LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

บิตคอยน์ ปรับตัวลง 0.42%

     บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.47 น.ของวันที่ 2ธ.ค. 64 ปรับตัวลง 0.42% เคลื่อนไหวที่ 57,048.7 ดอลลาร์

     การปรับตัวร่วงลงในช่วงเช้าวันนี้ของราคาบิตคอยน์มีขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวว่าบริษัทไมโครสตราติจี (MicroStrategy)ซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีกจำนวนกว่า 7,002 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า 414 ล้านดอลลาร์

      การซื้อครั้งนี้ทำให้การถือครองบิตคอยน์ของบริษัทมีจำนวนรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 121,044 BTC และบริษัทซื้อบิตคอยน์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 59,187 ดอลลาร์/เหรียญ ต่ำกว่าจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 69,000 ดอลลาร์ของช่วงต้นเดือนพ.ย.

       ไมโครสตราติจี ค่อยๆเพิ่มการถือครองบิตคอยน์ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้ใช้เงินซื้อบิตคอยน์ไปแล้วทั้งหมดมูลค่าประมาณ 3.57 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าราคาบิตคอยน์จะร่วงลดลงจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่บริษัทยังคงมีกำไรอยู่ โดยราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 29,534 ดอลลาร์/บิตคอยน์

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวนเนื่องจากสหรัฐพลิกเป็นลบหลังพบผู้ติดเชื้อโอไมครอน

     นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน โดยอาจปรับตัวลงก่อนเด้งกลับ เนื่องจากตลาดสหรัฐฯพลิกเป็นลบหลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐ วิตกอาจต้องนำมาตรการควบคุมออกมาใช้ และไทยยังต้องเร่งติดตามผู้เดินทางมาจากแอฟริกามาตรวจหาเชื้อ อีกทั้งเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าวัคซีนที่มีอยู่จะป้องกันได้หรือไม่

   ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งปรับลดโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตลาดฯรับรู้ไปล่วงหน้ามากแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นอีกปัจจัยเสี่ยง ดังน้น คาดหุ้นกลุ่มเปิดเมืองที่เด้งขึ้นเมื่อวานนี้อาจกลับมาร่วงลงอีก

      ทั้งนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาตเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยดาวโจนส์ฟิวเจอร์เช้านี้บวก และราคาน้ำมันเช้านี้ก็ปรับตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี แนะติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสวันนี้คาดไม่ปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และจับตาสถานการณ์ไวรัสโควิดโอไมครอนต่อไป พร้อมให้แนวรับ 1,580-1,570 จุด ส่วนแนวต้าน 1,593-1,600 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 4 กลุ่มหุ้น ยืนสวนกระแสโควิด

     นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความน่ากังวลของโอไมครอน (Omicron) ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเร็วกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า แม้ขณะนี้จะยังสรุปไม่ได้ว่าเชื้อจะรุนแรงแค่ไหน ต้องติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในแอฟริกาใต้ต่อเนื่อง ขณะที่ผู้พัฒนาวัคซีนกำลังปรับสูตรให้รองรับสายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะรู้ผลในอีก 1 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประเทศไทยคงจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เหมือนปีที่แล้ว เพราะอัตราการฉีดวัคซีนของประชากรอยู่ในระดับสูง กรณีเดียวที่จะกลับไปล็อกดาวน์ คือ อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนทั่วโลกสูงกว่าตัวเลขเดิมไปมาก ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกอยู่ประมาณ 2% ประเมินแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่บริเวณ 1,580 จุด มองจะไม่แย่เหมือนช่วงไตรมาส 3/2564 ที่ย่อตัวลงไปบริเวณ 1,520 จุด โดยหุ้นกลุ่มเปิดเมือง (reopening) ถูกเทขายหนัก เพราะนักลงทุนกังวลว่าการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจจะมีการปิดน่านฟ้าไปสักระยะหนึ่งในบางประเทศ ทำให้กระทบการเดินทางอย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ถ้าสถานการณ์โควิดมีความชัดเจน ทั้งวัคซีนและยารักษา หุ้นกลุ่ม reopening จะฟื้นตัว จึงเป็นจังหวะซื้อเมื่ออ่อนตัว

     ประเมินว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดกลายพันธุ์ คือ 1.หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่รักษาโควิด 2.หุ้นกลุ่มถุงมือยาง 3.หุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้ง และ 4.หุ้นกลุ่มไอซีที ซึ่งได้ประโยชน์ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม แต่แนะนำว่า รีบาวนด์รอบนี้ เป็นโอกาสในการขายทำกำไร (take profit) ในหุ้นโรงพยาบาลและหุ้นถุงมือยาง เพราะจากรายงานข่าวระบุว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนไม่ป่วยหนัก รักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ ในขณะที่ราคาหุ้นถุงมือยางลดลงต่อเนื่อง ในส่วนหุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้งลงทุนได้ เพราะจีนเป็นประเทศหลักที่มีการนำเข้าส่งออก ซึ่งจะมีการตรวจโควิดกลายพันธุ์เข้มต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นซัพพลายของเรือจะแออัด จึงแนะนำ บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 58 บาท และ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ให้ราคาเป้าหมายที่ 24.80 บาท หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด (worst case scenario) ซึ่งผิดไปจากที่กล่าวไปข้างต้น พบอัตราการเสียชีวิตที่สูง วัคซีนต้านไม่อยู่ ต้องคิดค้นวัคซีนชนิดใหม่ แนะนำนักลงทุนต้อง risk off ขายล้างพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, บิตคอยน์ เพราะราคาจะดิ่งลงหนัก

    นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตอนนี้มีความกังวลว่าโควิดสายพันธุ์โอไมครอน จะบั่นทอนประสิทธิภาพวัคซีนและจะนำไปสู่การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งกำลังติดตามอยู่ โดยจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จะทำให้ภาพตลาดหุ้นระยะสั้นอยู่ในภาวะผันผวน เพื่อรอพัฒนาการของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเม็ดเงินเริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตร เป็นต้น  หุ้นที่สามารถยืนสวนกระแสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ในช่วงเกิดโควิดในแต่ละรอบกับตลาดหุ้น มีประมาณ 3 รอบ คือ 1.สมุทรสาคร 2.ทองหล่อ และ 3.สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มัก out perform กว่าตลาด คือ 1.หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 2.แพ็กเกจจิ้ง 3.โรงพยาบาล และ 4.ถุงมือยาง (ดูตาราง) ซึ่งหุ้นเหล่านี้ผ่านการปรับฐานมามากแล้วกว่า 10% จากจุดสูงสุดของตั้งแต่ต้นปี และพบว่ารีเทิร์น 3 ช่วงที่เกิดโควิดมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่า ตลาดการเงินในฝั่งเอเชียและยุโรปจะสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในวันก่อนหน้า ทว่าความผันผวนในตลาดการเงินยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ และปิดตลาดย่อตัวลง (ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18% เช่นเดียวกับ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปรับตัวลงกว่า -1.83%) โดยแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ในวันนี้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ยังคงมาจากความกังวลปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” หลังสหรัฐฯ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรก และนอกจากประเด็น Omicron ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากมุมมองของประธานเฟดที่เดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเร่งลดคิวอี หลังจากที่ประธานเฟดมองว่า เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าที่เคยประเมินไว้ 

     ฝั่งของตลาดบอนด์ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ Omicron ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 6bps แตะระดับ 1.42% ซึ่งภาพดังกลา่ว สะท้อนว่าผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การระบาด และเลือกที่จะเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าในมุมนึงผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าเฟดอาจมีการประกาศเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะมั่นใจได้ว่า Omicron ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่เคยประเมินไว้ ซึ่งอาจต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น โดยทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสำคัญ อาทิ Pfizer, BioNTech และ Moderna ต่างคาดว่า อาจจะสามารถรายงานผลวิจัยประสิทธิภาพวัคซีนต่อ Omicron ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้แกว่งตัวในระดับ 96.03 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ความผันผวนในตลาดอาจปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด หลังจากที่ ดัชนีความกลัวที่วัดความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ VIX Index ได้ปรับตัวขึ้น ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 29 จุด สู่ระดับ 31 จุด

     สำหรับเงินดอลลาร์ยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เพราะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 113 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเพิ่มการถือครองเงินเยนตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าเงินดอลลาร์จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงหนัก

     เนื่องจากราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ล่าสุด ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้สู่ระดับ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเรามองว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดที่ต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ทำให้ราคาทองคำจะไม่ปรับฐานลงหนัก แต่การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจถูกจำกัดด้วยท่าทีของเฟดที่มีแนวโน้มจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ว่าจะมีข้อสรุปเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องตามที่เคยได้วางแผนไว้หรือไม่ หลังจากที่การระบาดของ Omicron อาจกดดันความต้องการใช้พลังงานได้ในระยะสั้น อีกทั้ง สหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ได้ประกาศพร้อมใช้น้ำมันดิบสำรองเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงานในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงมาพอสมควร และสมดุลตลาดน้ำมันอาจเปลี่ยนไป หากการระบาดของ Omicron ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น กลุ่ม OPEC+ อาจจะรอดูทิศทางตลาดน้ำมันและสถานการณ์การระบาดไปก่อนในระยะสั้นนี้

     สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าเงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ บอนด์ระยะสั้นตามการปรับสถานะเก็งกำไรเงินบาทของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งเรายังคงมองว่า ในระหว่างวันเงินบาทยังคงมีแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของ Omicron อีกทั้ง สัญญาณเชิงเทคนิคัลในระยะสั้นยังคงชี้ว่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า ทำให้ปัจจัยที่จะพอช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก คือ การรีบาวด์ของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน หากพิจารณาสัญญาณเทคนิคัลของเงินบาททั้งในส่วนกราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง RSI และ MACD อาจเริ่มส่งสัญญาณว่า เงินบาทอาจมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งต้องรอการเกิดสัญญาณเชิงเทคนิคัลอีกครั้ง ถึงจะยืนยันสมมติฐานดังกล่าวได้ และเราเชื่อว่า จังหวะกลับตัวมาแข็งค่าของเงินบาทอาจเกิดขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า การเร่งระดมแจกวัคซีนสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ Omicron ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ซบเซาหนัก ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางรายยังรอขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทอีกรอบได้ หากสัญญาณเชิงเทคนิคัลเงินบาทเริ่มเปลี่ยนทิศหรือเกิด Divergence ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน

     ดังนั้น ในระยะนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ในกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

ขออบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

CRC ลงทุนซื้อหุ้น Grab 4,500 ล้านบาท หวังเป็น Digital Retail อันดับ1ของไทย

       2 ธ.ค.64 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC)แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 OAL Holding Limited (OAL) ได้ใช้สิทธิขายคืนหุ้น Porto Worldwide Limited (Porto WW) จำนวน 133,545,740 หุ้น คิดเป็น 67% ในราคาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายหุ้น ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ให้แก่ Hillborough Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยมีมูลค่าการลงทุน ไม่เกิน 4,500 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดภายในของบริษัทและวงเงินสินเชื่อจากธนาคาร

      สำหรับ Porto WW ได้ลงทุนในบริษัท แกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัดส่วน 40% การลงทุนในธุรกิจ Grab ในประเทศไทย จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอีโคซิสเต็มและแพลตฟอร์มออมนิเชแนลของบริษัทฯให้แข็งแกร่ง เนื่องจาก Grab เป็นผู้นำแพลตฟอร์มบริการออนไลน์สู่ออฟไลน์ที่มีการเติบโตและมีการขยายให้บริการอย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย Grab มีบริการที่หลากหลายและครบถ้วนทั้งบริการส่งอาหาร บริการเดินทาง บริการระบบโลจิสติกส์ บริการจองโรงแรมและที่พัก และบริการการเงิน ที่จะส่งเสริมและผลักดันองค์กรให้เป็น Digital Retail อย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยในการต่อยอดการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต

    โดยบริษัทอาจได้รับประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หาก Porto WW ใช้สิทธิที่มีเพียงครั้งเดียวในการแลกหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไปเป็นหุ้นของ Grab Holdings Limited (GHL) ประเภท Class A Ordinary Share ที่จะทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 2 ธันวาคม 2564 (เวลาสหรัฐอเมริกา Eastern time) ในราคาที่กำหนดไว้แล้วที่ 6.1629 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น บริษัทอาจได้รับประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หาก Porto WW ใช้สิทธิที่มีเพียงครั้งเดียวในการแลกหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไปเป็นหุ้นของ Grab Holdings Limited (GHL) ประเภท Class A Ordinary Share ที่จะทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 2 ธันวาคม 2564 (เวลาสหรัฐอเมริกา Eastern time) ในราคาที่กำหนดไว้แล้วที่ 6.1629 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

    ทั้งนี้ในกรณีที่ Porto WW ใช้สิทธิในการแลกหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด จะถือหุ้น GHL Class A Ordinary Shares ประมาณ 1.06% ของจำนวนหุ้น GHL Ordinary Shares (ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ณ ราคา GHL IPO ที่ 10.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น) ทั้งนี้หาก Porto WW ประสงค์จะใช้สิทธิในการแลกหุ้น บริษัทฯจะดำเนินการขออนุมัติและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ