LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

       NV (บมจ.โนวา ออร์แกนิค) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ราคาขาย IPO ที่ 6.90 บาท/หุ้น บล.เคทีบีเอสที ประเมินกำไรสุทธิปี 64 จะหดตัว -88% YoY อยู่ที่ 95 ล้านบาท และปี 65 +101% YoY อยู่ที่ 190 ล้านบาท จากรายได้รวมขยายตัวจากรายได้ถังเช่าฟื้นตัว, GPM ขยายตัวจากสัดส่วนรายได้ Livnest ที่เพิ่ม และ SG&A to total sales ลดลงจากแนวโน้มค่าโฆษณาที่ลดลง YoY ทั้งนี้ ประเมินราคาเหมาะสมปี 65 ของ NV ที่ 7.70 บาท อิง 2565 PER ที่ 24.00x โดยมองว่า NV ควรที่จะ discount valuation จาก Peer ที่เทรดที่ 2565 PER ที่ 26.6x เนื่องจาก Market Share ต่ำกว่า peer, ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์น้อยกว่า peer และประเมินว่ารายได้หลักของบริษัทในปี 65-66 จะมาจากถังเช่า ซึ่งมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอแผนในการทำตลาดถังเช่า โดย NV เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย โดยมีรายได้อยู่อันดับที่ 3 ของผู้ประกอบการอาหารเสริมในไทย และมีแผนที่จะทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

      HFT (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 8.50 บาท Theme EV เด่น นักลงทุนเริ่ม Rotate มาเล่นหุ้น EV แถว 2, ด้าน HFT พร้อมรุกล้อรถ E-Bike คาดปี 65 Order เข้าเพียบ แนวโน้มกำไรปี 22 โต YoY จากมาร์จิ้นการขายเฉลี่ยที่ดีขึ้น ตามการปรับ Product mix และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ด้าน Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 468 ลบ. และ 546 ลบ. +13%YoY, +17%YoY ตามลำดับ

       KBANK (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 166 บาท เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นตามเงินเฟ้อ สินเชื่อเติบโตดีสุดของกลุ่ม สถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลายเป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจ SME และเป็นบวกต่อ KBANK เพราะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ SME มากที่สุดของกลุ่มเช่นกัน

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.52 บาท/ดอลลาร์

       นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยและแกว่งตัว Sideways ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

      หลังจากที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ ตามภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และเงินบาทยังได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสินทรัพย์ไทย
เงินบาทอาจได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญและทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำ สัญญาณเชิงเทคนิคัลทั้ง RSI และ MACD ยังคงหนุนแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น

      โดยเงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญใกล้ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้ส่งออกต่างรอปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ธุรกรรมในช่วงปลายปีอาจเริ่มเบาบางลง ทำให้ตลาดค่าเงินอาจมีความผันผวนสูงได้ หากมีโฟลว์ธุรกรรมขนาดใหญ่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นฝั่งซื้อหรือขายเงินดอลลาร์

       กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.45-33.60 บาท/ดอลลาร์ ตลาดการเงินโดยรวมเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดการเงินคงมุมมองว่า การระบาดของโอมิครอนนั้นอาจมีความรุนแรงน้อยกว่าการระบาดในระลอกก่อนหน้า สอดคล้องกับผลวิจัยเบื้องต้นจากฝั่งยุโรปที่พบว่า แม้โอมิครอนจะแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แต่กลับไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงการป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากนัก

       ทั้งนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น +0.62% ทำจุดสูงสุดใหม่ All time high ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดตลาด +0.85% ใกล้ทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน
ฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้นราว +1.16% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical/Reopening theme รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคฯ ที่เดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อ อาทิ Santander +3.1%, BMW +2.0%, ASML +1.4% สะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาการระบาดของโอมิครอนและต่างคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการระบาดสงบลง
ฝั่งตลาดบอนด์ การเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 4 bps สู่ระดับ 1.49% และเราคาดว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้หลังช่วงเทศกาลคริสต์มาสและวันหยุดสิ้นปี ตามแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกและภาวะของตลาดการเงินที่จะกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
โดยการย่อตัวลงเล็กน้อยของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยพยุงให้ ราคาทองคำ ทรงตัวใกล้ระดับ 1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าจะถูกกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดก็ตาม อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อแรงได้ยาก และ Upsides ของราคาทองคำเริ่มจำกัด ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นโฟลว์ขายทำกำไรราคาทองคำมากขึ้น หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านสำคัญแถว 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน เนื่องจากธุรกรรมในตลาดอาจเบาบางในช่วงวันหยุดก่อนเทศกาลคริสต์มาสในหลายประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการและนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรม

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

 

บิตคอยน์ ปรับตัวขึ้น 3.60%

      การเคลื่อนไหวในแดนบวกของราคาบิตคอยน์ช่วงเช้าวันนี้ มีขึ้นหลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดวันที่ 24ธ.ค.64 ปรับตัวขึ้น 196 จุด

      ก่อนถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนที่ตลาดจะหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยภาวะการซื้อขายได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกว่า เศรษฐกิจโลกจะไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 196.67 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 35,950.56 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 29.23 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 4,725.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 131.48 จุด หรือ 0.85% ปิดที่ 15,653.37 จุด

      ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดีที่ 24ธ.ค. 64 ปรับตัวขึ้น 9.50 ดอลลาร์ โดยนักลงทุนชะลอการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

       สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 9.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,811.70 ดอลลาร์/ออนซ์

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

นักท่องเที่ยวคลายกังวลโอมิครอน ดาวโจนส์ปิดบวก 196.67

        ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ วันที่ 23 ธ.ค.64 ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

       หลังผลการวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยรายงานดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม
       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,950.56 จุด เพิ่มขึ้น 196.67 จุด หรือ +0.55%,
       ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,725.79 จุด เพิ่มขึ้น 29.23 จุด หรือ +0.62% และ
        ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,653.37 จุด เพิ่มขึ้น 131.48 จุด หรือ +0.85%

        ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ ขานรับผลการวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน, มหาวิทยาลัยเอดินบะระแห่งสกอตแลนด์ และสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา

          นอกจากนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโอมิครอนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรงน้อยกว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดลตา

          ทางด้านบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเปิดเผยผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

           นอกจากนี้ ผลการวิจัยในห้องแล็บยังบ่งชี้ว่า ยาเอวูเชลด์ (Evusheld) ซึ่งเป็นยาแอนติบอดีแบบผสม (Antibody Cocktail) ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสโอมิครอนได้

       ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ของบริษัทเมอร์ค เป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นยาตัวที่สองที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในสหรัฐ หลังจากที่ FDA เพิ่งอนุมัติยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

         ข่าวความคืบหน้าดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจเช่นหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม โดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เพิ่มขึ้น 0.67% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ บวก 0.43% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล พุ่งขึ้น 1.61% หุ้นลาสเวกัส แซนด์ส ทะยานขึ้น 4.23% หุ้นวินน์ รีสอร์ทส์ พุ่งขึ้น 3.51%

        หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจเช่นกัน โดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.25% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) บวก 1.02% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 2.01% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา บวก 0.35% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 0.71% หุ้นเจพีมอร์แกน บวก 0.36%

       

ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการเมื่อคืนนี้ รวมถึงตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวที่ระดับ 205,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากกระเตื้องขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนต.ค.

          ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และหากเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปีตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 24 ธ.ค. เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้