยังสามารถส่งออกได้ เนื่องจาก ทุกคนต่างต้องการเเท็คโนโลยีที่ดี และราคาที่สามารถสู้กับ เจ้าอื่นได้นั้น ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของ or เลยทีเดียว

อีกหนึ่งธุรกิจของ or นั้นเป็นก้าวที่ใหญ่ และท้าทายเลยทีเดียวคือการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทาง orนั้นได้เดินทางไปคุยกับบริษัท รถยนต์ไฟฟ้า สัญชาติจีน ที่เป็นบริษัท น้องใหม่ที่มีกระแสมาแรงมากๆ นั้นก็คือ ค่าย WM motor หรือ WELTMEISTER ซึ่งไปเซ็นสัญญาต่างๆเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบอกเลยว่า ค่ายWM motor เป็นนวัตกรรมที่ล้ำสมัยในหลายๆด่านไม่น้อยหน้าTESLA เลยทีเดียว ซึ่งมียอดขายเป็นอันดับต้นๆของจีน แพ้ ค่าย NIO,Li Auto,Xpeng แค่นิดเดียว เท่านั้นเอง

นี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของ or ที่จะพัฒนาธุรกิจ และสร้างผลกำไรในอนาคต และนี้เองคือเหตุผลที่ทำให้การเปิดขายหุ้น ของ PTT.OR เป็นกระแสที่มาแรง และมีคนสนใจเป็นจำนวนมาก แล้วถ้ามีข้อมูลอัพเดทหรือข่าวคราวเพิ่มเติมเราจะมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง

Share Facebook
Share Twitter
fibonacci Retracement Goo Invest Trade

Fibonacci Retracement

Fibonacci Retracement Fibonacci Retracement เป็นที่รู้จัก และได้รับความนิยมเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นต

Read More »

พิชิตกราฟด้วยเทคนิค Technical Analysis