LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 23 ตุลาคม 2564

เพิ่มเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอีก 6 แห่ง อนิงสงค์หุ้นนิคม

ครม.เห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มอีก 6  แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษจำนวน 1 แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่รองรับการประกอบอุตสาหกรรมและการค้า 15,836 ไร่ มีการรองรับการลงทุน ได้เพียง 5 ปีเท่านั้น จึงมีการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่ม 6 แห่ง พื้นที่ EEC

1. จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการอุตสาหกรรมรูปแบบนิคมอุตสาหกรรม มีจำนวน 5 แห่ง โดยรองรับการประกอบกิจการได้ 5,098 ไร่ มีพื้นที่รวม 6,884 ไร่ สามารถรองรับการประกอบกิจการได้ 5,098 ไร่ ประกอบด้วย นิคมอุตสากรรมโรจนะแหลมฉบัง, นิมคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อันดัสเตรียล เอสเตท ระยอง, นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง,นิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่

รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบิน โลจิสติก และดิจิทัล รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมเอเชียคลีน รองรับอุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ภายใน 10 ปี เป้าหมายการลง 3 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2564-2573

2. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษ จำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง จ.ระยอง ภายใน 10 ปี ตั้งเป้าหมายการลงทุน20,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2564-2573

3. เปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่ออกิจการพิเศษ 1 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ พัทยา โดยเปลี่ยนแปลผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน ให้พื้นที่รวมของศูนย์585 ไร่ จากเดิม 566 ไร่ โดยเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ 6 แห่งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท สวนสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) , บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)

 สำหรับบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ได้ประโยชน์ 2 ใน 6 นิคม อุตสาหกรรม ได้แก่ โรจนะแหลมฉบัง 698 ไร่ โรจนะหนองใหญ่ 1,501 ไร่ ซึ่งแนวโน้มการขายที่ดินนิคมในไตรมาส 2 ปี 2564 ลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนมาเซ็นสัญญากว่า 100 ไร่ ไตรมาส 3 ถึงปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 มาก ซึ่งงในไตรมาส 4 ยังคงดีอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศในอนาคต โดยตั้งเป้าขายที่ดิน 400-500 ไร่ต่อปี ประมาณรายได้และกำไรระหว่างปี 2564-2566 รายได้หลัก80% มาจากการขายไฟให้กับบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และโรงงานในนิคม ซึ่งมองว่ารายได้จากการขายที่ดินเป็นปัจจัยหนุน สอดคล้องกับ บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนิคมมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จ.ระยอง พื้นที่ 1,498 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ หุ่นยนต์ การบิน โลจิสติก วึ่งขั้นตอนแรกต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เดิมก่อน ซึ่งรายได้จะเกิดขึ้นหลังจากที่พัฒนาแล้ว แนวโน้มรายได้ปี 2565 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพื้นที่เตรียมไว้สำหรับนิคมใหม่ที่เพิ่งอนุมัติจะต้องรอการพัฒนาก่อน ขณะที่แนวโน้มรายได้ปีนี้เติบโตขึ้น 30% สูงสุดในประวัติการณ์ เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดคือไตรมาส 3 ปี 2564

ทั้งนี้ปัจจุบันมีบริษัท 10 นิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC รวมถึงมีพื้นที่พัฒนาและสร้างใหม่ทุกปี พร้อมเปิดขายได้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์ 10,000 ไร่ พัฒนา infrastructure รองรับการขายพร้อมทั้งหมด 5,000ไร่ อี 5,000 ไร่ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขออนุมัติทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม

 

ขอบคุณ : ข่าวหุ้น

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะติดตาม 5ปัจจัยชี้ทิศค่าเงินบาทและดัชนีหุ้นไทย

ธนาคารกสิกรไทยประเมินสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 25-29ตุลาคม 2564 กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.80-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตัวเลขการส่งออกและเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือนก.ย. ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.  ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core Price Index เดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. และจีดีพีไตรมาส 3 ประจำปี 2564  

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม ECB และ BOJ ข้อมูลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.จีน และจีดีพีไตรมาส 3/64 ของยูโรโซน โดยในวันพฤหัสบดี 21 ต.ค. เงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.38 เทียบกับระดับ 33.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า 5 ต.ค.

ทั้งนี้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนก.ย.รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ประจำปี2564 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BoJ และ ECB ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/64 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนต.ค.ของยูโรโซน ตลอดจนกำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.ของจีน   โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,643.42 จุด เพิ่มขึ้น 0.31% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 79,001.31 ล้านบาท ลดลง 8.61% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.94% มาปิดที่ 559.65 จุด

 

ขอบคุณ : ฐานเศษฐกิจ

แบงก์ยันคุ้มครองลูกค้าทุกบัญชี ลุยจับ เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสกัดยับยั้งสะสางปัญหาโดยเร็ว ล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกำหนด 5 แนวทาง ในการเยียวยา แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการติดตามลงโทษผู้กระทำความผิด ได้แก่

 แนวทางที่1 ธนาคารและบริษัทเจ้าของบัตรฯ คืนเงินลูกค้าภายใน 5 วันนับจากได้รับแจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

แนวทางที่2 เปิดศูนย์ Hotline 1710 ประสานตำรวจ-ธนาคารรอายัดบัญชีคนร้าย ป้องกันการถ่ายเทเงินในบัญชี

แนวทางที่ 3  สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประสานข้อมูลกับผู้ให้บริการเครือข่าย ช่วยสืบหาข้อมูลของคนร้าย

แนวทางที่ 4 กระทรวงดิจิทัล ให้ความรู้ สร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับประชาชนเท่าทันพฤติกรรมคนร้าย และการแก้ไขกฎเกณฑ์ให้ทันกับรูปแบบอาชญากรรม

 แนวทางที่ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศูนย์ PCT  บูรณาการร่วมกับ บช.สอท., และ ศูนย์ PCT นครบาล, ภูธร 1-9 ในการรวบรวม ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินคดีจากทุกพื้นที่ ตั้งชุดสืบสวนสอบสวน Online รายจังหวัด

 ซึ่งขณะนี้เร่งประสานผู้ให้บริการเครือข่ายร้านค้าต่างประเทศ  ให้ไปไล่เบี้ยตรวจสอบร้านค้าในต่างประเทศ เป็นไปได้ว่า ร้านค้าเหล่านั้นก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ

 ดร.ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ภัยไซเบอร์จะกลายเป็น New Normal สำหรับผู้ใช้บริการดิจิทัลเซอร์วิส ที่เกิดขึ้นทุกวัน ใน 3 ภัยหลัก ได้แก่

 1. การส่งอีเมล์ หรือ SMS หลอกโอนเงิน หรือหลอกให้ส่งหมายเลขบัตรเครดิต ซึ่งเกิดขึ้นมาเป็นเวลานับ 10 ปี แต่เปลี่ยนเทคนิคไป

2. แรนซัมแวร์ ที่มุ่งการโจมตีเพื่อดูดข้อมูลไปขายในเว็บตลาดมืด 

3. การโจมตีเพื่อทำให้ระบบบริการล่ม หรือการโจมตี DDoS ยิ่งวันจะมีปริมาณและความถี่เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบสร้างความเสียหายในวงกว้างมากขึ้น

ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) กล่าวว่า  ที่ผ่านมา TB-CERT ร่วมกับธปท.และค่ายมือถือ บล็อกข้อความ SMS ที่แปลกปลอมเข้ามา ทำให้ช่วงหลังมีแนวโน้มลดลง ส่วนรูปแบบภัยไซเบอร์มีหลากหลาย หลักๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการหลอกลวงบนโซเชียล การปล่อยมัลแวร์ขู่เรียกค่าไถ่รวมถึงการส่งอีเมล์หลอกลวงหรือพวกฟิชชิ่ง โดย แฮกเกอร์ต้องการเงินเป็นหลัก แต่จะไม่ใช้วิธีขโมยเงินโดยตรง แนวโน้มข้อมูลและชื่อเสี่ยงของหน่วยงานหรือองค์กร มีความสำคัญมากขึ้น จึงถูกใช้เป็นตัวประกันในการเร่งให้หน่วยงานจ่ายเงินเรียกค่าไถ่ ส่วนใหญ่เทคนิคส่วนใหญ่จะทำควบคู่กันระหว่างการขโมยข้อมูลและสร้างมัลแวร์ เว็บไซด์หรือฟิชชิ่ง ซึ่งภัยไซเบอร์ทั่วโลกจะมีลักษณะนี้ แต่จะมีบริษัทเทคโนโลยีเป็นเป้าหมาย และกลุ่มธุรกิจเฮลธ์แคร์”

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

ธนาคารไทยกำไรพุ่งรวมกันกว่า 4.3 ล้านบาท

ธนาคารพาณิชย์ 10 ธนาคาร คือ  ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) และ บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ไตรมาส 3 ปี 2564 มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่  43,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

   ซึ่งทั้งปีคาดการณ์ว่ากำไรแบงก์ทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และอาจมีโอกาสไปแตะ 1.72-1.73 แสนล้านบาท หรือโตราว 20% สะท้อนว่ากลุ่มแบงก์ผลการดำเนินงานดีขึ้น และพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ส่วนสำรองทั้งปีคาดอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 3.38 แสนล้านบาท และคาดลดต่อเนื่องเหลือ 1.9 แสนล้านบาทในปีหน้า ตามกลุ่มแบงก์ยังคงมีความท้าทายอยู่ หลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน แบงก์อาจจะต้องมาดูใกล้ชิด เกี่ยวกับหนี้เสีย ในกลุ่มเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยที่ยังเปราะบาง ดังนั้นความเสี่ยงยังมีอยู่

 อย่างไรก็ตาม ธนาคารต้องความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ พิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตในระดับสูง และบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ข้าวไทย รับอนิสงค์จากเงินบาทอ่อนตัวลง

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 32 – 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวขาวและข้าวนึ่งของไทยที่ราคาได้ปรับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับข้าวจากอินเดียและเวียดนาม

ซึ่งแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ว่ามียอดคำสั่งซื้อเริ่มกลับมาอย่างต่อเนื่อง จากสถิติกรมศุลกากรการส่งออกข้าวไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่เดือนมิ.ย. – ส.ค. อัตราการขยายตัว 25.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตลาดหลักที่ไทยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น คือ จีน ฟิลิปปินส์ แคเมอรูน มาเลเซีย โมซัมบิก และสิงคโปร์

คาดว่าการส่งออกข้าวไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะยังขยายตัวดีต่อเนื่อง เห็นได้จากสถิติการขอใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศในเดือน ก.ย. ที่มีปริมาณสูงถึง 877,555 ตัน ขยายตัว 124.87% ล่าสุดเดือนต .ค.ระหว่างวันที่ 1 – 18 ต.ค. ปริมาณ 380,234 ตัน เพิ่มขึ้น 47.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งตั้งแต่เดือนม.ค. – ส.ค. 2564 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 3.18 ล้านตันคิดเป็นมูลค่า 58,685 ล้านบาท โดยข้าวไทยยังคงได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ดังนั้น คาดว่าในปีนี้ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าที่ปริมาณ 6 ล้านตัน

 สำหรับการส่งออกข้าวไทยที่กลับมาฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากความสำเร็จจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาคเอกชนของไทยและกระทรวงพาณิชย์ และทูตพาณิชย์ในฐานะเซลส์แมนประเทศเร่งการเจรจาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยกับคู่ค้าสำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ซึ่งทำให้คู่ค้าเชื่อมั่นในศักยภาพในการส่งออกข้าวคุณภาพของไทยแม้ในช่วงสถานการณ์โควิดฯ และหันมาสนใจนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ คาดการณ์ว่าจากปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลาย ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อในคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทย ประกอบกับราคาข้าวไทยที่สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน จะทำให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โตต่อเนื่องจะสามารถส่งออกข้าวได้เดือนละกว่า 7 แสนตัน และการส่งออกข้าวไทยทั้งปีจะได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 6 ล้านตัน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

หุ้นจีน ผันผวนหนัก เพราะปัญหารุมเร้ามาก

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์” กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กองทุนหุ้นจีน ถึงแม้ราคาในตลาด H-shares จะต่ำกว่าตลาด A-shares ประมาณ 20% ซึ่งมองว่าอัพไซด์ของจีนยังไม่มีมากนัก และเนื่องจากราคาที่ต่ำ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขายออก แต่หากจะเข้าซื้อ อาจจะพอมีอัพไซด์ แต่ก็ค่อนข้างที่จะยากและมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโซนสหรัฐหรือยุโรป รวมถึงการลงทุนในกลุ่มการเงิน (global financial)หรือกลุ่มเทคโนโลยี (global technology) ที่น่าจะมีอัพไซด์ที่ดีกว่ากองทุนหุ้นจีน

หากมองในภาพใหญ่คิดว่าจีนกำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจีนคงจะใช้ระยะเวลานานหลายปี และจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดความผันผวนได้ตลอด ดังนั้น จากความไม่แน่นอน จึงยังทำให้ยังมีความผันผวนที่สูง แต่หากนักลงทุนสนใจลงทุนในจีน แนะให้ลงทุน H-sharesและ A-shares ในสัดส่วนการลงทุนที่เท่า ๆ กัน ประมาณ 50 : 50% แต่หากดูเรื่องอัพไซด์มองว่าการลงทุนในสหรัฐและยุโรปดูน่าสนใจกว่า เนื่องจากมองว่าจีนยังเป็นดาวน์ไซด์มากกว่าอัพไซด์

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่จีนก็ยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่ยังเติบโตได้อีกมหาศาล แต่จีนยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังเงียบอยู่ ซึ่งทำให้ยังประเมินภาพการลงทุนในจีนได้ค่อนข้างยากในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจีนยังคงมีความผันผวนและมีปัจจัยลบรุมเร้าค่อนข้างมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวหากนักลงทุนสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นจีนได้ โดยต้องขึ้นกับนักลงทุนว่าจะมองช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว หรือจะเลือกไปลงทุนในที่ที่ผันผวนน้อยกว่า

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

สหรัฐ เปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF อย่างเป็นทางการ

สหรัฐอเมริกาเปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF  อย่างเป็นทางการ ซึ่งกองทุนดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัทจัดการสินทรัพย์ ProShares และใช้ชื่อย่อว่า BITO ซึ่งนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีบัญชีกับโบรกเกอร์ หรือบัญชีซื้อขายหุ้น สามารถลงทุนซื้อ-ขายกองทุน Bitcoin Future ETF ได้เลย ซึ่งเป็นกองทุน BITO ที่มีมูลค่าการซื้อขายวันแรกสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับกองทุน Bitcoin Future ETF เป็นกองทุนที่ลงทุนกับ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของราคาบิทคอยน์ มีความแตกต่างกับ Bitcoin Spot ETF ที่ไปลงทุนในบิทคอยน์มีการถือครองบิทคอยน์ไว้ในมือ

ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ทำได้เพียง Bitcoin Future EFT เท่านั้น แต่กองทุน Bitcoin Spot ETF ทางสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกายังไม่ได้มีการอนุมัติแต่อย่างใด

ทั้งนี้หากผู้ลงทุนคนไทยสนใจเทรด Bitcoin Future สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดกับ MTS Capital ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุกภายหลังจากจับมือกับ “CME Group” ซึ่งก็คือตลาดซื้อขายอนุพันธ์อันดับ 1 ของโลก ที่เปิดให้คนไทยสามารถลงทุนใน “Micro Bitcoin Future” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Cryptocurrency ที่ผู้ลงทุนคนไทยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องไปเทรดถึงตลาดต่างประเทศ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ สินเชื่อบ้านสูงขึ้นปี 65

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า  ผลของการผ่อนคลายมาตรการ LTV คงจะเปิดโอกาสให้สินเชื่อบ้านเติบโตในกรอบที่สูงขึ้นในปี 2565 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเบื้องต้นว่า การผ่อนปรนมาตรการ LTV จะทำให้สินเชื่อบ้านปี 2565 มีโอกาสเติบโตเพิ่มเติมได้ประมาณ 0.3-0.7% ไปอยู่กรอบ 4.8-5.2% สูงขึ้นกว่ากรอบคาดการณ์ปี 2564 ที่ 4.2-4.5% โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตลอดช่วงเวลาของมาตรการฯ จะเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดไว้คิดเป็นมูลค่าราว 18,000 – 30,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการ

ซึ่งการผ่อนเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่อง หรือ  มาตรการ LTV โดยปรับเพดาน LTV เป็น 100% ชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของตลาดที่อยู่อาศัยและการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปี 2565 ที่ยังเต็มไปด้วยหลายปัจจัยท้าทาย

ทั้งนี้ประเด็นติดตามจะอยู่ที่การประเมินความพร้อมในการก่อหนี้ก้อนใหม่หรือรีไฟแนนซ์หนี้เดิม ซึ่งครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด รวมถึงสถานการณ์รายได้และการจ้างงานที่อาจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ อันจะมีผลต่อเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อสำหรับลูกหนี้แต่ละรายในท้ายที่สุด

หลังถอนใบอนุญาต คปภ.แจ้ง SMS กับลูกค้าเอเชียประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. กล่าวว่า ตามที่ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) และคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 2/2564 แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชี ได้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) ชื่อ “ระบบแจ้งข้อมูลและสิทธิกรณีบริษัท ประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)” รวมถึงแจ้งข้อมูลไปยังผู้เอาประกันภัยผ่าน SMS ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้จากระบบของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมตามขั้นตอนและสิทธิต่าง ๆ ผ่านช่องทาง Web Application ดังนี้

กรณีที่ 1 กรมธรรม์ประกันภัยมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ให้ผู้เอาประกันภัยยื่นขอทวงหนี้ที่กองทุนประกันวินาศภัย หรือสำนักงาน คปภ.ทั่วประเทศ

กรณีที่ 2 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้

กรณีที่ 3 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้เช่นกัน

ทั้งนี้การส่ง SMS และการทำรายการผ่านช่องทาง Web Application ดังกล่าว จะไม่ทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียสิทธิที่พึงมีตามสัญญาประกันภัยแต่อย่างใด โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กระบวนการชำระหนี้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้หากผู้เอาประกันภัยมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 ซึ่งปัจจุบันมี 19 บริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในกรณีดังกล่าวแล้ว โดยผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าไปใช้งาน Web Application ดังกล่าวผ่านช่องทางเว็บไซต์ คปภ. และ Chatbot “คปภ.รอบรู้” (LINE : @OICConnect) และสำนักงาน คปภ.จะรวบรวมข้อมูลจากผู้เอาประกันภัยที่แจ้งข้อมูลเพื่อส่งให้กองทุนประกันวินาศภัยดำเนินการต่อไป โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะแจ้งเป็นหนังสือทางไปรษณีย์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

แนวทางฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิดคลี่คลายดัน GDP ปี 65

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในการประชุม The Committee on Macroeconomic Policy, Poverty Reduction and Financing for Development ครั้งที่ 3 ที่จัดโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP)  กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงการคลังในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และ 5 แนวทางหลักในการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

แนวที่ 1 นโยบายทางการเงินเพื่อเยียวยาและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อให้สามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

แนวทางที่2 การบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค โดยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลัง การบริหารระดับหนี้สาธารณะ ตลอดจนถึงการปรับปรุงระบบการเก็บภาษี และการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

แนวทางที่3 การลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการ คุณภาพชีวิตของผู้คน และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค

แนวทางที่4  การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มั่นคง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึง ทั้งแบบสมัครใจและมีส่วนร่วม อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ และกองทุนการออมแห่งชาติ

แนวทางที่5  รัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.64 ประเทศไทยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นลบ โดยต้องทำการตรวจเชื้อก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะได้รับการตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 63 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาด และจัดสรรเงินทุนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน แรงงาน และผู้ประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหัน หรือถูกลดค่าจ้างลง โดยผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือเยียวยา ในขณะเดียวกัน โครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลอย่างโครงการคนละครึ่ง และการลดภาษีได้ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ รวมถึงรัฐบาลได้รักษาระดับการจ้างงานผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยตรง และการดำเนินมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาลจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาค รวมถึงแนวโน้มคาดว่าภายในสิ้นปี 64 จะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้ โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ ส่วนในปี 65 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม หรือขยายตัวในช่วง 4-5% ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง

 

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 21 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 21 ตุลาคม 2564

นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ปรับลดสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยปัจจัยบวก ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ต.ค. 64 ปรับตัวลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล สู่ 426.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบ คุชชิง โอกลาโฮมา ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี

โดยเจ้าชายอับดูลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานซาอุฯ กล่าวว่าจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้โรงไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นราว 5-6 แสนบาร์เรลต่อวัน ขึ้นกับสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาว ซึ่งตลาดน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว หลังกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ยังคงมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยกลุ่มมีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ย. 64  โดยจะมีการหารือถึงแผนในเดือน ธ.ค. ในการประชุมกลุ่มวันที่ 4 พ.ย. 64

ทั้งนี้สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะการปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น ขณะที่อุปทานยังคงตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในเอเชียเหนือ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมตั้งงบ 1 แสนล้านเยน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ

นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเตรียมจัดตั้งกองทุนงบประมาณ 1 แสนล้านเยน ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยกองทุนดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์  เทคโนโลยีควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ และหุ่นยนต์ โดยจะเริ่มดำเนินการในปี 2022

โดยกองทุนดังกล่าวจะอยู่ภายใต้องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือเอ็นอีดีโอ และสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น หรือ เจเอสที โดยจะมอบเงินทุนให้กับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่รัฐบาลเห็นว่ามีความสำคัญ ซึ่งอยู่ในงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2021 ซึ่งจะจัดสรรขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 31 ต.ค.นี้ และเริ่มดำเนินโครงการในปี 2022 ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังจะมีการจัดสรรต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี

ทั้งนี้เป้าหมายใหญ่คือเร่งผลักดันเทคโนโลยีของญี่ปุ่นสู่การใช้งานจริง เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ว่าญี่ปุ่นจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง แต่มักไม่ได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากขาดแคลนเงินทุนสนับสนุน และกลายเป็นช่องทางให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นผ่านการเข้าซื้อกิจการหรือการซื้อตัวนักวิจัย ซึ่งนับเป็นความพยายามล่าสุดของญี่ปุ่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยี หลังจากที่ปล่อยให้หลายประเทศพัฒนาแซงหน้าไปเป็นเวลานาน แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องติดตามต่อไปไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะราบรื่นดังที่นายกรัฐมนตรีคิชิดะคาดหวังหรือไม่ รวมถึงความเสี่ยงที่ญี่ปุ่นอาจถูกโจมตีจากนานาชาติว่าการสนับสนุนเม็ดเงินมหาศาลให้กับภาคเอกชนในประเทศเช่นนี้ อาจเป็นการแทรกแซงตลาดอย่างไม่เป็นธรรม

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

หอการค้า เผย GDP ปี 64 เติบโต 1.0-1.5%

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ครม.อนุมัติงบประมาณ 54,600 ล้านบาท สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โครงการคนละครึ่ง และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมากมาตรการดังกล่าวจะเป็นการบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพ และยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ประมาณ 95,000 ล้านบาท ส่งผลให้ ประมาณการณ์เศรษฐกิจ ของประเทศไทยในปี 64 นี้ เพิ่มเป็น 1.0-1.5%

ซึ่งค่าใช้จ่ายของประชาชนใน 2 เดือนสุดท้าย จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญตัวหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ นอกเหนือจากเม็ดเงินที่จะได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะแม้ว่าจะเริ่มเปิดเมืองในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่ได้เข้ามาทันทีทันใด ดังนั้น การบริโภค และการเดินทางภายในประเทศจึงเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่สำคัญคือประชาชน และผู้ประกอบการ ต้องไม่ละเลยการระมัดระวังตัว และรักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด

ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพได้ส่วนหนึ่ง และหลังจาก น้ำท่วม จะต้องมีการก่อสร้าง การจับจ่ายใช้สอยเพื่อฟื้นฟูความเสียหาย โดยส่วนนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ และเกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่เผย แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศซบเซา จากที่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ยืดเยื้อ การก่อสร้างชะลอตัวลง แต่ทางบริษัทได้ยอดขายจากตลาดส่งออกมาชดเชยทำให้ไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการส่งออกเหล็กแท่งครั้งแรกในรอบ 15 ปี ไปยังแคนนาดา ได้ปริมาณ 22,000 ตัน อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้น ตามตลาดโลก ทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปและโลหะเพิ่มขึ้น

ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ราคาเหล็กจะยังคงมีราคาสูงขึ้นจากตลาดโลก เนื่องจากจีนผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกได้ลดการผลิตเหล็กลง ทำให้ตลาดมีความต้องการสินค้ามากขึ้นและมีการขยับขึ้นราคามาต่อเนื่อง ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกเฉลี่ย 750-760 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กตลาดในประเทศต้องปรับขึ้นเป็น 25,600-25,700 บาทต่อตัน จากเดือนก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 23,500 บาทต่อตัน

ทั้งนี้แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กในประเทศมีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” จากประชาชนต้องการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วมใน 18 จังหวัด รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลต่อความเชื่อมั่นเกิดการลงทุนซึ่งมีผลต่อกิจการของบริษัทรวมถึงเชื่อว่าจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และภาพรวมการดำเนินการกิจการของบริษัทยังให้ความสำคัญตลาดในประเทศเป็นหลัก เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีความต้องการก็จะเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

สหกรณ์ เผยราคาปุ๋ยปรับตัวสูงถึงปี 65 เนื่องจากราคาน้ำมัน เร่งช่วยสมาชิกลดต้นทุนผลิตปุ๋ยถูกกว่าท้องตลาด

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ราคาปุ๋ยมีปรับตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มถึงต้นปี 2565 เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความต้องการปุ๋ยเคมีสำหรับใช้ในการเพาะปลูกของเกษตรกรในต่างประเทศ เช่น อินเดีย อัตราค่าระวางการขนส่งสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศสูงถึง 97%

โดยกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในจึงได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคม คนไทยธุรกิจเกษตร ดำเนินโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ปุ๋ยช่วยเกษตรกร” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายปุ๋ยเคมีราคาถูกให้เกษตรกรผ่านสถาบันเกษตรกร เช่น สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร มีปริมาณปุ๋ยเคมีที่เข้าร่วมโครงการ 208,411 ตัน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้สำหรับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว 186 แห่ง และได้รับการจัดสรรปุ๋ยเคมีจากบริษัท ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 29,807 ตัน และได้มีการขยายระยะเวลาโครงการต่ออีก 2 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดโครงการในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือสมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้ได้ซื้อปุ๋ยเคมีในราคาถูกสามารถสั่งซื้อปุ๋ยผ่านสหกรณ์การเกษตรกลุ่มเกษตรกรที่ตนเองสังกัดได้ จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ 31 ตุลาคม 2564 นี้ ในขณะนี้มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 112 แห่งใน 44 จังหวัด ต้องการปุ๋ยเคมีสำหรับบริการแก่สมาชิกปริมาณ 32,214 ตัน หากเกษตรกรยังมีความต้องการในการใช้ปุ๋ยเคมีที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด

 

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 20 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 20 ตุลาคม 2564

กสิกร ระงับโฆษณาขายประกันภัย “โดนแฮกเงิน”

จากกรณีธนาคารกสิกรไทย มีการเผยแพร่กระจายภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ที่มีข้อความว่า “โดนแฮกเงินหาย”  ทางธนาคารกสิกรไทยได้ออกมาขออภัยลูกค้าและประชาชน โดย หยุดขายประกัน “ช้อปออนไลน์” ย้ำไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตก

โดยทางธนาคารมีการจัดทำโฆษณาเพื่อสื่อสารทางการตลาดที่สอดคล้องกับประสบการณ์ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ของลูกค้า 7 รูปแบบ ซึ่งข้อเสนอตามภาพเป็นการนำเสนอให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ประมาณ 12,000 คนผ่าน K PLUS เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา

ก่อนจะเกิดกระแสข่าวการตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของประชาชนจำนวนมาก ตามที่สื่อต่าง ๆ ได้มีการนำเสนอในช่วงนี้โดยทันที

หลังจากที่ทราบประเด็นความเดือดร้อนดังกล่าว ธนาคารจึงได้ระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้วยรูปแบบข้างต้นในทุกช่องทาง ประกันดังกล่าวธนาคารเป็นผู้เสนอขาย โดยจะให้ความคุ้มครองความเสียหาย 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. คุ้มครองผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ กรณีผู้ขายไม่ส่งสินค้าภายใน 7 วันนับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง, ผู้ซื้อได้รับสินค้าไม่ครบตามรายการสั่งซื้อ, สินค้าได้รับความเสียหายทางกายภาพ, สินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณาประชาสัมพันธ์
  2. คุ้มครองผู้ขายจากการถูกหลอกลวงให้ส่งสินค้า และไม่ได้รับเงินภายใน 7 วัน นับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง
  3. คุ้มครองเงินส่วนตัวที่หายจากบัตร บัญชี หรือกระเป๋าเงินออนไลน์ จากการถูกโจรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ โดยวิธีการใช้บัตรชำระเงิน , การเข้าสู่บัญชีธนาคาร , การเข้าสู่ e – Wallet ของผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีที่ไม่สามารถเรียกคืนได้จากผู้ออกบัตร หรือผู้ให้บริการบัญชี / กระเป๋าเงินออนไลน์

ทั้งนี้ ขอยืนยัน ว่าธนาคารไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการรูปแบบนี้ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตกเช่นนี้แต่อย่างใด ขออภัยลูกค้าและประชาชนอย่างสูง ที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ขอบคุณ : เว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย

ธปท.และสมาคมธนาคารไทย ชี้แจงความคืบหน้า กรณีประชาชนถูกดูดเงินจากบัญชี

จากกรณีที่ประชาชนถูกตัดเงินจำนวนมากจากบัญชีธนาคาร ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก  ธนาคารแห่งประเทศไทย  และ สมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาชี้แจงกรณีการตัดเงินที่ผิดปกติ ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของลูกค้าจำนวนมาก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่ามิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากระบบธนาคาร โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการที่มิจฉาชีพสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศ ที่ไม่มีการใช้ One Time Password (OTP)

 

พบว่าตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม มีบัตรที่มีการใช้งานผิดปกติจากเหตุข้างต้นจำนวน 10,700 ใบ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นรายการใช้จากบัตรเดบิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้งานส่วนใหญ่มีจำนวนเงินต่อรายการต่ำ เช่น 1 ดอลลาร์ สรอ. และมีการใช้เป็นจำนวนหลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ ธนาคารมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยแต่ละธนาคารจะกำหนดเพดานและเงื่อนไขการใช้งานของบัตรตามลักษณะประเภทร้านค้าและประเภทสินค้าแตกต่างกันไป  นอกจากนี้ ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหา ดังนี้

  1. ยกระดับความเข้มข้นในการตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมทั้งธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ธนาคารจะระงับการใช้บัตรทันทีและแจ้งลูกค้าในทุกช่องทาง รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ
  2. เพิ่มการแจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการ ตั้งแต่รายการแรกผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ระบบ Mobile banking อีเมล หรือ SMS
  3. กรณีที่ตรวจสอบพบว่าลูกค้าได้รับผลกระทบจากการทุจริตตามข้างต้น กรณีบัตรเดบิต ลูกค้าจะได้รับการคืนเงินภายใน 5 วันทำการ ส่วนกรณีบัตรเครดิต ธนาคารจะยกเลิกรายการดังกล่าว ลูกค้าไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติ และจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย3ธปท. แล
  4. สมาคมธนาคารไทยจะเร่งหารือกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตร เช่น Visa Mastercard เพื่อกำหนดให้มีการใช้การยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น OTP กับบัตรเดบิตสำหรับร้านค้าออนไลน์

สำหรับกรณีที่ลูกค้าพบความผิดปกติของธุรกรรมด้วยตนเอง สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

สำหรับประชาชนทั่วไป ควรตรวจสอบการทำธุรกรรมของตนเองอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งระมัดระวังการผูกบัตรเดบิตในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยง เช่น เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มที่ไม่มีการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน หรือไม่มี OTP สำหรับบางธนาคาร ลูกค้ายังสามารถเปิด/ปิดการใช้งานของบัตร หรือเปลี่ยนแปลงวงเงินการใช้บัตร หรืออายัดบัตรได้ด้วยตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคาร นอกเหนือจากการติดต่อกับธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย ย้ำว่า ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยธนาคารมีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป ธปท. และสถาบันการเงินจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับมาตรการและประสิทธิภาพการตรวจจับและตอบสนองต่อรายการผิดปกติ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

นายกสั่งตรึงราคาน้ำมันให้ได้ 30 บาท ย้ำ สถานการณ์ปัจจุบันยังติดลบ

20 ต.ค. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เห็นใจผู้ประกอบการขนส่งทุกคน ปัจจุบันเรามีน้ำมันอยู่หลายประเภท เช่น บี7 บี 10 บี 20 ราคา เป็นราคาที่ต่างกัน เพราะมีส่วนผสมที่แตกต่าง หากเราใช้เงินไปอุดหนุนราคาน้ำมันประเภทใดประเภทหนึ่งมากไป ก็จะทำให้น้ำมันอีกส่วนสูงขึ้นต้องดูตรงนี้ด้วย สำหรับราคาน้ำมันดีเซลพยายามตรึงให้ได้ 30 บาทต่อลิตรก่อน

ที่สำคัญต้องเข้าใจสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ยังมีความขัดแย้งในหลายส่วน หลายกลุ่มด้วยกัน สถานการณ์น้ำมันยังคงเป็นอย่างนี้อีกระยะ ซึ่งปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันพุ่งสูงว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อน ของสมาคมขนส่งหรือสมาคมรถบรรทุก รัฐบาลได้พยายามดูแลอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่รู้ว่าจะขึ้นอีกเท่าไหร่

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาทุกรัฐบาลได้มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้มาตลอด โดยการเอากองทุนน้ำมันออกไปช่วย  ทั้งที่ความจริงแล้วราคาน้ำมันสูงมากกว่านี้ โดยตรึงให้ได้ลิตรละ 30 บาท ราคานี้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันเดือนละประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันยังติดลบอยู่ก็ต้องมาพิจารณาว่าอีกสองเดือนข้างหน้าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ขอบคุณ:  ฐานเศรษฐกิจ

นับถอยหลัง 1 พ.ย. WHA ชี้แนวโน้มธุรกิจส่งสัญญาณเป็นบวก

มูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 50,440.47 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 17,066.92 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 58,961.30 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 92,334.85 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 9,498.40 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 4,339.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 17,744.04 ล้านบาท และรายย่อย ขายสุทธิ 12,585.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 18 ต.ค.64 พบว่า สถาบันกองทุนในประเทศ  มียอดขายสุทธิ 1,719.93 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 76.54 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,773.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ขายสุทธิ 2,130.49 ล้านบาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ชี้ประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด AD เพิ่มขึ้น

นายรณรงค์   พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า  กล่าวว่า  ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวในเชิงรุกเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการถูกประเทศคู่ค้าเก็บอากร Antidumping:  หรือ  AD ซึ่งจะทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้น และส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศนั้น ๆ ตลอดจนอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตและการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 

เนื่องจากปัจจุบันพบว่าประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด AD เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการใช้มาตรการระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันถึงเกือบร้อยละ 80 จากสถิติการไต่สวนการทุ่มตลาด และการใช้มาตรการ AD ของสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO ช่วงระหว่างปี 2538 – 2563 พบว่า การเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดเพิ่มขึ้นหลังจากปี 2561 โดยในปี 2563 มีการไต่สวน 349 ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับปี 2538 และคาดว่าการใช้มาตรการ AD ของสมาชิก WTO หลังจากปี 2563 จะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามจำนวนการไต่สวนที่เพิ่มขึ้น

โดยไทย อยู่อันดับที่ 6 ของโลก โดย ถูกไต่สวน 250 ครั้ง และถูกใช้มาตรการ AD 167 ครั้ง  ส่วนอินเดียเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ AD มากที่สุดใน WTO 718 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 17.64 ตามด้วย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ AD กับไทยมากที่สุด (จำนวน 39 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่  สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย จีนเป็นประเทศที่ถูกไต่สวนและถูกใช้มาตรการ AD มากที่สุดใน WTO ถูกไต่สวน 1,478 ครั้ง และถูกใช้มาตรการ AD 1,069 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 23.5 และ 26.26 ตามลำดับ รองลงมา ได้แก่ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

ทั้งนี้สินค้าที่สมาชิก WTO เปิดไต่สวน และใช้มาตรการ AD มากที่สุด ได้แก่ เหล็ก เคมีภัณฑ์ เรซิน พลาสติก และยาง ในทำนองเดียวกัน เรซิน พลาสติก และยาง ก็เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยถูกไต่สวน และถูกใช้มาตรการ AD มากที่สุด อย่างไรก็ตามในส่วนของไทย มีการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดแล้วรวม 97 ครั้ง อยู่อันดับที่ 17 ของ WTO และอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย  และไทยใช้มาตรการ AD แล้ว 60 ครั้ง อยู่อันดับที่ 18 ของ WTO และอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยประเทศที่ถูกไทยไต่สวนการทุ่มตลาด และใช้มาตรการ AD สูงสุด ได้แก่ จีน เกาหลีใต้และไต้หวัน

 

ขอบคุณ : โพสต์ทูเดย์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 18 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 18 ตุลาคม 2564

นายกสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับแฮกเกอร์ หลังประชาชนถูกดูกเงินผ่านธนาคารไทย

จากกรณีที่ชาวเน็ตแชร์ประสบการณ์โดนหักเงินจากธนาคารไทย โดยมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมากที่โดนหักเงิน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการผู้บัญชีออนไลน์ของบัตรเดบิต และบางส่วนมีการใช้บัญชีดังกล่าวซื้อของออนไลน์ แต่ก็มีผู้เสียหายบางส่วนที่ไม่เคยใช้บัญชีซื้อสินค้า แต่โดนหักไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่ได้พึ่งเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยช่วงวันที่โดนหักกันถี่ๆคือ 1-2 ต.ค. ที่ผ่านมา   เมื่อเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ ทำให้ประชาชนตรวจสอบบัญชีย้อนหลังของตนเองจำนวนมากในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ก็มีบางส่วนที่ถูกแฮกในช่วงเวลาอื่น

ซึ่งต่อมาพ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อภัยทางสื่อสังคมออนไลน์ที่หลอกลวงสร้างความเสียหายให้กับประชาชน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

ขณะที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สอดรับตามนโยบายรัฐบาลพร้อมกำชับสั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัดที่เกี่ยวข้องทำการสืบสวนสอบสวน จับกุม ปราบปรามภัยทางสื่อสังคมออนไลน์ทุกรูปแบบ พร้อมขยายผลถึงเครือข่ายของผู้กระทำความผิดตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเด็ดขาด จริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรม

 

โดยขอแนะนำให้ผู้เสียหายแจ้งไปยังธนาคารเพื่อทำการอายัดบัตรและปฎิเสธการชำระเงินค่าบริการทางออนไลน์ และทำการตรวจสอบรายการเดินบัญชี รวบรวมเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถเดินทางไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนในทุกพื้นที่ใกล้บ้าน เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนพิสูจน์ทราบถึงตัวผู้กระทำความผิดและนำตัวมาดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 269/5 ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อแนะนำแนวทางการป้องกันกรณีที่คนร้ายได้ข้อมูลที่อยู่ด้านหน้าบัตรและตัวเลขรหัส 3 ตัวที่อยู่ด้านหลังบัตร คนร้ายจึงสามารถนำไปใช้ทำธุรกรรมผ่านทางออนไลน์ที่มีมูลค่าไม่สูงได้ โดยไม่ต้องใช้ OTP ดังนั้น จึงควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมที่ไม่น่าเชื่อถือผ่านทางออนไลน์ที่ต้องแจ้งข้อมูลด้านหน้าบัตรและรหัส 3 ตัวที่อยู่ด้านหลังบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังการหลอกลวงให้กรอกข้อมูลบัตรเพื่อจ่ายเงินค่าภาษีของเว็บไปรษณีย์ไทยปลอม

 

ซึ่งคนร้ายจะทำหน้าเว็บไซต์มีโลโก้ไปรษณีย์ไทยเหมือนของจริง หลีกเลี่ยงการกดลิงค์ที่มีการส่งมาทางอีเมล SMS หรือ สื่อสังคมออนไลน์  หากต้องการเข้าไปที่เว็บไซต์ใด ขอให้พิมพ์ชื่อเว็บด้วยตัวเองเพื่อป้องกันเข้าไปสู่เว็บไซต์ปลอมที่มีความแนบเนียนมาก

 

นอกจากนี้ยังประชาชนควรนำแผ่นสติ๊กเกอร์ทึบแสงปิดรหัส 3 ตัวด้านหลังบัตร หรือจดรหัส 3 ตัวดังกล่าวเก็บเอาไว้ แล้วใช้กระดาษทรายลบตัวเลขรหัสดังกล่าวออกจากด้านหลังบัตร เพื่อความปลอดภัยในการใช้จ่ายประจำวัน และป้องกันมิจฉาชีพ มิให้แอบถ่ายรูปด้านหน้าและหลังบัตรเพื่อนำไปใช้จ่ายในโลกออนไลน์  ทั้งนี้ประชาชนที่พบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

 

ซึ่งต่อมาเมื่อทางธนาคารแห่งประเทศไทยทราบเรื่องก็ได้ได้ออกมาชี้แจ้งผ่านทางเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจ้งว่า  โดยเบื้องต้นพบว่า มิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากธนาคาร แต่เป็นรายการที่เกิดจากการทำธุรกรรมชำระค่าสินค้าและบริการกับร้านค้าออนไลน์ที่จดทะเบียนในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ และไม่ใช่แอปดูดเงินตามที่ปรากฏเป็นข่าว  ขณะนี้ธนาคารเจ้าของบัตรได้ดำเนินการระงับการใช้บัตรของลูกค้าที่มีรายการผิดปกติ และติดต่อลูกค้า รวมทั้งอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบร้านค้าที่มีธุรกรรมที่ผิดปกติเหล่านี้

นอกจากนี้ ลูกค้าที่ตรวจสอบพบความผิดปกติของรายการธุรกรรมด้วยตนเอง สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารผู้ออกบัตรเพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันการทำธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และเร่งคืนเงินให้กับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายตามขั้นตอนของธนาคารโดยเร็วต่อไป

แบงก์ชาติและสมาคมธนาคารไทย ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยธนาคารพาณิชย์มีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง เมื่อพบรายการที่ผิดปกติ ธนาคารจะแจ้งลูกค้าเพื่อตรวจสอบและยืนยันรายการธุรกรรม และพร้อมจะดูแลลูกค้าด้วยความรับผิดชอบเสมอ

 

ชอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ, เพจธนาคารแห่งประเทศไทย

 

เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ในขณะที่ อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ขณะเดียวกัน ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็เริ่มทยอยออกมาดีกว่าคาด ซึ่งตลาดจะรอลุ้นผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 3 พร้อมกับติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ ประธานเฟด ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและโอกาสที่เฟดจะเริ่มลดคิวอีในเดือนพฤศจิกายน

ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ รวมถึงฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติ แต่ควรเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงภายใน อาทิ ปัญหาน้ำท่วม รวมถึง สถานการณ์ COVID ที่ยอดการระบาดยังอยู่ในระดับสูง  จากความผันผวนของราคาทองคำก็อาจส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทได้เช่นกัน โดยราคาทองคำย่อตัวลง อาจเห็นโฟลว์ซื้อทองคำในสกุลเงินดอลลาร์ กดดันเงินบาทอ่อนค่าลง ขณะที่หากราคาทองคำปรับตัวขึ้น อาทิ แตะแนวต้านสำคัญ อาจมีแรงขายทำกำไร หนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

นอกตากนี้ด้านมุมของแนวโน้มเงินดอลลาร์ ในสัปดาห์นี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด Risk-On อาจกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งเงินดอลลาร์อาจไม่อ่อนค่าไปมาก หากบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดยังคงหนุนการลดคิวอีในเดือนหน้าและข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมดีกว่าเศรษฐกิจอื่นๆ

ทั้งนี้ กรอบเงินบาทวันนี้ 18 ต.ค.6 4คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.50 บาท/ดอลลาร์ ในขณะที่สัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.10-33.60 บาท/ดอลลาร์ นอกจากนี้เชิงเทคนิคัล โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทอาจเริ่มแผ่วลงในระยะสั้นสอดคล้องกับการเกิด Bearish Divergence ซึ่ง เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ ขณะที่ ผู้นำเข้าต่างรอซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า โดยแนวรับของเงินบาทจะอยู่ในโซน 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ โดยกรอบค่าเงินบาท

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

 

หุ้นเวียดนาม GDP สูงที่สุดในอาเซียน

ในปัจจุบันประเทศเวียดนามมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เติบโตในระยะยาว GDPสูงที่สุดในอาเซียน  ทำให้มีนักลงทุนเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนโดยตรง (FDI) และการลงทุนผ่านตลาดหุ้น ซึ่งหากดูจากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุนรวมและผลตอบแทนที่สะสมอยู่ในระดับสูง สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมในกองทุนหุ้นเวียดนามที่สูงมากในปีนี้

นายศุภกร ตุลยธัญ CFAเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พรินซิเพิลจำกัด  กล่าวว่า เวียดนามเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจโดดเด่นกว่าประเทศอื่นในอาเซียน โดยก่อนที่จะมีการล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีคาดการณ์การเติบโตของ GDP เวียดนามในปี 2564 ไว้ประมาณ 6-7% ซึ่งสูงที่สุดในอาเซียน โดยมีปัจจัยสนับสนุน คือ

 1) การบริโภคภายในประเทศ

2) การส่งออก

 3) เม็ดเงินลงทุนจากบริษัทต่างชาติ (FDI)

4) เงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้ คาดการณ์การเติบโตของ GDP เวียดนามในปี 2565 ไว้ที่ประมาณ 6-8% ซึ่งก็ยังเป็นตัวเลขประมาณการเติบโตที่สูงที่สุดในอาเซียน

เมื่อมองในแง่ของการแข่งขันทางเศรษฐกิจปัจจุบันไทยยังคงนำเวียดนามอยู่ด้วยเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่กว่า 2 เท่า และรายได้เฉลี่ยต่อหัว (GDP per Capita) ที่สูงกว่า 2.6 เท่าของเวียดนาม อย่างไรก็ตาม ด้วยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของเวียดนามในปัจจุบัน อาจทำให้เศรษฐกิจของเวียดนามสามารถเติบโต จนมีขนาดเทียบเท่ากับไทยได้ในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งหากไทยต้องการที่จะรักษาสถานะความเป็นผู้นำไว้อาจต้องพึ่งพาความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาศักยภาพในการเติบโตและการขยายตัวของเศรษฐกิจ

โดยกองทุนหุ้นเวียดนามเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนที่ดี อย่างไรก็ดี นักลงทุนคงต้องศึกษาความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนเพราะตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงและมีสภาพคล่องต่ำกว่าตลาดหุ้นไทยค่อนข้างมาก

ทั้งนี้นักลงทุนควรมีความเข้าใจในความเสี่ยงเหล่านี้ก่อนเข้าลงทุน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินบาทและค่าเงินด่อง ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลกระทบโดยตรงต่ออัตราผลตอบแทน

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

ตลาดหลักทรัพย์สั่งเบรกซื้อขายหลักทรัพย์ GRAMMY

 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY เป็นการชั่วคราวตั้งแต่เวลา 10.22 น.  ของวันที่ 18 ต.ค. 64 เป็นต้นไป เนื่องจากปรากฏวิธีบันทึกการซื้อขายรายใหญ่ (Tradereport-Big lot) จำนวน 52.05% ของทุนจดทะเบียนที่เรียกชำระแล้ว ข้อมูลดังกล่าวเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญและอาจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ GRAMMYต่อตลาดหลักทรัพย์ยังไม่ได้รับทราบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว

โดยเช้านี้พบ 10 รายการ  จำนวน 426.77 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 14.30 บาท มูลค่า 6,102.87 ล้านบาท ซึ่งความเคลื่อนไหวราคาหุ้น GRAMMY เช้านี้ เปิดตลาดที่  14.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท และปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 15.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.90 บาท หรือ 6.08%  และปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 15.40 บาท  ซึ่งเป็นราคา ช่วง ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯสั่งหยุดพักการซื้อขาย

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

IRPC กำไรไตรมาส 3 โดดเด่นอย่างต่อเนื่อง

บริษัทหลักทัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ 18ต.ค.64 ว่า บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC คาดกำไรปกติ ไตรมาส 3/2564 ราว 2,630 ล้านบาท บวก 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งติดลบ52%เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยกำไรโตเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหลักๆด้วยอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นของฝั่งโรงกลั่น ในความต้องการใช้ฟื้น และ supply ตึงตัวลดลง กว่าไตรมาสก่อนหน้าเพราะอัตรากำไรฝั่งปิโตรเคมีที่ลดลงจาก supply ใหม่เข้ามาฉุดและ demand ในจีนชะลอ โดยทั้งปี 2564 คาดกำไรที่ 1.1 หมื่นล้านบาท

โดยราคาหุ้นปัจจุบัน ซื้อขายที่ระดับ PBV ที่ 1.1 เท่า ขณะที่ ภาพธุรกิจสู่ Cycle ทำกำไร 2564-2566 แนะซื้อเป้า 4.90 บาท โดยคาด กำไรไตรมาส 3/2564 ยังคงโดดเด่นต่อเนื่องจาก spread ผลิตภัณฑ์ยังอยู่ในระดับสูง และสามารถเก็งกำไรรับการฟื้นตัวของ spread HDPE/PP (ผลิตภัณฑ์หลักฝั่งปิโตรเคมี) จากจุด bottom ในไตรมาส 3/2564 ได้

ขอบคุณ สำนักข่าวหุ้นธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 12 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 12 ตุลาคม 2564

เคอรี่ จับมือ เบทาโกร คลอดธุรกิจ ขนส่งควบคุมอุณหภูมิครบวงจร ตั้งเป้า เบอร์1 ของไทย

บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  จับมือกับ เครือเบทาโกร ผนึกกำลังทางธุรกิจจัดตั้งบริษัทใหม่ “Kerry Betagro Company Limited” คลอดธุรกิจ” KERRY COOL” ที่แรกของไทยที่ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยแพลตฟอร์มการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Delivery Platform) gxHoเทคโนโลยีและบริการที่มีคุณภาพระดับโลก และราคาที่เข้าถึงได้ โดยบริการของ KERRY COOL ได้นำหลักการของวิธีการขนส่งแบบ Hub-and-Spoke มาปรับใช้อย่างเหมาะสมและครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสดแช่เย็น ไปจนถึงเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์แช่แข็งต่างๆ

นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศของเราต้องการคุณภาพที่ดีสำหรับการขนส่งผลิตภัณฑ์ทั้งแบบแช่เย็นและแช่แข็ง ซึ่งมีความต้องการอยู่ทั่วประเทศ โดยผู้ให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิส่วนใหญ่เป็นรายเล็กหลายรายในตลาดและยังดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม รวมถึงการบริการยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน ซึ่งรถขนส่งเย็นของเราสามารถเชื่อมต่อข้อมูลของรถทุกคันผ่านระบบดาวเทียมซึ่งทำให้ทราบถึงสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ และคงอุณหภูมิที่แน่นอนตลอดเส้นทาง ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่เราพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าและสร้างความโดดเด่นแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด คาดว่าบริษัทจะสามารถครองใจลูกค้าด้วยคุณภาพที่เป็นเลิศเสมือนกับมาตรฐานการให้บริการธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนของเรา

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร  กล่าวว่า การผนึกกำลังระหว่างเครือเบทาโกร และ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เป็นการพัฒนาธุรกิจ “KERRY COOL” บริการขนส่งสินค้าด้วยแพลตฟอร์มแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Delivery Platform) ที่ได้มาตรฐานคุณภาพระดับสากล เพื่อให้ผู้บริโภค และผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่ และ รายย่อย ได้มีทางเลือก ตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันในการดำเนินธุรกิจ ส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสู่มือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการด้วยราคาที่เข้าถึงได้

สำหรับ KERRY COOL เป็น บริษัท เคอรี่ เบทาโกร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนจดทะเบียนขั้นต้น 1 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนจากเคอรี่ ร้อยละ 60 และ เบทาโกร ร้อยละ 40 และมีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ให้บริการของจะครอบคลุมทั้งลูกค้า Walk-In ที่สาขาของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส และ ร้านในเครือเบทาโกร รวมถึงช่องทาง D2D booking ซึ่งเป็นบริการเข้ารับพัสดุที่หน้าบ้าน ลูกค้าสามารถจองรถเข้ารับพัสดุได้ด้วยตนเองผ่านทั้งทางแอปพลิเคชั่นมือถือและเว็บไซต์

ทั้งนี้จะเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ตั้งเป้าหมายยกระดับมาตรฐานการให้บริการขนส่งพัสดุแบบควบคุมอุณหภูมิให้เหมือนกับที่ได้เข้ามาสร้างปรากฎการณ์ในธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนพร้อมกับมอบคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการระดับแนวหน้าและเป็นสากล ในราคาที่คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้

ขอบคุณ : Hooninside,ข่าวหุ้น

DPAINT จัดโรดโชว์ออนไลน์ นำเสนอขายหุ้น IPO

DPAINT จัดโรดโชว์ออนไลน์ แสดงวิสัยทัศน์ความเป็นหนึ่งในผู้นำนวัตกรรมสี นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อแนะนำธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT กล่าวว่า  บริษัทได้เตรียมนำเสนอข้อมูลธุรกิจในงานโรดโชว์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 64 ที่ผ่านมา โดยให้นักลงทุนได้รับทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจ จุดเด่น และโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ภายในเดือนตุลาคมนี้

ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยภายหลังสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น งานก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เริ่มขับเคลื่อนเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ ส่งผลให้ความต้องการสีทาอาคารเติบโตตามมา จึงมองว่า DPAINT จะเป็นหุ้นคุณภาพสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทซึ่งมีเส้นทางและปัจจัยส่งเสริมการเติบโตที่มั่นคง

โดยผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยปี 2563 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการ 596.2 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 41.9 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 41.9% อัตรากำไรสุทธิ 7.0% ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 มีรายได้จากการขายและบริการ 387.7 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 31.7% กำไรสุทธิ 32.9 ล้านบาท เติบโต 48.2% อัตรากำไรขั้นต้น 43.3% อัตรากำไรสุทธิ 8.5%.

ทั้งนี้ DPAINT ถิอเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีทาอาคารที่มีคุณสูง ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเสริมพอร์ต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดสีทาอาคารในประเทศไทยที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 20,000 ล้านบาท โดยการระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดสีด้านนวัตกรรมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดย DPAINT อยู่ระหว่างเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 53.25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 23.15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้

ขอบคุณ: ข่าวออนไลน์RYT9

MAKRO เดินหน้าขอไฟลิ่งขาย PO ต่อ หวังเพิ่มฟรีโฟลทเป็น 15% ดันมาร์เก็ตแคปเข้าดัชนี SET50 วางแผนลงทุน 5 ปีใช้งบ 130,000 ล้านบาท

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ MAKRO กล่าวว่า หลังเสนอขาย PO จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในมือของรายย่อย (ฟรีโฟลท) เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 15% จากปัจจุบัน 7%  และช่วยให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้น สามารถเข้าไปอยู่ในดัชนี SET50 ได้แน่นอน และแม้รวมกิจการของกลุ่มโลตัสส์เข้ามาในบริษัท แต่ยังคงยึดมั่นการทำธุรกิจที่เป็นคู่คิดทางธุรกิจทุกกลุ่มผู้ประกอบการ พร้อมสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าและร้านค้าปลีกรายย่อย ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงจำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม

ในการเข้าถือหุ้นและรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์จะเพิ่มโอกาสการเติบโตจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีประชากรจำนวนมาก เพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

โดยเตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าสำหรับธุรกิจของ MAKRO และกลุ่มโลตัสส์ 1.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกลุ่ม MAKRO6 หมื่นล้านบาท และกลุ่มโลตัสส์ 7 หมื่นล้านบาท ใช้พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ซึ่งนอกจากการขยายสาขาแล้ว จะหันมาเน้นการลงทุนด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ตั้งเป้าจะขยายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้รวมภายในช่วง 5 ปีหรือในปี 2568 จากปัจจุบัน 5% ส่วนหนึ่งจะมีการรับรู้รายได้จากสาขาในประเทศมาเลเซียรวมถึงมีแผนขยายสาขาทั้ง MAKRO และโลตัสส์ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิม MAKRO มี 7 สาขาในต่างประเทศ โดยปัจจุบันได้เริ่มศึกษารูปแบบของตลาดทั้งแบบ B2B และ B2C และการลงทุนแบบก่อสร้างใหม่เอง หรือไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่อยู่ในประเทศนั้นด้วย

นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโครสายงาน Group Shared Service กล่าวว่า การรับโอนกิจการของกลุ่มโลตัสส์ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีมาร์เก็ตที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทที่สามารถรับรู้รายได้ของกลุ่มโลตัสส์ รวมถึงรายได้จากพื้นที่เช่าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ที่มีผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค

หากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทเตรียมยื่นขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เพื่อเสนอขายหุ้น PO คาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมคือบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ที่ได้รับหุ้น PP จากการรับโอนกิจการดังกล่าว จะร่วมเสนอขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในบริษัทด้วยบางส่วน พร้อมกับการทำ PO ในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย

ทั้งนี้หลังประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกครั้งใหญ่ของ “เครือซีพี” ให้บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) รับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) ที่ถือหุ้นในบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) ในสัดส่วน 99.99% และ CPRD ถือหุ้นสัดส่วน 99.99% ในบริษัท โลตัสส์สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus’s ในประเทศไทย และถือหุ้นสัดส่วน 100% ใน Lotuss Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus’s ในประเทศมาเลเซียด้ว

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

“เถ้าแก่น้อย” โมเดลโรงงานต้นแบบป้องกันโควิด19 เดินหน้าขยายกิจการในจีน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ผ่านมามีผลกระทบทุกบริษัทหนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)    ทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุขออกมตราการต่างๆมา ทำให้ทุกบริษัทต้องดำเนินการตามแนวทางปฎิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ โดยจัดหาที่พักให้กับพนักงานทั้งในและนอกโรงงาน จัดทำทะเบียนพนักงาน พัฒนาโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือมาใช้ในการกำกับดูแลพนักงาน สามารถระบุสถานที่หรือเวลาพนักงานทำงานอยู่ รวมถึงระบุที่นั่งบนรถรับ-ส่งพนักงาน และจำกัดที่นั่งไม่เกิน 50%

               สำหรับบริษัทเถ้าแก่น้อย  ได้ปรับมาตรการเชิงรุกและให้ความสำคัญการดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  จนได้รับเกียรติบัตรสถานประกอบกิจการที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาอยุธยาโมเดล ถือเป็นโรงงานต้นแบบมาตรฐานในการจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ภายใต้ “เศรษฐกิจเดินหน้า อยุธยาปลอดภัย ทุกภาคส่วนร่วมใจ ห่างไกลโควิด” จากหน่วยงานราชการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

               นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากการปรับมาตรการเชิงรุกในการบริหารจัดการภายในโรงงานผลิต ส่งผลดีต่อกระบวนการผลิตสินค้าในโรงงานและความสามารถการผลิตสินค้า ล่าสุดได้ทยอยติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ปัจจุบัน TKN มียอดคำสั่งซื้อจากจีนเฉลี่ย 150-170 ตู้คอนเทนเนอร์ และได้ร่วมกับคู่ค้าวางแผนบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เพื่อแก้ไขปัญหาค่าระวางการขนส่งสินค้าทางเรือและตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 500%

ซึ่งแนวโน้มตลาดในไตรมาสสุดท้ายนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทเร่งปรับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายในประเทศจีน เพื่อรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่กำลังฟื้นตัว ส่งผลให้มียอดคำสั่งซื้อทยอยกลับมาตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 

 ทั้งนี้ในการปรับกลยุทธ์การขายในประเทศจีนโดยการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้า ปัจจุบันเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดี เห็นได้จากออเดอร์ที่เข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งปีหลัง 2564 แต่บริษัทไม่สามารถตอบสนอง Supply สินค้าได้ทันตามออเดอร์ที่เข้ามา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 หลังจากได้วางมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 ภายในโรงงาน ส่งผลให้แนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 4/64 ประกอบกับบริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่เพิ่มเติม ทำให้สามารถเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าได้ทันกับความต้องการของลูกค้าในจีนได้

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

Categories
การลงทุน ธุรกิจ ลับ เศรษฐี นอกตำรา

เทคนิคทำกำไร ในตลาดหุ้น

เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น เคล็ดลับของคนที่ประสบความสำเร็จ

เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น หลังจากที่คุณลงทุนในตลาดหุ้น ทุกคนคงคาดหวังให้เงินที่ลงทุนเติบโต สร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้ตนเอง ซึ่งการลงทุนใน “หุ้น”  ขึ้นชื่อว่าเป็นการลงทุนในตราสารการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด เมื่อเทียบกับตราสารชนิดอื่นๆ อย่างเงินฝาก หรือตราสารหนี้ แต่..อย่าลืมว่าความเสี่ยงของมันก็สูงที่สุดเช่นกัน! มีหลายคนเดินเข้ามาในตลาดหุ้นแล้วเปลี่ยนฐานะกลายเป็นเศรษฐีได้ภายในเวลาไม่นาน ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไม่ได้ใจดีกับทุกคน มันทำให้นักลงทุนกลายเป็นคนถังแตกได้เหมือนกันนะ! ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการเลือก “วิธีการลงทุน” ถ้าเลือกวิธีการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง ก็มีโอกาสสูงที่ “หุ้น” จะช่วยเปลี่ยนนักลงทุนธรรมดาให้กลายเป็นเศรษฐี แต่บางคนที่ลงทุนในหุ้นแบบผิดวิธี เงินทั้งหมดก็อาจจะหล่นหายไปกับตลาดหุ้นได้ บางครั้งอาจถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัวจากตลาดหุ้นเลยก็เป็นได้ ทั้งๆ ที่เคล็ดลับในการสร้างผลตอบแทนจากตลาดหุ้นก็ชัดเจนและง่ายมากๆ คนส่วนมากลงทุนแล้วขาดทุน สาเหตุหลักเป็นเพราะว่า คนส่วนมากหวังจะรวยเร็วจากตลาดหุ้น เลยไม่พอใจกับการได้ผลตอบแทน 10% ต่อปี จากการเติบโตที่แท้จริงของการลงทุนนี้ แต่ฝันถึงการทำกำไรได้ 50% หรือ 100% ต่อปี โดยเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ขึ้นลงรายวันแทน เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากทำกำไรจากการลงทุนในหุ้น สามารถเริ่มทำได้จาก 5 สิ่งนี้ 

 

เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น เคล็ดลับของคนที่ประสบความสำเร็จ Gooinvest

เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น ง่ายๆด้วย 5 สิ่งนี้

1. เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น ด้วยการ เลิกฟังคนอื่น และ หาความรู้ด้วยตนเอง

ถ้ามีคนนึงขายหุ้น ก็ต้องมีคนนึงซื้อหุ้น และเมื่อมีคนนึงได้กำไร อีกคนก็ต้องขาดทุนเสมอ และพวกข่าวลือ ข่าวล่อ ข่าวหลอก ข่าวลวง ข่าว เหล่านี้เกิดขึ้นปะติดปะต่อกันในตลาดหุ้นทุกยุคทุกสมัย ข่าวเหล่านี้ จะถูกนำมาใช้เป็นกลยุทธ์ใช้ทำกำไรในตลาดหุ้น เราจะมองเห็นในเรื่องของตลาดหุ้น “เท็จคือจริง จริงคือเท็จ” ตลอด ดังนั้น เมื่อเราได้ยินข่าวมาแล้วควรจะต้องฟังหูไว้หู และใช้วิจารณญาณเฝ้าพิจารณา การที่เดินตามคนอื่น จะทำให้คุณเป็นแกะตาบอด เป้าหมายของคุณคือการเป็นนักเทรดที่ประสความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใครซักคนอย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะนักเทรดคุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการ วิเคราะห์กราฟด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใกล้ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น โดยการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง  ได้เรียนรู้ในการเทรด แต่ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพอย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันหนึ่งมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป สิ่งที่คุณเริ่มต้นมาทั้งหมดก็จะเสียเปล่า

2. เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น ด้วยการ วางแผนการเทรดกลยุทธ์การจัดการเงิน

การกำหนดระดับการขาดทุนที่ยอมรับได้ว่าจะเป็น 1% 2% 3% 4% หรือ 5% ของเงินทุนทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับการรับความเสี่ยงได้ของแต่ละคน แต่พยายามอย่าเกิน 7% ของพอร์ต เพราะเวลาเราพลาดต่อเนื่องกันหลายๆ ครั้ง เราจะกลับมาเท่าทุนได้ยาก นักลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ในระยาวนั้น มักลดความสำคัญของวิธีการเข้าออก แล้วหันมาสนใจ Reward/Risk มากขึ้น โดยมองเป็นจังหวะเทรดตามหน้างานไป จังหวะไหนที่ Reward/Risk สวยๆ ถึงจะเข้าเทรด (จังหวะที่เรามองว่าเราจะมีโอกาสได้กำไรได้มากกว่าขาดทุน) การตัดขาดทุน (Stop Loss) เป็นสิ่งสำคัญมากในการลงทุนใน DW เนื่องจาก DW มีค่าเสื่อมเวลา (Time decay) และวันหมดอายุ การที่จะถือ Derivative Warrants (DW) ไปเรื่อยๆ โดยไม่มีจุด Stop Loss ย่อมมีความเสี่ยงสูง และอาจทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างมาก นักลงทุนจึงควรกำหนดจุด Stop Loss ก่อนเข้าลงทุนทุกครั้ง และเมื่อถึงเวลาที่ราคาลงมา ณ จุดนั้นจริงๆ ก็ต้องทำตามแผนอย่างมีวินัยด้วย   อีกอย่างที่สำคัญคือ การเทรด DW โดยการใช้ Leverage ที่สูงเกินตัว หรือมี Position Sizing ในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ เช่น หากนักลงทุนต้องการลงทุนใน DW ที่มีอัตราทด 5 เท่า ด้วยจำนวนเงิน 5 แสนบาท แปลว่าความจริงแล้ว นักลงทุนกำลังลงทุนใน DW ที่มีอำนาจซื้อจริงๆ คือ 2.5 ล้านบาท (500,000 บาท x 5 เท่า) ซึ่งการลงทุนแบบที่เราใช้ Leverage สูงเกินตัว แปลว่า… เรากำลังลงทุนบนระดับความเสี่ยงที่เกินกว่าเราจะรับได้ ซึ่งสิ่งนี้เองอาจทำให้นักลงทุนหมดเงินทุนได้ภายในระยะเวลาไม่นาน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวมักเกิดจากการเทรดโดยใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง อารมณ์ที่ส่งผลต่อการ Overtrade มากที่สุด มี 2 อารมณ์ คือ อารมณ์โกรธและอารมณ์ของความโลภ เมื่อทั้งสองอารมณ์นี้เข้ามาครอบงำการเทรดของนักลงทุนแล้ว อาจส่งผลให้เราทำการเทรดแบบ Overtrade และที่สำคัญคือ เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักผิดพลาดง่ายมาก แถมยังควบคุมได้ยากอีกด้วย ดังนั้น เราควรบริหารความเสี่ยงและดูอัตราทดที่เรารับได้ รวมถึงใช้เงินลงทุนให้เหมาะสมกับอัตราทดที่กำลังจะลงทุนด้วยเช่นกัน

3. ควบคุมอารมณ์ ความโลภ ความกลัว

เนื่องจากการลงทุนหุ้นต้องใช้ทักษะวิเคราะห์เชิงเหตุและผลสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์เชิงตัวเลข วิเคราะห์เชิงคุณภาพ การคาดการณ์ความน่าจะเป็นในอนาคต และอื่นๆ ไม่มีทางที่ว่านักลงทุนจะมีทักษะการลงทุนเท่าๆ กัน ซึ่งคุณสามารถ ปรึกษาการลงทุน กับคนที่มีทักษะเหล่านี้มากกว่า ก็จะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนดีกว่า คนที่ซื้อขายหุ้นตาม “อารมณ์” อย่างเดียวโดยไม่มีการวิเคราะห์ใดๆ

ข้อผิดพลาดของการลงทุนโดยใช้ “อารมณ์” ได้แก่ซื้อหุ้นตามข่าว ตามเพื่อนบอก โดยไม่เคยรู้จักธุรกิจจริงๆ กระจายความเสี่ยงไม่เป็น ทำให้พอร์ตขาดทุนหนัก หุ้นกำไรนิดหน่อยขาย หุ้นขาดทุนเยอะๆ ยังเก็บไว้ หุ้นที่กำไร กำไรนิดเดียว หุ้นที่ขาดทุน ขาดทุนหนักมาก ไม่กล้าลงทุนตอนหุ้นดีๆ ราคาลดลงมา เพราะกลัวราคาจะลงมาอีก รอซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้ว เพราะกลัวจะขึ้นไปอีก และอาจจะมีเหตุผลอื่นๆเพิ่ม ซึ่งข้อผิดพลาดเหล่านี้เอง ที่ส่งผลให้ผลตอบแทนของคนกลุ่มนี้ ได้ผลตอยแทนต่ำกว่าตลาด หรือบางคนอาจขาดทุนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้

4. เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น ด้วยการ อย่าทำตัวเป็นนักพนันมากกว่านักลงทุน

หลายคนเข้าใจกันว่า นักเล่นหุ้นต้องกล้าได้กล้าเสี่ยง เป็นแค่การมองเหรียญเพียงด้านเดียวเท่านั้น ยังมีอีกด้านของเหรียญ ด้านที่ประกอบด้วยความเข้าใจในการลงทุนในหุ้น ความระมัดระวัง ตรรกะและหลักการ มันคือ การประเมินโอกาสชนะและขาดทุนอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง พูดให้ถูกก็คือจะเล่นหุ้น กล้าได้ กล้าเสี่ยงกับหุ้นที่เราวิเคราะห์มาแล้วอย่างดีเท่านั้นว่า มีโอกาสทำกำไรสูง และมีโอกาสขาดทุนหรือมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ความกล้าได้ กล้าเสี่ยง เป็นแค่ภาพที่คนภายนอกเห็นแค่นั้น แต่นักลงทุนที่เก่งและรวยจริง ๆ จะเสี่ยงมากเมื่อมีโอกาสชนะสูงมาก ๆ เท่านั้น คนที่กล้าได้ กล้าเสี่ยง โดยไม่วิเคราะห์อะไรเลย ควรจะไปเล่นพนันที่มาเก๊าดีกว่ามาเป็นนักลงทุน

5. หัดยอมเป็นผู้แพ้

เทคนิคการทำกำไร ในตลาดหุ้น เราต้องไม่ใช้อีโก้เพื่อเอาชนะในสิ่งที่มูลค่าต่ำกว่าการลงแรงเป็นอันขาด ต้องรีบตัดขาดทุน รีบวางแผนเพื่อหนีก่อนที่ทุกอย่างจะถลำลึกเกินไป ความผิดพลาดถือเป็นบทเรียน ต้องพิจารณาวิเคราะห์ความผิดพลาดของเราเสมอ อะไรคือดี อะไรคือแย่ เราจะต้องเป็นคนมองอะไรหลาย ๆ มุมแล้วเราจะปรับตัวเองได้ เมื่อปรับตัวเองได้ ความผิดพลาดทั้งหลายที่เกิดขึ้น ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ จนในที่สุดจะกลายเป็นจุดเด่นของเรา ตรงไหนเป็นจุดดีให้คงไว้ ตรงหนเป็นสิ่งที่ผิดพลาด ต้องพิจารณาวิเคราะห์สิ่งผิดพลาดที่ผ่านมาและมีการพิจารณาปรับปรุง

การลงทุนในตลาดหุ้นสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ อยู่แล้ว ขอเพียงแค่อดทนกับความผันผวนระยะสั้นและถือครองการลงทุนไปได้เรื่อยๆ

ยิ่งตัดค่าใช้จ่ายและอารมณ์ออกไปได้จากการลงทุนได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำผลบตอบแทนระยะยาวได้เหนือกว่านักลงทุนคนอื่นๆก็มีสูงมากขึ้นเท่านั้น 

Facebook
Twitter