LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

       DITTO (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 18.70 บาท ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้โตต่อเนื่อง 20-30% ในปี 64-65 ไตรมาส4/64 เก็งงบสวยหลังเริ่มรับรู้รายได้จากงานใหม่ของกรมที่ดินและธนาคารกรุงไทย , ลุ้นงาน Document management พ่วง Cyber Security รับการ Transform องค์กรที่จะเป็น Trend หลักของปี 65 Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2021-2022 ที่ 157 ลบ. และ 226 ลบ. +37%YoY, +44%YoY ตามลำดับ
        BAM (เมย์แบงก์ฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 24.20 บาท คาดกำไรปี 65-66 เติบโตเฉลี่ย 32% ทั้งยอดเก็บเงินสดในระดับ 13-14%YoY ทั้งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การเร่งโอนที่ดีต่อเนื่อง ,แนวโน้มอุปสงค์และสภาพคล่องลูกหนี้ที่ดีขึ้น %ROE คาดฟื้นจากจุดต่ำสุด 5% เป็น 7% ในปีหน้า ขณะที่ปัจจุบันเทรด PE เพียง 21 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ
        TKS (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้า 22 บาท คาดกำไรไตรมาส 4/64 โดดเด่นตามส่วนแบ่งกำไรจาก SYNEX ที่สูงขึ้นจาก High Season รวมถึงได้ประโยชน์ทางอ้อมจากมาตรการช้อปดีมีคืนต้นปี 2565 ซึ่งคาดกลุ่มขายสินค้า IT จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นหนุนยอดขายให้ปรับเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน SYNEX ปรับขึ้นแรงและเกือบเต็มมูลค่าเทียบกับราคาเป้าหมาย เรามอง TKS น่าสนใจกว่าจาก Discount ปัจจุบันที่สูงเกือบ 40% และเทรด 2022PER เพียง 13 เท่า

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ขยับลง 50 บาท

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.675 บาท/ดอลลาร์

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวน แต่เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่รุนแรงอย่างที่คิด เพราะถึงจะมีความกังวลการระบาดของโอมิครอนในประเทศแต่ภาพดังกล่าวก็ได้อยู่ในการประเมินเบื้องต้นของทั้ง กนง. และ นักลงทุนต่างชาติพอสมควร โดยเฉพาะในฝั่งนักลงทุนต่างชาติ ที่ยังไม่ได้เทขายบอนด์ระยะสั้นอย่างรุนแรงสะท้อนว่า นักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้คาดหวังว่า สถานการณ์การระบาดจะเลวร้ายมาก จนเงินบาทอ่อนค่าจากระดับปัจจุบันไปมาก ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของ กนง. ในวันนี้ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจใหม่จะมีส่วนที่ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ หาก กนง. มีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากขึ้น

      หากเงินบาทอ่อนค่าลง ก็อาจเผชิญแนวต้านสำคัญใกล้ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ก่อน แต่ สัญญาณในเชิงเทคนิคัลยังคงสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในระยะสั้น ทำให้เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่ารุนแรง หากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้เทขายสินทรัพย์ไทยอย่างหนัก ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

        ผู้เล่นในตลาดการเงินเริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นที่ต่างรอจังหวะการปรับฐานของสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเพิ่มสถานะถือครอง (Buy on Dip) หนุนให้ราคาหุ้นโดยรวมต่างรีบาวด์ขึ้น

    หลังจากที่ย่อตัวลงต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ ส่งผลให้ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี Nasdaq ปิดตลาด +2.40% และดัชนี S&P500 ก็ปรับตัวขึ้น +1.78% เช่นเดียวกันกับฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ก็รีบาวด์ขึ้นราว +1.65% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และ หุ้นกลุ่ม Cyclical/Reopening theme เช่นกัน ASML +3.6%, Adyen +2.4%, Santander +2.1%

       ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นที่เริ่มกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและเชื่อว่า เฟดจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพิ่มเติมทำให้บอนด์ยีลด์10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 1.46% ซึ่งในระยะยาว เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ตามแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก

      ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักตามการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ซึ่งล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ทรงตัวใกล้ระดับ 96.49 จุด อนึ่ง แนวโน้มเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัว sideways แต่บอนด์ยีลด์ 10ปี ปรับตัวสูงขึ้น ก็กดดันให้ ราคาทองคำ ย่อตัวลง ใกล้ระดับ 1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเราคงมองว่า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อแรงได้ยาก (อาจพอลุ้นการรีบาวด์ได้บ้าง) และ Upsides ของราคาทองคำเริ่มจำกัด

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเรามองว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะหนุนให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50%

       กนง. อาจมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากขึ้น แต่อาจจะเน้นย้ำว่าการเติบโตเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญที่มีน้ำหนักต่อนโยบายการเงินมากกว่าเงินเฟ้อ

     ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 33.65-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังเปิดตลาดช่วงเช้านี้ (22 ธ.ค.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ

     โดยแม้เงินบาทน่าจะปรับตัวในกรอบแคบๆ ระหว่างรอติดตามสัญญาณและมุมมองเกี่ยวกับนโยบายการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในช่วงบ่ายวันนี้ แต่อาจมีจังหวะการขยับแข็งค่าเล็กน้อย ตามทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในเอเชีย ตามบรรยากาศตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคในการผลักดันมาตรการหนุนเศรษฐกิจวงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ของปธน. โจ ไบเดน (ซึ่งจะเน้นใช้จ่ายด้านสวัสดิการและแก้ไขปัญหาโลกร้อน)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ คาดไว้ที่ 33.55-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยติดตามจะอยู่ที่ผลการประชุมกนง. ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 และการรับมือกับสายพันธุ์โอมิครอน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2564 (final) และยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. 64

 

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

 

ราคาบิตคอยน์ ขยับขึ้น 4.47%

      ราคาบิตคอยน์วันนี้ 22 ธ.ค.64 ขยับขึ้น +4.47% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน โดยมีราคา 48,989.70 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,649,973.10 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 27.12 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 6.57 น. ของวันนี้ ราคาเหรียญดิจิทัลคริปโตฯ อื่นๆ Ethereum ขยับขึ้น 2.1% Binance Coin ขยับขึ้น 1.13% และ Dogecoin ดีดขึ้น 9.04% ในช่วง 24 ชั่วโมง

    สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี
 

1. Bitcoin (BTC) ราคา 48,989.70 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.47%
2. Ethereum (ETH) ราคา 4,021.61 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.10%
3. Binance Coin (BNB) ราคา 529.19 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.13%
4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง 0.00%
5. Solana (SOL) ราคา 180.26 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.72%
6. Polkadot (DOT) ราคา 25.21 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.83%
7. Cardano (ADA) ราคา 1.28 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.62%
8. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.02%
9. Terra (LUNA) ราคา 87.52 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.06%
10. Avalanche (AVAX) ราคา 123.54 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +9.04%

     หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 560.54

      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,492.70 จุด เพิ่มขึ้น 560.54 จุด หรือ +1.60%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,649.23 จุด เพิ่มขึ้น 81.21 จุด หรือ +1.78% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,341.09 จุด เพิ่มขึ้น 360.14 จุด หรือ +2.40%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับมาคึกคักอีกครั้ง นักลงทุนขานรับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีไบเดน ที่ต่อชาวอเมริกันเมื่อคืนนี้(21 ธ.ค.64)ว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์เหมือนกับที่เคยทำในเดือนมี.ค. 2563 พร้อมกับขอความร่วมมือให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต

     ประธานาธิบดีไบเดนได้อนุมัติการแจกชุดตรวจโควิด-19 แบบ rapid test ฟรีจำนวน 500 ล้านชุดให้แก่ประชาชน เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 2565 และจะจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์ของรัฐบาลกลางไปยังโรงพยาบาลที่กำลังเผชิญปัญหาในการรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงฤดูหนาวนี้

     ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ซีดีซี) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ขณะนี้โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐแล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วน 73% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในสหรัฐ ขณะที่สัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาลดลงเหลือเพียง 27% เท่านั้น

    หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นจากแรงช้อนซื้อ หลังราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญพุ่งขึ้นจากแรงช้อนซื้อเช่นกัน  ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้น 3.7%

        หุ้นไนกี้ เพิ่มขึ้น 6.2% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีงบการเงินที่สิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย. 2564 โดยระบุว่าบริษัทมีกำไรต่อหุ้น 83 เซนต์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 78 เซนต์ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแตะ 1.136 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 1.124 หมื่นล้านดอลลาร์

        นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนพ.ย.จากเฟดชิคาโก, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564, ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ  

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 21 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

   BRI (บมจ.บริทาเนีย) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมีราคาเสนอขาย IPO ที่ 10.50 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดจำหน่ายฯหุ้น BRI ประเมินราคาเป้าหมาย 13 บาท คาดผลประกอบการ 3 ปีข้างหน้า +60% CAGR จากการรุกเปิดโครงการใหม่ และมี Upside จากการเติบโตผ่านการร่วมทุน JV และขยายไปธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่อยู่ใน DNA ของกลุ่ม ORI ทั้งนี้ บริษัทฯดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีแบรนด์ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม จุดเด่นคือกลยุทธ์ Blue Ocean เน้นสร้างความแตกต่างทั้งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่และตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพแห่งใหม่ ปัจจัยการเติบโตได้แรงหนุนจากตลาดแนวราบที่ขยายตัวตามเศรษฐกิจ รวมถึงเทรนด์อุตสาหกรรมอย่าง New Normal, การขยายตัวของเมือง, ระบบคมนาคม และการพัฒนา EEC

 COM7 (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า IAA Consensus 84 บาท) ได้ Sentiment บวกภาครัฐเตรียมออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปลายปีโดยเฉพาะโครงการ “ช็อปดีมีคืน” เพื่อลดหย่อนภาษีคาดกระตุ้นยอดขายมือถือและสินค้า IT เพิ่มขึ้น

  BCH (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 21.50 บาท ไม่ตื่นตระหนกแต่ก็ไม่ประมาท เติมหุ้นกลุ่ม รพ. รับมือโควิด-19 ในพอร์ต หากการระบาดขยายวงกว้าง ระยะสั้นคาด นลท. Rotate เข้า ด้านรายได้จากการตรวจ รักษาและการฉีดวัคซีนใน Version Update จะเกิดขึ้นตลอดปี 2565 แม้โควิดจะซา พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 4.95 พันลบ. และ 1.6 พันลบ. +303%YoY, -67%YoY ตามลำดับ

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.61 บาท/ดอลลาร์

       นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงจากความกังวลการระบาดของโอมิครอนในประเทศ ซึ่งต้องจับตาฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เพราะช่วงที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณการกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม แต่โฟลว์นักลงทุนต่างชาตอาจกลับทิศทางได้ในระยะสั้น โดยเฉพาะโฟลส์บอนด์ระยะสั้น ที่จะสามารถสะท้อนภาพการเก็งกำไรค่าเงินบาทได้
        เรามองว่า หากเงินบาทอ่อนค่าลง ก็อาจเผชิญแนวต้านสำคัญใกล้ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ก่อน และหากอ่อนค่าต่อ ก็จะสามารถทดสอบแนวต้านสำคัญใกล้ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ทั้งนี้ สัญญาณในเชิงเทคนิคัลยังคงสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในระยะสั้น ทำให้เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่ารุนแรง หากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้เทขายสินทรัพย์ไทยอย่างหนัก ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

  มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.75 บาท/ดอลลาร์

        บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในโหมดปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลว่า การกลับมาใช้มาตรการ lockdown เพื่อควบคุมการระบาดของโอมิครอน อาจกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจทั่วโลก นอกจากนี้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากความวุ่นวายทางการเมืองที่อาจทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ต้องปรับลดวงเงินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก 2 ล้านล้านดอลลาร์ลง ส่งผลให้ ดัชนี Nasdaq ปิดตลาด -1.24% และดัชนี S&P500 ก็ย่อตัวลง -1.14% 
       เช่นเดียวกันกับฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ก็ปรับตัวลงต่อ -1.30% หลังผู้เล่นในตลาดมองว่า การระบาดของโอมิครอนอาจกดดันให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจชะลอลง
       ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงใกล้ระดับ 1.35% แต่สุดท้าย มุมมองของผู้เล่นที่เชื่อว่า เฟดจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ก็ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือกที่จะขายทำกำไร sell on rally ทำให้บอนด์ยีลด์10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นมา สู่ระดับ 1.42% อีกครั้ง
      แม้เรายังเชื่อว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อในอนาคต จากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของบรรดาธนาคารกลาง แต่ในระยะสั้น บอนด์ยีลด์ระยะยาว ก็อาจถูกกดดันจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทำให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways จนกว่าปัจจัยเสี่ยงการระบาดโอมิครอนจะมีความน่ากังวลลดลง

     ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้น ตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลปัญหาการระบาดของโอมิครอน ส่งผลให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 96.56 จุด ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ได้กดดันให้ ราคาทองคำ ย่อตัวลง แม้ว่าตลาดโดยรวมจะอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งคาดว่า ราคาทองคำจะแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ต่อในระยะสั้น แต่ เราคงมองว่า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อแรงได้ยาก และ Upsides ของราคาทองคำเริ่มจำกัด
         สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอจับตาสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนทั่วโลก ซึ่งอาจกดดันตลาดการเงินได้ในระยะสั้นต่อ หากรัฐบาลทั่วโลกต่างใช้นโยบายควบคุมที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งในฝั่งประเทศไทย ตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดผู้ติดเชื้อโอมิครอน ซึ่งหากพบว่า มีการระบาดในแบบคลัสเตอร์ก็อาจกดดันให้เกิดแรงเทขายสินทรัพย์ไทยได้และส่งผลให้ เงินบาทอาจอ่อนค่าลงกลับไปสู่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ได้ในระยะสั้น หากสถานการณ์การระบาดดูน่ากังวล

 

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

 

บิตคอยน์ ปรับตัวขึ้น 0.32%

        การเคลื่อนไหวของบิตคอยน์ในแดนบวกช่วงเช้าวันนี้ สวนทางกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในตลาดโลกที่ปรับตัวลงเพราะนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด-19สายพันธุ์ใหม่โอมิครอนว่าจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 433.28 จุด หรือ 1.23% ปิดที่ 34,932.16 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 52.62 จุด หรือ 1.14% ปิดที่ 4,568.02 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 188.74 จุด หรือ 1.31% ปิดที่ 14,980.94 จุด

        ส่วนสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์(20ธ.ค.)ปรับตัวลง 2.63 ดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน

      สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนม.ค. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดไนเม็กซ์ ลดลง 2.63 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.23 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 2 ดอลลาร์ ปิดที่ 71.52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 433.28 จุด

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,932.16 จุด ลดลง 433.28 จุด หรือ -1.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,568.02 จุด ลดลง 52.62 จุด หรือ -1.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,980.94 จุด ลดลง 188.74 จุด หรือ -1.24%
       หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและธุรกิจเรือสำราญ ต่างร่วงลงในการซื้อขายวันนี้

     หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 1.9% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุร่วงลงเช่นกัน

          หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดิ่งหลุดจากระดับ 70 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.43% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.4% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดิ่งลง 2.44%

           ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่นายโจ แมนชิน แกนนำวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครตประกาศไม่สนับสนุนร่างกฎหมาย Build Back Better วงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ไบเดน โดยอ้างว่าจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับสหรัฐ ซึ่งท่าทีดังกล่าวของนายแมนชินจะส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอในวุฒิสภา แม้ว่าผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐก่อนหน้านี้

    นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนพ.ย.จากเฟดชิคาโก, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564, ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ  

 

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 20 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

 

        CK (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 26 บาท ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของกำไรปี 65 โดยเฉพาะจากธุรกิจรับเหมาฯที่เข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่จากการลงทุนที่เร่งตัว ขณะที่บริษัทลูกๆฟื้นตัวตามการ Reopen โดยคาด CK มีลุ้นได้งานใหญ่ต่อเนื่องและหนุน Backlog ทะลุ 1 แสนลบ.อีกครั้ง และรองรับเการเติบโตในช่วง 5 ปีข้างหน้า พร้อมคาดกำไรปี 2565 โตแรง 10 เท่า Y-Y และเร่งตัว +65% Y-Y ในปี 2566 โดยให้แนวรับ 21.90-21 บาท แนวต้าน 23 บาท

        PTTGC (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 62 บาท ราคาเม็ดพลาสติก HDPE และผลิตภัณฑ์ปิโตรฟื้นตัวล้อไปกับเศรษฐกิจโลก ด้านราคาหุ้นเริ่ม Bottom out น่าสะสม ทั้งนี้ ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยในรอบ 2 สัปดาห์ Under Perform SET คาดเริ่ม Bottom out น่าสะสม, ปี 65 รับรู้รายได้จากโครงการใหม่เต็มปี พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 5.12 หมื่นลบ. และ 2.93 หมื่นลบ. ตามลำดับ

      GULF (เมย์แบงก์) เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 48 บาท คาดกำไรปี 65 เติบโต +45%YoY สู่ระดับ 1.17 หมื่นล้านบาท เติบโตสุดในกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ศึกษา โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของกำลังการผลิตปี 65 กว่า +33%YoY สู่ระดับ 5,045 MW และพยายามเพิ่มเติมโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือกมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อม

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ เพิ่มขึ้น 100 บาท

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.37 บาทต่อดอลลาร์

      อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.37 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่า”ลงเล็กน้อยจากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 33.355 บาทต่อดอลลาร์         
 

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินยังคงผันผวนและถูกกดดันจากแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดของธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะเฟดที่ส่งสัญญาณเตรียมขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีหน้า

          ติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งเราคาดว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบาย และอาจปรับมุมมองการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยดีขึ้น

         โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
ฝั่งสหรัฐฯ – ตลาดมองว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสดใสต่อ หนุนโดยการบริโภคภาคเอกชนที่สามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง หลังการทยอยผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ซึ่งจะสะท้อนผ่าน ยอดใช้จ่ายส่วนบุคคล (Personal Spending) เดือนพฤศจิกายนที่จะขยายตัวราว +0.6% จากเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ การใช้จ่ายของคนอเมริกันยังแนวโน้มที่ดีด้วยแรงหนุนจากความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Conference Board Consumer Confidence) ในเดือนธันวาคม ที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 110 จุด ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า

     สอดคล้องกับสภาวะการจ้างงานที่ดีขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงอาจกดดันความเชื่อมั่นผู้บริโภคในระยะสั้นได้ ซึ่งตลาดก็มองว่า อัตราเงินเฟ้อ PCE ในเดือนพฤศจิกายน ก็มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 5.4% ทั้งนี้ การเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด จากปัญหาด้าน Supply Chain ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เฟดปรับท่าทีพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

   ฝั่งยุโรป – ตลาดจะรอติดตามสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ทั่วยุโรปอย่างใกล้ชิด เพราะหากการระบาดทวีความรุนแรงกว่าคาด ก็อาจกดดันให้รัฐบาลฝั่งยุโรปใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวดมากขึ้น กดดันให้การฟื้นตัวเศรษฐกิจของยูโรโซนชะลอลงได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ สกุลเงินฝั่งยุโรป อาทิ เงินยูโร (EUR) และ เงินปอนด์ (GBP) ยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าหนักได้

        ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่า การฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลให้ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีท่าทีใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อาทิ คงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะ 1 ปี และ 5 ปี (Loan Prime Rate) ไว้ที่ระดับ 3.85% และ 4.65% ตามลำดับ หลังจากที่ล่าสุด PBOC ได้ปรับลด Reserve Requirement Ratio ลงมา 0.5%

       ฝั่งญี่ปุ่น แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 0.4% ในเดือนพฤศจิกายน จะไม่สร้างความกังวลปัญหาเงินเฟ้อให้กับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เนื่องจากระดับเงินเฟ้อยังคงห่างไกลจากเป้าหมายที่ 2% ทำให้ BOJ จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ซึ่งจะช่วยหนุนให้ค่าเงินเยน (JPY) สามารถอ่อนค่าลงสู่ระดับ 114 เยนต่อดอลลาร์ได้ หากตลาดเริ่มเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น

 

 

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

 

นักลงทุนหวั่นโอมิครอน ดาวโจนส์ร่วงกว่า 200 จุดเช้านี้

      ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ร่วงลง 233 จุด หรือ -0.66% แตะที่ 35,019 จุด ผลการวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (ICL) บ่งชี้ว่า ความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนนั้นมากกว่าสายพันธุ์เดลตาถึง 5 เท่า และยังไม่มีสัญญาณว่า การติดเชื้อไวรัสโอมิครอนนั้นมีความรุนแรงน้อยกว่าการติดเชื้อเดลตา

      ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนแล้วใน 89 ประเทศ และประเมินว่าผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุก 1 วันครึ่งถึง 3 วัน หากมีการแพร่ระบาดในชุมชน ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนแล้วใน 89 ประเทศ และประเมินว่าผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าในทุก 1 วันครึ่งถึง 3 วัน หากมีการแพร่ระบาดในชุมชน

      บริษัทไฟเซอร์ อิงค์คาดการณ์ว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จะดำเนินต่อไปจนถึงปี 2567 

นายไมเคิล โดลสเตน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์เปิดเผยกับบรรดานักลงทุนเมื่อวันศุกร์ว่า ไฟเซอร์คาดว่า บางภูมิภาคจะยังคงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากจากการระบาดใหญ่ (Pandemic) ในปีหน้าหรือสองปีข้างหน้า ขณะที่ในประเทศอื่น ๆ นั้น โรคโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) โดยมีอัตราการติดเชื้อต่ำและสามารถควบคุมได้ในช่วงระยะเวลาเดียวกันดังกล่าว

ทั้งนี้ ไฟเซอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2567 โรคโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นทั่วโลก

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ราคาบิตคอยน์วันนี้ปรับลง 0.22%

        ราคาบิตคอยน์ประจำวันที่ 20 ธ.ค. 64 ปรับลง -.22% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยมีราคา 46,754.80 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,558,501.13 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 25.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 6.54 น. ที่ผ่านมา
ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ปรับลง .94% Binance Coin ปรับลง .76% และ Dogecoin ร่วงลง 6.61% ในช่วง 24 ชั่วโมง

        สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

1. Bitcoin (BTC) ราคา 46,754.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.22%
2. Ethereum (ETH) ราคา 3,922.68 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.94%
3. Binance Coin (BNB) ราคา 530.12 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.76%
4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
5. Solana (SOL) ราคา 179.99 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.57%
6. Polkadot (DOT) ราคา 24.76 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.83%
7. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
8. XRP (XRP) ราคา 0.83 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.82%
9. Terra (LUNA) ราคา 78.54 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +5.86%
10. Avalanche (AVAX) ราคา 108.19 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -6.61%

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 17 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 17 ธันวาคม 2564

เช้านี้หุ้นไทยแกว่งขึ้น

           นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะซิกแซกขึ้นได้ หลังจากที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% ทำให้ไปกดดันให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าขึ้น ส่งผลให้มีแนวโน้มที่เงินทุนต่างชาติจะไหลเข้ามา และเมื่อวานนี้นักลงทุนต่างชาติก็ซื้อสุทธิมากด้วย และยังทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นด้วย ซึ่งตลาดบ้านเราก็จะได้รับประโยชน์

   ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และจะยุติโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) วงเงิน 1.85 ล้านล้านยูโรในเดือนมี.ค. แต่ก็ยังเปิดช่องคงสนับสนุนเศรษฐกิจต่อไป และยังคงเลือกที่จะดำเนินการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบค่อยเป็นค่อยไป

        ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยยังต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในยุโรปต่อไป และติดตามความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนด้วย หลังจากที่สหรัฐสั่งคว่ำบาตรบริษัท SenseTime Group ฐานละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อแรงงานชาวมุสลิมอุยกูร์ ในเขตปกครองตนเองซินเจียง

       

ตลาดบ้านเราวันนี้คงจะขึ้นได้ในกรอบจำกัด โดยจะต้องติดตามตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะประกาศการปรับการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 และสัปดาห์หน้าก็จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และให้ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะมีเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจออกมาเพิ่มอีก

     พร้อมให้แนวรับ 1,635-1,630 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,660 จุด ซึ่งเมื่อดัชนีฯขึ้นไปแถว 1,650 จุดขึ้นไปก็จะต้องระวังการแกว่งตัว

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ เพิ่มขึ้น 150 บาท

ธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ปี 65

       นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดาวรุ่ง และ 10 ธุรกิจดาวร่วง ในปี 2565 ว่า สำหรับการจัดอันดับธุรกิจดาวรุ่ง-ดาวร่วง ใน ปี 2565 จะมีเกณฑ์การให้คะแนน ใน 5 ด้าน ประกอบด้วย ด้านยอดขาย 20 คะแนน, ด้านต้นทุน 20 คะแนน, กำไรสุทธิ 20 คะแนน, ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและภาวะการแข่งขัน 20 คะแนน และความต้องการ/ความสอดคล้องกับกระแสนิยม 20 คะแนน รวมทั้งหมด 100 คะแนน
 
10 อันดับธุรกิจดาวรุ่งในปี 2565 มีดังนี้
 
อับดับ 1 ธุรกิจการแพทย์-ความงาม, ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

อันดับ 2 ธุรกิจแพลตฟอร์ม

อันดับ 3 ธุรกิจโลจิสติกส์-delivery-คลังสินค้า, ธุรกิจด้าน fintech, ธุรกิจประกันภัย-ประกันชีวิต

อันดับ 4 ธุรกิจเวชภัณฑ์ ยา เภสัชภัณฑ์, ธุรกิจเครื่องมือแพทย์

อันดับ 5 ธุรกิจอาหารเสริมและสุขภาพ-ขายตรง

อันดับ 6 ธุรกิจแปรรูปยาง (ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย) ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป

อันดับ 7 ธุรกิจคอนเทนต์ youtuber การรีวิวสินค้า, ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์ เช่น อาหารสัตว์ การดูแลสุขภาพสัตว์

อันดับ 8 ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ร้านค้าปลีกสมัยใหม่

อันดับ 9 ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน

อันดับ 10 ธุรกิจบันเทิง, ธุรกิจก่อสร้าง-อสังหาริมทรัพย์แนวราบ, ธุรกิจท่องเที่ยว และบริการต่อเนื่อง

ส่วน 10 อันดับธุรกิจดาวร่วงในปี 2565 มีดังนี้

อันดับ 1 ธุรกิจผลิตโทรศัพท์พื้นฐาน เครื่องโทรสาร

อันดับ 2 ธุรกิจฟอกย้อม ธุรกิจหัตถกรรมที่ไม่มีการออกแบบ และราคาถูก

อันดับ 3 ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ วารสาร, ธุรกิจรับส่งสื่อสิ่งพิมพ์ตามบ้าน และสถานที่ทำงาน

อันดับ 4 ธุรกิจโรงพิมพ์ การพิมพ์ เช่น หนังสือ แผ่นพับ, ธุรกิจคนกลาง

อันดับ 5 ธุรกิจผลิตและขายต้นไม้-ดอกไม้ประดิษฐ์, ธุรกิจผลิตเสื้อผ้าโหล

อันดับ 6 ธุรกิจเครื่องปั้นดินเผา เซรามิก

อันดับ 7 ธุรกิจร้านถ่ายรูป

อันดับ 8 ธุรกิจนำเที่ยวในประเทศ

อันดับ 9 ธุรกิจผลิตของเด็กเล่น

อันดับ 10 ธุรกิจ Call Center

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 

กรมสรรพากรเล็งเก็บภาษีขายหุ้น

      วันที่ 17 ธ.ค. 64 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังมีแผนเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction Tax) หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งภาษีดังกล่าวได้รับการยกเว้นมากกว่า 30 ปีนั้น ยอมรับว่าขณะนี้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณาการเรียกเก็บภาษีดังกล่าว โดยจะพิจารณาหลายปัจจัยประกอบ โดยเฉพาะเงื่อนไขเวลาที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวนั้นประชาชน 85% หรือนักลงทุนรายย่อยจะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน

     สำหรับการศึกษาการเรียกเก็บแบบ Financial Transaction Tax นั้น ประกอบด้วย 3 โมเดล คือ 1.การขายหุ้นในตลาดฯ 1 ล้านบาทต่อเดือน 2.การขายหุ้นในตลาดฯ ตั้งแต่ 2 ล้านบาทต่อเดือน และ 3.การขายหุ้นในตลาดตั้งแต่ 2 ล้านบาทต่อเดือนขึ้นไป โดยในตรากฎหมายเดิมนั้นกำหนดไว้ว่าการขายหุ้นในตลาดฯ 1 ล้านบาทขึ้นไปจะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% ของมูลค่าขาย แต่ปัจจุบันยังได้รับการยกเว้น
    ปัจจุบันกรมสรรพากรได้ศึกษาภาษีทั้ง 2 ส่วน คือ ภาษีกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) ซึ่งหากจะเรียกเก็บจากส่วนนี้จะต้องตรากฎหมายขึ้นมาใหม่ หรือแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติม แต่สำหรับ Financial Transaction Tax นั้นมีประมวลรัษฎากรกฎหมายภาษีของกรมสรรพากรอยู่แล้ว แต่ได้รับการยกเว้นมาตั้งแต่ปี 34 ซึ่งการหยิบยกกฎหมายนี้ขึ้นมาก็เป็นไปตามแผนการปฏิรูปภาษี ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศมีการเรียกเก็บทั้ง 2 ส่วน หรือบางประเทศก็เรียกเก็บเพียงอย่างเดียว
 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ดาวโจนส์ปิดร่วงลง 385 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,897.64 จุด ลดลง 29.79 จุด หรือ -0.08%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,668.67 จุด ลดลง 41.18 จุด หรือ -0.87%  และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,180.43 จุด ร่วงลง 385.15 จุด หรือ -2.47%

     ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ 16 ธ.ค.64 หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า

      เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และประกาศว่าจะเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เป็นเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 65 โดยการปรับลดวงเงินคิวอีของเฟดจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำคิวอีในเดือนมี.ค.65

       ในการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และปรับขึ้นดอกเบี้ยจำนวน 2 ครั้งในปี 66 และปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในปี 67

    แฟรงค์ เกรนซ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Wellington Shields กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายเมื่อคืนนี้เป็นไปในลักษณะหมุนเวียนกลุ่มลงทุน (Sector Rotation) โดยนักลงทุนเทขายหุ้นเติบโต(Growth Stocks) ซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย เช่นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหันไปซื้อหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มพลังงาน การลงทุนในลักษณะดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองของนักลงทุนที่ว่า ภาวะทางธุรกิจท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อหุ้น Growth Stocks ในวันข้างหน้า

    หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหลังจากเฟดประกาศยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือนมี.ค.65 และส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า 

      หุ้นกลุ่มธนาคารได้แรงหนุนจากการที่เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า

    หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 0.18% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 0.93% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 1.3%
      ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านพุ่งขึ้น 11.8% ในเดือนพ.ย. สู่ระดับ 1.679 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.568 ล้านยูนิต จากระดับ 1.502 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.

      ด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 18,000 ราย สู่ระดับ 206,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 195,000 ราย

 

     

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 16 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

           ICN-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.อินฟอร์เมชั่น แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น เน็ทเวิร์คส(ICN)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 224,999,726 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 1.00 บาทต่อหุ้นอายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (1 ธันวาคม 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหยดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 มี.ค. 2565 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 30 พ.ย. 2566

        SPRC (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 12 บาท ได้ Sentiment บวกค่าการกลั่นฟื้นตัวเร็วจากระดับ 2.3$/bbl ในช่วงปลายเดือน พ.ย.ขึ้นสู่ระดับ 6.88$/bbl ในปัจจุบัน โดย SPRC จะได้ประโยชน์โดยตรงและมากสุดเพราะเป็น Pure โรงกลั่น

            SMT (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร”เป้า IAA Consensus 8.15 บาท แนวโน้มผลประกอบการ Q4/64 จะเติบโตและทำจุดสูงสุดของปี เนื่องจากมีคำสั่งซื้อรอบรับไว้หมดแล้วจากลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบัน ขณะที่ปัญหาชิพขาดแคลนเริ่มคลี่คลายลง ช่วยหนุนรายได้เติบโตต่อเนื่องทั้ง IC packaging, Optics, Advance packaging และ PCB & Boxbuild ตามเป้าหมายในปีนี้ที่จะโต 30% รวมถึง GPM ทรงตัวสูงอยู่ที่ระดับ 20% จากทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนตัว ส่วนปี 65 ตั้งเป้ารายได้ที่ 3.3 พันล้านบาท เติบโต +27%%YoY จากการเดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยผู้บริหารคตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 69 อยู่ที่ 8 พันล้านบาท

           LEO (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 15 บาท ได้ประโยชน์จากการมาของรถไฟลาวจีน เพราะเป็น Exclusive Partner กับทาง China Post คาดปี 2022 การขนส่งทางบกเติบโตเด่น ด้านอุตสาหกรรม Logistic เติบโตสูงตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายตัวของธุรกิจ E-Commerce, คาด LEO ทยอยเซ็นต์สัญญากับ Partner ใหม่ ๆ ตลอดปี 2565 พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 170 ลบ. และ 185 ลบ. +199%YoY, +9%YoY ตามลำดับ

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ร่วง 2.63 จุด

ราคาทองวันนี้ประกาศครั้งแรกของวัน ปรับเพิ่ม 150 บาท

         ราคาทองคำประจำวันนี้ 16 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งแรกของวัน ปรับ เพิ่มขึ้น 150 บาท

     ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,100.00 บาท ขายออกบาทละ 28,200.00 บาท

      ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,591.20 บาท ขายออกบาทละ 28,700.00 บาท

    โดยราคาทอง ประจำวันที่ 15 ธ.ค. 64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 2 ครั้ง ลดลง 200 บาท

     ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 27,950.00 บาท ขายออกบาทละ 28,050.00 บาท

     ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,439.60 บาท ขายออกบาทละ 28,550.00 บาท

      ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้วันที่ 15 ธ.ค.64 สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 7.8 ดอลลาร์ หรือ 0.44% ปิดที่ระดับ 1,764.5 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. 64

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

หุ้นเด่นเกาะกระแส Crypto

       นักลงทุนในยุคปัจจุบันสนใจเข้ามาลงทุน Cryptocurrency กันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากที่ผ่านมามีผู้ที่ประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบแทนจำนวนมหาศาล จึงเป็นกลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนหน้าใหม่ ไม่เว้นแม้แต่บริษัทจดทะเบียนหลายรายในตลาดหลักทรัพย์ก็ให้ความสนใจลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

      ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนในไทยประกอบธุรกิจเกี่ยวข้อง Cryptocurrency แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ ICO portal , รับชำระค่าสินค้าบริการ, ลงทุนใน Cryptocurrency และ ขุดเหรียญ Bitcoin ดังนี้

  • บมจ.บางกอกแอร์เวย์ส (BA) และ บมจ.ไทยแอร์เอชีย (AAV) ที่ประกาศว่าจะเปิดรับการชำระเงินรูปสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เริ่มรับชำระเงินด้วยคริปโตฯ ตั้งวันที่ 1 ม.ค. 65 ส่วนสายการบินไทยแอร์เอเชีย เตรียมที่จะเปิดให้ลูกค้าสามารถนำสกุลเงินดิจิทัลมาแลกเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินหรือสินค้าและบริการของไทยแอร์เอเชียเร็ว ๆ นี้
  • บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) ร่วมกับพาร์ทเนอร์ธุรกิจ อย่าง Zipmex อำนวยความสะดวกลูกค้าโดยเปิดรับ 5 สกุลเงินดิจิทัลซื้อบ้านและคอนโดฯ ทุกแห่ง
  • บมจ.อาร์เอส (RS) ออกแบบ Popcoin Token ให้มาเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยน ใช้จ่าย ให้เกิดอีโคซิสเต็มในระบบของ RS ทำให้ทุกธุรกิจของ RS และผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากการใช้เหรียญในอีโคซิสเต็มของ RS
  • บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เตรียมออก PCOIN ช่วง ม.ค.ปีหน้า
  • ธนาคารกสิกรไทย) ส่งบริษัทลูก “บีคอน วีซี” ลงทุน “คริปโตมายด์ กรุ๊ป” มูลค่า การลงทุนระหว่าง 66-500 ล้านบาท ลุยธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเต็มสูบ พร้อมขอไลเซ่นส์ ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจาก ก.ล.ต. คาดชัดเจนปี 65 รวมทั้งเตรียมออกเหรียญ KUBIX
  • ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ส่ง บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) ลงทุนใน บริษัท บิทคับ ออนไลน์ (Bitkub) สัดส่วน 51% ของหุ้นทั้งหมดโดย Bitkub ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้ออขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) เบอร์ 1 ของเมืองไทย สามารถซื้อขาย Cryptocurrency ประเภทหลัก เช่น Bitcoin, Ethereum, USD Coin, BNB Coin เป็นต้น

  • บมจ.เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี (AJA) จะลงทุนในธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ (Bitcoin Mining) และจะดำเนินการจำหน่ายบิทคอยน์ที่ขุดได้ เพื่อให้ได้มาซึ่งกระแสเงินสด และหรือ ถือครองไว้เพื่อโอกาสในการรับรู้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต
  • บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) ประกาศ Transform สู่ธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์ (Bitcoin mining)
  • บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) รับเหรียญดิจิทัลซื้อตั๋วหนัง
  • บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) รับเหรียญดิจิทัลในการแลกซื้อเครื่องดื่มร้าน Inthanin
  • บมจ.ชีวาทัย (CHEWA) รุกแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โครงการบ้าน-คอนโด และค่าส่วนกลาง รับชำระเป็นคริปโทแทนเงินสด
  • บมจ.แอสเซทไวส์(ASW) จัดตั้งบริษัท WHB การนำคริปโตเคอร์เรนซี่ เพื่อในการชำระค่าห้องพัก
  • บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์(CGH) ลงทุนคริปโตมายด์ 25%
  • บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป(BROOK) ลงทุน CryptoCurrency

      อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาปรามการใช้ CryptoCurrency โดยประกาศว่า ธปท.ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากมีความผันผวนสูง, มีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน กลายเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงของการทำธุรกิจนี้

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เงินบาทแข็งค่า33.40 บาท/ดอลลาร์

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นได้ หลังจากที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มรับรู้ผลการประชุมเฟดเรียบร้อยแล้ว โดยปัจจัยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็น การอ่อนค่าลงเล็กน้อยของเงินดอลลาร์ ที่อาจช่วยหนุนให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้าง นอกจากนี้ เราเริ่มเห็นสัญญาณกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทจากนักลงทุนต่างชาติอีกครั้ง สะท้อนผ่านยอดซื้อบอนด์ระยะสั้นสุทธิราว 2.5 พันล้านบาทในวันก่อน ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่า ผู้เล่นต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับมาเก็งกำไรเงินบาทมากนัก จนกว่าจะมีความชัดเจนของโฟลว์ธุรกรรม M&A ใหญ่ในปีนี้ ว่าจะมีลักษณะการทำธุรกรรมอย่างไร 

 

       ในเชิงเทคนิคัลยังคงสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในระยะสั้น โดยส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวต้านเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับอ่อนค่าสุดของเงินบาทในช่วงก่อนรับรู้การประชุมเฟดที่ผ่านมา ย้ำว่าระดับดังกล่าวยังเป็นแนวต้านที่สำคัญในระยะสั้น

      ตลาดการเงินพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและตลาดหุ้นยุโรปต่างปรับตัวขึ้น โดยดัชนี Nasdaq ปิดตลาด +2.15%, ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น +1.63% ส่วนดัชนี STOXX50 ของยุโรป รีบาวด์ขึ้นราว +0.37% หลังจากที่ผลการประชุมเฟดไม่ได้ออกมาผิดจากที่ตลาดคาดการณ์และรับรู้ไปมากนัก โดยเฟดได้มีมติปรับเพิ่มอัตราการลดคิวอีจากเดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับประมาณการของผู้เล่นในตลาด พร้อมกันนั้น เฟดได้ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้งในปีหน้า

       ซึ่งมุมมองการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้าราว 3 ครั้ง ก็เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้มาแล้วสักระยะเช่นกัน ทำให้ผลการประชุมเฟดไม่ได้ส่งผลให้ตลาดกังวลต่อแนวโน้มการเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดแต่อย่างใด นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการปรับประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2022 สะท้อนว่า เฟดยังมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจและมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ได้ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวหนัก 

      ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าเฟดจะส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น แต่ก็เป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว ทำให้บอนด์ยีลด์10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยราว 3bps สู่ระดับ 1.46% จากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด รวมถึงบรรยากาศตลาดการเงินที่มีโอกาสที่จะกลับมาเปิดรับความเสี่ยงหลังจากที่ตลาดรับรู้แนวโน้มนโยบายการเงินเฟดเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่อาจลดความกังวลการระบาดของโอมิครอนลง หลังข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ต่างออกมาระบุว่าการแจกจ่ายวัคซีนเข็มกระตุ้นยังสามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดได้ ขณะเดียวกัน ยาต้านCOVID-19 “PAXLOVID” ของ Pfizer ก็ยังมีความสามารถที่ดีในการลดความเสี่ยงการป่วยหนักหรือเสียชีวิต เมื่อเจอกับโอมิครอน
      ตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง จากที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด หลังจากที่ผลการประชุมเฟดไม่ได้ผิดจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อีกทั้งภาวะเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดยังได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลง  ส่งผลให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงใกล้ระดับ 96.51 จุด (ดัชนี DXY แตะจุดสูงสุดที่ 96.9 ก่อนการประชุมเฟด)
      นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ยังได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำสามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาใกล้ระดับ 1,779 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้อีกครั้ง หลังจากที่ย่อตัวลงหนักแตะระดับ 1,753 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในช่วงก่อนการประชุมเฟด อย่างไรก็ดี เรามองว่า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อแรงได้ยาก และ Upsides ของราคาทองคำเริ่มจำกัด
      โดยตลาดวันนี้รอลุ้นผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลาง อาทิ ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เป็นต้น โดยตลาดประเมินว่า แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ชะลอลงชัดเจนจากปัญหาการระบาดล่าสุดจะส่งผลให้ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.10% ต่อ แม้ว่าผู้เล่นบางส่วนมองว่า BOE อาจขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังเงินเฟ้ออังกฤษพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกันกับ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม อาทิ คง Deposit Facility Rate ที่ -0.50% อย่างไรก็ดี ตลาดจะรอติดตามว่า ECB จะมีการปรับลดการทำคิวอีพิเศษในช่วงวิกฤติ COVID (PEPP) อย่างไร หลังจาก ECB ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดการซื้อสินทรัพย์ผ่าน PEPP ลง เนื่องจากตลาดการเงินฟื้นตัวได้ดีและไม่มีปัญหาด้านสภาพคล่อง
      ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดยังประเมินว่าบรรดาธนาคารกลางในเอเชีย อาทิ ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI), ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) และ ธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ก็จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.50%, 2.00% และ 1.125% ตามลำดับ เช่นกัน  ท่ามกลางความไม่แน่นอนของผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ทำให้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายยังมีความจำเป็น
     

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 15 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

       PRG-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น(PRG)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 29,990,554 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 5.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 16 วัน นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (30 พฤศจิกายน 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 17 ม.ค. 2565 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 15 พ.ย. 2567

       MBK-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. เอ็ม บี เค (MBK) มีจำนวน 70,206,017 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 3.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 16 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งแรก ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 17 ม.ค. 2565 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 15 พ.ย. 2567

       KBANK (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 166 บาท เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นตามเงินเฟ้อ สินเชื่อเติบโตดีสุดของกลุ่ม สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มผ่อนคลายเป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจ SME และเป็นบวกต่อ KBANK เพราะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ SME มากที่สุดของกลุ่มเช่นกัน

       SAT (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22.50 บาท รายได้ปี 65 โตต่อ ยอดผลิตรถยนต์ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนปี 65 ตลาดรถยนต์จะกลับมาคึกคัก ลูกค้าคนสำคัญอย่าง Toyota เร่งลงทุน ทั้งนี้ Q2/65 ปรับเพิ่มราคาขายสินค้า ฝั่ง Demand เติบโตต่อหลังโควิด-19 ซา Order ใหม่ทยอยเข้า เพิ่ม U-Rate ให้โรงงาน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 1 พันลบ. และ 1.1 พันลบ. +172%YoY, +11%YoY ตามลำดับ

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทผันผวน

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนจากภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟดระยะสั้น

      คาดว่า หากผลการประชุมเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หรือ เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า “น้อยกว่า” ที่ตลาดคาดการณ์ เช่น จำนวนเจ้าหน้าที่เฟดที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งไม่ต่างจากการประชุมในเดือนกันยายน

       ภาพดังกล่าว อาจหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น และอาจกดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงได้ นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และท่าทีของเฟดที่ไม่ได้เร่งรีบใช้นโยบายการเงินอย่างที่ตลาดคาดหวังก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น ซึ่งการรีบาวด์ของราคาทองคำจะสามารถช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน

        ดังนั้น ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด เงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways หรือ อ่อนค่าลงได้บ้าง แต่เงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังผลการประชุมเฟดอาจไม่ได้ Hawkish เท่าที่ตลาดคาดหวังไว้

ทั้งนี้ ในส่วนของแนวต้านเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมองว่ายังพอมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน ช่วยพยุงไม่ให้เงินบาทแข็งไปได้เร็ว ยกเว้นว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว

         ตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวังตัว (Cautious Mode) จากความกังวลแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินเร็วขึ้น หลังจากที่ดัชนีราคาสินค้าผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 9.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก

        นอกจากนี้ ปัญหาการระบาดของ Omicron ในฝั่งยุโรป รวมถึงสหรัฐฯ ก็ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจอาจชะลอลงในระยะสั้น ซึ่งภาวะระมัดระวังตัวของตลาดส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดความเสี่ยงลงก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมเฟดในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้ดัชนีหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ต่างย่อตัวลงต่อเนื่อง

        โดยในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงราว -1.14% เนื่องจากหุ้นเทคฯ ซึ่งมีระดับ Valuation ที่สูงนั้นจะมีความอ่อนไหวกับแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.75% จากทั้งการปรับตัวลงของหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ Microsoft -3.3%, Google -1.2% รวมถึงแรงขายหุ้นกลุ่ม Cyclical อื่นๆ

         ส่วนทางด้านฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX50 ย่อตัวลงต่อเนื่องราว -0.92% กดดันจากความกังวลว่าแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจอาจชะลอลงหลังรัฐบาลหลายประเทศอาจทยอยใช้นโยบาย Lockdown ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมปัญหาการระบาดของโอมิครอน นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคฯ ยังปรับตัวลงหนัก จากความกังวลแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด Adyen -5.0%, Infineon Tech. -3.1%, ASML -2.7%

       ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ทว่าแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด ก็ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 1.44% ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด

ราคาทองวันนี้ประกาศครั้งแรกของวัน ปรับลดลง 150 บาท

         ราคาทองคำประจำวันนี้ 15 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งแรกของวัน ปรับลดลง 150 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้ โดยราคาขายออกทองรูปพรรณ อยู่ที่ 28,600 บาท อ้างอิงข้อมูลล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ ที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ เมื่อเวลา 9.27 น.ที่ผ่านมา
        ทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 28,000 บาท ขายออกบาทละ 28,100 บาท ตามประกาศครั้งล่าสุด

      สำหรับทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 27,500.24 บาท และมีราคาขายออกที่ 28,600 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 1,773.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์

      ราคาทองคำ วันที่ 15 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งที่ 1

       ทองแท่ง
• รับซื้อ บาทละ 28,000 บาท
• ขายออก บาทละ 28,100 บาท

       ทองรูปพรรณ
• รับซื้อ บาทละ 27,500.24 บาท
• ขายออก บาทละ 28,600 บาท

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

หุ้น YGG พุ่งแรง 11.43%

   นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) ยืนยันการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) อัตราจัดสรร 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุน กำหนดราคาเสนอขาย 0.50 บาทต่อหุ้น มีความเหมาะสม และเป็นไปตามแผนดำเนินการย้ายหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)

     YGG จะจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (XR) วันที่ 11 ก.พ.65 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน (Record date) วันที่ 14 ก.พ. 65

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

คาดปี65 จีดีพีไทยเติบโต 3.5%

           นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในปี 2565 โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การกระตุ้นเศรษฐกิจลดลงและนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น

       แต่ความเสี่ยงทางการเมืองสูงขึ้น ส่วนผลตอบแทนจาการลงทุนแนวโน้มอัตราผลตอบแทน(Yield)ระยะสั้นสูงขึ้น  Yieldระยะยาวย่อลง สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้(Bond)

   

วนมุมมองสำหรับประเทศไทย  ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย(จีดีพี)ในปี 2565 นั้น ประมาณการจีดีพีจะขยายตัวที่ประมาณ 3.5% บนสมมติฐานภาคการท่องเที่ยวของไทยสามารถกลัยมาเปิดได้เต็มรูปเแบบ    พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 1.5% ขณะเดียวกันเริ่มเห็นปัจจัยเสี่ยงจากทางการเมือง  การเลือกตั้ง ทั้งในส่วนระดับประเทศและการเลือกผู้ว่า กทม. อย่างไรก็ตามไทยยังอยู่ในโหมดของการประคองเศรษฐกิจเพื่อรอเปิดประเทศ

       

นายกุลฉัตรมองตลาดหุ้นไทยในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด ซึ่งเป็นปีแห่งการเทิร์นอราวด์ โดยกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดประเทศและกลุ่มหุ้นในระบบเศรษฐกิจแบบเก่า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มที่โดดเด่น

         ขณะเดียวกันในกลุ่มการเงินนั้น จะเห็นการควบรวมและขยายธุรกิจไปสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้มีโอกาสในการสร้างผลกำไรต่อราคาปรับตัวดีขึ้นส่วนกลุ่มสุดท้ายน่าจะเป็นกลุ่มหุ้นสุขภาพที่ยังมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19

         ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงปี 2565 มองกรอบดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,650-1,670 จุด

         สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นที่เกี่ยวกับกลุ่ม Economy กลุ่มEnergy ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะกลับมาโดดเด่นในปี2565 จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกึ่งขาขึ้น ประกอบกับราคายังไม่แพงมาก โดยที่สถาบันการเงินให้ความสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันธุรกิจการเงินให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มเฮลล์แคร์จะกลับมาโดดเด่นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า เมื่อมีการเปิดประเทศเต็มที

           อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ลงทุนอย่างรีทส์(REIT)และอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมามีความน่าสนใจ โดยเฉพาะ กองรีทส์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยรวมของรีทส์คาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5% และมีโอกาสสูงขึ้นในครึ่งหลังของปีหน้า หากมีความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ขณะที่บอนด์ยีลด์ 10ปีมีโอกาสแตะ 2.00%

         ส่วนแนวโน้มเงินค่าบาททิศทางแข็งค่าที่ระดับ 32.5บาทต่อดอลลาร์พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 0.50%ต่อปี

          ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงปี 2565 ดร.จิติพลแนะลดสัดส่วน พันธบัตร(บอนด์) เพิ่ม ธีมอนาคต ซึ่งมี 3 ธีมเด่น ได้แก่ ธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม ธีมระบบการเงินไร้ตัวกลาง และธีมวิวัฒนาการของการบริโภค โดยธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม มองว่า การใช้หุ่นยนต์เพิ่มผลผลิตด้านอุตสาหกรรมทํากําไรได้แล้ว AI เข้ามาเป็นส่วนหลักของทุกกิจกรรม และมีธุรกิจยานยนต์ไร้คนขับเป็นโอกาสในอนาคต

          โดยธีมระบบการเงินไร้ตัวกลาง ได้รับการยอมรับมาก สถาบันเตรียมเข้าลงทุนแม้ว่ากฎระเบียบยังไม่ชัดเจน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่Fintech ต้องมาพร้อมกับ Cybersecurity เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค

        ส่วนธีมวิวัฒนาการของการบริโภคนั้น มองการบริโภค Online จะฟื้นตัวกลับมาจากกระแส Metaverse แม้กฎเกณฑ์จะไม่สนับสนุนมาก แต่มีความเป็นแฟชั่นและเปลี่ยนแปลงเร็ว

 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

      VL (กรุงศรี) ซื้อเป้า 60 บาท คาดกำไร Q4/64 ฟื้นแข็งแกร่งเนื่องจากเกือบทุกผลิตภัณฑ์มีคำสั่งซื้อรองรับไปจนถึง Q1/65 การผลิตเดินหน้าเต็ม Capacity จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ซัพพลายมีไม่เพียงพอหลังเกิดปัญหาขาดแคลนไฟฟ้าในจีน

      SMT (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 8 บาท คาดกำไร Q4/64 เร่งตัวและมีลุ้นโตทั้ง Q-Q และ Y-Y ตามรายได้เร่งตัว และ Margin คาดยังแข็งแรงต่อเนื่อง หนุนกำไรทั้งปี 64 คาด +166% Y-Y ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 65 +27% Y-Y และคำสั่งซื้อ Secured แล้วถึง 80% ช่วยปิด Downside และคาดกำไรปี 65 +33% Y-Y อยู่ระหว่างหาที่ตั้งโรงงานแห่ง 2 หนุนการเติบโตระยะยาว พร้อมให้แนวรับ 6.60-6.50 บาท แนวต้าน 7.00-7.20 บาท

      VGI (คิงส์ฟอร์ด)ซื้อเก็งกำไรเป้า IAA Consensus 7.60 บาท แนวโน้มผลงาน Q3/64-65 ทยอยฟื้นตัว QoQ ตามเม็ดเงินโฆษณาหลังผ่อนคลายล็อกดาวน์และเปิดประเทศ ส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้จ่ายงบโฆษณามากขึ้น แนวโน้มปี 65-66 คาดว่ากำไรเติบโตเด่น นอกเหนือจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโฆษณายังมีปัจจัยหนุนจาก Synergy เข้าลงทุนใน JMART (15%) ทั้งบริการ Offline-to-Online (O2O) โซลูชั่นส์ของ VGI แก่กลุ่มบริษัท Jaymart และการใช้พื้นที่บนสถานี BTS เป็นจุดรับสินค้าและบริการ รวมทั้งการขยายเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของ Fanslink ไปยังเครือข่ายทั่วประเทศของ JMART และ SINGER

     BAM (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22 บาท ติดตาม ธปท.ปรับเกณฑ์ของธุรกิจ AMC สามารถเข้าซื้อ NPL ของหน่วยรัฐ ประเมิน BAM เป็นตัวเก็งอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ เก็งกำไร Q4/64 สวย รับ High Season ในการซื้อหนี้เสีย ส่วนปี 65 คาดมีหนี้ให้ซื้ออีกมากหลังหมดมาตรการช่วยลูกหนี้สถาบันการเงิน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 2.15 พันลบ. และ 3 พันลบ. +17%YoY, +40%YoY ตามลำดับ

ขอบคุณ : อินโฟเควสท์

ดาวโจนส์ปิด 300 กว่าจุด หวั่นการระบาดโอมิครอน

       นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยืนยันว่า พบผู้เสียชีวิตจากไวรัสโอมิครอนรายแรกในประเทศ พร้อมกับเตือนด้วยว่า อังกฤษกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกใหญ่ของไวรัสโอมิครอน และวัคซีน 2 โดสไม่เพียงพอที่จะควบคุมไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าว โดยการแสดงความเห็นของนายจอห์นสันมีขึ้นหลังจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของอังกฤษประกาศยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 สู่ระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ

     มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษออกรายงานระบุว่า การฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็ม อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโอมิครอน รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของอังกฤษ (HSA) ที่พบว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็มให้ประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันอาการของโรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอน เมื่อเทียบกับการป้องกันสายพันธุ์เดลตา

      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,650.95 จุด ลดลง 320.04 จุด หรือ -0.89%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,668.97 จุด ลดลง 43.05 จุด หรือ -0.91% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,413.28 จุด ลดลง 217.32 จุด หรือ -1.39%
         หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญลดลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโอมิครอนอาจทำให้หลายประเทศกลับมาใช้มาตรการควบคุมการเดินทางอีกครั้ง ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า รวมถึงการปรับลดอัตราการซื้อพันธบัตร

    ก่อนหน้านี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด  ทางด้านมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษออกรายงานระบุว่า การฉีดวัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็ม อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโอมิครอน โดยรายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลการศึกษาของสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของอังกฤษ (HSA) ที่พบว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็มให้ประสิทธิภาพต่ำในการป้องกันอาการของโรคโควิด-19 จากสายพันธุ์โอมิครอน เมื่อเทียบกับการป้องกันสายพันธุ์เดลตา 

       ทั้งนี้โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงิน QE เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563

 

ขอบคุณ :   ฐานเศรษฐกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway Down ลงไม่มากก เป็นทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ

      นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down ย่อตัวลงไม่มาก เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวลบไม่มาก เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐและตลาดยุโรปต่างปรับลง จากความกังวลเมื่ออังกฤษพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเสียชีวิตรายแรก ทำให้อังกฤษกำลังเผชิญการแพร่ระบาดระลอกใหญ่จึงเตรียมใช้มาตรการเข้มอีกครั้ง อีกทั้งโควิดสายพันธุ์โอมิครอนกระจายไปทั่วโลกแล้ว และองค์การอนามัยโลก (WHO) ก็ออกมาเตือนว่าอาจจะเป็นสายพันธุ์หลักที่จะระบาดต่อไป ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงต่างปรับตัวลงไม่เว้นแม้แต่ราคาน้ำมัน

   โดยตลาดขาดปัจจัยหนุน จึงคาดว่านักลงทุนคงจะเลือกขายก่อนผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะออกมา ซึ่งก็มีความกังวลเกี่ยวกับการปรับลด QE ที่มีโอกาสจะลดลงมากกว่าเดิม ซึ่งหากเร็วกว่าคาดก็จะกระทบสินทรัพย์เสี่ยง และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็จะเร็วไปด้วย ซึ่งจะกดดันตลาดฯมากขึ้น

     ซึ่งต้องติดตาม FTSE Reblance มีผลในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ โดยไทยถูกปรับลดน้ำหนักการลงทุน ทำให้อาจได้เห็นแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) จะปรับการคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ในสัปดาห์นี้ด้วย รวมถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 ธ.ค.นี้อาจมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่ม

     ทั้งนี้บ้านเราจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดลงมาเหลือแค่กว่า 2,000 ราย ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดี และโควิดสายพันธุ์โอมิครอนที่พบในไทยก็เป็นผู้ที่มาจากต่างประเทศ ยังไม่พบการระบาดในประเทศ พร้อมให้แนวรับ 1,620-1,617 จุด ส่วนแนวต้าน 1,630-1,634 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ราคาทองวันนี้ทรงตัว

     ราคาทอง วันที่ 14 ธ.ค. 64 สมาคมทองคำ ประกาศครั้งที่ 1 ราคาคงที่ไม่เพิ่มไม่ลด เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันจันทร์ ที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 2 รอบ และเป็นกาปรับลดลงติดต่กันทั้ง 2 รอบ รวม 100 บาท

      ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันที่ 14 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งที่ 1

         ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,800 บาท
รับซื้อบาทละ 27,697.32 บาท

       ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,300 บาท
รับซื้อบาทละ 28,200 บาท

   ทั้งนี้ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564 ประกาศครั้งที่ 2 ครั้งสุดท้าย

     ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,800 บาท
รับซื้อบาทละ 27,697.32 บาท

     ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,300 บาท
รับซื้อบาทละ 28,200 บาท

    ราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,789 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 3.5 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 1,788.3 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และจากการเข้าซื้อทองคำในฐานะซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

      ราคาทองคําฮ่องกง เปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 140 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,630 ดอลลาร์ฮ่องกง

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเช้านี้33.39 บาท/ดอลลาร์

      นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า ภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดอาจทำให้ เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ส่วนนักลงทุนต่างชาติอาจยังไม่รีบกลับเข้ามาเป็นฝั่งซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทย แต่เชื่อว่า ความหวังต่อวัคซีนบูสเตอร์ที่อาจช่วยลดความเสี่ยงปัญหาการระบาดของโอมิครอนก็จะช่วยให้นักลงทุนต่างชาติไม่ได้เทขายสินทรัพย์ไทยหนักแบบช่วงก่อนหน้า ทำให้ เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้นนี้ และมีโอกาสที่เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากผลการประชุมเฟดในวันพฤหัสฯ นี้ ไม่ได้ผิดไปจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หรือ เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า น้อยกว่าที่ตลาดได้คาดหวังไว้

       หากพิจารณาสัญญาณเชิงเทคนิคัลจากทั้ง RSI และ MACD จะพบว่า เงินบาทก็มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น หลังจากที่ไม่สามารถอ่อนค่าทะลุระดับ 34.00 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ โดยการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจากฟันด์โฟลว์ของนักลงทุนต่างชาตินั้น เราเชื่อว่าอาจมาจากโฟลว์ขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกในช่วงปลายปีที่ช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท ทั้งนี้ เรามองว่า แนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมองว่ายังพอมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน ช่วยพยุงไม่ให้เงินบาทแข็งไปได้เร็ว ยกเว้นว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทหนักขึ้น ซึ่งอาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้เร็ว

      ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.38-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยกรอบการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มจำกัดลง เนื่องจากตลาดเริ่มกลับมาประเมินความเสี่ยงจากการระบาดของโอมิครอนใหม่อีกครั้ง หลังจากมีรายงานผู้เสียชีวิตรายแรกจากสายพันธุ์นี้ในอังกฤษ ประกอบกับมีแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ ก่อนการประชุมเฟดวันที่ 14-15 ธ.ค. 64

        สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 ตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ ยอดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนพ.ย. 64 ของจีน และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. 64 ของยุโรปและญี่ปุ่น

     

แนวโน้มธนาคารกลาง โดยเฉพาะเฟดเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงความกังวลว่าการระบาดของโอมิครอนอาจกดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะสั้น ได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดการเงินขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงและเริ่มกลับสู่โหมดระมัดระวังตัว (Cautious Mode) มากขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ ดัชนีหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ต่างย่อตัวลง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงราว -1.39% เนื่องจากหุ้นเทคฯ ซึ่งมีระดับ Valuation ที่สูงนั้นจะมีความอ่อนไหวกับแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.91% จากทั้งการปรับตัวลงของหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ รวมถึงหุ้นธีม Reopening อาทิ กลุ่มสายการบินและกลุ่มพลังงาน

       ขณะที่ ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX50 ย่อตัวลงราว -0.38% กดดันจากความกังวลว่าแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจอาจชะลอลงหลังรัฐบาลหลายประเทศอาจทยอยใช้นโยบาย Lockdown ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมปัญหาการระบาดของโอมิครอน ส่งผลให้หุ้นในธีม Reopening ต่างปรับตัวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มการเดินทางและท่องเที่ยว รวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคาร อาทิ Amadeus -3.2%, Airbus -2.4%, Santander -1.6%, BNP Paribas -1.3%

       ทั้งนี้มองว่า ความผันผวนในตลาดการเงินมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงเพียงระยะสั้นและเชื่อว่าตลาดจะไม่กลับไปปิดรับความเสี่ยงหนักแบบในรอบการรปรับฐานของตลาดที่ผ่านมา หลังผลวิจัยเบื้องต้นระบุว่า การฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ยังมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อจาก โอมิครอน ได้ ซึ่งรายงานดังกล่าวสนับสนุนมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ต่างเชื่อว่าการระบาดของ โอมิครอน อาจจะไม่ได้มีความรุนแรงจนน่ากังวลและวัคซีนที่มีในปัจจุบันยังสามารถรับมือได้

       ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้นของผู้เล่นในตลาด ได้หนุนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงราว 7 bps แตะระดับ 1.42% ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมเฟดในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนสถานะถือครองบอนด์อีกครั้ง ซึ่งคาดว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจเลือกที่จะรอให้ผ่านช่วงวันหยุดปลายปีนี้ไปก่อน ที่ตลาดการเงินจะมีธุรกรรมเบาบาง และเริ่มกลับมาเทรดเต็มที่หรือปรับสถานะถือครองอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงต้นปีหน้า

       ซึ่งคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด รวมถึงบรรยากาศตลาดการเงินที่มีโอกาสที่จะกลับมาเปิดรับความเสี่ยง

       ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ หนุนโดยแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น รวมถึงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะสั้นเพื่อหลบความผันผวนในตลาด ส่งผลให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 96.32 จุด ทั้งนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ไม่ได้กดดันราคาทองคำมากนัก                     เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนยังเลือกที่จะถือทองคำเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ราคาทองคำยังทรงตัวใกล้ระดับ 1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองเดิมว่า upsides ของราคาทองคำอาจเริ่มจำกัด หากตลาดกลับมาเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม รวมถึงเฟดเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้จะเหลือเพียงปัจจัยความกังวลเงินเฟ้อ หรือ แนวโน้มเฟดไม่เร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวด ที่จะพอช่วยหนุนให้ราคาทองคำได้

        สำหรับวันนี้ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มการปรับใช้มาตรการ Lockdown เพิ่มเติมในฝั่งยุโรป สหรัฐฯ รวมถึงประเทศแถบเอเชียที่เริ่มเผชิญยอดผู้ติดเชื้อ COVID ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจในระยะสั้นได้

          ไฮไลท์ของข้อมูลเศรษฐกิจจะอยู่ที่ผลการประชุมของบรรดาธนาคารกลางหลัง อาทิ เฟด, ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) , ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่จะเริ่มมีการรายงานผลการประชุมในวันพฤหัสฯ โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอติดตามว่า บรรดาธนาคารกลางจะมีมุมมองต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจอย่างไร ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงการระบาดของโอมิครอน รวมถึงแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 11 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 ธันวาคม 2564

ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 11 ธ.ค. 64 ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 150 บาท

     ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 11ธ.ค. 64 ครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.19 น. เพิ่มขึ้น 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,300.00 บาท ขายออกบาทละ 28,400.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,788.28 บาท ขายออกบาทละ 28,900.00 บาท

    โดยราคาทอง ประจำวันที่ 10 ธ.ค. 64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 4 ครั้ง ลดลง 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,150.00 บาท ขายออกบาทละ 28,250.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,636.68 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท

    ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ 10 ธ.ค.64 สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 8.1 ดอลลาร์ หรือ 0.46% ปิดที่ 1,784.8 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวขึ้น 0.05% ในรอบสัปดาห์นี้ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 12 พ.ย.64

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 216 จุด

      ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ ที่ 10 ธ.ค. 64 หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยตลาดปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐที่เป็นไปตามคาดในเดือนพ.ย. ซึ่งได้ช่วยลดแรงกดดันของนักลงทุนที่วิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างรุนแรง
      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,970.99 จุด เพิ่มขึ้น 216.30 จุด หรือ +0.60% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,712.02 จุด เพิ่มขึ้น 44.57 จุด หรือ +0.95%ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,630.60 จุด เพิ่มขึ้น 113.23 จุด หรือ +0.73% ซึ่งในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 4%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 3.8% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้น 3.6%

       กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 6.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 6.7%

        ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และพุ่งขึ้น 4.9% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2534 สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์เช่นกัน โดยหุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสาธารณูปโภค ปรับตัวขึ้นมากที่สุด

      ซึ่งบ่งชี้ว่า การซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวังก่อนการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในสัปดาห์หน้า โดยบรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 14-15 ธ.ค.64นี้

       นักลงทุนจะรอดูการประชุมนโยบายการเงินของเฟดอย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า รวมถึงการปรับลดอัตราการซื้อพันธบัตร

        รอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์คาดว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 0.25-0.50% ในไตรมาส 3 ของปีหน้า และจะปรับขึ้นอีกในไตรมาส 4 อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่านั้น

 

GDPในปี 65 เติบโต 3.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.4%

      นายยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า EIC ได้ปรับลดประมาณการการการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ในปี 65 มาเป็นเติบโต 3.2% จากเดิมคาดไว้ที่ 3.4%
        หลังจากมองว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นในช่วงต้นปี โดยในภาพรวมของการท่องเที่ยวยังจะเป็นการฟื้นตัวอย่างช้าๆ ซึ่งส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยไม่สามารถกลับไปใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ได้เร็วนัก

       ในกรณีฐาน EIC คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยในปี 65 ราว 5.9 ล้านคน บนพื้นฐานที่คาดว่าผลกระทบของโอมิครอนจะจำกัดอยู่ในช่วงไตรมาส 1/65

      ขณะที่ในกรณีเลวร้าย (worse case) EIC ประเมินว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอาจลดลงไปอยู่ที่ 2.6 ล้านคน ตามการจำกัดการเดินทางของประเทศต้นทางนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีนที่อาจยืดเวลาการเปิดประเทศออกไปเป็นในปี 66 ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาภาคการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากจะยังต้องใช้เวลาฟื้นตัวไปในช่วงกลางปี 66

     ด้านภาคการส่งออกสินค้าในปี 65 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.4% ตามการเติบโตของเศรษฐกิจและการค้าโลกโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้นจากปี 64

       ส่วนการใช้จ่ายในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกัน จากอานิสงส์ของการกระจายวัคซีนในประเทศที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้กิจกรรมเศรษฐกิจจะกลับมาดำเนินการได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในระยะสั้นที่จะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายที่มาจาก pent-up demand ของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ ประกอบกับยังจะได้ปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คาดว่าจะยังมีต่อเนื่อง แต่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโอมิครอนอาจทำให้ผู้บริโภคบางส่วนชะลอการใช้จ่ายลงจากความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นและอาจมีมาตรการจำกัดการแพร่ระบาดเกิดขึ้นในบางจุดซึ่งจะกระทบกับการใช้จ่ายโดยตรง

       นอกจากนี้การฟื้นตัวของการใช้จ่ายในประเทศในภาพรวมจะเป็นไปอย่างช้าๆจากแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่จะยังมีผลต่อเนื่องไปในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะภาวะตลาดแรงงานที่ซบเซา โดยล่าสุดอัตราการว่างงานในช่วงไตรมาส 3/64 อยู่ที่ 2.3% ถือเป็นจุดสูงสุดใหม่สำหรับอัตราการว่างงานในช่วงโควิด-19 และเป็นอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 50 และจำนวนคนทำงานต่ำระดับและคนเสมือนว่างงานได้ปรับเพิ่มขึ้นมาก

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เลโก้ทุ่มพันล้านดอลล์ตั้งโรงงานผลิตในเวียดนาม

      เลโก้ บริษัทของเล่นประเภทตัวต่อชื่อดังของโลกทั้งยังเป็นบริษัทของเล่นรายใหญ่สุดของโลกสัญชาติเดนมาร์ก ประกาศลงทุน 1,000 ล้านดอลลาร์สร้างโรงงานผลิตของเล่นในเวียดนาม เพื่อตอบสนองความต้องการของเล่นในเอเชียที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหวังสร้างระบบห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพในเวียดนามแทนจีน

        โรงงานผลิตของเล่นของเลโก้ ซึ่งจะเป็นโรงงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ศูนย์เปอร์เซนต์แห่งแรกของบริษัทจะตั้งห่างจากโฮจิมินห์ ซิตี้ ศูนย์กลางทางธุรกิจของประเทศประมาณ 50 กิโลเมตร โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า และบริษัทตั้งเป้าเริ่มเดินสายการผลิตครั้งแรกในปี 2567

       โรงงานผลิตที่ปล่อยคาร์บอนฯศูนย์เปอร์เซนต์แห่งนี้จะติดตั้งแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์และมีโครงการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ตั้งอยู่ใกล้ๆ สอดรับกับความต้องการด้านพลังงานที่จำเป็นของโรงงาน ที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทเลโก้ลงทุนอย่างมากไปกับการผลิตที่มีความยั่งยืนเพิ่มขึ้น 

        ความพยายามของเลโก้สอดคล้องกับเวียดนามที่พยายามเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานแบบผสมเป็นพลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากถ่านหินและทางตอนใต้ของเวียดนามเป็นภูมิภาคที่แดดแรงที่สุด

       โรงงานผลิตของเล่นในเวียดนามของเลโก้จะเป็นโรงงานผลิตของเล่นแห่งที่6 โดยเลโก้มีโรงงานผลิตของเล่นในจีน1แห่ง ในยุโรป 3 แห่งและในเม็กซิโก 1 แห่งและโรงงานใหม่นี้ส่วนใหญ่จะผลิตสินค้าเพื่อป้อนให้แก่ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามแผนเจาะฐานลูกค้าชนชั้นกลางในภูมิภาคที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

     หลังจากประสบความสำเร็จในการทำตลาดทั้งในยุโรปและในสหรัฐมาแล้ว กลุ่มบริษัทของเล่นสัญชาติเดนมาร์กก็เล็งเป้าทำตลาดในภูมิภาคเอเชียอย่างจริงจังมากขึ้น เริ่มจากจีนที่เลโก้รุกเปิดร้านภายใต้แบรนด์ตัวเองหลายร้อยแห่งรวมทั้งตั้งโรงงานผลิตของเล่นในเจียซิงในปี 2559

        ราสมุสเซน กล่าวว่า เลโก้ใช้เวลา18เดือนที่ผ่านมาสำรวจสถานที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก่อนจะตกลงตั้งโรงงานผลิตในเวียดนามเพราะได้รับข้อเสนอที่ดีมากจากทางการเวียดนาม โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะและการเปิดกว้างด้านการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะสร้างงาน 4,000 ตำแหน่งในระยะ15ปีข้างหน้าที่บริษัทค่อยๆขยายโรงงาน

“เราเน้นการลงทุนระยะยาว ตลาดในเอเชียและจีนเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากสำหรับเรา ทั้งยังเป็นตลาดที่มีโอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่ดีและมีกรณีพิพาทน้อยหรือแทบไม่มีเลย”ซีโอโอเลโก้ กล่าว 

         ผู้บริหารระดับสูงที่ดูแลด้านการผลิตของเลโก้ กล่าวว่าโรงงานผลิตของบริษัทในจีนที่มีอยู่ตอนนี้จะผลิตของเล่นให้ตลาดจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ส่วนโรงงานแห่งใหม่ในเวียดนามจะผลิตของเล่นให้ประเทศที่เหลือในเอเชีย 

        ไฟแนนเชียล ไทม์ ระบุว่า การลงทุนของเลโก้มูลค่า1,000 ล้านดอลลาร์ครั้งนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับเวียดนาม ที่บรรดาบริษัทส่งออกต่างชาติเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แก่เวียดนาม

       

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

กสิกรไทยคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์1,600 - 1,580 จุด

      บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยสำหรับสัปดาห์ถัดไป วันที่ 13-17 ธ.ค.64 มีแนวรับที่ 1,600 และ 1,580 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,625 และ 1,640 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมเฟด วันที่ 14-15 ธ.ค.64 สถานการณ์โควิด-19 และทิศทางเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

      ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต ยอดค้าปลีก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย. และดัชนี PMI เดือนธ.ค. (เบื้องต้น) ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ดัชนี PMI เดือนธ.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

     โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 7-9 ธ.ค. 64 หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,618.23 จุดเพิ่มขึ้น 1.89% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 71,301.06 ล้านบาท ลดลง 27.46% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.81% มาปิดที่ 564.65 จุด

       หุ้นไทยดีดตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังนักลงทุนคลายความกังวลบางส่วนต่อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน เนื่องจากมีความหวังว่าอาการป่วยจากการติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวอาจไม่รุนแรง สำหรับสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มธนาคารมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากข่าวการชนะประมูลพอร์ตสินเชื่อรายย่อย ขณะที่หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์มีแรงหนุนจากการเปิดเฮียริ่งอีกรอบเกี่ยวกับร่างประกาศคุมสัญญาเช่าซื้อ

       อย่างไรก็ดี หุ้นไทยย่อตัวลงเล็กน้อยในวันทำการสุดท้ายก่อนหยุดยาว ตามแรงขายลดเสี่ยงของนักลงทุน

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 29 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 29 ตุลาคม 2564

ค่าเงินบาทเช้านี้ 29 ต.ค.64 ยังคงแข็งค่า สหัฐจับตาปัญหาเงินเฟ้อ

    นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่ากรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.10-33.30 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งแนวโน้มค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ ซึ่งเราคาดว่าผู้เล่นต่างรอคอยที่จะขายทำกำไร หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านแถว 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้เงินบาทอาจเผชิญความผันผวนได้จากแรงขายทำกำไรหุ้นไทยออกมาบ้าง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติอาจชะลอการลงทุนในไทยไปก่อน จนกว่าจะมองภาพการฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังการทยอยเปิดประเทศในเดือนหน้า ได้อย่างชัดเจนก่อน ทำให้โดยรวมฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวน รวมถึงทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามสภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด และการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร ตามมุมมองของตลาดที่เชื่อว่า ECB อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ในปีหน้า ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 93.35 จุด

    สำหรับแนวต้านสำคัญของเงินบาทยังอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอขายเงินดอลลาร์อยู่ ส่วนผู้นำเข้าบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ เงินบาทยังมีแนวรับสำคัญที่โซน 32.90-33.00 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ตลาดการเงินโดยรวมเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อ จากแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด โดยเฉพาะในฝั่ง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่รายงานผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาดนั้น ได้ช่วยหนุนให้ ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นราว +1.0%

     โดยทางสหรัฐจับตา ปัญหาเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูงอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจได้ รวมถึงเร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้ามากน้อยเพียงใด ซึ่งหากเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและสินค้าพลังงาน (Core PCE) พุ่งขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ระดับ +0.2% จากเดือนก่อนหน้า ก็อาจทำให้ตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและคาดหวังว่า เฟดอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวดได้เร็วกว่าคาด และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ตลาดจะยังคงจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเราคงมองว่า งบการเงินโดยรวมที่มีแนวโน้มออกมาแข็งแกร่งจะยังสามารถช่วยหนุนให้ตลาดการเงินเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงได้

   ทั้งนี้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า ปัญหาเงินเฟ้อจะส่งผลให้บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกต่างทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนให้บอนด์ยีลด์ ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ รวมถึงการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง ซึ่งเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดจะทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง หากราคาทองคำปรับตัว

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

บิตคอยน์วันนี้ 29 ต.ค.64 ปรับขึ้น 4.05%

    ราคาบิตคอยน์วันนี้ 29 ต.ค.61 ปรับตัวสูงขึ้น +4.05% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีราคา 60,619.60 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,011,964.52 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 45.17 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 7:42 น. ที่ผ่านมา โดยเหรียญดิจิทัลอื่นๆ Ethereum ดีดขึ้น 9.52% Binance Coin ดีดขึ้น 9.72% และ Dogecoin ดิ่งลง 15.35% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

–  Bitcoin  ราคาอยู่ที่ 60,619.60 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.05%

–  Ethereum  ราคาอยู่ที่ 4,295.19 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +9.52%

–  Binance Coin ราคาอยู่ที่  492.29 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +9.72%

– . Tether  ราคาอยู่ที่  1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.06%

– Cardano ราคาอยู่ที่  02.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.35%

–  USD Coin  ราคาอยู่ที่  1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01%

– XRP (XRP) ราคาอยู่ที่  1.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.11%

–  Polkadot ราคาอยู่ที่  42.12 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.28%

–  Dogecoin ราคาอยู่ที่  ราคา 0.30 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +30.27%

–  SHIBA INU ราคาอยู่ที่  ราคา 0.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -15.35%

   ทั้งนี้ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

หุ้นไทยน่าห่วง หลายบริษัทต่ำกว่าที่คาด

    29 ต.ค.64 นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ 29 ต.ค.64 คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ในทิศทางที่อ่อนตัวลง ในช่วงรอติดตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/64 ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุนการลงทุน และแม้งบฯในต่างประเทศจะออกมาดี แต่ก็คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากบริษัทApple และ บริษัทAmazon ทำให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สปรับตัวลง ส่วนงบของกลุ่ม Real Sector ในตลาดบ้านเราออกมาไม่ดี หลายบริษัทออกมาต่ำกว่าคาด ไม่ว่าจะเป็น DTAC, PTTEP เป็นต้น ซึ่งทำให้ Sentiment ตลาดไม่ดี นักลงทุนจึงระวังการลงทุนมากขึ้น 

   รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ปรับตัวขึ้นด้วย อันเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น ทำให้นโยบายการเงินในต่างประเทศอาจจะต้องเข้มข้นขึ้น ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวกและลบคละกัน โดยจะติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟดในสัปดาห์หน้าพร้อมให้แนวรับ 1,620-1,615 จุด ส่วนแนวต้าน 1,630-1,635 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ลุงตู่ แนะ 3 ข้อ พลิกอุตสาหกรรม IMT-GT

    สภาพัฒน์ เผยผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 13 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย หรือ 13th IMT-GT Summit ซึ่งฝั่งของประเทศไทยมีผู้ร่วมประชุมประกอบด้วย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้าร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 13 ร่วมด้วยรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกแผนงาน IMT-GT เข้าร่วมการประชุม โดยของไทยคือ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

    พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี  ได้ให้ข้อคิดเห็นว่าแผนการลงทุนตามแผนปฏิบัติการภายใต้กรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน (SUDF) ของแผนงาน IMT-GT มีความสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG หรือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวของไทยที่กำลังดำเนินการผลักดันอยู่ และจะต้องเร่งการระดมทุนทั้งจากภายในประเทศและจากแหล่งทุนอื่น ๆ อาทิ กองทุนของอาเซียนและธนาคารพัฒนาเอเชีย ดังเช่นกระทรวงการคลังของไทยที่ได้ออกพันธบัตรเพื่อความยั่งยืนเพื่อการระดมทุนในโครงการสำคัญ โดยแนะ 3 ประการเพื่อสร้างจุดแข็ง พลิกโฉมอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของ IMT-GT โชว์โมเดล “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 2,330 ล้านบาท พร้อมเปิดประเทศ 1 พ.ย.นี้ ประกอบด้วย

  1. เร่งพัฒนาและต่อยอดโครงการเพื่อสนับสนุนการเป็นจุดหมายปลายทางเดียวกันด้านการท่องเที่ยว
  2. มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงที่สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่และความต้องการของตลาด เช่น ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูป
  3. พัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานฮาลาลให้มีประสิทธิภาพและเป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ควบคู่กับการเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันในอุตสาหกรรมฮาลาล ขณะเดียวกันยังเสนอแผนงาน IMT-GT พัฒนาโครงข่ายระบบคมนาคมให้เชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อ ปรับปรุงกฎระเบียบให้เกื้อหนุนกัน คำนึงถึงความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และยกระดับศักยภาพแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอนุภูมิภาค

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ, ประชาชาติธุรกิจ

ธปท.พบโควิด-19 สะท้อนการเงินคนไทย

    นางสาวนวพร มหารักขกะ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายบริหารความเสี่ยงองค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย  กล่าวว่า ปี 2563 ธนาคารแห่งประเทศไทย   ร่วมกับสำนักงานสถิติแห่งชาติสำรวจระดับทักษะทางการเงินของคนไทยตามกรอบของ The Organization for Economic Co-operation and Development (OECD) เป็นครั้งที่ 8 ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างทุกจังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 11,901 ครัวเรือน เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาทักษะทางการเงินของคนไทย และสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินที่ดี พบคนไทยมีทักษะการเงินดีกว่า 2 ปีก่อน อยู่ที่ 71.0% สูงกว่าการสำรวจครั้งก่อนในปี 2561 ที่อยู่ 66.2% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยการสำรวจทักษะทางการเงินครั้งล่าสุดของ OECD ในปี 2563 ที่อยู่ 60.5% แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่าสังเกต คือ จะเห็นว่าครัวเรือนมีความเปราะบางทางการเงินมากขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนผู้สำรวจที่มีการบริหารจัดการทางการเงินพอใช้มีเพียง 38% ที่มีเงินสำรองอยู่ได้เกิน 3 เดือน หากต้องหยุดงานกะทันหัน หรือสามารถเอาตัวรอดได้ในภาวะเงินชอร์ต ที่มากกว่า 62% ที่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้ สะท้อนสถานะทางการเงินที่ความเปราะบาง ส่วนหนึ่งมาจากรายได้ที่ลดลงจากแรงกระแทกของโควิด-19 และประชาชนไม่มีกันชนเรื่องเงินออมที่เพียงพอ

    ตลอดจนมีการกู้ยืมเงินจากหลายช่องทางโดยมีการบริหารจัดการไม่ดี ทำให้คนรอดจากภาวะเงินชอร์ตได้น้อย ประกอบกับ ธปท.มีการสำรวจในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วย

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 28 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 28 ตุลาคม 2564

บิตคอยน์ปรับตัวร่วงลง 3.46%

   28 ต.ค.64 เวลา 05.16 น. บิตคอยน์ปรับตัวร่วงลง 3.46% เคลื่อนไหวที่ 58,683.0 ดอลลาร์ ในขณะที่เมื่อคือวัน27ต.ค.64 กูรูคาดการณ์ว่าบิตคอยน์จะปรับตัวลงต่อ หลังจากทรุดตัวลงใกล้หลุด 58,000 ดอลลาร์ รวมถึงนักลงทุนพากันเทขายทำกำไร หลังพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้ 

   โดยบิตคอยน์ได้ดิ่งลงแตะระดับ 58,100 ดอลลาร์เมื่อคืนวันที่ 27 ต.ค.64 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. 64 และทรุดตัวลง 13% จากระดับ 67,016 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว การร่วงดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบิตคอยน์ลดลงสู่ระดับ 1.11 ล้านล้านดอลลาร์ แม้ว่าจะดิ่งลงอย่างหนักแต่บิตคอยน์ยังคงทะยานขึ้น 35% นับตั้งแต่ต้นเดือนต.ค. และมีแนวโน้มทำสถิติปรับตัวดีที่สุดในเดือนนี้นับตั้งแต่เดือนก.พ.

   ทั้งนี้ได้เกิดจากปัจจัยทางเทคนิคบ่งชี้ว่า บิตคอยน์ถึงเวลาปรับฐานแล้ว และมีแนวโน้มในช่วงขาลง โดยจะทดสอบแนวรับที่ระดับ 54,000 ดอลลาร์ การร่วงลงอาจรุนแรงยิ่งขึ้น ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ ที่มีแนวโน้มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ คิวอี เร็วกว่าที่คาดไว้

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ดอร์ลาร์ อ่อนค่าลง ราคาทองตลาดนิวยอร์กปิดบวก 5.4

   สัญญาทองคำปรับขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 1.6% เมื่อคืนนี้ 27ต.ค.64 โดยมี ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.14% แตะที่ 93.8082   ซึ่งการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐจะช่วยลดต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ ทำให้อ่อนค่าของเงินสกุลดอลลาร์เป็นปัจจัยบวกต่อตลาดทองคำ จากการทำสัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ มีราคาถูกลงรวมถึงมีความน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น

   โดยราคาทองตลาดนิวยอร์กปิดบวก สัญญาทองคำตลาด COMEX เพิ่มขึ้น 5.4 ดอลลาร์ โดยมีปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของเงินสกุลดอลลาร์และการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ รวมทั้งนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย รวมถึงสัญญาทองคำตลาด COMEX ที่จะส่งมอบในเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 5.4 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,798.8 ดอลลาร์/ออนซ์

 

   ทั้งนี้นักลงทุนจับตาการประชุมของธนาคารต่าง ๆ ทั่วโลก โดยคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้ ขณะที่ BoE อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปีที่แล้วป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

คลังเผย 5 แนวทางพัฒนาตลาดทุนไทย หลังร่วมประชุมบอร์ดกับ ก.ล.ต.

   นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้ประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย ครั้งที่ 1/2564 โดยมีผู้แทนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน เข้าร่วมประชุมรายงานความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 ปี 2560 – 2564 สิ้นไตรมาสที่ 3/2564 และการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการของมาตรการของตลาดเงินและตลาดทุนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19

    ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบการกำหนดแนวทางและทิศทางของแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่4 ปี 2565 – 2570 กำหนดให้สอดรับกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจโลกอย่างรอบด้าน ด้าน 5 ด้าน ได้แก่

 

  1. ส่งเสริมการเข้าถึงทางการเงินผ่านกลไกตลาดทุน
  2. เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย
  3. การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับตลาดทุน
  4. ตลาดทุนยั่งยืน
  5. การสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดีในระยะยาวครอบคลุมถึงวัยเกษียณ (Financial Well-being)

   โดยที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักในการดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทยฉบับที่ 4 ต่อไป สำหรับความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 ปี 2560 – 2564  ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2564 ความคืบหน้าการดำเนินการของมาตรการของตลาดเงินและตลาดทุนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ได้สรุป ดังนี้

  1. ความคืบหน้าของการดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 3 ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2564 การดำเนินงานภายใต้แผนพัฒนาตลาดทุนฯ ประจำปี 2563 ประกอบด้วย 7 มาตรการหลัก 17 มาตรการย่อย และแผนงานสนับสนุน 65 แผนงาน โดยแบ่งเป็น
  • การเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือSMEs , วิสาหกิจเริ่มต้น หรือ Startup และนวัตกรรม
  • การเป็นแหล่งระดมทุนสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
  • การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย
  • การพัฒนาให้ตลาดทุนไทยเป็นจุดเชื่อมโยงของภูมิภาค
  • การมีแผนรองรับสังคมผู้สูงอายุ
  • การพัฒนาตลาดทุนดิจิทัล
  • การส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2564 มีแผนงานที่ดำเนินการแล้วเสร็จจำนวน 32 แผนงาน
  1. ความคืบหน้าการดำเนินการของมาตรการของตลาดเงินและตลาดทุนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านตลาดทุนและตลาดเงินที่ได้มีการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

        2.1 การดำเนินมาตรการของสำนักงาน ก.ล.ต. ได้มีมาตรการช่วยเหลือกิจการที่ประสบปัญหา COVID-19  คือ  ด้านการช่วยเหลือกิจการที่ประสบปัญหา COVID-19 มีการเสริมสภาพคล่องให้กิจการที่กำลังประสบปัญหา/ช่วยเหลือกิจการที่ประสบปัญหาแล้วผ่านมาตรการต่าง ๆ , ด้านการเปิดช่องทางและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดทุนอาทิ การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ลงทุนในขั้นตอนการเปิดบัญชี รวมทั้งพัฒนาแบบฟอร์มมาตรฐาน และปรับปรุงหลักเกณฑ์การทำความรู้จักลูกค้าด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์, ด้านสร้างความเข้มแข็งและ Resiliency มีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืน เป็นต้น

         2.2 การดำเนินมาตรการของ ธปท. ได้มีมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจและดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินใน 2 ด้านที่สำคัญ คือ  มาตรการเสริมสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ เช่น มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู เพื่อให้ SMEs สามารถประคับประคองกิจการและรักษาการจ้างงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 , มาตรการสนับสนุนสภาพคล่องให้กับสถาบันที่ให้ความช่วยเหลือแก่กองทุนรวมตราสารหนี้ , มาตรการกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ เป็นต้น และมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจ

           2.3 การดำเนินมาตรการของสำนักงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริม การประกอบธุรกิจประกันภัย  ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงออกมาตรการด้านประกันภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ได้รับผลกระทบด้านประกันภัยประกอบด้วยประชาชนและผู้ประกอบการบริษัทประกันภัยและคนกลางประกันภัย

            2.4 การดำเนินมาตรการของ ตลท. ได้มีการดำเนินมาตรการได้แก่ มาตรการดูแลความผันผวนในตลาด , มาตรการที่สำนักงาน ก.ล.ต. อนุมัติให้ ตลท. ใช้เป็นการชั่วคราว เพื่อแก้ไขหรือบรรเทาผลกระทบที่เกิดจากความผันผวนของตลาด,  มาตรการช่วยเหลือผู้มีส่วนได้เสีย อาทิ การลดค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ร่วมตลาด และการปรับรูปแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจในภาวะการระบาดของCOVID-19 เป็นต้น

            2.5 การดำเนินมาตรการของ FETCOได้มีส่วนร่วมในการเสนอมาตรการ คือ  (มาตรการขอผ่อนปรนเงื่อนไขการหยุด เลื่อน นำส่งเงินสะสม/สมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มาตรการจัดตั้งกองทุนรวม SSFX เป็นต้น

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

คลัง ชี้ GDP ไทยได้รับอนิสงค์จากการเปิดประเทศ ย้ำราคาน้ำมันจัดการได้ ยังไม่ต้องลดภาษี

   นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากช่วงครึ่งปีแรกการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือ GDPขยายตัวได้ 2% ซึ่งเชื่อมั่นว่าตัวเลขในช่วงไตรมาส 3 และ 4 จะดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากยอดการส่งออกของไทยที่มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชน ผ่านโครงการคนละครึ่ง และยิ่งใช้ยิ่งได้ รวมถึงมารตการเยียวยาอื่นๆ การเร่งรัดการลงทุนของรัฐและรัฐวิสาหกิจ รวมถึงการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐของไทย ส่วนปี2565 คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยจะมียอดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวราว 6-8 ล้านคนแต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์น้ำท่วมที่ต้องติดตาม

    โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงโค้งสุดท้ายของปีรวมไปถึงมาตรการของขวัญปีใหม่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนจำนวนสิทธิโครงการ คนละครึ่ง เฟส3 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการปรับลดสิทธิลงมาเหลือ 28 ล้านคน ล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนรับสิทธิจนเต็มจำนวนแล้ว

   ส่วนเรื่องราคาน้ำมันแพง ขณะนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ยังสามารถบริหารจัดการราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกินราคา 30 บาทต่อลิตรได้ และยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้มาตรการทางภาษีสรรพสามิต เข้าไปช่วยพยุงราคา เนื่องจากราคาน้ำมันแพงนั้น เป็นวัฏจักรในช่วงหน้าหนาวของทุกปี และเมื่อพ้นหน้าหนาวราคาน้ำมันจะปรับลดลง

   ทั้งนี้ในวันที่ 28 ต.ค.64 จะมีการแถลงข่าวอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 3 และการปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2564ใหม่ของกระทรวงการคลัง ดังนั้นต้องรอตัวเลขอย่างเป็นทางการจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อความแม่นยำ

 

ขอบคณ: มติชนออนไลน์

อินโดนีเซียประกาศ เป็นศูนย์กลางการส่งออก ยานยนต์ไฟฟ้า แห่งอาเซียน

   สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระบวนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มขึ้นในเดือนมี.ค.ปี 2565 ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท พีที ฮุนได แมนูแฟกเจอริง อินโดนีเซีย หรือ HMMI เกาหลีใต้ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมชีการัง Cikarang ทางตะวันออกของกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานที่เริ่มต้นก่อสร้างเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ด้วยเงินลงทุนรวม 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.6 หมื่นล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือระหว่างอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ โดยมีกำหนดเริ่มดำเนินการในปีหน้า 2565 รวมถึงโรงงานแบตเตอรี่ก็เริ่มผลิตในปีเดียวกัน

    นายกูมีแวง คาร์ตาซาสมิตา รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมอินโดนีเซีย กล่าวว่า  อินโดนีเซีย พร้อมแล้วที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าหมายระยะแรกผลิตรถยนต์และรถประจำทาง จำนวน 1,000 คัน ในปีหน้านี้ หรือ 2565 ซึ่งการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าจะแสดงให้เห็นอุตสาหกรรมของเรากำลังก้าวไปสู่อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกเหนือจากการประกาศให้ประชาคมระหว่างประเทศรู้ว่า อินโดนีเซียพร้อมแล้วที่จะเป็นศูนย์กลางการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน และพื้นที่โดยรอบในภูมิภาค

   ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายผลิตรถยนต์และรถประจำทางพลังงานไฟฟ้ารวม 600,000 คัน ภายในปี  2573 โดยคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงถึง 2.7 ล้านตัน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 29 ภายในปีเดียวกัน

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ