LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นวันนี้

      EKH (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 9.40 บาท แนวโน้ม Q4/64 แม้จะอ่อนตัว Q-Q ตามโควิด-19 ที่คลี่คลาย แต่คาดยังเติบโตโดดเด่น Y-Y โดยเบื้องต้นคาดใกล้เคียง Q2/64 หนุนกำไรทั้งปี 64 ที่คาด +289% Y-Y มี Upside ราว 14% โดยประเมิน EKH จะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีกรณีเกิดการระบาดระลอกใหม่หลังเชื้อสายพันธุ์ “โอไมครอน” เริ่มพบในยุโรป แต่หากควบคุมได้ประเมินธุรกิจ IVF ของ EKH จะฟื้นตัวหนุนการเติบโตระยะถัดไป พร้อมให้แนวรับ 7.80-7.60 บาท แนวต้าน 8-8.20 ถัดไป 8.50 บาท

 

      EPG (คิงส์ฟอร์ด)ซื้อเก็งกำไรเป้า IAA Consensus 15.30 บาท ผลประกอบการ Q2/64-65 (ก.ค.-ก.ย.) รายงานกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท ยังเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ รายได้รวมยังปรับตัวเพิ่ม QoQ ได้หนุนจากกลุ่มชิ้นยานยนต์ยานยนต์ Aeroklas ที่ส่งออกไปยังออสเตรเลียและยุโรป และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ EPP ทีมีการเร่งระบายสินค้าเก่าในสต๊อก ช่วงชดเชยรายได้กลุ่มฉนวน Aeroflex ที่ถูกกระทบจากการ Lockdown ขณะที่ GPM ถูกกดดันจากต้นทุนวัตุดิบและการทำโปรโมชั่น แนวโน้ม Q3/64-65 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดฟื้นตัว QoQ ทุกธุรกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงจะมีการทยอยปรับเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

      RS (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22 บาท ทุกหน่วยธุรกิจฟื้นตัว ผู้บริหารเตรียมสร้าง Digital Eco System พร้อม Transform คาดโควิด-19 ไม่ทำแผนสะดุด ราคาที่พักฐานระยะสั้นเป็นโอกาสสะสม ด้านบริษัทย่อย “โฟร์ท แอปเปิ้ล” เตรียมสร้าง Platform สำหรับ Popcoin- Digital Token ของกลุ่มที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าและ Partner พร้อมเข้าเทรดต้นปี 65 พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 225 ลบ. และ 576 ลบ. -57.4%YoY, +155.9%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ปรับตัวลงราว 0.5-0.8% ส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลง

        นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างปรับตัวลงราว 0.5-0.8% จากความกังวลไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ซึ่งขณะนี้ได้มีการระบาดในยุโรปหลายประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ในยุโรปก็มีการระบาดโควิดหนักอยู่แล้ว มาเจอสายพันธุ์ใหม่อีก ทำให้กังวลการเติบโตเศรษฐกิจ จึงมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา

      ตลาดบ้านเราก็เผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมาทั้งในตลาดหุ้น และตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยง และตลาดฯวันนี้คงจะเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานด้วยหลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงแรง

      ทั้งนี้สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจไทย, MSCI Rebalance ในวันที่ 30 พ.ย.นี้, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการของทั่วโลกที่จะทยอยออกมา, ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค.นี้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

วิกฤตโอไมครอน ส่งผลให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดขึ้นกว่า 200 จุด

 

     ณ เวลา 07.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้น 204 จุด หรือ +0.59% แตะที่ 35,062 จุด ในส่วนของราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้น 3.25 ดอลลาร์ หรือ +4.77% แตะที่ 71.42 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ หลังจากที่ดิ่งลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% ปิดที่ 68.15 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

    นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนที่พบในแอฟริกาใต้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าไวรัสโอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตก และอาจแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่น  โดยโอไมครอนเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ที่ 5 ที่ WHO ประกาศให้เป็น สายพันธุ์ที่น่าวิตก ซึ่งแคนาดาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจำนวน 2 รายในเมืองออตตาวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 รายเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศไนจีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้

     ทั้งนี้นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค., ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดดัลลัส, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนต.ค. , จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นค้าปลีกไอทีโตแรง สวนโควิด

     กำลังซื้อกลุ่มสินค้าไอทียอดพุ่ง สวนกระแส การระบาดของโควิด-19 ซึ่งการแพร่ระบาดดังกล่าว ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home) เรียนหนังสือที่บ้าน (Learn From Home) กันมากขึ้น สินค้าไอทีจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น

     โดยโปรดักส์สุดฮิต ที่ยังมาแรงเห็นจะเป็น iPhone 13 เดินหน้าโกยยอดขายได้ต่อเนื่อง หลังเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา แถมตอนนี้หลายรุ่น สินค้าขาดตลาดด้วยซ้ำ สาวกไอโฟนต้องอดใจรอกันหน่อย

     ความร้อนแรงของ iPhone 13 เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายร้านค้าปลีกสินค้าไอทีปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หลายบริษัทน่าจะได้เห็นยอดขายทำนิวไฮ เติบโตสวนวิกฤตโควิด ขณะเดียวกันกระแสโลกเสมือนจริง หรือ Metaverse ที่กำลังมาแรงจะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญให้ตลาดสินค้าไอทีในระยะถัดไป

     สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าไอทีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทยมีอยู่หลายบริษัท นำโดยบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ด้วยขนาดมาร์เก็ตแคป 96,600 ล้านบาท มีร้านค้ามากมายหลายแบรนด์รวมกว่า 900 สาขา เช่น BaNANA, Studio7, BaNANA Mobile, KingKong Phone ฯลฯ และยังให้บริการหลังการขายสินค้า Apple ภายใต้ชื่อ “iCare” รวมทั้งร้าน “TRUE by Com7” โดยปี 2563 มีรายได้รวม 37,352.90 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จะเติบโต 20%

     อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจะคุ้นเคยกันดี บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART มีหน้าร้านของตัวเองมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆ ในเครืออีกหลายธุรกิจ จนเข้าตากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ โดดเข้ามาถือหุ้น

     ส่วนบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เน้นตลาดขายส่งเป็นหลัก โดยได้รับเลือกเป็นผู้แทนจําหน่ายสินค้าจากแบรนด์ชั้นนําระดับโลกมากกว่า 60 แบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 32,244.44 ล้านบาท

     บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของแบรนด์ Xiaomi ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขา รวมทั้งยังขายสินค้าของ Apple ผ่านร้าน iStudio by copperwired และ Ai ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 โตมากกว่า 20%

     บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI อีกหนึ่งตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ผ่านช่องทางร้าน iStudio by SPVi, iBeat by SPVi, U Store by SPVi, Mobi และศูนย์บริการลูกค้า iCenter ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 โต 10-15% โดยเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา

     บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการขายสินค้าไอทีครบวงจร ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เช่นเดียวกับปีนี้ พร้อมวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 43 สาขา รวมเป็น 440 สาขา

    ทั้งนี้การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ในฝั่งของผู้ประกอบการอัดแคมเปญโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ลด แลก แจก แถม กันอย่างเต็มที่เพื่อปิดตัวเลขปลายปี ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภค

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าร่วง หลุดระดับ 1,600 จุด

  เมื่อเวลา 10.12 น. วันที่ 29 ธ.ค.64 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,608.83 จุด ลดลง 1.78 จุด (-0.11%)

   นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด หลุดแนว 1,600 จุด ซึ่งตลาดบ้านเราปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบกันทั่วหน้า จากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ทำให้สถานการณ์มีความไม่แน่นอน เนื่องจากยังมีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่มากนัก

   นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงมาก ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดฯในเช้านี้ด้วย และยังเผชิญแรงกดดันจากหุ้น AOT และหุ้นในกลุ่มแบงก์ด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610-1,615 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขาขึ้น1,630-1,645 จุด แต่ดาวน์ไซด์ไม่มีมาก

      บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้ขึ้นในกรอบจำกัด หลังวานนี้มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่กลับเข้ามาในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน สื่อสาร และธนาคาร ตอบรับสภาพัฒน์ฯประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของปี 2564 ออกมาหดตัวเพียง 0.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งดีกว่าคาดมาก

      ในส่วนของสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ขยายตัวช่วยหนุน แต่กลุ่มบริโภคและลงทุนยังคงได้รับผลกระทบหนักจากการ Lockdown ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการจะขยายตัวเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 และปีหน้า โดยในปี 2565 สภาพัฒน์ฯคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3.5-4.5% โดยค่ากลาง 4.0% ตามการคลี่คลายของสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศและการเปิดภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง เช้านี้ SET Index จะแกว่งตัวอิงทางขึ้นได้ต่อในกรอบระหว่าง 1,630-1,645 จุด แม้อัพไซต์ยังจำกัด แต่ดาวน์ไซต์ก็ไม่มีมากเช่นกัน รอติดตามการประชุม ครม.สัญจร และข้อสรุปการหารือระหว่างผู้นำสหรัฐและจีน

      ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงหารือกันผ่าน Virtual Conference ท่ามกลางการจับตาของทั่วโลกหลังความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจโลกมีความขัดแย้งกันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน ซินเจียง อุยกูร์ การปราบปรามผู้ชุมนุมในฮ่องกง และการขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ในด้านเศรษฐกิจต้องติดตามข้อตกลงการค้า ภาษีนำเข้า และการแบนบริษัทข้ามชาติของสองประเทศว่าจะมีทิศทางใด แม้การหารือครั้งนี้ทั้งสหรัฐและจีนจะไม่ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน แต่อาจจับสัญญาณได้บางส่วนจากที่คาด สี จิ้นผิง จะเชิญไบเดนเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งช่วงเดือน ก.พ. 2565

      ซึ่งหากไบเดนตอบรับคำเชิญจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าการหารือเป็นไปได้ด้วยดีระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ประเด็นดังกล่าวมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น คือ การที่จี 7 กำลังพิจารณาที่จะ บอยคอตทางการทูต ต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของจีน โดยนักกีฬายังคงเข้าร่วมการแข่งขันได้ตามปกติ แต่ผู้นำประเทศของจี 7 จะไม่เข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน COVID-19

     ด้านสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในยุโรปยังเร่งตัวต่อเนื่อง อังกฤษ-เยอรมนี-รัสเซียติดเชื้อรายวันสูงสุดแตะ 40,000-50,000 ราย ขณะที่บางประเทศเริ่มใช้มาตรการคุมเข้มแล้ว อีกทั้งยังพบการกลายพันธุ์ใหม่ชนิด B.1.640 จากฝรั่งเศส ที่ยังไม่ทราบความรุนแรงและระดับการแพร่กระจายของเชื้อตัวดังกล่าว ที่หากการระบาดรุนแรงจนต้องกลับไปใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง อาจฉุดอุปสงค์น้ำมันดิบโลกลงอีกครั้ง และกระทบภาคการท่องเที่ยวของไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วง High Season ไตรมาส 4 ส่งผลให้ GDP ปีนี้โตต่ำกว่าคาดการณ์ของสภาพัฒน์ 1.2%

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 64 และ 65

       สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐและสังคมแห่งชาติ  หรือ สภาพัฒน์ ปรับเพิ่มเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 1.2% จากเดิมคาด 0.7-1.2% และคาดปี 2565 เติบโตที่ 3.5-4.5% โดยก่อนหน้า ได้รายงาน GDP ใน 3Q/2564 หดตัว -0.3% YoY จากขยายตัว 7.6% ในไตรมาสก่อน ผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรงของโควิด-19 แต่อัตราการติดลบดังกล่าวน้อยกว่าที่ตลาดและวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ -1.3% และ -1.1% ตามลำดับ เนื่องจากได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เร่งขึ้นมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนทำให้การบริโภคสินค้าไม่คงทนในหมวดอาหารยังเติบโตได้แม้ภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนจะหดตัวซึ่งการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังในไตรมาสนี้นับว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจทำให้การส่งออกสินค้าและบริการที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกบริการที่เร่งขึ้นจากค่าบริการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวดีตามปริมาณการค้าระหว่างประเทศ

          ขณะที่ศูนย์วิจัยกรุงศรี เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 64 และ 65 โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ในไตรมาส 3 ปีนี้หดตัวน้อยกว่าคาดซึ่งการกระจายวัคซีนที่เร่งขึ้น ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ, สัญญาณเชิงบวกจากการลงทุนภาคเอกชนที่อาจได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและกิจกรรมเศรษฐกิจของโลกที่ทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ ตลอดจนมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะยังมีบทบาทสำคัญ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง

       ภาพรวมทางเศรษฐกิจไทย หรือ Thai GDP level  มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเหนือระดับก่อนการระบาดได้เร็วกว่าเดิม 1-2 ไตรมาส จากเดิมคาดไตรมาส 1/2566 ในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. บ่งชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อมาจากปัจจัยชั่วคราว พร้อมส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า โดยการประชุม กนง. วันที่ 10 พฤศจิกายน มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วและเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว จากการใช้ภายในประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเร่งกระจายวัคซีน และตลาดแรงงานมีแนวโน้มปรับดีขึ้น จึงคาดการณ์ว่า GDP ปี 2564 และปี 2565 จะขยายตัวใกล้เคียงกับประมาณการในการประชุมครั้งก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากราคาพลังงานโลกเป็นหลัก

      แม้ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะลดลง และมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งหลายประเทศเตรียมทยอยปรับลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินกันบ้างแล้ว แต่ในส่วนของไทย คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้น โดยอาจเห็นแตะระดับ 3% ได้ในบางเดือนของไตรมาส 1/2565 ส่วนหนึ่งมาจากผลของฐานที่ต่ำในช่วงต้นปี 2564 แต่จะบรรเทาลงในช่วงที่เหลือของปี 2565 สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.  ประเมินว่าน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะอุปทานส่วนเกิน หรือ excess supply ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบางภายใต้ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยที่ยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการระบาด

      ทั้งนี้แถลงของ กนง.ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ชี้ว่าทางการจะยังดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยรวมแล้ว คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.50% อย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2565

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด และในไตรมาส 4/64 ถึง ปี 65 ก็คาดว่าจะดีขึ้น

       นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันก็ลดลงมาก วันนี้มีจำนวน 6,300 กว่าราย ต่ำกสุดในรอบ 4 เดือน น่าจะช่วยหนุนหุ้น Domestic play และกลุ่ม Reopening ได้

      ในส่วนการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาแล้วก็ไม่ได้กระทบตลาดฯมาก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้มีโอกาสที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยเช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน

        ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับฐาน และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงไปมาก ทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมากดดันตลาดฯได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ในช่วงรอดูทิศทางต่าง ๆ จากฝั่งสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไปในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมา และรอดูภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงติดตามทิศทางการเมืองในประเทศด้วยพร้อมให้แนวรับ 1,630-1,628 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด

 

ขอบคุณ : อินโฟเควสท

โควิดฉุดรายได้เครือMKร่วง 257 ล้าน

      บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของกิจการ อาทิ  ร้านเอ็มเค สุกี้, ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ, ร้านมิยาซากิ ได้เปิดเผยผลกระกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัท และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 1,973 ล้านบาท ลดลง 1,825 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 48.1 มีผลขาดทุน 257 ล้านบาท ลดลง 722 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

      ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ กระทบต่อธุรกิจร้านอาหาร ที่ต้องปิดให้บริการ โดยสามารถให้บริการได้เฉพาะซื้อกลับบ้านและดีลิเวอรี่ ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายและการบริการ

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

จัดตั้งยานแม่ SCBx ผู้ถือหุ้นไทยพาณิชย์ โหวตผ่านฉลุย กว่า99%

     นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในแนวทางการสร้างไทยพาณิชย์ให้เป็นธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินด้วยเป้าหมายสู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด และเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) ทุกฝ่ายอย่างมั่นคงและแข็งแรงต่อไป โดยเห็นว่าแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวในการเติบโตของธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ในหลายด้าน  รวมทั้งเพิ่มความชัดเจนในการทำธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ให้สามารถขยายและพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนทำให้กลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ มีการแบ่งแยกการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชัดเจน  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์โดยรวม

      ทั้งนี้ช่วงเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม 2565 ผู้ถือหุ้นจะพิจารณาทำคำตอบรับการเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) จากบริษัท SCBx  โดยผู้ถือหุ้นต้องตอบรับคำเสนอซื้ออย่างน้อย 90% ต่อมาในเดือนมีนาคม2565 หุ้น “SCBx” จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเพิกถอนหุ้น “SCB” ในวันเดียวกัน โดยจะยังใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SCB”  และผู้ถือหุ้น SCB จะเปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้น SCBx  แทน

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ