LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันที่ 18 พ.ย.64

       MAJOR หรือ กรุงศรี โดยซื้อเป้า 28 บาท การดำเนินงานปกติผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วใน Q3/64 ที่ผ่านมา และจะเริ่มพลิกมีกำไรตั้งแต่ Q4/64 จากการคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐ โรงหนังกลับมาเปิดทำการ มีหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉาย และยังมีเงินปันผลพิเศษให้อีก 1 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield สูงถึง 4.6%

      NER หรือ ฟินันเซีย ไซรัส โดยเก็งกำไร มีเป้า 8.50 บาท คาดกำไร Q4/64 น่าจะทรงตัวสูง Q-Q ได้และโตเด่น Y-Y ต่อเนื่องตามปริมาณขายที่ยังอยู่ในระดับที่ดี และราคายางพารายังทรงตัวสูง โดยยังคาดกำไรสุทธิปี 64 ทำ New High ที่ 1.7 พันลบ. +100% Y-Y ปัจจัยหนุนกำไรปีหน้าจะมาจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในช่วง H2/64 ขึ้นอีก 10% และอยู่ระหว่างขยายเข้าสู่ธุรกิจแผ่นปูรองนอนวัว แบรนด์ Cattle Flex เราประเมินกำไรปี 2022 โตต่อเนื่อง +10% Y-Y พร้อมให้แนวรับ 7.30-7.40 บาท แนวต้าน 7.60//7.80-8 บาท

– UBE หรือ เคจีไอ หรือเป้าพื้นฐาน 3.2 บาท ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q4/64 จะดีขึ้น QoQ หลังจากการคลายล็อกดาวน์ประเทศ คาดจะทำให้ยอดขายเอทาทอลเพิ่มขึ้น การเดินทางโดยรถยนต์ฟื้นตัว ขณะที่คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯและยุโรป จะหนุนยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลัง โดยประเมินกำไรปี 2565 เติบโต +86% YoY เป็น 543 ล้านบาท และจะทำให้ Forward PE ลดลงเป็น +/-15 เท่า (จาก Forward PE ปีนี้ที่ +/-28 เท่า) พร้อมประเมินแนวรับ 2.02 บาท / แนวต้าน 2.14-2.20 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 2.4 บาท Stop loss 1.97 บาท

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นไทยปรับลดลง กลุ่มพลังงานกดดันน้ำมันร่วง

        นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับลงตามตลาดภูมิภาค เล็งกลุ่มพลังงานกดดันหลังราคาน้ำมันร่วง จากสหรัฐฯบอกให้จีน-ประเทศอื่น ๆ เอาน้ำมันจากคลังออกมาใช้เพื่อสกัดเงินเฟ้อพุ่ง ทำให้เล็งสหรัฐฯจะนำน้ำมันจากคลังออกมาใช้ก่อน นอกจากนี้เงินเฟ้อของอังกฤษพุ่ง เล็ง BoE จะขึ้นดอกเบี้ยก่อน ขณะที่เฟด-ECB พยายามที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ส่วนบ้านเราลุ้นมาตรการช้อปดีมีคืน และปัจจัยอื่น ๆ พร้อมให้แนวรับ 1,640-1,635 แนวต้าน 1,650-1,658 จุด

         นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างเคลื่อนไหวในแดนลบกันเป็นส่วนใหญ่ จากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่น่าจะปรับตัวลงตามราคาน้ำมันที่ร่วงลง หลังสหรัฐฯบอกให้จีน และประเทศอื่น ๆ นำน้ำมันออกจากคลังมาใช้เพื่อสกัดเงินเฟ้อพุ่งสูง ซึ่งทำให้มีการมองกันว่าสหรัฐฯคงจะเริ่มระบายน้ำมันออกจากคลังมาใช้ก่อนคนอื่น

          โดยเงินเฟ้อของอังกฤษได้ขึ้นสูง ทำให้มีการมองกันว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจจะเป็นประเทศแรกที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) พยายามที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยส่วนบ้านเราเวลานี้ยังไม่มีปัจจัยอะไรเด่น ก็มองเป็นปัจจัยอื่น ๆ อย่างการลุ้นมาตรการช้อปดีมีคืนเอาออกมาใช้ เป็นต้น และวานนี้หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ปรับตัวขึ้นเด่น รับผลจากเศรษฐกิจไทยฟื้น และอัตราดอกเบี้ยบ้านเราก็ยังไม่ปรับขึ้น รวมถึงได้ตอบรับปัจจัยลบก่อนหน้านี้ไปมากแล้ว ซึ่งตอนนี้บ้านเราก็รอ Fund Flow ไหลเข้ามา พร้อมให้แนวรับ 1,640-1,635 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,658 จุด

        สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์ เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ย. 64 ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,931.05 จุด ลดลง 211.17 จุด (-0.58%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,688.67 จุด ลดลง 12.23 จุด (-0.26%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,921.57 จุด ลดลง 52.28 จุด (-0.33%) ในขณะที่ ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ 18 พ.ย.64 ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 90.4 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 280.2 จุด หรือ -1.09% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.88 จุด หรือ -0.17%

        ธปท.ส่งสัญญาณ ธุรกิจโรงแรม เริ่มทยอยถอนตัว จากมาตรการพักทรัพย์พักหนี้หลายราย หลังผู้ประกอบการขอลุยธุรกิจเองอีกครั้ง ขานรับปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ ท่องเที่ยวกลับมาฟื้น บ่งชี้ผ่านยอดจองห้องพักพุ่ง 100% ฟากแบงก์เร่งช่วยลูกหนี้ จ่อยืดหนี้ยาวถึง 15 ปี

         นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว (ทางยกระดับบนถนนพระราม 2) ระยะที่ 2 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.4 กิโลเมตร (กม.) โดยใช้เงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง (กองทุนมอเตอร์เวย์) วงเงิน 19,700 ล้านบาท ได้ผู้รับจ้างที่เสนอราคาต่ำสุดครบทั้ง 10 สัญญาแล้ว โดยกรมเตรียมลงนามสัญญากับผู้รับจ้างทั้ง 10 สัญญาเร็วๆ นี้

           นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ จังหวัดกระบี่ ได้เห็นชอบตามข้อเสนอกระทรวงที่ให้ปี 2565 เป็นปีส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยจะทำการตลาดในแคมเปญ Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะจัดงานส่งเสริมกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อกระจายรายได้ไปยังภูมิภาค 5 แห่ง คือ ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา คลังยันไม่ลดภาษีดีเซล แจงกองทุนน้ำมันยังมีเงินเพียงพอดูแลราคาไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร หากไม่ไหว ราคาน้ำมันยังพุ่งต่อค่อยพิจารณาหั่นภาษีช่วย เพื่อไทยจี้หากทำไม่ได้ก็ขอให้ผู้มีความสามารถขึ้นมาบริหารแทน มโนยุโรปจะล็อกดาวน์ราคาน้ำมันลดแน่

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด และในไตรมาส 4/64 ถึง ปี 65 ก็คาดว่าจะดีขึ้น

       นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันก็ลดลงมาก วันนี้มีจำนวน 6,300 กว่าราย ต่ำกสุดในรอบ 4 เดือน น่าจะช่วยหนุนหุ้น Domestic play และกลุ่ม Reopening ได้

      ในส่วนการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาแล้วก็ไม่ได้กระทบตลาดฯมาก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้มีโอกาสที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยเช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน

        ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับฐาน และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงไปมาก ทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมากดดันตลาดฯได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ในช่วงรอดูทิศทางต่าง ๆ จากฝั่งสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไปในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมา และรอดูภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงติดตามทิศทางการเมืองในประเทศด้วยพร้อมให้แนวรับ 1,630-1,628 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด

 

ขอบคุณ : นักข่าวอินโฟเควสท

ราคาทองวันนี้ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 50 บาท

        ราคาทองวันนี้ 18 พ.ย.64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย ครั้งที่ 1  เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,750.00 บาท ขายออกบาทละ 28,850.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,227.92 บาท ขายออกบาทละ 29,350.00 บาท

         ซึ่งราคาทองวันที่ 17 พ.ย. 64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 3 ครั้ง ลดลง 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,700.00 บาท ขายออกบาทละ 28,800.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,182.44 บาท ขายออกบาทละ 29,300.00 บาท

         ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้  สัญญาทองคำตลาด COMEX  ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 16.1 ดอลลาร์ หรือ 0.87% ปิดที่ 1,870.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 64

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

รมว.คลังย้ำไม่ลดภาษีน้ำมัน เล็งกู้เพิ่ม 3 หมื่นล้าน พยุงราคาน้ำมันดีเซล30บาท/ลิตร

        นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อเรียกร้องให้มีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้กลไกลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรแล้ว ซึ่งเป็นไปตามบทบาทของกองทุนน้ำมันฯ ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้รักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาก็ได้ยืดหยุ่นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามสถานการณ์ จะลดภาษีหรือไม่ ต้องดูกำลังของกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งขณะนี้กองทุนน้ำมันฯยังมีกำลังในการดูแลราคาได้

       ล่าสุด ครม. ก็อนุมัติขยายกรอบการกู้เงินเป็น 30,000 ล้านบาทเพื่อให้สามารถเข้าไปดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งหากกู้เงินเต็มเพดานแล้ว แต่สถานการณ์ราคายังไม่ดีขึ้น ก็ยังขยายเพดานได้

       ทั้งนี้ในช่วงปลายปี จะเป็นช่วงปกติที่ราคามันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว และล่าสุดอเมริกาก็เริ่มทยอยนำน้ำมันในคลังมาใช้ ซึ่งจะช่วยทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงได้นอกจากนี้หลายๆ ประเทศ เริ่มมีนโยบายมุ่งใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล ซึ่งไทยก็มีนโยบายในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และจะมีความชัดเจนของนโยบายมากขึ้นในต้นปี 65 ขณะที่ค่าเงินบาทต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า ก็จะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 17พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564

หุ้นไฟเซอร์ ดิ่งกว่า 1% หลังบริษัททำข้อตกลงร่วม MPP

     ราคาหุ้นของ ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันที่ 16 พ.ย.64 เวลา 23.02 น. ที่ 16 พ.ย. 64  ราคาหุ้นไฟเซอร์ร่วงลง 1.36% สู่ระดับ 48.97 ดอลลาร์  หลังจากที่บริษัทอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญจาก 95 ประเทศทั่วโลกสามารถผลิต ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมากผลิตยา “แพกซ์โลวิด” ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน

      ราคาหุ้นของ ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ 16 พ.ย.64 หลังจากที่บริษัทอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญจาก 95 ประเทศทั่วโลกสามารถผลิต ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมาก

     องค์กรสิทธิบัตรยาร่วม (MPP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า MPP ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ โดยทางบริษัทจะอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญสามารถผลิตและจำหน่ายยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจำนวน 95 ประเทศทั่วโลก ผลการทดลองพบว่า ยาแพกซ์โลวิดสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50% โดยยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน ส่วนผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อ HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยคาดว่าจะให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ในช่วงต้นเดือนธ.ค. และให้การอนุมัติยาแพกซ์โลวิดหลังจากนั้น

     MPP คาดการณ์ว่ายาแพกซ์โลวิดจะเข้าถึง 95 ประเทศดังกล่าวภายในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าการบรรลุข้อตกลงระหว่าง MPP และบริษัทไฟเซอร์เมื่อวานนี้มีขึ้นหลังจากที่ MPP ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ก่อนหน้านี้เช่นกันในการมอบสูตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ให้แก่ 105 ประเทศทั่วโลก

      ผลการทดลองพบว่า ยาแพกซ์โลวิดสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50% ซึ่งยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน ส่วนผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อ HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน

     ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยคาดว่าจะให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ในช่วงต้นเดือนธ.ค. และให้การอนุมัติยาแพกซ์โลวิดหลังจากนั้น

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

สัญญาทองคำ ปิดร่วง 12.5 ดอลลาร์

        สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ 16 พ.ย.64  โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค. 64  สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 12.5 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 1,854.1 ดอลลาร์/ออนซ์

      สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 16.1 เซนต์ หรือ 0.64% ปิดที่ 24.944 ดอลลาร์/ออนซ์

      สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 22.4 ดอลลาร์ หรือ 2.04% ปิดที่ 1,074.5 ดอลลาร์/ออนซ์

     สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 11.50 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 2,167.60 ดอลลาร์/ออนซ์

     สัญญาทองคำร่วงลง หลังจากดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.53% แตะที่ 95.9182

     โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ยังทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ๆ

    นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4% โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

      ทั้งนี้ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐดีดตัวขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค. หลังจากร่วงลง 1.3% ในเดือนก.ย. โดยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นมาตรวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภคของสหรัฐ

 

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway up

      นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway up ไร้ปัจจัยกระทบหนัก แม้วิตกการเจรจาผู้นำสหรัฐ-จีนแต่น้ำหนักออกมาในทางบวกเล็กน้อย อีกทั้งผลกำไรบริษัทจดทะเบียนทะลุ 2 แสนล้านบาทดีกว่าคาด รวมถึงเงินบาทแข็งค่า โดยรวมเป็นบวกต่อตลาดฯ ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้แกว่งบวก-ลบราว 0.5-1% แนะติดตามผลสืบเนื่องจากการเจรจา 2 ผู้นำโลก พร้อมให้แนวรับ 1,633 แนวต้าน 1,650 จุด

      ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งแดนบวก-ลบราว 0.5-1% โดยยังต้องติดตามผลสืบเนื่องจากการเจรจาของผู้นำสหรัฐและจีนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และบ้านเราก็ให้ติดตามการปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ฯหลังบริษัทจดทะเบียนแจ้งงบไตรมาส 3/64 ครบถ้วน และได้รับข้อมูลชี้แจงเพิ่มเตืมแล้ว รวมถึงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ และความคืบหน้ามาตรการของภาครัฐพร้อมให้แนวรับ 1,633 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 จุด

       ทั้งนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,142.22 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด (+0.15%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.90 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด (+0.39%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,973.86 จุด เพิ่มขึ้น 120.01 จุด (+0.76%)

      ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 98.56 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 45.97 จุด หรือ -0.18% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.23 จุด หรือ -0.09% พร้อมให้แนวรับ 1,633 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 จุด ประเด็นพิจารณาการลงตลาดหุ้นนิวยอร์มี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,142.22 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด (+0.15%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.90 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด (+0.39%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,973.86 จุด เพิ่มขึ้น 120.01 จุด (+0.76%)

      ทั้งนี้หุ้นเอเชียเปิดตลาด ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 98.56 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 45.97 จุด หรือ -0.18% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.23 จุด หรือ -0.09%

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ก.ล.ต. แนะผู้สนใจศึกษาข้อมูล เหรียญสมเด็จคอยน์ หวั่นลงทุนมากกว่าทำบุญ

        นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้สื่อข่าวสอบถามเข้ามายังสำนักงาน ก.ล.ต.ถึงความกังวลเกี่ยวกับ “เหรียญสมเด็จคอยน์ หรือเหรียญ Somdejcoin : SDC” นั้น เบื้องต้นทาง ก.ล.ต.ขอชี้แจงว่า ผู้พัฒนาเหรียญหรือทางผู้ประสานงานวัดป่ามหาญาณ ได้มีหนังสือถึง ก.ล.ต.จำนวน 2 ฉบับ เพื่อหารือว่าเหรียญ SDC เข้าข่ายเป็นเหรียญสินทรัพย์ดิจิทัล 4 ประเภท ห้ามไม่ให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนำมาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตามข้อ 39/1 ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 19/2561 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล  ก.ล.ต. ได้มีหนังสือขอข้อมูลเพิ่มเติมจากวัดป่ามหาญาณแล้ว เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2564 เพื่อใช้ประกอบการ 

      พิจารณาให้ความเห็นต่อไป ในประเด็นเกี่ยวกับ

    1.การใช้ชื่อสมเด็จมาเป็นชื่อเหรียญ รวมทั้งมีแผนจะนำเหรียญดังกล่าวไปซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะเก็งกำไรนั้น การดำเนินการดังกล่าวมีความเหมาะสมที่อาจกระทบต่อพระพุทธศาสนา จึงให้ผู้ออกหารือและนำหนังสือความเห็นจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาว่าเหรียญ SDC ไม่ขัดต่อกฎหมาย

       2.ข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น เช่น กลไกในการใช้สิทธิประโยชน์ของเหรียญมีลักษณะการดำเนินการอย่างไร อัตราในการนำเหรียญเพื่อใช้ในการแลกสิทธิประโยชน์เป็นอย่างไร รวมทั้งแผนที่จะเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในอนาคต จะมีหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินการอย่างไร

       3.การเปิดให้มีการซื้อขายเหรียญโดยหักภาษีในอัตรา 9% ในทุกครั้งที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนที่เท่ากัน หรือ 3% สำหรับนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและช่วยเหลือสังคม หรือ 3% สำหรับการไปเสริมสภาพคล่องในระบบ หรือ 3% สำหรับการนำไปเพิ่มเหรียญให้แก่ผู้ถือเหรียญ

      ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้มีการถือครองเหรียญเพื่อการลงทุนมากกว่าการทำบุญ จึงมีข้อสังเกตว่ามีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเหรียญในการทำนุบำรุงศาสนาและช่วยเหลือสังคม รวมทั้งถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวัดหรือไม่

       ทั้งนี้เหรียญ 4 ประเภทตามประกาศข้างต้น ได้แก่ 1.เหรียญที่ออกโดยไม่มีวัตถุประสงค์หรือสาระชัดเจนหรือไม่มีสิ่งใดรองรับโดยมีราคาขึ้นอยู่กับกระแสในโลกโซเชียล (Meme Token) 2.เหรียญที่ออกโดยมีลักษณะเกิดจากกระแสความชื่นชอบส่วนบุคคล (Fan Token)

        3.โทเคนดิจิทัลที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แสดงความเป็นเจ้าของหรือให้สิทธิในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่สามารถใช้โทเคนดิจิทัลประเภทและชนิดเดียวกันและจำนวนเท่ากันแทนกันได้ (Non-Fungible Token) และ 4.โทเคนดิจิทัลที่ออกโดยผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเองหรือบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน

         ส่วนกรณีการจัดสรรเหรียญให้แก่ผู้ถือด้วยการแจกสามารถทำได้ (เป็นการให้ฟรี ไม่มีการเสนอขาย) ในส่วนของการเทรดปัจจุบันยังไม่มีการเทรดกับผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย อย่างไรก็ดีหากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องการนำเหรียญ SDC เข้ามาซื้อขายในกระดานจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนด Listing Rule ของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ซึ่งให้แต่ละศูนย์ซื้อขายสามารถกำหนดได้เอง เนื่องจากข้อมูลในเบื้องต้นลักษณะของเหรียญไม่เข้าข่ายเป็นเหรียญที่ต้องได้รับอนุญาตให้เสนอขายจาก ก.ล.ต. และข้อมูลยังมีความไม่ชัดเจนในบางเรื่อง ดังนั้นจึงขอให้ผู้สนใจศึกษาข้อมูลและใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อขาย

      ทั้งนี้เนื่องจากเหรียญดังกล่าวใช้ชื่อสมเด็จและเป็นกิจกรรมของวัด จึงอาจมีความเกี่ยวข้องและต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วย

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

สภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นขยายตัว 1.2%

       สภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นขยายตัว 1.2% จากเดิมคาด 0.7-1.2% และคาดปี 2565 เติบโตที่ 3.5-4.5% ในขณะที่วิจัยกรุงศรี เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 64 และ 65 โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 3 ปีนี้หดตัวน้อยกว่าคาด, การกระจายวัคซีนที่เร่งขึ้น ล่าสุดทางการตั้งเป้าฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

         ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ, สัญญาณเชิงบวกจากการลงทุนภาคเอกชนที่อาจได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและกิจกรรมเศรษฐกิจของโลกที่ทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ ตลอดจนมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะยังมีบทบาทสำคัญ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง

       ในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) บ่งชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อมาจากปัจจัยชั่วคราว พร้อมส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า โดยการประชุม กนง. วันที่ 10 พฤศจิกายน มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วและเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว จากการใช้ภายในประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเร่งกระจายวัคซีน และตลาดแรงงานมีแนวโน้มปรับดีขึ้น จึงคาดการณ์ว่า GDP ปี 2564 และปี 2565 จะขยายตัวใกล้เคียงกับประมาณการในการประชุมครั้งก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากราคาพลังงานโลกเป็นหลัก

        วิจัยกรุงศรีประเมินว่า แม้ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะลดลง และมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งหลายประเทศเตรียมทยอยปรับลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินกันบ้างแล้ว แต่ในส่วนของไทย คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า

       ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงาน GDP ใน 3Q/2564 หดตัว -0.3% YoY จากขยายตัว 7.6% ในไตรมาสก่อน ผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรงของโควิด-19 แต่อัตราการติดลบดังกล่าวน้อยกว่าที่ตลาดและวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ -1.3% และ -1.1% ตามลำดับ เนื่องจากได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เร่งขึ้น, มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนทำให้การบริโภคสินค้าไม่คงทนในหมวดอาหารยังเติบโตได้แม้ภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนจะหดตัว, การเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังในไตรมาสนี้นับว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ, การส่งออกสินค้าและบริการที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกบริการที่เร่งขึ้นจากค่าบริการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวดีตามปริมาณการค้าระหว่างประเทศ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564

มุ่งเจาะกลุ่ม SME เปิดตลาดหุ้นปักกิ่ง วันแรก

       ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง หรือ Beijing Stock Exchange ของจีน ออกแถลงการณ์ กล่าวว่า  พร้อมเปิดให้บริการคาดว่าจะมีบริษัทกลุ่มแรกจำนวน 81 แห่งที่เริ่มการซื้อขายหุ้นแต่วันจันทร์ที่ 15 พ.ย. เป็นต้นไป ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งเปิดตัวขึ้นหลังจากที่จีนประกาศแผนการจัดตั้งตลาดหุ้นแห่งใหม่เมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีภายหลังการประกาศ เนื่องจากมุ่งแก้ปัญหาทางการเงินอันซับซ้อนที่มีมายาวนานของบรรดาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

        โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่นี้เป็นการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (NEEQ) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อตลาดหุ้นแห่งที่ 3 (New Third Board) และจะมีบทบาทที่แตกต่างออกไปจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น รวมถึงจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างตลาดหลักทรัพย์สองแห่งนี้ด้วย

       การประกาศจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ได้กระตุ้นความสนใจและความกระตือรือร้นของตลาดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนและบริษัทต่างๆ ต่างจับตาดูความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดและแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณสมบัติในการซื้อขายหุ้น  ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งระบุว่า มีนักลงทุนรายใหม่กว่า 2.1 ล้านคนยื่นสมัครเป็นนักลงทุนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัตร (Qualified Investor) พร้อมเสริมว่าจำนวนนักลงทุนที่เข้าเงื่อนไขจะทะลุ 4 ล้านคนหลังตลาดเริ่มการซื้อขาย

        นอกจากนี้ยังเผยว่า มีบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้แล้ว 112 แห่ง โดยมีระเบียบปฏิบัติจำนวน 6 ฉบับ ร่วมกับแนวปฏิบัติอื่นๆ อีก 45 ข้อที่เคยออกในก่อนหน้านี้ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นระบบการกำกับดูแลตนเองของตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ที่มีการกำหนดกฎระเบียบต่างๆ ด้านการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ รวมไปถึงการจัดหาเงินทุน การกำกับดูแล และการซื้อขาย และอื่นๆ

       หลี่ ตงซวี่ กรรมการผู้จัดการบริษัทสินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์จีน (China Securities) กล่าวว่า บริษัทกลุ่มแรกเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ในการเป็นตลาดซื้อขายแห่งหลักสำหรับธุรกิจเชิงนวัตกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และบริษัทกลุ่มแรกนี้ล้วนเป็นบริษัทชั้นนำในแต่ละภาคส่วน ที่มีทั้งผลประกอบการที่ดีและศักยภาพการเติบโตสูง

        โดยบริษัทเหล่านี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก 25 ประเภทในหลากหลายภาคส่วน เช่น การผลิตระดับสูง บริการเทคโนโลยีระดับสูง และอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่เพิ่งเกิดใหม่ โดยยอดใช้จ่ายเฉลี่ยในด้านการวิจัยและพัฒนาของบริษัทเหล่านี้อยู่ที่มากกว่า 25.36 ล้านหยวน หรือ ราว 130 ล้านบาท  ในขณะที่มีบริษัทจำนวนมากเข้าคิวรอเสนอซื้อขายหุ้นแก่สาธารณชน หรือ ไอพีโอ (IPO) ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งก็จะปรับปรุงการกำกับดูแลการดำเนินงานและคุณภาพของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด รวมถึงออกมาตรการเพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบก่อนการจดทะเบียน แจกแจงภาระความรับผิดชอบของสถาบันตัวกลางและบริษัทที่จดทะเบียน รวมไปถึงสร้างช่องทางที่ราบรื่นสำหรับการเพิกถอนบริษัทจดทะเบียนจากตลาดหลักทรัพย์

        ทั้งนี้พบว่าบรรดาผู้สังเกตการณ์มองว่า การเปิดซื้อขายในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง พร้อมสนับสนุนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามปรับตัวให้ทันและเปิดกว้างมากขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมตลาดที่ดี เพื่อเอื้อให้ตลาดหุ้นใหม่นี้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ขายเกลี้ยงหมดในครึ่งชม.พันธบัตรออมวอลเล็ต สบม.ออมไปด้วยกัน ชี้หากต้องการสามารถซื้อผ่าน 4 แบงก์ตัวแทนได้

       วันที่ 15 พ.ย.64 เวลา 08.50 น.  Krungthai Care ได้แจ้งว่า “ขอขอบคุณ ที่สนับสนุน พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นออมไปด้วยกัน จำหน่ายเต็มวงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับประชาชนที่พลาดโอกาสการซื้อ พันธบัตรออมทรัพย์ วอลเล็ต สบม.รุ่นออมไปด้วยกัน  ยังสามารถซื้อผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดจำหน่ายในวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท ซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินซื้อขั้นสูง มีให้เลือก 2 รุ่น คือรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ได้รับอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ พันธบัตรออมทรัพย์ วอลเล็ต สบม. ในรุ่นเดียวกัน คือ 5 ปี เฉลี่ยที่ 2.10 % ต่อปี และ 10 ปี เฉลี่ยที่ 3.00% ต่อปี

        นอกจากนี้ยังเปิดจำหน่ายให้แก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท มีเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี เปิดจำหน่ายตั้งแต่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจำหน่ายเฉพาะช่องทางเคาน์เตอร์ธนาคารทั้ง 4 แห่ง

         จากกรณีที่กระทรวงการคลังเปิดจำหน่วยพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” วงเงินจำหน่าย 8 หมื่นล้านบาท โดยประชาชนสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รุ่นอายุ และซื้อได้ทั้งในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง โดยในครั้งนี้กระทรวงการคลังได้เพิ่มวงเงินจำหน่ายเป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม และจ่ายดอกเบี้ย ให้ประชาชนทุก 3 เดือน ประชาชนสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รุ่นอายุ และซื้อได้ทั้งในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง โดยการลงทุน “พันธบัตรออมทรัพย์” รุ่น “ออมไปด้วยกัน” บน “วอลเล็ต สบม.” ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”

  1. พันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (เฉลี่ย 10% ต่อปี)

          ปีที่ 1 : 1.50% ต่อปี

          ปีที่ 2-4 : 2.00% ต่อปี

          ปีที่ 5 : 3.00% ต่อปี

       2.พันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (เฉลี่ย 00% ต่อปี)

          ปีที่ 1-3 : 2.00% ต่อปี

          ปีที่ 4-5 : 3.00% ต่อปี

          ปีที่ 6-9 : 3.50% ต่อปี

          ปีที่ 10 : 4.00% ต่อปี

          วันที่จำหน่าย คือ จำหน่ายผ่าน วอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง (วอลเล็ต สบม.) ในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 จนถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 3 ธันวาคม 2564 (ผู้มีสิทธิซื้อต้องลงทะเบียนผ่าน วอลเล็ต สบม. ก่อน จึงจะสามารถทำรายการซื้อพันธบัตรได้

         ผู้มีสิทธิ์ซื้อ ในตลาดแรก คือ บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (ผู้ที่มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อนการซื้อพันธบัตร ณ สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

        วันที่จ่ายดอกเบี้ย คือ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ในวันที่ 15 ของเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี จนกว่าพันธบัตรจะครบกำหนดไถ่ถอน โดยจ่ายดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565

การทำธุรกรรมภายหลังการซื้อพันธบัตรผู้ถือกรรมสิทธิ์สามารถดำเนินการผ่านวอลเล็ต สบม. ได้แก่

      –  การใช้พันธบัตรเป็นหลักประกันให้กระทำได้หลังจากวันที่ทำรายการซื้อ 2 วันทำการ

      –  การขายพันธบัตรก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน และการโอนกรรมสิทธิ์ให้กระทำได้ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

         ทั้งนี้ ไม่สามารถทำธุรกรรมได้ตั้งแต่วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายคืนเงินต้นตามที่ ธปท. ประกาศกำหนดการทำธุรกรรมภายหลังการซื้อพันธบัตรไม่เสียค่าธรรมเนียม ยกเว้นการใช้พันธบัตรเป็นหลักประกันมีค่าธรรมเนียม การออกใบค้ำประกัน 500 บาท รายการธุรกรรมต่างๆ จะปรากฏในวอลเล็ต สบม. เท่านั้น ไม่สามารถนำไปรวมกับพันธบัตรอื่น ๆ ในสมุดพันธบัตร (Bond Book) ได้

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ ประชาชาติธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด และในไตรมาส 4/64 ถึง ปี 65 ก็คาดว่าจะดีขึ้น

       นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันก็ลดลงมาก วันนี้มีจำนวน 6,300 กว่าราย ต่ำกสุดในรอบ 4 เดือน น่าจะช่วยหนุนหุ้น Domestic play และกลุ่ม Reopening ได้

      ในส่วนการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาแล้วก็ไม่ได้กระทบตลาดฯมาก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้มีโอกาสที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยเช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน

        ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับฐาน และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงไปมาก ทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมากดดันตลาดฯได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ในช่วงรอดูทิศทางต่าง ๆ จากฝั่งสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไปในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมา และรอดูภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงติดตามทิศทางการเมืองในประเทศด้วยพร้อมให้แนวรับ 1,630-1,628 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด

 

ขอบคุณ : นักข่าวอินโฟเควสท

ส่องหุ้นถุงมือยาง STGT

        บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และอันดับ 3 ของโลก โดย STGT เพิ่งจะเข้ามาโลดแล่นในตลาดหุ้นไทยได้ไม่นานราวๆ 1 ปี โดยลงสนามซื้อขายวันแรก เมื่อ 2 ก.ค. 2563 เปิดเทรดที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 62.5% จากราคาไอพีโอ 34 บาท จากนั้นราคาหุ้นค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาต่อเนื่อง ตามแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส หลังมียอดออเดอร์ถุงมือยางหลั่งไหลมาจากทั่วโลก

       จนราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปี 2563 ที่ 94.50 บาท เมื่อวันที่ 29 ต.ค. จากนั้นในช่วงปลายปีเริ่มมีการปรับฐานลงมา หลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ขณะที่การพัฒนาวัคซีนมีความคืบหน้ามากขึ้นต่อมาบริษัทประกาศแตกพาร์จากราคาหุ้นละ 1 บาท เหลือ 0.50 บาท โดยเริ่มซื้อขายวันแรกด้วยราคาพาร์ใหม่เมื่อ 5 ม.ค. 2564 ถือว่าออกสตาร์ทได้ดี ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง หลังเกิดการระบาดระลอกใหม่จากเชื้อสายพันธุ์เดลตา ซึ่งรอบนี้สถานการณ์ดูรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จนต้องล็อกดาวน์รอบใหม่ หนุนหุ้น STGT ขึ้นไปทำออลไทม์ไฮรอบใหม่ที่ราคาพาร์ใหม่ 49 บาท (หากคิดเป็นราคาพาร์เก่าอยู่ที่ 98 บาท) เมื่อวันที่ 18 พ.ค. แต่จากนั้นราคาหุ้นเริ่มเปลี่ยนทิศอีกครั้ง หลังการฉีดวัคซีนครอบคลุมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มองกันว่าถุงมือยางอาจไม่ได้จำเป็นเท่ากับช่วงที่เกิดการระบาดแรกๆ

       นอกจากดีมานด์ที่ชะลอตัวลงแล้ว ในฝั่งซัพพลายมีกำลังการผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น หลายบริษัทในต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้ต้องปิดโรงงานเพราะโควิดระบาดหนัก กลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ทำให้ราคาถุงมือยางทั้งโลกเริ่มปรับตัวลดลง

        โดยผลประกอบการงวดล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,532.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 4,404.8 ล้านบาท แต่ลดลง 37.7% จากงวดไตรมาสก่อนที่ 7,280.1 ล้านบาท เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของราคาถุงมือยาง โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,531 บาทต่อพันชิ้น หรือ 46.7 ดอลลาร์ ลดลง 32.5% จากไตรมาสก่อน ตามราคาถุงมือยางในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ซึ่งราคาถุงมือยางที่ปรับตัวลดลง กลายเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจของ STGT การเติบโตของรายได้กำไรอาจไม่ได้ร้อนแรงเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ราคาหุ้นค่อยๆ ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง เรียกว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับช่วงที่ขึ้นไปพีคสุดๆและทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า ตกลงแล้วจุดสูงสุดของบริษัท ทั้งผลประกอบการและราคาหุ้นได้ผ่านพ้นไปหรือยัง? STGT ยังน่าสนใจยังมีเสน่ห์อยู่หรือไม่? หรือ บริษัทจะปรับตัวอย่างไร? ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนอยากรู้หากดูจากมุมมองของนักวิเคราะห์ ต้องบอกว่าเสียงยังแตก มีความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยบล.ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ระบุว่าเริ่มเห็นสัญญาณที่ทรงตัวของราคาถุงมือยาง เชื่อว่าราคาน่าจะต่ำสุดแล้วในเดือน ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2564-2565 ลงเหลือ 2.5 หมื่นล้านบาท และ 9 พันล้านบาท ตามลำดับ จากสมมติฐานราคาถุงมือยางที่ปรับลดลง ในส่วนของบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ถือ” มองว่าราคาถุงมือยางในไตรมาส 4 ปี 2564 จะลดลงอีก 25% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรยังเป็นขาลงอีกไตรมาส ขณะที่ฝั่งอุปสงค์ลดความร้อนแรงลงจากพัฒนาการของวัคซีนและยารักษาโควิด ถือเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ของอุตสาหกรรม

        ทั้งนี้ด้านบล.เคทีบีเอสที แนะนำ ขายจากราคาขายถุงมือยางในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง ตามกำลังการผลิตถุงมือยางโลกที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 30-35% ในปี 2565 ขณะที่การพัฒนายาต้านไวรัสโควิดเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อราคาขายถุงมือยาง ส่งผลให้ EPS ปี 2565 ปรับตัวลดลง 60% โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า valuation ของ STGTจะยังคงเทรดที่ discount ไปจนกว่าจะเห็นราคาขายถุงมือยางกลับเข้าสู่ดุลยภาพ

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

กองทุนช่วยประหยัดภาษี  SSF และ RMF 2 กองทุนแตกต่างอย่างไร

      ในการลดหย่อนภาษี 2564 พลาดไม่ได้กับ 2 กองทุนช่วยประหยัดภาษี นั่นคือ กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF โดย 2 กองทุนมีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ไม่ได้แตกต่างกันนัก คือลงทุนได้ทั้ง หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ แตกต่างก็ตรงการลงทุนใน SSF จะซื้อหน่วยลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ตัวอย่าง กองทุนรวมสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ไม่กำหนดขั้นต่ำ ในการซื้อ และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
             ในส่วนของผู้ลงทุนกองทุน RMF ซื้อหน่วยลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยซื้อปีเว้นปี
ของทุน SSF และ RMF เหมาะกับวัยทำงานที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่ต้องการประหยัดภาษี และอยากลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนโดยหวังผลตอบแทนในระยะยาว หรือต้องการเตรียมความพร้อมด้านการเงินก่อนเกษียณอายุจากการทำงาน

     ส่วนการพิจารณาเลือกลงทุนกองทุน SSF หรือ RMF ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการลงทุน อายุของผู้ลงทุน รายได้และเงินเก็บ ดังนี้
     หากเน้นการออมเงินระยะยาวประมาณ 10 ปี ควรเลือกลงทุนใน SSF เพราะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบ 10 ปี โดยไม่ต้องรอจนอายุถึง 55 ปีเหมือน RMF
เป้าหมายเพื่อเตรียมเงินสำหรับการเกษียณอายุ ควรเลือก RMF เพราะนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีแล้ว ยังตอบโจทย์การทยอยเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณ เนื่องจากเป็นการลงทุนต่อเนื่องทุกปี และสามารถลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้เงินงอกเงยในระยะยาว
หากมีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีเงินลงทุนไม่สม่ำเสมอ ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุน SSF เพราะเป็นการลงทุนแบบก้อนต่อก้อน ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องลงทุนยาว 10 ปี
       หากอายุ 45 ปี สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งแบบกองทุน SSF หรือ RMF เพราะมีระยะเวลาถือจนครบกำหนด 10 ปีไม่ต่างกัน
ส่วนอายุ 47 ปี หรือ 50 ปีขึ้นไป การเลือกลงทุนในกองทุน RMF จะใช้ระยะเวลาในการลงทุนที่สั้นกว่า เพราะถือเพียง 5 – 8 ปีก็สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ ไม่ต้องถือจนครบกำหนด 10 ปี เหมือน SSF

ขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564

เงินบาทแข็งที่สุดในรอบ 2 เดือน

        เมื่อวันศุกร์ 12 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา  เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 32.80 เทียบกับระดับ 33.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันที่ 5 พ.ย.64  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์สอดคล้องกับสัญญาณเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรไทย นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทยประมาณ 4.76 หมื่นล้านบาทระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.64 ประกอบกับน่าจะมีอานิสงส์จากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของกลุ่มผู้ส่งออกตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย. ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคานำเข้าและส่งออก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

       โดยเงินบาทลดช่วงแข็งค่าลงบางส่วนระหว่างสัปดาห์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นหลังจากอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักต่อความเป็นไปที่เฟดอาจจะจำเป็นต้องส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินเร็วขึ้น

      สำหรับตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนต.ค. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

        สำหรับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,633.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.47% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 72,080.92 ล้านบาท ลดลง 6.28% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.99% มาปิดที่ 558.09 จุด

       ทั้งนี้หุ้นไทยขยับขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีแรงหนุนช่วงต้นสัปดาห์จากแรงซื้อของต่างชาติ อย่างไรก็ดีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงกลางสัปดาห์เนื่องจากขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ

      ประกอบกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศในภาพรวมถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และการคาดการณ์เกี่ยวกับจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ในสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงจากเรื่องการปรับเกณฑ์คัดหุ้นเข้าดัชนี SET50 และ SET100 ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

นักลงทุนไม่ผิดหวัง หลัง BE8-PIN ทำกำไรทะยาน 160%

         ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือวันที่ 8-12 พ.ย.64  หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังหากขายหุ้นในวันแรก หลังเทรดวันแรก กำไร ด้วย หุ้น เบริล 8 พลัส หรือ BE8 กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเข้าซื้อขายวันแรก ในวันที่ 8 พ.ย.64 อยู่ที่ 26 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 16 บาท ทะยานไปที่ 160% จากราคา IPO 10 บาทต่อหุ้น

         ด้าน หุ้น ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN น้องใหม่รายล่าสุดในรอบกว่า 10 ปี ในกลุ่มอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมที่เข้าระดมทุนเมื่อ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยเปิดซื้อขายวันแรก 4 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.56% จากราคาไอพีโอ 3.90 บาทต่อหุ้น ฟาก “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ระบุว่า หุ้น PIN ถือเป็นผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่มี “จุดเด่น” ด้านทำเลที่ตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) แม้ปี 2563-2564 ถูกกระทบจาก Lockdown จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่คาดกำไรกำลังเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตอีกครั้งหลังเปิดเมืองและการเปิดให้บริการ PIN6

           โดยหลังจากที่บมจ.คอมเซเว่น หรือ COM7 โชว์ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ได้กำไรสุทธิ 570.5 ล้านบาท พุ่งกว่า 53% ขณะที่โกย รายได้ ไปที่10,098.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ในสถานการณ์โควิด-19 รุนแรง มีการล็อกดาวน์และปิดห้างสรรพสินค้าชั่วคราว แต่ COM7 ปรับกลยุทธ์ด้วยการเพิ่มช่องทาง Pop Up Store และ Stand Alone เสริมทัพ ควบคู่การขายผ่านออนไลน์ด้วย

               ด้านบมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J หนึ่งในบริษัทไซด์เล็กสุดใน กลุ่ม เจมาร์ท (JMART) ได้ฤกษ์เปิดตัวตัวโครงการศูนย์การค้าขนาดเล็ก (Community Mall) แห่งที่ 5 “JAS Green Village” ถนนคู้บอน “สุพจน์ สิริกุลภัสสร์” ซีอีโอ J ลั่นกำลังเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้เปิดเชิงพาณิชย์ทันต้นเดือนธ.ค.นี้ โดยปัจจันมีเพื่อน (ร้านค้า) เช่าพื้นที่กว่า 90% แล้ว ไม่คิดว่าภายใต้สถานการณ์โควิด-19 จะได้รับกระแสตอบรับจากร้านค้ามากขนาดนี้

 

ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ

ปิดดีลร่วมทุน แหลมฉบังเฟส 3

เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F โดยระบุว่า ปัจจุบันร่างสัญญาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงถือว่าขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนแล้วเสร็จ หลังจากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนลงนามสัญญา ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นเดือน ธ.ค.2564

โดยโครงการแหลมฉบัง 3 ถือเป็นโครงการในอีอีซีฟาสต์แทร็กที่ล่าช้าที่สุด หากเทียบกับโครงการอื่นอย่างรถไฟความเร็วสูง เมืองการบินอู่ตะเภา และท่าเรือมาบตาพุด เพราะโครงการนี้เสียเวลากับการสู้คดีกรณีเอกชนฟ้องร้องถึงกระบวนการคัดเลือกไปถึง 1 ปี รวมระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เริ่มเปิดประกวดราคาเป็นเวลากว่า 2 ปี 7 เดือน 12 วัน

 

หลังจากนี้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) จะเป็นผู้ประสานการลงนามสัญญากับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทพีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยจะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนาม

แบ่งออกเป็น 4 โครงการ มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย

1.ก่อสร้างงานทางทะเลกับกิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี วงเงินรวม 21,320 ล้านบาท โดยปัจจุบันได้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา คาดแล้วเสร็จ 2566

2.การก่อสร้างอาคาร ท่าเรือเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณสุข มูลค่า 6,502 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) คาดว่าจะสามารถปะกวดราคาภายในปีนี้ เพื่อเร่งรัดให้ทยอยแล้วเสร็จรองรับการส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนในปี 2566

3.สร้างระบบทางรถไฟ จะทยอยดำเนินการหลังจากนี้

4.ลงทุนเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ ตลอดจนหาเครื่องมือระบบกึ่งอัตโนมัติให้บริการ จะทยอยดำเนินการหลังจากนี้

สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ตามแผนพัฒนาจะมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1.1 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น ภาครัฐลงทุนประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในส่วนของงานโครงสร้างพื้นฐานที่ระบไว้ข้างต้น ขณะที่เอกชนลงทุนประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น  1.ลงทุนในท่าเทียบเรือ F ประมาณ 3หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันได้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เป็นผู้ร่วมลงทุน 2.ท่าเทียบเรือ E ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท และ 3.ท่าเทียบเรือ E0 ประมาณ 5 พันล้านบาท จะเป็นแผนลงทุนในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2573

ขณะที่ผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ 2564 กทท.มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า ณ ท่าเรือกรุงเทพ 1.4 ล้าน ที.อี.ยู.ใกล้เคียงปีก่อน ส่วนท่าเรือแหลมฉบัง มีปริมาณรวม 8.42 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 10% และปริมาณเรือเทียบท่ารวม 11,041 เที่ยว ลดลง 0.46% โดย กทท. มีกำไรสุทธิในภาพรวมประมาณ 6,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.99% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ส่วนในปี 2565 เบื้องต้นประเมินว่าจะมีรายได้ 1.59 หมื่นล้านบาท และเพิ่มต่อเนื่องในปี 2566 คาดรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท

 

ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ

โควิด-19 หนุนเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนเพิ่มขึ้น มูลค่าแตะ 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

        นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของกลุ่มประเทศอาเซียน ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคระบาดรุนแรง รวมถึงบริษัทสตาร์ตอัพเทคโนโลยีที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.63 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 และมีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030

       e-Conomy SEA Report 2021 จัดทำโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง “กูเกิล” ร่วมกับกองทุน “เทมาเส็ก” ของสิงคโปร์ และบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ “เบนแอนด์โค” ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ทำการสำรวจวิเคราะห์ครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจในอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยภูมิภาคอาเซียนมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 40 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดรวมของผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในอาเซียนอยู่ที่ราว 350 ล้านคน คิดเป็น 75% ของประชากรทั้งภูมิภาค และในจำนวนดังกล่าวราว 8 ใน 10 รายเคยสั่งซื้อของออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง

        สเตฟานี เดวิส  รองประธานกูเกิลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเป็นพื้นที่ที่มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและการบริโภคออนไลน์สูงที่สุด แต่เห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่อย่างชัดเจนในเวลานี้ มีจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในพื้นที่นอกเมืองมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายมาเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ในปี 2020 และขยายตัวมากขึ้นในปีนี้ โดยเราจะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้บริโภคในเมืองและในชนบท ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนในปีนี้อยู่ที่ 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 49% จาก 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020   ไม่เพียงจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ขยายตัวเท่านั้น แต่สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ด้วยมูลค่าบริษัทสูงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ปีนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 11 ราย ส่งผลให้ปัจจุบันอาเซียนมียูนิคอร์นรวมเป็น 23 ราย ยูนิคอร์นหน้าใหม่ที่เกิดขึ้น อาทิ คาร์โร  แพลตฟอร์มขายรถมือสอง, นินจา แวน  ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุ ซึ่งทั้ง  2 ราย เป็นสตาร์ตอัพของสิงคโปร์ ส่วนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง แกร็บ  และ โกทู  ยังคงเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก เช่นเดียวกับกลุ่ม ซี กรุ๊ป ยักษ์เทคโนโลยีของสิงคโปร์ที่กลายเป็นบริษัทมาแรง ด้วยมูลค่าตลาด  ถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์อย่าง การีน่า และช็อปปิ้งออนไลน์อย่าง  ช้อปปี้

        โดยกระแสเงินทุนของนักลงทุนทั่วโลกในสตาร์ตอัพเทคโนโลยีของอาเซียนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าข้อตกลงทางธุรกิจในบริษัทเทคโนโลยีอาเซียนช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นราว 65% จากช่วงเดียวกันของปี 2020 และเกือบเท่ากับมูลค่ารวมของข้อตกลงตลอดทั้งปี 2020 ที่ 11,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

        ทั้งนี้สำหรับในไทยปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของสตาร์ทอัพ เพราะเกิดสตาร์ทอัพ ที่มีมูลค่าธุรกิจ  1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 33,000 ล้านบาท  หรือที่เรียกว่า “ยูนิคอร์น”เกิดขึ้น 3 รายรวด  เริ่มต้นจากแฟลช กรุ๊ป ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซครบวงจร  ที่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสามารถปิดดีลยักษ์จากการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ฺ E จากกลุ่ม Buer Capital Limited และ SCB 10X เข้าร่วมทุน พร้อม eWTP -โออาร์-เดอเบล-กรุงศรีฟินโนเวต ที่ลงเพิ่มได้เม็ดเงินรวมไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท นับเป็นสตาร์ทอัพไทยรายแรก ที่สามารถระดมทุนรวมได้มากที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 30,000 กลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย และประกาศขึ้นเป็นขนส่งเอกชนอันดับ 1 ด้วยตัวเลขจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น

         ล่าสุดที่ปิดดีลกันในเดือนพฤศจิกายน โดยกลุ่มเอสซีบี เอ็กซ์” SCBX  เข้าลงทุนใน Bitkub “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจาก Bitkub บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd.) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท

 

ขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ

        นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของกลุ่มประเทศอาเซียน ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคระบาดรุนแรง รวมถึงบริษัทสตาร์ตอัพเทคโนโลยีที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.63 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 และมีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030

       e-Conomy SEA Report 2021 จัดทำโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง “กูเกิล” ร่วมกับกองทุน “เทมาเส็ก” ของสิงคโปร์ และบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ “เบนแอนด์โค” ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ทำการสำรวจวิเคราะห์ครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจในอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยภูมิภาคอาเซียนมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 40 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดรวมของผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในอาเซียนอยู่ที่ราว 350 ล้านคน คิดเป็น 75% ของประชากรทั้งภูมิภาค และในจำนวนดังกล่าวราว 8 ใน 10 รายเคยสั่งซื้อของออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง

        สเตฟานี เดวิส  รองประธานกูเกิลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเป็นพื้นที่ที่มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและการบริโภคออนไลน์สูงที่สุด แต่เห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่อย่างชัดเจนในเวลานี้ มีจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในพื้นที่นอกเมืองมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายมาเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ในปี 2020 และขยายตัวมากขึ้นในปีนี้ โดยเราจะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้บริโภคในเมืองและในชนบท ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนในปีนี้อยู่ที่ 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 49% จาก 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020   ไม่เพียงจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ขยายตัวเท่านั้น แต่สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ด้วยมูลค่าบริษัทสูงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ปีนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 11 ราย ส่งผลให้ปัจจุบันอาเซียนมียูนิคอร์นรวมเป็น 23 ราย ยูนิคอร์นหน้าใหม่ที่เกิดขึ้น อาทิ คาร์โร  แพลตฟอร์มขายรถมือสอง, นินจา แวน  ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุ ซึ่งทั้ง  2 ราย เป็นสตาร์ตอัพของสิงคโปร์ ส่วนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง แกร็บ  และ โกทู  ยังคงเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก เช่นเดียวกับกลุ่ม ซี กรุ๊ป ยักษ์เทคโนโลยีของสิงคโปร์ที่กลายเป็นบริษัทมาแรง ด้วยมูลค่าตลาด  ถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์อย่าง การีน่า และช็อปปิ้งออนไลน์อย่าง  ช้อปปี้

        โดยกระแสเงินทุนของนักลงทุนทั่วโลกในสตาร์ตอัพเทคโนโลยีของอาเซียนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าข้อตกลงทางธุรกิจในบริษัทเทคโนโลยีอาเซียนช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นราว 65% จากช่วงเดียวกันของปี 2020 และเกือบเท่ากับมูลค่ารวมของข้อตกลงตลอดทั้งปี 2020 ที่ 11,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

        ทั้งนี้สำหรับในไทยปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของสตาร์ทอัพ เพราะเกิดสตาร์ทอัพ ที่มีมูลค่าธุรกิจ  1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 33,000 ล้านบาท  หรือที่เรียกว่า “ยูนิคอร์น”เกิดขึ้น 3 รายรวด  เริ่มต้นจากแฟลช กรุ๊ป ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซครบวงจร  ที่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสามารถปิดดีลยักษ์จากการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ฺ E จากกลุ่ม Buer Capital Limited และ SCB 10X เข้าร่วมทุน พร้อม eWTP -โออาร์-เดอเบล-กรุงศรีฟินโนเวต ที่ลงเพิ่มได้เม็ดเงินรวมไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท นับเป็นสตาร์ทอัพไทยรายแรก ที่สามารถระดมทุนรวมได้มากที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 30,000 กลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย และประกาศขึ้นเป็นขนส่งเอกชนอันดับ 1 ด้วยตัวเลขจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น

         ล่าสุดที่ปิดดีลกันในเดือนพฤศจิกายน โดยกลุ่มเอสซีบี เอ็กซ์” SCBX  เข้าลงทุนใน Bitkub “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจาก Bitkub บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd.) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท

 

ขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ

คลังเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ ตั้งแต่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค64

     น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นออมไปด้วยกัน วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนมาลงทุนเพื่อเป็นอีกทางเลือกในการเพิ่มการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนดี โดยช่องทางการจำหน่ายหลากหลาย สะดวกในการเลือกลงทุนแบ่งเป็น 2 รุ่นอายุ คือ อายุ 5 ปี และ 10 ปี ช่องทางการจำหน่ายแยกเป็น 2 ส่วน รายละเอียดดังนี้ ส่วนที่ 1 จำหน่ายในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง วงเงินรวม 1 หมื่นล้านบาท เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 โดยพันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี จ่ายดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได ปีที่ 1 ร้อยละ 1.5 ต่อปี ปีที่ 2-4 ร้อยละ 2 ต่อปี และ ปีที่ 5 ร้อยละ 3 ต่อปี เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.10 ต่อปี ส่วนรุ่นอายุ 10 ปี จ่ายดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได ปีที่ 1-3 ร้อยละ 2 ต่อปี ปีที่ 4-5 ร้อยละ 3 ต่อปี ปีที่ 6-9 ร้อยละ 3.50 ต่อปี และปีที่10 ร้อยละ 4 ต่อปี เฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท ถึง 10 ล้านบาท

      คุณสมบัติผู้ซื้อเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป แต่กรณีผู้เยาว์เมื่อลงทะเบียนในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตังแล้วต้องไปยืนยันตัวตนพร้อมผู้ปกครองที่สาขาธนาคารกรุงไทยสำหรับการซื้อครั้งแรก

        ส่วนที่ 2 จำหน่ายให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่าย 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ วงเงิน 70,000 ล้านบาท ลงทุนได้ตั้งแต่ 1,000 บาท โดยไม่จำกัดวงเงินซื้อขั้นสูง

       โดยจะแยกเป็นการจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปก่อนในวงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 อัตราดอกเบี้ยทั้งรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี และรอบการจ่ายดอกเบี้ยเหมือนกับผู้ลงทุนผ่านแอปพลิชั่นเป๋าตัง โดยประชาชนที่สนใจสามารถลงทุนผ่านทั้งเคาน์เตอร์ธนาคาร อินเตอร์เน็ตแบงกิ้งและโมบายแบงกิ้งของธนาคารทั้ง 4 แห่ง คุณสมบัติผู้ลงทุนเช่นเดียวกับการลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง หากเป็นผู้เยาว์ต้องมีบัญชีธนาคารตัวแทนจำหน่ายและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

        ส่วนที่เหลือ 1.5 หมื่นล้านบาทจำหน่ายให้แก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไร มีเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี เปิดจำหน่ายตั้งแต่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 ดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 2.20 จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจำหน่ายเฉพาะช่องทางเคาน์เตอร์ธนาคารทั้ง 4 แห่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมในรูปแบบต่างๆ จึงมีการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์การเงินของภาครัฐ ช่องทางการอำนวยความสะดวกในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ครั้งนี้กระทรวงการคลังก็ได้เน้นจำหน่ายให้แก่ประชาชนรายย่อย 6.5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือ 1.5 หมื่นล้านบาทจำหน่ายแก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไรกระทรวงการคลังมีแผนออกพันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ 2565 รวม 1.5 แสนล้านบาท รอบนี้ออกพันธบัตร 8 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วนอีก 7 หมื่นล้านบาท จะออกจำหน่ายช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย. 2565

 

ขอบคุณ สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ดาวโจนส์หวนปิดบวกที่ 179 จุด ขานรับการปรับโครงสร้าง J&J

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 179.08 จุด หรือ 0.5% ปิดที่ 36,100.31 จุด ดัชนี S&P 500  เพิ่มขึ้น 33.58 จุด หรือ 0.72% ปิดที่ 4,682.85 และดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้น 156.68 จุด หรือ 1% ปิดที่ 15,860.96 จุด ในส่วนของราคาหุ้นของ J&J พุ่งขึ้นกว่า 1%

      ในการซื้อขาย ขานรับแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของทางบริษัท โดย J&J ประกาศแผนปรับโครงสร้าง โดยจะแยกกิจการออกเป็น 2 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเวลา 18-24 เดือน

ทั้งนี้ J&J จะแยกธุรกิจสินค้าเพื่อผู้บริโภคออกไปตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Band-Aids และแป้งเด็ก ขณะที่ J&J ดูแลผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์ ซึ่งบริษัทยังระบุว่าจะยังคงรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยให้เท่ากับระดับเดิมหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างดังกล่าว

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก 7 ติดต่อกัน

     สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้วันที่ 12 พ.ย. 64 ติดต่อกันเป็นวันที่ 7 รวมถึงปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อทองเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา

      โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.6 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ระดับ 1,868.5 ดอลลาร์/ออนซ์  สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นราว 2.8% ในสัปดาห์นี้

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.5 เซนต์ หรือ 0.18% ปิดที่ 25.346 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 5.3 ดอลลาร์ หรือ 0.48% ปิดที่ 1,089.2 ดอลลาร์/ออนซ์รวมถึงสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 55.70 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 2,117.70 ดอลลาร์/ออนซ์

      ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองด้วย โดยสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 10.63 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค.

     ทำให้ตัวเลขการลาออกจากงานโดยสมัครใจพุ่งขึ้น 164,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 4.43 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราการลาออกจากงานโดยสมัครใจอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

      ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ดิ่งลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2554 จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราชกิจจาฯ ประกาศอัตราค่าโดยสารรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน

   ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ตามที่กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริการอิเล็กทรอนิกส์จากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศ (VAT for Electronic Service : VES) ที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการในประเทศไทยนั้น เพียงเดือนแรกมีแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนแล้วจำนวน 106 ราย และมียอดค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์รวมกว่า 9,800 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระในเดือนแรกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 686 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อยละ 65

      โดยกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับบริการอิเล็กทรอนิกส์ หรือ  VES  ซึ่งมีผลบังคับกับแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการที่เป็นต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการไทย

      ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการต่างประเทศที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริการโฆษณาออนไลน์ บริการขายสินค้าออนไลน์ บริการแพลตฟอร์มสมัครสมาชิก เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม บริการแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลาง เช่น บริการขนส่ง  และบริการจองที่พัก โรงแรม ตั๋วเดินทาง ที่ให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย ที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย

      สำหรับกฎหมายภาษี e-Service นี้ ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในประเทศไทยและมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบ บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ภาษี e-Service จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจบริการออนไลน์และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในขณะที่ผู้ประกอบการต่างชาติที่ให้บริการออนไลน์เหมือนกันไม่ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากภาษีนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันแล้ว ภาษี e-Service ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ การเก็บภาษี e-Service จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการคำนวณเป็นฐานภาษีใหม่ที่จะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของประเทศไทยในอนาคต

       ทั้งนี้การจัดเก็บภาษี e-Service จากผู้ประกอบการต่างประเทศหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์กับผู้ใช้บริการในประเทศไทย ที่เก็บรายได้ทะลุเป้าในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของการชำระภาษี ทำให้คาดว่าทั้งปีกรมสรรพากรน่าจะสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้จากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท การเก็บภาษี e-Service รวมถึงเป็นการช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ด้วยการสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศด้วย

 

ขอบคุณ  : ประชาติธุรกิจ

ศูนย์ววิจัยกสิกรฯจับตาจีดีพีสัปดาห์หน้า คาดเงินบาท 32.50-33.30

 

เมื่อวาน 12 พ.ย.64 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 32.80 เทียบกับระดับ 33.32 บาท/ดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้าคือ 5 พ.ย. 64  โดยธนาคารกสิกรไทย  มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสำหรับสัปดาห์ถัดไป 15-19 พ.ย.64  ที่ 32.50-33.30 บาท/ดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/64 ของไทย ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19

 

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย. ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคานำเข้าและส่งออก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของญี่ปุ่น และยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนต.ค. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

 

โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา 8-12 พ.ย. 64  เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 32.73 บาท/ดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์ สอดคล้องกับสัญญาณเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรไทย (นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทยประมาณ 4.76 หมื่นล้านบาทระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.) ประกอบกับน่าจะมีอานิสงส์จากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของกลุ่มผู้ส่งออกตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก

ทั้งนี้เงินบาทลดช่วงแข็งค่าลงบางส่วนระหว่างสัปดาห์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นหลังจากอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักต่อความเป็นไปที่เฟดอาจจะจำเป็นต้องส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินเร็วขึ้น

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564

เผยหุ้นเด่นประจำวันที่ 12.11.64 เผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ขยับขึ้นตาม Sentiment

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะขยับขึ้นได้ตาม Sentiment ตลาดหุ้นทั่วโลกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในแต่ละตลาดที่ออกมาดี และราคาน้ำมันก็รีบาวด์ขึ้นด้วย รวมถึงบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้ ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาที่สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มเหมืองแร่ ซึ่งการรีบาวด์ของ SET อาจมีจำกัด จากความกังวลเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับขึ้นมา 1.58% และ US Dollar Index ก็ปรับขึ้นมาสูงสุดในรอบ 16 เดือน ทำให้คาดว่า SET จะไปได้ไม่ไกล

      ทำให้ติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันนี้ จะมีการผ่อนปรนเพิ่มหรือไม่ อย่างในเรื่องการนำเข้าแรงงานต่างด้าว หากมีการผ่อนปรนจะเป็นผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และดูว่าจะผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า หากทำได้ก็จะดีต่อกลุ่ม Reopeningพร้อมให้แนวรับ 1,625-1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,635-1,640 จุด

      นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.กำลังติดตาม 3 ปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตในภาพรวมที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นและสะท้อนไปยังราคาสินค้าที่อาจบั่นทอนแรงซื้อประชาชนที่ลดลงได้ ประกอบด้วย ต้นทุนวัตถุดิบทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ การเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้ากลางน้ำและปลายน้ำทยอยปรับราคา, แรงงานต่างด้าวขาดแคลนจากผลกระทบของโควิด-19 และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าและผันผวนที่กระทบต่อการนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบและพลังงาน

    หุ้นเด่นวันนี้

        – SCB (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) “ซื้อ” เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 135 บาท ปัจจัยหนุนจากการที่ ธปท.ประกาศผ่อนคลายการจ่ายปันผลของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สะท้อนความแข็งแกร่งของธนาคารไทย เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร (SCB บวกมากสุด) ผสานกับการที่ SCB เดินหน้าสู่การปรับโครงสร้างบริษัทลูก คาดจะช่วยหนุนการเติบโตในช่วงถัดไป

     – BEM (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 10 บาท มองผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วราคาหุ้นที่ลดลงเป็นโอกาสเข้าซื้อ จากทิศทางกำไรที่จะทยอยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ Q4/64 ระยะกลางยาวมีปัจจัยบวกจากข่าวล่าสุดที่ รฟม. เปิดขายซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้มูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท โดย BEM และ CK เป็นเต็งหนึ่ง

      – TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 9.50 บาท กำไร Q3/64 +4% Q-Q, +20% Y-Y ดีกว่าคาดแม้จะถูกกระทบทางอ้อมจากโควิด-19 และล็อกดาวน์ แต่สินค้าของ TACC ถูกกระทบน้อยกว่าคนอื่นและยังบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเยี่ยม แนวโน้ม Q4/64 จะเร่งตัวขึ้นทั้งธุรกิจเครื่องดื่มและ Character หลังลูกค้าเริ่มกลับมาทำโปรโมชั่นการตลาดอีกครั้ง ส่วนระยะยาวยังได้แรงหนนุจากการเติบโตไปในกัมพูชาและลาวตาม 7-11 รวมถึงการขยายฐานลูกค้า Non-7-11 พร้อมให้แนวรับ 7.70-7.80 บาท แนวต้าน 8.20-8.25 บาท

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ดาวน์โจนส์ร่วง 0.44% ขณะที่ดัชนีเอสแอน์พีและดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้น

      ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 158.71 จุด หรือ 0.44%  ปิดที่ 35,921.23 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500  เพิ่มขึ้น 2.56 จุด หรือ 0.06% ปิดที่ 4,649.27 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 81.58 จุด หรือ 0.52% ปิดที่ 15,704.28

      จุดเป็นวันทหารผ่านศึกของสหรัฐ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ โดยตลาดพันธบัตรสหรัฐปิดทำการ แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงเปิดทำการซื้อขายตามปกติ หุ้นของบริษัทวอลท์ ดิสนีย์ดิ่งลงกว่า 8% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4 ของปีงบการเงิน 2564

      ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุดวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี อาจเป็นปัจจัยผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้

       นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลางปีหน้า หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในเดือนต.ค.

      FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งวิเคราะห์การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนก.ค.2565 จากเดิมที่คาดไว้ในเดือนก.ย.2565

      ทั้งนี้ นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้ม 80% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.2565 และมีแนวโน้ม 100% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.2565 ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.2565

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

   สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค.2564 โดยถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้สัญญาทองคำที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ซึ่งสัญญาทองคำตลาด COMEX   ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 18.7 ดอลลาร์ หรือ 1.04% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.7% ในสัปดาห์นี้ แต่เพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนต.ค. โดยสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 17.1 เซนต์ หรือ 0.71% ปิดที่ 23.949 ดอลลาร์/ออนซ์ , สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 3.2 ดอลลาร์ หรือ 0.31% ปิดที่ 1,020.7 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.10 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,980.30 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาทองคำถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.82% แตะที่ 94.1169

   สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างไร้ทิศทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. แต่ชะลอตัวจากระดับ 1.0% ในเดือนส.ค. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคล ลดลง 1.0% ในเดือนก.ย.โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE ทั่วไป พุ่งขึ้น 4.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2534 โดยดัชนี PCE ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารและพลังงานรวมถึงดัชนี PCE พื้นฐาน ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับเดือนส.ค.

    ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 71.7 ในเดือนต.ค. จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

 ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในขณะที่เงินดอร์ล่าแข็งตัวขึ้น

      ราคาทองวันนี้พฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เมื่อเวลา 09.28 น. พุ่งพรวดเดียว 400 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพุธ โดยที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ รวมราคาปรับลดลงเล็กน้อย 50 บาท ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 (ประกาศครั้งที่ 1) โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,200 บาท รับซื้อบาทละ 28,091.48 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,700 บาทรับซื้อบาทละ 28,600 บาท ซึ่งราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,844 ดอลลาร์ 

     หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 17.5 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 1,848.3 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 17,190 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

      ทั้งนี้ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาพบว่า (ประกาศครั้งที่ 4 ครั้งสุดท้าย) ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,800 บาท รับซื้อบาทละ 27,697.32 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,300 บาท รับซื้อบาทละ 28,200 บาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ธปท. ผ่อนคลายนโยบายการจ่ายเงินปันผลของสถาบันการเงิน

     นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า  ธปท. ได้กำหนดแนวทางการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 พิจารณาจากผลการประเมิน เพื่อทดสอบระดับเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) ในช่วงปี 2564-2566 พบว่าระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีความแข็งแกร่งเพียงพอรองรับสถานการณ์ดังกล่าวได้ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ได้เพิ่มความระมัดระวังด้วยการทยอยตั้งสำรองและสะสมเงินกองทุนมาโดยตลอด ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีอัตราการกันเงินสำรองสูงถึง 1.55 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ร้อยละ 19.9 ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564

      โดยนโยบายดังกล่าวจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง มีกันชนรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้และสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง

      ดังนั้น ด้วยระบบสถาบันการเงินที่ยังแข็งแกร่ง มีเงินสำรองและเงินกองทุนรองรับสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า ธปท. จึงเห็นควรผ่อนคลายมาตรการการจ่ายเงินปันผล โดยยกเลิกการกำหนดเพดานไม่ให้จ่ายเกินอัตราการจ่ายในอดีต

     ทั้งนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว สถาบันการเงินยังจำเป็นต้องเสริมสร้างเงินกองทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง จึงยังกำหนดให้จ่ายเงินปันผลไม่เกินอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิประจำปี 2564 รวมทั้งให้ยึดหลักความระมัดระวัง ให้สอดคล้องกับฐานะผลการดำเนินงานของสถาบันการเงิน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

เนชั่น พลิกมีกำไร 19.73ล้าน พร้อมเดินหน้าสำนักข่าวคุณภาพสร้าง สร้างจุดเด่น เจาะคนรุ่นใหม่วัยทำงาน

      นายสุภวัฒน์ สงวนงาม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นการกลับมามีกำไรในรอบไตรมาสของปี 2564 โดยมีกำไรส่วนของบริษัทอยู่ที่ 19.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.84% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 12.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.04% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 13.58 ล้านบาท

       รายได้รวมไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่  152.37 ล้านบาท ลดลง 4.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่  158.74 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลักที่มีรายได้จากโฆษณาทีวี และงานอีเวนท์ ลดลง เพราะ ไม่สามารถจัดงานอีเวนท์ได้ แต่เนื่องจากบริษัทมีนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารต้นทุนที่ดีมาโดยตลอด

       ในช่วงที่ผ่านมาในกลุ่มธุรกิจทีวี เนชั่น 22 ได้มีการปรับเนื้อหาเพื่อเพิ่มฐานกลุ่มคนดูให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีกลุ่มคนดูในกรุงเทพฯและในจังหวัดใหญ่ ได้ขยายไปยังต่างจังหวัดด้วยคอนเทนต์ที่เข้าถึงผ่านกองบรรณาธิการข่าวที่ทำงานร่วมกันไม่เน้นที่ตัวบุคคล เพื่อตอกย้ำการเป็นสำนักข่าวที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ส่งผลทำให้ฐานคนดูเพิ่มขึ้นเฉลี่ยระดับแสนคนต่อวันรวมทั้งการเริ่มขยายกลุ่มคนดูที่อายุต่ำระหว่าง 25-45 ปี ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่านการทำคู่ขนานไปกับทีวี ส่งผลทำให้มีผู้ติดตามในออนไลน์ 14-15 ล้านคน และยอดติดตามชม 140 ล้านครั้งในทุกแพลตฟอร์มมีอัตราการเติบโต 100 %

       หลังจากปรับผังข่าวและรายการของ เนชั่น22  ด้วยการเน้นกองข่าวเป็นหลักส่งผลต่อฐานกลุ่มคนดูมากขึ้น   ซึ่งสะท้อนแผนยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับจุดเด่นสื่อที่มีคอนเทนต์คุณภาพ  เข้มข้น และข่าวเชิงลึก ต่างจากช่องอื่น  แต่ที่เพิ่มเติมกลุ่มคนดูที่เป็นวัยเริ่มต้นทำงานควบคู่กันไปผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เน้นมากขึ้นในปี 2564 สำหรับเป้าหมายในปี 2565 ในธุรกิจทีวี เน้นการเป็นสำนักข่าวและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านในการเป็นผู้นำ Content Provider เพื่อเชื่อมโยงคนดูทั้งทีวี ออนไลน์ และงานอีเวนท์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีการเพิ่มทีมผู้ประกาศเพิ่มเติมเข้ามาอีก ร่วมทั้งปรับผังรายการในช่วงเดือน ธ.ค. 2564 เพื่อก้าวสู่ Top 10 อุตสาหกรรม และยังส่งผลต่อการเพิ่มรายได้ในอนาคต  จากการเป็นโซลูชั่นที่ครบวงจรตอบสนองลูกค้าในการซื้อโฆษณาได้ครอบคลุม

      ทั้งนี้ด้านออนไลน์จะมีรายการเพื่อตอบโจทย์คนดูกลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น และสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากทีวีจากปัจจุบัน รายงานออนไลน์อิงทีวี 30-40 %  แต่ภายใน 3 ข้างหน้าปี คือ 2565-2567 ในส่วนของรายการออนไลน์จะมีคอนเทนต์ที่แตกต่างชัดเจน เพื่อตอบสนองกลุ่มคนดีมากขึ้น   รวมทั้งการนำคอนเทนต์และเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมโยงคนดู   ด้วยปัจจุบันฐานคนดูที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มากจากกลุ่มวีดิโอที่จะมีการดึงผู้ชมให้มีส่วนร่วมได้มากขึ้นในอนาคต สำหรับแพลตฟอร์มออนไลน์ภายใต้ NBC มีทั้ง 4 แบรนด์ ประกอบไปด้วย   เนชั่นออนไลน์  คมชัดลึกออนไลน์  ไทยนิวส์  และล่าสุดได้มีการเข้าซื้อคอนเทนต์ออนไลน์ The people เข้ามาเสริมทีมออนไลน์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ดาต้า ด้านบุคคลและมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทำให้สามารถนำมาพัฒนาคอนเทนต์ได้ในอนาคต

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564

อีลอน มัสก์ทุบสถิติเศรษฐีโลกที่เงินลดลงไปกว่า 1.6 ล้านล้านบาทภายในสองวัน! หลังราคาหุ้นเท

     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มูลค่า บริษัท “เทสลา อิงค์” (Tesla Inc.) ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ตามการประเมินจากราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงเกือบ 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 5.7 ล้านล้านบาท ขณะที่หุ้นของเทสลาร่วงหนักสุดในรอบ 14 เดือน ติดต่อกัน 2 วันรวดนับจากต้นสัปดาห์ (8 พ.ย.) หลังจากที่ นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งและนายใหญ่ของบริษัททวีตโยนหินถามทางเมื่อวันเสาร์ (6 พ.ย.) ส่งสัญญาณว่าจะขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่ในเทสลาออกไปสัก 10%  ภายในเวลาเพียง 2 วันที่ราคาหุ้นของเทสลาดิ่งลงติดต่อกันในช่วงต้นสัปดาห์ ความร่ำรวยของ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ได้ชื่อว่า “รวยที่สุดในโลก” ใน ทำเนียบ Bloomberg Billionaires Index ก็วูบหายไปทันที 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาท

     ราคาหุ้นของเทสลาที่ดิ่งลงครั้งนี้ เป็นความสูญเสียที่ทำให้กระจ่างชัดขึ้นมาเพราะแม้กระนั้น อีลอน มัสก์ ก็ยังคงครองอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทำเนียบ Billionaires Index ของบลูมเบิร์กอยู่ดี โดยเขายังคงมีทรัพย์สินมากกว่า นายเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) มหาเศรษฐีอันดับสองอยู่ถึง 83,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.7 ล้านล้านบาท

      โดยความมั่งคั่งที่หายไปในช่วงเวลาสองวันของอีลอน มัสก์ นายใหญ่ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา ถือเป็นสถิติใหม่ของทำเนียบมหาเศรษฐี Billionaires Index ของบลูมเบิร์ก เป็นความสูญเสียในช่วงเวลาสองวันที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ ยังเป็นความมั่งคั่งที่หดลดลง “มากที่สุดภายในวันเดียว” นับตั้งแต่ที่มีการจัดอันดับกันมา โดยครั้งที่หดแรงที่สุดก่อนหน้านี้ คือเมื่อคราวที่นายเจฟฟ์ เบซอส เจ้าพ่ออี-คอมเมิร์ช “แอมะซอน” หย่ากับภรรยาในปี 2561 ครั้งนั้นเบซอสจ่ายค่าหย่าให้อดีตภรรยาไป 36,000 ล้านดอลลาร์     

 

 

     ทำให้มูลค่าหุ้นของเทสลาที่หายไปมากกว่า 10% ภายในช่วงเวลาสั้น ๆนั้น (หุ้นเทสลาร่วงลงมากถึง 12% เมื่อวันอังคาร หลังจากปรับตัวลดลงที่ 4.8% เมื่อวันจันทร์) มีต้นตอมาจากการที่นายมัสก์ออกมาทวีตขอความเห็นจากผู้ที่ติดตามทวิตเตอร์ของเขาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า เขาควรจะขายหุ้นบริษัทเทสลาของเขาเองสัก 10% เพื่อเอาเงินมาจ่ายภาษีดีหรือไม่ ? เพราะตัวเขาเองนั้นโดนโจมตีว่าเสียภาษีน้อยเกินไปจากการที่เขาร่ำรวยมาจากสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นเป็นส่วนใหญ่  จากนั้นก็ตามมาด้วยข่าวที่ว่า น้องชายของมัสก์ก็ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเหมือนกันก่อนที่เขาจะมาทวีตขอความเห็นเสียอีกเท่านั้นยังไม่พอ ที่ช่วยย้ำซ้ำเติมให้เรื่องราวทั้งหมดดูย่ำแย่เข้าไปอีก คือการออกมาให้ความเห็นของนายไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งที่ออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อว่า มัสก์อาจจะอยากขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้สินส่วนตัว

       ทั้งนี้สำหรับผู้ที่เป็นห่วงสถานะความร่ำรวยของนายมัสก์ บลูมเบิร์กเผยว่า นอกจากหุ้นเทสลาแล้ว มัสก์ยังมีหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมายที่เขาก่อตั้งไว้หรือเป็นผู้บริหาร เช่นบริษัท นูราลิงค์ ผู้สรร์สร้างนวัตกรรมด้านประสาทเทคโนโลยี  และบริษัทสเปซเอ็กซ์ ที่กำลังมุ่งบุกเบิกยานสำรวจอวกาศเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้น มัสก์จึงยังคงครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิราว ๆ 338,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 11 ล้านล้านบาท

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองคำพุ่งแรง

   สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค.2564 โดยถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้สัญญาทองคำที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ซึ่งสัญญาทองคำตลาด COMEX   ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 18.7 ดอลลาร์ หรือ 1.04% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.7% ในสัปดาห์นี้ แต่เพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนต.ค. โดยสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 17.1 เซนต์ หรือ 0.71% ปิดที่ 23.949 ดอลลาร์/ออนซ์ , สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 3.2 ดอลลาร์ หรือ 0.31% ปิดที่ 1,020.7 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.10 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,980.30 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาทองคำถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.82% แตะที่ 94.1169

   สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างไร้ทิศทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. แต่ชะลอตัวจากระดับ 1.0% ในเดือนส.ค. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคล ลดลง 1.0% ในเดือนก.ย.โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE ทั่วไป พุ่งขึ้น 4.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2534 โดยดัชนี PCE ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารและพลังงานรวมถึงดัชนี PCE พื้นฐาน ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับเดือนส.ค.

    ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 71.7 ในเดือนต.ค. จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

 ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในขณะที่เงินดอร์ล่าแข็งตัวขึ้น

      ราคาทองวันนี้พฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เมื่อเวลา 09.28 น. พุ่งพรวดเดียว 400 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพุธ โดยที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ รวมราคาปรับลดลงเล็กน้อย 50 บาท ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 (ประกาศครั้งที่ 1) โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,200 บาท รับซื้อบาทละ 28,091.48 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,700 บาทรับซื้อบาทละ 28,600 บาท ซึ่งราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,844 ดอลลาร์ 

     หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 17.5 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 1,848.3 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 17,190 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

      ทั้งนี้ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาพบว่า (ประกาศครั้งที่ 4 ครั้งสุดท้าย) ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,800 บาท รับซื้อบาทละ 27,697.32 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,300 บาท รับซื้อบาทละ 28,200 บาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

บอร์ดอีวี เล็งลดภาษีนำเข้า EV ยุโรป-ญี่ปุ่นเหลือ 0% แลกขึ้นไลน์ผลิตรถพลังงานไฟฟ้าในไทย

      กระทรวงการคลัง เตรียมปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ เริ่มใช้ในปี พ.ศ.2569 โดยแบ่งพิกัดการปล่อยไอเสียให้ยิบย่อยเข้มข้นกว่าเดิม รถกินน้ำมันอย่างอีโคคาร์ และไฮบริดโดนหนัก ด้าน “บอร์ดอีวี” เล็งลดภาษีนำเข้า EV จากต่างประเทศเหลือ 0% แต่บริษัทนั้นต้องมีแผนประกอบในประเทศภายใน 3 ปี ด้านค่ายญี่ปุ่นโวย EV จีนได้ 0% แต่ไม่ต้องมีเงื่อนไขลงทุน ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน วางเป้าหมายให้ประเทศไทยผลิตรถพลังงานไฟฟ้า EV ถึง 30% จากกำลังผลิตทั้งหมดในปี 2573 จากนั้นในปี 2578 รถใหม่ที่จะขายในไทยต้องเป็น EV 100% โดยวางแผนสนับสนุนให้เกิดการผลิต และการใช้เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้ ผ่านนโนบายทางด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐาน ขยายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสาธารณะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

      บอร์ด อีวี ยังพิจารณาแผนสร้างดีมานด์ในหลากหลายทางเลือก พร้อมขยายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสาธารณะให้เพิ่มขึ้น โดยกำหนดให้มีสถานีแบบ Fast Charge (DC) ทั้งหมด 12,000 หัวจ่าย ทั่วประเทศภายในปี 2573  เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์รถพลังงานไฟฟ้าไปให้ถึงจุดหมาย บอร์ด อีวี วางแผนเร่งให้มี EV ทำตลาดมากขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย โดยมีแผนลดภาษีนำเข้า EV จากทุกแหล่งผลิตในต่างประเทศให้เหลือ 0% ปัจจุบันที่ EV แบรนด์ยุโรปเสียภาษีนำเข้า 80% ญี่ปุ่น 20% และเกาหลีใต้ 40% มีเพียง EV จีนที่ได้ 0% จนสามารถทำราคาได้น่าสนใจ ทั้ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเดิมนำเข้า Ora Good Cat ราคา 9.89 แสน-1.19 ล้านบาท MG EP ราคา9.88 แสนบาท และ MG ZS EV ราคา 1.19 ล้านบาท (รุ่นปัจจุบันหมดสต๊อกแล้ว รอรุ่นไมเนอร์เชนจ์เปิดตัวต้นปี 2565) ตลอดจนค่ายรถยนต์แบรนด์ยุโรปเลือกนำเข้า EV จากจีนมาทำตลาด เช่น BMW iX3 ราคา 3.399 ล้านบาท และ Volvo XC40 Pure Electric ราคา 2.59 ล้านบาท

       การลดภาษีนำเข้า EV ที่มาจากประเทศอื่นๆ ให้เป็น 0% นอกเหนือจากจีน จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการ 1 มกราคม 2565 แต่ภายใต้แผนของบอร์ดอีวี ยังมาพร้อมเงื่อนไขว่า บริษัทรถยนต์นั้นๆ ต้องมีแผนผลิต EV ในประเทศไทยภายในระยะเวลาที่กำหนด (รอยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ต้องผลิตภายใน 2 หรือ 3 ปี หลังจากขอใช้สิทธิ์ภาษีนำเข้า 0%)

       รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิตระบุว่า โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีในเดือนธันวาคมนี้จะมี 2 ส่วนคือ โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทั้งระบบที่ให้สิทธิภาษีต่างๆ ทั้งรถยนต์ไฮบริด อีโคคาร์ หรือ รถยนต์ปกติ จะหมดอายุลงในปี 2568 ดังนั้นจึงต้องประกาศโครงสร้างภาษีใหม่ที่จะให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2569 จึงต้องหารือกับผู้ประกอบการถึงทิศทางอุตสาหกรรมรถยนต์ในอีก 5 ปีข้างหน้าว่า จะต้องส่งเสริมการใช้รถยนต์ไปในทิศทางไหนและต้องประกาศล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัวและปรับปรุงกระบวนการผลิต ขณะเดียวกันในช่วง 5 ปี ก่อนที่สิทธิภาษีต่างๆ จะหมดลง รัฐบาลต้องการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ให้เกิดเร็วขึ้นและมีการใช้มากขึ้น จึงต้องมีการเสนอการปรับโครงสร้างภาษีรถอีวีอีกชุดหนึ่งแยกต่างๆหากด้วย

       ที่หารือกันจะเป็นการยกเลิกภาษีนำเข้า EV จากยุโรปและญี่ปุ่นให้เหลือ 0% เท่ากับ EV จีน เพื่อให้มีการนำเข้ามามากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ทางการกำหนดด้วย อย่างไรก็ตาม การลดภาษีนำเข้า EV ให้เป็น 0% แต่ผู้ประกอบการรายนั้นต้องมีแผนประกอบในประเทศ ถือเป็นเงื่อนไขที่ บีโอไอ กำหนดไว้ตั้งแต่แรกในแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุน เพียงแต่โควตานำเข้าที่ได้ (กี่คัน) จะสอดคล้องกับจำนวนเงินลงทุน โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะเป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้สิทธิประโยชน์นี้ กับ EV รุ่น EQS ที่พร้อมนำเข้ามาเปิดตัวปลายปี 2564 (แต่ยังไม่ส่งมอบ) จากนั้นจะเริ่มประกอบในประเทศต้นปี 2565 ซึ่ง EQS รุ่นประกอบในประเทศจะเป็นตัวที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้าชาวไทยดังนั้น ค่ายรถยนต์ที่ยื่นแผนส่งเสริมการลงทุนต่อบีโอไอในการผลิต EV ในไทย เช่น โตโยต้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ นิสสัน อาวดี้ มาสด้า สามารถใช้สิทธิ์นำเข้า EV โดยไม่เสียภาษีนำเข้าได้เช่นกัน

       บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น กล่าวว่า การสนับสนุน EV จากญี่ปุ่นด้วยการไม่เก็บภาษีนำเข้าถือเป็นเรื่องดี แต่ยังมีเงื่อนไขการลงทุนบังคับไว้ ต่างจากค่ายรถจีนที่ได้ลดภาษีนำเข้า EV เป็น 0% ทันที ซึ่งจากนี้ไปจะมีหลายบริษัทใช้ช่องทางนี้ในการเปิดตลาด EV ในไทย ขณะที่โครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่จะใช้ในปี 2569 จะมีผลกับรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) รวมถึง อีโคคาร์ และรถไฮบริด ที่จะมีการขึ้นภาษีปีละ 2-3% รวมถึงแบ่งพิกัดไอเสียที่มีผลต่อการเสียภาษีสรรพสามิตให้ละเอียดมากขึ้น โดยจะมุ่งส่งเสริม EV ขณะที่รถปลั๊ก-อินไฮบริด จะนำระยะทางวิ่งมากำหนดการเสียภาษีสรรพสามิต

       ด้านแบรนด์นำเข้าจากเกาหลี “เกีย” นางสาวฬสนันท์ ภูนิธิพันธุ์กุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทยนตรกิจ เกีย มอเตอร์ จำกัดเปิดเผยว่า หากภาครัฐฯลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็น 0% ถือเป็นนโยบายที่น่าสนใจ เพราะเกียมีรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าในรุ่น เกีย โซล อีวี ที่ปัจจุุบันจำหน่ายอยู่ที่ 2.387 ล้านบาท ซึ่งหากมีการลดภาษีจริงก็คาดว่าจะทำให้ราคาลดลงประมาณหลักแสนบาท แต่ถ้ามาพร้อมเงื่อนไขต้องลงทุนตั้งโรงงานในไทย คาดว่าบริษัท​แม่น่าจะไปลงทุนที่ยุโรปมากกว่า นอกเหนือจากฐานการผลิตในเกาหลี

     ผู้นำเข้ารถยนต์แบรนด์ยุโรปรายหนึ่งเปิดเผยว่า การผลักดันนโยบายลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 0% เป็นการปูทางให้ไทยเป็นฮับของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต แต่ในมุมของผู้นำเข้ารถยนต์จากยุโรป มองว่าแม้จะลดภาษีนำเข้าเป็น 0% แต่ผู้นำเข้ายังต้องจ่ายภาษีอื่นๆ อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษีสรรพสามิต, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีมหาดไทย โดยคงต้องรอดูนโยบายที่ชัดเจนว่าการปรับลดภาษีในครั้งนี้จะหมายรวมถึงส่วนใดบ้าง แต่สิ่งที่กระทบแล้วจากข่าวนี้คือ การที่ลูกค้าอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อ EV ออกไปก่อน เพื่อรอความชัดเจน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

สัญญาณฟื้นตัวของหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น เงินเริ่มไหลออกเริ่มชะลอตัวลง หลังคลายล็อกดาวน์

       ชญานี จึงมานนท์นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 6.3 แสนล้านบาท (ณ 31 ต.ค. 2564) เติบโต 5.0% จากสิ้นปี 2563 โดยภาพรวมปีนี้ ช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) กองทุนประเภทดังกล่าวมีเงินไหลออกสุทธิรวม 3.1 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งเป็นเงินไหลออกในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ขณะที่ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เม็ดเงินไหลออกเริ่มชะลอลงอย่างชัดเจน เหลือเงินไหลออกสุทธิเพียง 211 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่มีการลงทุนในเซ็กเตอร์หลัก อย่างเช่น พลังงาน การเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยเกือบครึ่งหนึ่งของพอร์ตกองทุน ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศล่าสุด ที่ดีกว่าช่วงกลางปี รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ จะส่งเสริมให้การบริโภคฟื้นตัวได้มากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

       ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) จะพบว่าดัชนี mai ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 62.7% ตามมาด้วย sSET ที่ 46.7% ส่วน SET index ปรับขึ้นมา 12% ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ปรับขึ้นมาเพียง 7.6% เท่านั้น  ในช่วงครึ่งปีแรก สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไปค่อนข้างมาก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยในประเทศที่เข้าไปลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากที่มีการเปิดประเทศก็เริ่มที่จะเห็นกระแสเงินทุน (ฟันด์โฟลว์) จากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ที่ซบเซาเริ่มฟื้นตัว

        มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในปีนี้ปีที่โดดเด่นสุด จะเป็นกลุ่มที่อิงไปกับพลังงานโลก (global energy) เนื่องจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้ราคาเชื้อเพลิงต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ที่จะเด่นในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่ากลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการประกาศกำไรออกมาค่อนข้างดี และเป็นกลุ่มที่มีการปรับตัวและเห็นถึงการฟื้นตัวดีที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ เริ่มเห็นสัญญาณหลังจากที่นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาสนใจในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการดี อย่างเช่น กลุ่มธนาคาร ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ โดยหลังพ้นกลางเดือน พ.ย.ไปแล้ว หรือหลังจากที่มีการประกาศงบดุลของบริษัทจดทะเบียนจนครบแล้ว ก็จะมีการประเมินถึงผลประกอบการในปีหน้า ซึ่งก็เชื่อว่าหุ้นขนาดใหญ่ยังมีโอกาสเติบโตได้ดีอยู่ในช่วงปลายปีไปจนถึงปีหน้า จากความหวังจากเปิดประเทศและการประกาศงบฯของหลาย ๆ บริษัทที่ออกมายังเติบโตเป็นที่น่าประทับใจ

       ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าสัญญาณบวกการลงทุนน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องได้ หากไม่มีการระบาดที่รุนแรงของไวรัสโควิด-19 กลับมาอีก

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ