Categories
ความรู้ทั่วไป

Passive Income

Passive Income

Passive Income คืออะไร

Passive Income คือ รายได้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาและแรงงานมากนักในการสร้างรายได้ เปรียบเสมือนการวางระบบให้เงินทำงานแทนเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำงาน ก็ยังมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ ง่ายๆ คือ เงินทำงานให้เราโดยที่เราไม่ต้องไปนั่งทำงานประจำทุกวันนั่นเอง Passive Income เป็นแนวคิดที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว แม้ว่าจะต้องใช้เวลาและความพยายามในช่วงแรก แต่เมื่อระบบทำงานแล้ว ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้เราอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างของ Passive Income
– ค่าเช่า: ซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า
– ดอกเบี้ย: ฝากเงิน หรือลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผล
– ค่าลิขสิทธิ์: เขียนหนังสือ, ทำเพลง, สร้างแอป แล้วขายลิขสิทธิ์
– รายได้จากเว็บไซต์: สร้างเว็บไซต์แล้วทำเงินจากโฆษณา หรือการขายสินค้าออนไลน์

รู้ไหม Passive Income เริ่มเป็นที่นิยมเมื่อไหร่ ?

แนวคิดของ Passive Income มีมานานแล้ว แต่ความนิยมอย่างแพร่หลายเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก
– เทคโนโลยี: ทำให้การสร้าง Passive Income ง่ายขึ้น เช่น การสร้างเว็บไซต์, การขายสินค้าออนไลน์
– ความต้องการอิสรภาพ: คนรุ่นใหม่ต้องการมีอิสระทางการเงินมากขึ้น
– การเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน: ทำให้คนหันมาหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม

การสร้าง Passive Income

หากเรามีความรู้ทางการเงินและรู้จักการวางแผนเราสามารถสร้างPassive Incomeให้เท่ากับกับเงินเดือนของเราได้ ในการทำงานช่วงแรกๆเรามีเงินเดือนอยู่ที่30,000บาทต่อเดือนให้เราจำไว้เสมอว่าถ้าเรามีความรู้ด้านการเงินมากพอเราจะสามารถสร้าง Passive Incomeให้เท่ากับกับเงินเดือน30,000บาทของเราได้
โดยมีวิธีการดังนี้ เอาเงินเดือนของเราที่มีแบ่งเป็น2ส่วน คือ
1. เงินเก็บ
2. เงินใช้
นำเงินในส่วนที่แบ่งเก็บไปลงทุนในสินทรัพย์เช่น หุ้น หรือ กองทุนหุ้น ทยอยลงทุนไปทุกๆเดือนเพราะในทุกๆปี สินทรัพย์ เหล่านี้จะมีการเงินปันผลกลับมาให้เราเรื่อยๆซึ่งในช่วงแรกๆเงินปันผลอาจจะยังน้อยแต่ถ้าเราทำแบบนี้ต่อเนื่องไปหลายๆปีเงินปันผลจะเยอะขึ้นเรื่อยๆจนวันหนึ่งเงินปันผลจะมากพอให้เราได้ใช้จ่ายโดยที่เราอาจจะไม่ต้องต้องทำงานเลยก็ได้ ซึ่งวิธีการนี้เราจะเรียกว่า Passive Income
วิธีการอาจจะดูง่ายแต่ในระหว่างทางเราเองก็ต้องมีความรู้ทางการเงินสูงในระดับหนึ่งต้องค่อยศึกษาความรู้ด้านการเงินอยู่เรื่อยๆ

เครื่องมือที่มักใช้ทำ Passive income

เครื่องมือหลักๆ ที่นิยมใช้สร้าง Passive Income ได้แก่:
1. เว็บไซต์และบล็อก
* สร้างเนื้อหาคุณภาพ: เขียนบทความ, รีวิว, หรือสอนสิ่งที่คุณถนัด
สร้างรายได้จาก
โฆษณา Google Adsense, Affiliate Marketing
ขายสินค้า/บริการ: ของคุณเอง หรือของคนอื่น (dropshipping)
สร้างคอร์สออนไลน์: แบ่งปันความรู้ของคุณ
2. ช่อง YouTube
* สร้างวิดีโอ: สอน, รีวิว, บันเทิง
สร้างรายได้จาก:
โฆษณา: Google Adsense
สปอนเซอร์: จากแบรนด์สินค้า
ขายสินค้า/บริการ: ของคุณเอง หรือของคนอื่น
3. อีบุ๊กและคอร์สออนไลน์
* สร้างผลิตภัณฑ์: เขียนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์, สร้างคอร์สสอนออนไลน์
* จำหน่าย: ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Udemy, Coursera
4. แอปพลิเคชัน
* พัฒนาแอป: เกม, เครื่องมือ, หรือแอปเพื่อแก้ปัญหา
สร้างรายได้จาก:
ขายแอป: ใน App Store หรือ Google Play Store
โฆษณา: ในแอป
ซื้อในแอป: สินค้าเสริม
5. การลงทุน
* หุ้น: ซื้อหุ้นของบริษัทที่มั่นคง
* กองทุน: ลงทุนในกองทุนรวมต่างๆ
* อสังหาริมทรัพย์: เช่าอสังหาริมทรัพย์
* คริปโตเคอร์เรนซี: ซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล
6. สร้างและขายสินค้า
* สินค้าดิจิทัล: ภาพ, เพลง, วิดีโอ, ธีมเว็บไซต์
* สินค้าทางกายภาพ: ผลิตภัณฑ์ทำมือ, เสื้อผ้า
* จำหน่าย: ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Etsy, Amazon

Passive income ยุคดิจิตอล

ในโลกดิจิทัลที่รวดเร็วและทันสมัยในปัจจุบัน รายได้แบบพาสซีฟกลายเป็นคำที่หลายคนสนใจสำหรับผู้ที่มองหาความอิสระทางการเงินและความยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือการสร้างผลิตภัณฑ์ดิจิทัล รายได้แบบ Passive income เสนอวิธีการทำเงินโดยใช้ความพยายามต่อเนื่องเพียงเล็กน้อย สิ่งที่น่าดึงดูดใจของรายได้แบบ Passive income คือการสามารถสร้างรายได้ในขณะที่คุณนอนหลับ ท่องเที่ยว หรือทำตามความฝันอื่นๆ ในยุคอินเทอร์เน็ต โอกาสมากมายในการสร้างรายได้แบบ Passive income เช่น หลักสูตรออนไลน์ การตลาดพันธมิตร และหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ โดยการกระจายแหล่งรายได้ ผู้คนสามารถบรรลุความมั่นคงและอิสระทางการเงินที่มากขึ้น ด้วยกลยุทธ์ที่เหมาะสมและความพยายามในช่วงแรก รายได้แบบ Passive income สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ในการแสวงหาความมั่นคงและการเติบโตทางการเงิน”
ทำไมต้องมี Passive Income?
– ความมั่นคงทางการเงิน: ช่วยให้เรามีรายได้หลายช่องทาง ไม่ต้องพึ่งพารายได้จากงานประจำเพียงอย่างเดียว ทำให้ชีวิตมีความมั่นคงมากขึ้น
– อิสระทางเวลา: เมื่อมี Passive Income เราจะมีเวลาว่างมากขึ้น สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ไม่ต้องผูกติดอยู่กับงานประจำ
– เป้าหมายในระยะยาว: ช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินในระยะยาว เช่น การเกษียณอายุอย่างมีความสุข การลงทุนในสิ่งที่เราชอบ หรือการสร้างธุรกิจส่วนตัว
– รับมือกับภาวะเศรษฐกิจ: ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน การมี Passive Income จะช่วยให้เรารอดพ้นจากความเสี่ยงทางการเงินได้มากขึ้น

ทำไมเราจึงต้องมี Passive Income

Passive Income เป็นเหมือนการสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับตัวเอง ช่วยให้เรามีอิสระทางการเงินและเวลา สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น หากคุณกำลังมองหาทางเพิ่มรายได้ หรือสร้างความมั่นคงในชีวิตระยะยาว การสร้าง Passive Income อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ
ทุกคมมีโอกาศสร้าง Passive Income
ทุกคนมีโอกาสสร้าง passive income ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะมีเงินทุนมากหรือน้อย หรือมีเวลาว่างมากน้อยแค่ไหน สิ่งสำคัญคือการเลือกวิธีสร้าง passive income ที่เหมาะสมกับตัวเองและมีความรู้ความสามารถ
การเริ่มต้นการสร้าง Passive Income
– ลงทุน: หุ้น, กองทุน, อสังหาริมทรัพย์, หรือแม้แต่ crypto
– สร้างสรรค์ผลงาน: เขียน ebook, ทำเพลง, ถ่ายภาพ, ออกแบบ
– ขายของออนไลน์: ผลิตภัณฑ์ handmade, dropshipping
– ให้เช่า: ที่พัก, รถยนต์, เครื่องมือ
– สร้างคอร์สออนไลน์: สอนสิ่งที่คุณถนัด
* ศึกษาข้อมูล ก่อนตัดสินใจลงทุนในอะไรสักอย่าง ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เริ่มต้นเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องลงทุนเยอะตั้งแต่แรก สิ่งที่สำคัญ อดทน ผลตอบแทนจาก passive income อาจไม่เห็นผลทันที และ ปรับตัวให้ได้ในทุกสถานการณ์เพราะตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราเองต้องพร้อมปรับตัว

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

การคำนวน Spread

การคำนวน Spread

การคำนวน Spread
ทำไมราคาจึงไม่ตรงกับ Tp Sl ศัพท์ทางเทคนิคเรียกว่า Slippage

ช่วงข่าวมักจะเกิดการที่ราคาปิดไม่ตรงเนื่องจากราคามีการเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ซึ่งในกรณีถ้าถูกทาง          เราก็อาจได้กำไรมากขึ้นเช่นกัน จึงเป็นเรื่องปรกติ

ถ้าเป็นทอง Spread จะอยู่ประมาณ 25-30จุดมันแปรผันตามวอลุ่ม

เช่นเข้าที่ 2400.00 จะได้ราคาที่ 2400.25-2400.30

ถ้าเทรด 0.01lot จะติดลบทันที 0.3$
ถ้าเทรด 0.1lot จะติดลบทันที 0.30$
ถ้าเทรด 1lot จะติดลบทันที 30$

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

การแจ้งย้ายพาร์ทเนอร์exness

การแจ้งย้ายพาร์ทเนอร์ exness

การแจ้งย้ายพาร์ทเนอร์ exness
ย้ายบัญชี Exness มา Goo Invest Member ได้ดังนี้

1. กดที่ลิ้งค์ https://one.exness.link/a/a7jei14n1g

2. ลูกค้าล็อคอินเข้าอีเมลที่ต้องการย้าย (ตามภาพที่1)

3. จากนั้น พิมพ์ เข้า chat support ว่า “ต้องการย้ายพาร์ทเนอร์” ระบบจะแจ้งลิ้งก์ให้ไปกรอกข้อมูล              (ตามภาพที่3)

**ถ้าลูกค้าไม่ล็อคอิน ระบบจะให้ล็อคอิน หน้าจอจะแสดงผลตามภาพที่ 2 และ ต้องปิดแชทเดิม และส่งคำว่า ต้องการย้ายพาร์ทเนอร์ ใหม่นะคะ อย่าลืมเปลี่ยนเป็นภาษาไทยค่ะ

ย้าย IB มาที่ลิ้ง
https://one.exness.link/a/a7jei14n1g

เลขที่บัญชี IB ของ Goo invest : 9394611
——————————–

หมายเหตุ: เมื่อทำการเปลี่ยนพาร์ทเนอร์สำเร็จ ลูกค้าจำเป็นที่จะต้องทำการเทรดผ่านบัญชีเทรดใหม่ที่เปิดเพิ่มขึ้นมาหลังจากนั้น

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

วิธีการดึง Log file จาก MT4

วิธีการดึง Log file จาก MT4

วิธีการดึง Log file จาก MT4

Log file คือการบันทึกข้อมูลภายในเทอร์มินัลการเทรดของคุณ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเริ่มใช้งานเทอร์มินัล การเปิดและปิดออเดอร์ ที่อาจจะทำให้เกิดข้อผิดพลาด โดยที่บางทีเราเองก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร จึงจำเป็นต้องติดตั้งอินดิเคเตอร์และระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ฯลฯ ของข้อมูลนี้ไว้ เพื่อที่จะวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกิดปัญหา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการ Log file จากผู้เทรด จากเจ้าของบัญชี เพื่อง่ายต่อการวิเคราะห์ในปัญหานั้นๆ

โดยมีขั้นตอนวิธีดึง Log file ของเทอร์มินัล ดังนี้

วิธีการดึง Log file จาก MT4

1.คลิกไปที่ไอคอนเมนู ขีด 3 ขีดมุมบนตามภาพ

2.ไปที่ บันทึก ในเมนูตามภาพที่2

วิธีการดึง Log file จาก MT4

3. กดไปที่ ตารางปฏิทิน ตามภาพ

4. แล้วกดเลือกวันที่เกิดปัญหา

วิธีการดึง Log file จาก MT4

5. แตะที่ไอคอนรูปจดหมาย (Email) ตามภาพ

6. แล้วหน้าจอจะขึ้นตามภาพที่6

วิธีการดึง Log file จาก MT4

7. จากนั้นให้เราแจ้งปัญหาที่เกิดขึ้น แล้วแตะที่ไอคอนรูปจดหมาย เพื่อส่งไฟล์ทางอีเมล เปลี่ยนอีเมลผู้รับเป็น โบรกเกอร์ที่เราใช้ในการเปิดบัญชีเทรด 

Email exness support@exness.com

Email xm  thai.support@xm.com

8. หากต้องการส่งไฟล์ให้ทางเจ้าหน้าที่ goinvest ดำเนินการต่อให้ ทาง Line กดแชร์ ตามภาพที่ 8 9 10

วิธีการดึง Log file จาก MT4

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

Q&A คู่มือการใช้งาน และ การแก้ปัญหาการใช้งาน

Categories
ความรู้ทั่วไป

Gold Spot คืออะไร

Gold Spot

Gold Spot

Gold Spot คืออะไร

คือการเทรดทองคำจริงตามราคาในตลาดปัจจุบัน ซึ่งเป็นการซื้อขายกันจริงๆ เป็นการซื้อขายระดับโลก แต่เราจะไม่ได้รับเป็นทองคำ เราจะได้รับในรูปแบบของใบเอกสารสัญญา ซึ่งจะสามารถทำกำไรได้มากและบ่อยกว่าการถือทองแท่งแต่ก็มีเสี่ยงมากเช่นกัน เพราะจะมีความผันผวนของกราฟที่สามารถทำให้เรากำไรได้ง่ายและก็ขาดทุนง่ายเช่นกัน Gold Spot นั้นสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 วันอคือ วันจันทร์-วันศุกร์ ดังนั้น Gold Spot จึงมีโอกาสทำได้กำไรได้อยู่ตลอดทั้งวัน โดยราคาทองจะมีหน่วยเป็น ดอลล่าร์ / ออนซ์ มี Volume ที่สูงเพราะเป็นการซื้อขายจากทั่วโลก Gold Spot สามารถเทรดผ่านแพลตฟอร์มการเทรดอิเล็กทรอนิกส์ ได้ เพราะแพลตฟอร์มเหล่านี้สามารถเข้าเทรดตอนไหนก็ได้และยังเข้าถึงราคาตามเวลาจริงอีกด้วย แถมยังสะดวกสบายในการใช้บริการ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายทองคำแท่งออนไลน์ อย่างเช่น ธนาคาร Gold spot สามารถเทรดทำกำไรได้ทั้งตลาดทองคำเป็นช่วงขาขึ้นและขาลง แบบ ซื้อมาขายไป หรือจะขายก่อนแล้วค่อยซื้อก็ได้ เราสามารถทำการเทรดได้ทั้ง 2 แบบตามความต้องการ และความถนัดของเรา โดยที่ราคาทองคำจะขึ้นลง ตามข่าวสาร เศรษฐกิจโลก สำหรับมือใหม่ที่ต้องการทดลองเทรดแต่ยังไม่มั่นใจสามารถทำการทดลองเทรดเสมือนจริงได้โดยบัญชีทดลอง Demo ที่ให้ทดลองเล่นจากสถานการณ์จริง เพื่อให้เราได้ทราบถึงวิธีการลงทุนว่าเราสามารถทำกำไรได้มั้ยหรือจะทดลองวิธีต่างๆจนเรามั่นใจในตัวเองแล้วค่อยลงสนามจริง

ดูเพิ่มเติมสำหรับ คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ 

รวบรวม คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ <<<<<<คลิก

 

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

Trader (เทรดเดอร์) คืออะไร

Trader (เทรดเดอร์) คืออะไร

Trader (เทรดเดอร์) คืออะไร

เทรดเดอร์ คือผู้ซื้อขายในตลาด Forex เราจะเรียกกันว่า Trader ที่ซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex เพื่อทำการเก็งกำไร หรือผู้ที่ซื้อและขายเครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ รวมถึงหุ้นพันธบัตรสินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงิน โดย เทรดเดอร์ อาจจะเป็นใครก็ได้ที่มีทรัพย์สินหรือมีทุนที่จะลงทุนเทรด ไม่ว่าจะเป็น ลูกจ้างของบริษัท องค์กรใดองค์กรหนึ่ง พนักงานเอกชนหรือรัฐบาลทั่วไป ไปจนถึงผู้จัดการกองทุนใดกองทุนหนึ่ง หรือเป็น เทรดเดอร์ อิสระที่ไม่สังกัดองค์กรใดก็ได้ และก็อาจจะเป็น ceo หรือใครก็ได้ที่มีทุนทรัพย์ในการลงทุน เพราะการที่จะเป็น เทรดเดอร์ ไม่จำกัดว่าคุณจะเป็นใครหน้าที่การงานอะไร เพราะลักษณะงานของ นักเทรด หรือ เทรดเดอร์ ก็จะคล้ายๆกัน แตกต่างกันตรงวิธีการเทรด ความรู้ ความสามารถ ทักษะ และวิธีการ เทรด ของแต่ละคน การเป็นเทรดเดอร์ ในสมัยนี้ค่อนข้างง่ายไม่ยุ่งยากเพราะมีความทันสมัยในเรื่องของอินเทอร์เน็ต สามารถ เทรดออนไลน์ได้อยู่ที่ไหนก็เทรดได้สบายมาก ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่ นักเทรด ต้องไปที่สำนักงานหรือบริษัทโบรกเกอร์เพื่อเปิดบัญชี

เทรดเดอร์สามารถแบ่งได้หลายประเภท คือ

Day Trade (เดย์เทรด) : รูปแบบการเทรดแบบรายวันซื้อขายที่เทรดเดอร์เปิดคำสั่งซื้อและปิดการขายในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตามความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นหากเทรดด้วยมาร์จิ้นที่มากเกินไป

Swing Trade (สวิงเทรด): ใช้ประโยชน์จากแนวโน้มและรูปแบบของตลาดระยะสั้นที่อาจใช้เวลา 2-3 วัน เทรดเดอร์ที่ใช้ประเภท Day Trade เทรดรายวันมักจะซื้อขายในรูปแบบสวิงเทรด เพราะการ ซื้อขายแบบสวิงเทรด ช่วยให้นักเทรดสามารถเก็บกำไร ได้เต็มที่ แต่ต้องใช้ความช่ำนาน

Scalping: เทรดระยะสั้นหลายครั้งเพื่อเก็บเกี่ยวผลกำไรเล็กน้อยเช่นเดียวกับการเทรดรายวัน แต่จะเน้นเทรดให้ได้ถี่ ๆ หลาย ๆ รอบ แต่ในการเทรดแบบนี้จำเป็นต้องมีทักษะความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์ทางได้เป็นอย่างดี

 

ดูเพิ่มเติมสำหรับ คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ 

รวบรวม คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ <<<<<<คลิก

 

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

Forex (ฟอเร็กซ์) คืออะไร

Forex (ฟอเร็กซ์) คืออะไร

Forex (ฟอเร็กซ์) คืออะไร

ตลาดซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ย่อมาจาก Foreign Exchange Market ตลาดซื้อขายสกุลเงิน หนึ่งในตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ที่มีมานานเกือบ 50 ปี ทำงานผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์หรือออนไลน์ โดยระบบเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ซึ่งตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ตลาด Forex เป็นหนึ่งในตลาดการเทรดที่ใหญ่ที่สุดโดยมีเงินหมุนเวียนทั่วโลกในแต่ละวันโดยประมาณมูลค่าการเทรดกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการเทรด Forex (ฟอเร็กซ์) นั้นเราต้องแลกเปลี่ยนเงินจากเงิน บาท (BAHT) เป็น ดอลลาร์ (USD) โดยอัตราแลกเปลี่ยนปรับขึ้นลงตามความต้องการซื้อ (Demand) และ ความต้องการขาย (Supply) ของสกุลเงินนั้น ๆและขึ้นอยู่กับอีกหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะ สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ ตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ทุกอย่างมีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนทั้งนั้น และอีกหนึ่งอย่างที่เราต้อง เทรด Forex แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เพราะว่า การเทรด Forex ในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงทำให้นักลงทุนทั้งหลายที่ต้องการเทรด Forex ต้องไปเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ

สถานะคำศัพท์ที่ใช้เพื่อการเทรด

สถานะ Long หมายความว่า เทรดเดอร์ ได้มีคำสั่งซื้อสกุลเงินนั้นๆโดยคาดว่ามูลค่าจะเพิ่มขึ้น และเมื่อ เทรดเดอร์ ขายสกุลเงินดังกล่าวกลับไปยังตลาด สถานะ Long ของ เทรดเดอร์ จะถูก ‘ปิด’ นั้นหมายความว่าการเทรดจะเสร็จสมบูรณ์

สถานะ Short หมายความว่า เทรดเดอร์ ที่มีคำสั่งขายสกุลเงินนั้นๆเพราะคาดว่าราคาอาจจะตกลง และมีการวางแผนที่จะซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า สถานะ Short จะถูก ‘ปิด’ เมื่อ เทรดเดอร์ ซื้อสินทรัพย์คืน

การลงทุนทุกอย่าง ร่วมถึง FOREX  มีความเสี่ยง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง

และเน้นทำกำไรในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลทุกครั้งก่อนการลงทุน

ดูเพิ่มเติมสำหรับ คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ 

รวบรวม คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ <<<<<<คลิก

 

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

Leverage และ Margin คืออะไร

Leverage และ Margin คืออะไร

Leverage และ Margin คืออะไร

เลเวอเรจ คือ เครื่องมือทางการเงินมีความสามารถในการจ่ายเงินในสกุลเงินนั้น ๆ ด้วยจำนวนเพียงเล็กน้อยในการการเทรด Forex ก็คือการยืมเงินจากโบรกเกอร์มาบางส่วน เพื่อที่ทุกท่านจะสามารถซื้อสินทรัพย์หนึ่งๆที่อาจจะมีมูลค่ามากกว่าเงินที่ทุกท่านมีอยู่ หรือ ให้ทุกท่านมีอำนาจจัดการการซื้อขายคำสั่งขนาดใหญ่ ๆ ได้ด้วยทุนเริ่มต้นจำนวนน้อย ถ้าหากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เลเวอเรจ คือการยืมเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ เป็นทุนเพิ่มเติมที่ช่วยนักลงทุนทุกท่านสามารถ “เพิ่มผลลัพธ์” หรือขนาดของการลงทุนได้มากกว่าจำนวนเงินที่ท่านมีอยู่จริงๆ เมื่อทุกท่านได้กำไรก็จะได้กำไรมากกว่าปกติ แต่ การลงทุนก็สามารถทำให้เราขาดทุนในปริมาณที่มากด้วยเช่นกัน เพราะดังนี้ นักลงทุนเทรดที่ใช้ เลเวอเรจ ก็จะมีสติจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับจำนวน เลเวอเรจ ที่ทุกท่านต้องการใช้ในบัญชีซื้อขายของทุกท่านเอง และควรเข้าใจเทคนิคในการตั้ง Stop Loss ให้เป็นอย่างดี

ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ลูกค้าต้องการเปิดออเดอร์หรือซื้อสิ้นค้า  3000 USD
1. ลูกค้าไม่มีเลเวอเรจเลย ลูกค้าต้องใช้เงินหลักประกัน (มาร์จิ้น) = 3000 USD เพื่อลงทุน
2. ลูกค้าใช้เลเวอเรจ 1:100 ลูกค้าต้องใช้เงินหลักประกัน (มาร์จิ้น) = 30 USD เพื่อลงทุน
3. ลูกค้าใช้เลเวอเรจ 1:1000 ลูกค้าต้องใช้เงินเลเวอเรจ (มาร์จิ้น) = 3 USD

Margin คืออะไร

มาร์จิ้น คือ หลักประกัน เงิน ‘มัดจำที่ต้องใช้ในการเปิดคำสั่งซื้อ ซึ่งเป็นหลักประกันที่โบรกเกอร์กันไว้เพื่อที่จะเปิดสถานะค้าง เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรม และไม่ได้เรียกเก็บจากบัญชีของคุณ แต่ทำหน้าที่เพื่อให้แน่ใจได้ว่าคุณมียอดเงินคงเหลือเพียงพอในบัญชีให้สัมพันธ์กับขนาดของสถานะของทุกท่านผู้เทรด เงินทุนที่ทุกท่านมีอยู่ในบัญชีซื้อขายคือเงินที่จะใช้เป็นหลักประกันเมื่อทุกท่านทำการซื้อขาย หากนักเทรดคาดหวังอยากจะได้กำไร ทุกท่านสามารถใช้อัตราส่วนเลเวอเรจ ขนาดใหญ่ขึ้น และ ใช้ มาร์จิ้น ที่น้อยลงเพื่อควบคุมขนาดการซื้อขายที่ใหญ่

โดยรวมทั้งหมดที่กล่าวมา ทั้ง Leverage (เลเวอเรจ) และ Margin (มาร์จิ้น) นั้นต่างมีความสำคัญทั้งคู่ โดย มาร์จิ้น จะช่วยปกป้องยอดเงินคงเหลือในบัญชีของทุกท่านไม่ให้เป็นศูนย์  และ เลเวอเรจ จะช่วยให้ทุกท่านมีอำนาจการตัดสินใจในการซื้อขายที่มากขึ้น

ดูเพิ่มเติมสำหรับ คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ 

รวบรวม คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ <<<<<<คลิก

 

Categories
ความรู้ทั่วไป

แพลตฟอร์มการซื้อขายคืออะไร?

แพลตฟอร์มการซื้อขายคืออะไร?

แพลตฟอร์มการซื้อขายคือแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์ ที่เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายที่เกี่ยวกับตลาดทางการเงิน ผ่านคนกลาง หรือก็คือโบรกเกอร์ ทำให้ทุกท่านสามารถซื้อขาย Forex หุ้น พันธบัตร กองทุนรวม ฟิวเจอร์ส ออปชัน และเครื่องมือทางการเงินอื่น ๆ แพลตฟอร์มการซื้อขายจะมีเครื่องมือต่าง ๆ คอยให้บริการ หากจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ การซื้อขายของทุกท่านจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกท่านมี เครื่องมือ, โปรแกรม และแพลตฟอร์มการซื้อขาย ก็คือทุกท่านสามารถส่งคำสั่งการซื้อขายการเทรดบน’’แพลตฟอร์มการซื้อขาย”โดยผ่านโบรกเกอร์  ซึ่งแพลตฟอร์มการซื้อขายในแต่ละโบรกก็จะมีหลายแพลตฟอร์มแต่แพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมมากที่สุดและโบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่ให้การรองรับ ก็คือ MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 เรามาดูรายละเอียดเกี่ยวกับแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดกันว่ามีขั้นตอนการใช้งานอย่างไร

แพลตฟอร์มการซื้อขายคืออะไร?

MetaTrader 4

โปรแกรม MT4 หรือ MetaTrader 4 เป็นโปรแกรมสำหรับซื้อขาย หุ้น, อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา หรือ Forex  ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ที่ใช้งานง่ายและไม่ซับซ้อน ซึ่งเทรดเดอร์จะใช้เพื่อเก็งกำไรราคาตลาดเงินที่สำคัญ โดยรวมถึงฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ หุ้น ดัชนี เป็นต้นซึ่งสร้างและพัฒนาโดยบริษัท MetaQuotes ซึ่งโดยปรกติจะมีให้บริการจากผู้เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นหรือ forex อยู่แล้วเมื่อท่านใช้บริการโบรคเกอร์นั้นๆ ทุกท่านสามารถอ่านขั้นตอนการใช้งานการดาวน์โหลดเพิ่มเติม ได้ที่ โปรแกรม MT4 หรือ MetaTrader  

MetaTrader 5

โปรแกรม MT 5 คือโปรแกรมการซื้อขายออนไลน์ที่ช่วยให้คุณสามารถซื้อขายสินทรัพย์ที่หลากหลาย รวมทั้งหุ้น, Forex, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, ฟิวเจอร์ส และอื่นๆ มากมาย MT5 คือแพลตฟอร์มในยุคถัดไปของแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MetaTrader 4 ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทซอฟต์แวร์รัสเซีย MetaQuotes, MetaTrader 5 เป็นซอฟต์แวร์การซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแพลตฟอร์มหลายสินทรัพย์ที่สามารถใช้สำหรับเครื่องมือการเงินเช่นหุ้น ดัชนี แลกเปลี่ยนเงินตราและสินค้าผ่านสัญญาเพื่อความแตกต่าง (CFD) MT5 เป็นการดาวน์โหลดและใช้งานฟรี ซึ่งประกอบด้วยซอฟต์แวร์หลายส่วน ทุกท่านสามารถซื้อขายบน MetaTrader 5 ได้อย่างง่ายดายจากบัญชีซื้อขายของโบรกที่ท่านสนใจ สามารถดาวน์โหลดง่ายๆจากโบรคเกอร์นั้นๆที่ท่านใช้บริการ

ดูเพิ่มเติมสำหรับ คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ 

รวบรวม คำศัพท์ Forex ที่เทรดเดอร์ต้องรู้ <<<<<<คลิก

 

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ