LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 26 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 26 ตุลาคม 2564

26 ต.ค. ราคาบิตคอยน์ ขยับขึ้น 3.21%

   ราคาบิตคอยน์วันนี้ 26 ต.ค. 2564 ขยับขึ้น +3.21% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 62,731.20 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,071,854.71 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 31.61 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลอัพเดต เมื่อเวลา 8:12 น. ที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาเหรียญดิจิทัลคริปโตอื่นๆ Ethereum ได้ขยับขึ้น 1.07% Binance Coin ขยับขึ้น 1.03% และ Dogecoin คงที่ในช่วง 24 ชั่วโมง โดยมีราคาดังนี้ คือ

    Bitcoin  ราคา 62,731.20 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.21%, Ethereum  ราคา 4,134.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.07%,  Binance Coin ราคา 483.03 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.03%  Cardano  ราคา 2.15 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.49%, Tether  ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01% , Terra  ราคา 43.19 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.26% , XRP ราคา 1.09 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.51%,  Polkadot  ราคา 43.70 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.74%, Dogecoin  ราคา 0.27 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.38% USD Coin ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง 0.00%

   ทั้งนี้ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

รับเสี่ยงกดดันแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่ากดเงินดอลอ่อนลง เช้านี้ 26 ต.ค.2564

   นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรอบเงินบาทวันนี้ 26.ต.ค.2564 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.20 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาทยังมีทิศทางการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยปัจจัยหนุนในฝั่งแข็งค่าคือ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่จะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง รวมถึง โฟลว์ขายทำกำไรทองคำ โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์

   สำหรับฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะฟันด์โฟลว์หุ้น จะเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับเงินบาทได้ เพราะ นักลงทุนต่างชาติได้เริ่มขายทำกำไรหุ้นไทยออกมาบ้าง ซึ่งจะกดดันให้เงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่า โดยโฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจมีการซื้อ-ขาย สลับกัน จนกว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจจะมีทิศทางดีขึ้นชัดเจนและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเริ่มดีขึ้น จนนักวิเคราะห์มีการปรับเป้าผลกำไร ซึ่งจะช่วยลดระดับ Valuation ของหุ้นไทยให้ถูกลงจนน่าสนใจได้ เนื่องจากปัจจุบัน ระดับ Valuation หุ้นไทยถือว่าแพงพอสมควร

    นอกจากนี้แนวต้านสำคัญของเงินบาทยังอยู่ในโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอขายเงินดอลลาร์อยู่ ผู้นำเข้าบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ เงินบาทยังมีแนวรับสำคัญที่โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ แนวรับเงินบาทที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากผู้เล่นต่างชาติที่ยังคงเก็งกำไรเงินบาทอ่อนค่าและมีเป้าในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์นั้น อาจวาง Stoploss ไว้ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ หากเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับดังกล่าว เราอาจเห็นโฟลว์ cover short positions ที่เก็งกำไรเงินบาทอ่อน กดดันให้เงินบาทแข็งค่าเร็วได้ในระยะสั้น

   สำหรับตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมยังทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนสถานะถือครองเพิ่มเติมมากหนัก เพราะถึงแม้ว่าตลาดจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อ แต่ตลาดยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงอยู่ โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังแกว่งตัวใกล้ระดับ 93.85 จุด โดยการเคลื่อนไหว sideways ของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ รวมถึง ความต้องการถือทองคำ เพื่อ hedge ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ได้หนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับ 1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์  อาจเริ่มเห็นโฟลว์ขายทำกำไรทองคำเกิดขึ้นบ้าง และโฟลว์ดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินบาทผันผวนในฝั่งแข็งค่าขึ้นได้

    ทั้งนี้รอติดตาม ตลอดทั้งวันนี้ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่สหรัฐฯ อาทิ Alphabet หรือ Google, Twitter และ Microsoft ซึ่งผลประกอบการที่ดีกว่าคาดและแนวโน้มการเติบโตของผลกำไรที่โดดเด่นจะช่วยหนุนให้ตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงได้

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

นิยายรุ่ง GLORY ขยายแพลตฟอร์มเล็งตลาดE-Bookต่างชาติ

    บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Mai)  โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 5.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 89.29% จากราคาจอง 2.80 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันปรับขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 8.30 บาทต่อหุ้น ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ระดับ 7.60  บาท เพิ่มขึ้น  4.80 บาท หรือ 171.43% มูลค่าการซื้อขาย 5,989.55 ล้านบาท

    นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายได้ปี 2564 บริษัทคาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปีที่ 19% และในปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 20-40% โดยได้ปัจจัยหนุนจากการนำเข้าลิขสิทธิ์นิยายต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนจะซื้อลิขสิทธิ์นิยายเพิ่มขึ้นประมาณ 70% ตั้งแต่ปลายปี 2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565 จากปัจจุบันมีลิขสิทธิ์นิยายแปลประมาณ 100 เรื่องขณะที่การเปิดตัวแพลตฟอร์ม Jinovel คาดว่าจะสร้างการเติบโตให้รายได้ราว 20% เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนหุ้นของบริษัท ซึ่งภายหลังจากการเข้าระดมทุนในครั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้ราว 189 ล้านบาท ไปใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการขยายบริการทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาแพลตฟอร์มนิยาย “จีโนเวล”  เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเพศหญิง และการซื้อลิขสิทธิ์นิยายต่างประเทศ รวมถึงบริษัทยังได้หนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Book ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 14% โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้อ่านเริ่มคุ้นเคยกับการใช้งานแพลตฟอร์ม

   ปัจจุบันบริษัทมีต้นแบบนิยายไทยส่วนหนึ่งที่เตรียมแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้บริการลูกค้าต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายระยะยาวสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะสูงกว่ารายได้ในประเทศ สอดคล้องกับประชากรต่างประเทศที่มีจำนวนมากกว่าประชากรในประเทศสำหรับแผนการขยายแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ บริษัทจะเริ่มขยายแพลตฟอร์มภาษาอังกฤษก่อนในเฟสแรก สำหรับภาษาอื่นๆจะพิจารณาในเฟสถัดไป

    ทั้งนี้บริษัทมองการต่อยอดไปธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจโฆษณา เนื่องจากแพลตฟอร์มปัจจุบันของบริษัท  Kawebook มีจำนวนผู้ใช้บริการค่อนข้างสูง จากฐานสมาชิกมากกว่า 2 แสนราย ง่ายต่อการต่อยอดมากกว่าการเปิดแพลตฟอร์มใหม่ที่ยังไม่มีจำนวนผู้ใช้บริการที่ชัดเจนรวมถึงการใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม บริษัทไม่ได้ปิดกั้นโอกาสใหม่ๆ เช่น การชำระค่าบริการด้วยสกุลเงินดิจิทัลด้วย

 

ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ

พลิกเกมส์วิกฤตเศรษฐกิจ JWD เติบโตขึ้นในช่วงปีหลัง

    หุ้นบริษัทเจดับเบิ้ลยูดีอินโฟโลจิสติกส์จำกัด(มหาชน) หรือ JWD คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/64 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในสถาการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่ส่งผลกับทางด้านธุรกิจการค้าทั่วโลก ส่งผลให้เกือบทั้งไตรมาสการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์รวมถึงกิจการขนส่งทางรางและการขาดแคลนชิปในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ทั้งหมด ซึ่งธุรกิจของJWDเติบโตได้ที่ดีจากธุรกิจห้องเย็นซึ่งเข้าสู่ High Season ในช่วงปีหลัง

    หากปริมาณการเป็นไปตามคาดกำไร 9 เดือนแรกของปี 64 อยู่ที่ 323.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 50.9 %จากปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 73.3% จากปีก่อนคิดเป็น 74.9% ของปริมาณการทั้งปี คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 4/64 จะทำสถิติสูงสุดจากทั้งธุรกิจเดิมและรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากESCO ซึ่งเป็นผู้ประกอบการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังจึงยังคงปริมาณกำไรสุทธิปี 2554 ที่ 502.5 ล้านบาทเติบโตขึ้น 73.3% จากปีก่อนคิดเป็นอัตรากำไร 9.9 และคงประมาณการกำไรปกติ 2565 -2566 ที่ 566.2 ล้านบาทและ 690.8 ล้านบาท เติบโต 33.4% จากปีก่อนและ 22.0% จากปีก่อนตามลำดับ โดยในปี 2565 จัดเก็บเกี่ยวประโยชน์เต็มปีจากบิลที่เกิดขึ้นในปีนี้หลายดิวได้แก่ทุน ESCO  รับรู้รายได้จากALPHA โครงการร่วมทุนกับORI โดยตั้งเป้าปี 2565 อยู่ที่ 23 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน PE ปี 2565 EBITDA สะท้อนความสามารถทำกำไรดีกว่าหุ้นปัจจุบันที่มีEV/EBITDA ปี 2022 เพียง 12.4 เท่า ต่ำกว่าการเติบโตEBITDAที่คาด เพิ่มขึ้น 15.3% CAGR ในช่วงปี 2564-2566

    ทั้งนี้ในด้านธุรกิจอาหารธุรกิจ Barge หรือ ธุรกิจ Self-storageและธุรกิจขนส่งที่รับรู้รายได้จาก VNS Transportเต็มไตรมาสแรกทำให้ค่ารายได้รวมเพิ่มขึ้น 5.9% จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น 35.3%จะปีก่อนเป็น 1,324.7 ล้านบาท โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆคาดว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

ขอบคุณ : ข่าวหุ้น

รพ.รามรามคำแหง หยุดซื้อ หุ้นสินแพทย์เพิ่ม เนื่องจากราคาแพง

บริษัทโรงพยาบาลรามคำแหงจำกัด (มหาชน) หรื อRAM  สละสิทธิ์การซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจาก บริษัท สินแพทย์ จำกัด เนื่องจากราคาหุ้นของโรงพยาบาลสินแพทย์ที่เพิ่มทุนนี้ได้ขายในราคาหุ้นละ 100 บาทเมื่อพิจารณาถึงอัตราส่วนP/E จะเห็นว่าค่อนข้างสูง อยู่ที่ 30.258 เท่า ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในโรงพยาบาลสินแพทย์อยู่ที่ร้อยละ 32.95 ของทุนจดทะเบียนและชำระของบริษัทสินแพทย์จำกัดซึ่งภายหลังสละสิทธิ์บริษัทจะมีส่วนถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 28.40 ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัทสินแพทย์จำกัด 

รวมถึงขณะนี้บริษัทได้ขยายการลงทุนโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดจึงจะต้องใช้ทุนจำนวนมากทางบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนในขณะนี้ค่อนข้างจำกัด

ขอบคุณ ข่าวหุ้น

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 25 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 25 ตุลาคม 2564

เผยราคาบิตคอยน์วันนี้ 25 ต.ค. 64 ปรับลง -2.23%

   ราคาบิตคอยน์วันนี้ 25 ต.ค. 64  ปรับลง -2.23% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน อยู่ที่ 63,239.40 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,106,504.41 บาท  โดยมีมูลค่าซื้อขายรวมกันคือ  43.79 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อเวลา 7:34 น.

   สำหรับเหรียญดิจิทัลอื่นๆ Ethereum ปรับลง .47% Binance Coin ปรับลง .47% และ Dogecoin ปรับลง .01% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

  • Bitcoin (BTC) ราคา 63,239.40 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.23%
  • Binance Coin (BNB) ราคา 488.42 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.47%
  • Cardano (ADA) ราคา 2.20 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.80%
  • Dogecoin (DOGE) ราคา .25 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.63%
  • Ethereum (ETH) ราคา 4,142.64 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.47%
  • Tether (USDT) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
  • XRP (XRP) ราคา 1.11 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.50%
  • XRP (XRP) ราคา 1.11 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.50%
  • USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
  • Polkadot (DOT) ราคา 45.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.62%
  • Terra (LUNA) ราคา 44.14 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +6.30%

   หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขายผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ยังคงแข็งค่า เงินดอร์ล่ามีแนวโน้มแกว่งตัว

   นายพูน  พานิชพิบูลย์   นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า วันนี้ 25 ต.ค. 64ดอลลาร์  และค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ คือ 25-29 ต.ค.64 อยู่ที่ระดับ 33.00-33.45 บาท/ดอลลาร์  โดยค่าเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ตามฟันด์โฟลว์ไหลเข้าหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงแรงขายทำกำไรทองคำ หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์  เงินบาทจะไม่แข็งค่าไปมาก โดยเริ่มเห็นผู้นำเข้าทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน โดยแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.00-33.10 บาทต่อ

   ในเชิงเทคนิคัล เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญอยู่ในโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่บรรดาผู้ส่งออกต่างรอเข้ามาทยอยขายดอลลาร์ สำหรับค่าเงินบาทระยะสั้นยังมีความผันผวนอยู่สูง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติยังคงมีมุมมองที่เชื่อว่า เงินบาทยังสามารถอ่อนค่าแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ได้อยู่ ทำให้ผู้เล่นกลุ่มนี้ยังคงรอจังหวะเข้ามา Short เงินบาท หากเงินบาทแข็งค่าทะลุระดับดังกล่าว ก็อาจทำให้เห็นโฟลว์ cover short ซึ่งจะยิ่งหนุนให้เงินบาทแข็งค่าได้เร็วในระยะสั้นได้เช่นกัน

   เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways แต่อาจอ่อนค่าลงตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้ ปัญหาเงินเฟ้อที่ทำให้ตลาดคาดหวังว่าเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วกว่าคาด จะช่วยพยุงให้เงินดอลลาร์ไม่อ่อนค่าไปมาก นอกจากนี้ หาก ECB ยังไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดก็อาจกดดัน.เงินยูโร (EUR) และช่วยพยุงเงินดอลลาร์ได้

   ทั้งนี้ในช่วงสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่  25-29 ต.ค.64  ตลาดจับตาผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป โดยเฉพาะแนวโน้มการปรับมาตรการคิวอี และยังคงติดตามรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนทั่วโลก

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

เผยหุ้นที่ได้รับอนิสงค์จากโครงการรัฐบาลช่วยเหลือประชาชน

   จากกรณีรัฐบาลได้เดินหน้าเปิดโครงการช่วยเหลือประชาชน จากผลกระทบการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพิ่มอุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น และลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยอนุมัติบประมาณอีก 5.4 หมื่นล้านบาท โดยมาตรการที่ออกมา คาดว่าจะมีหุ้นหลายตัวที่ได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว

   บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที  จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หุ้น TNP เป็นหนึ่งในร้านค้าธงฟ้าได้รับประโยชน์จากมาตรการเพิ่มกำลังซื้อของรัฐ โดยเฉพาะโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ปรับตัวเพิ่มวงเงินเป็น 500 บาทต่อเดือน จากเดิมที่ 400 บาทต่อเดือน ในช่วงเดือน 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 ซึ่งจะเข้ามาช่วยหนุนรายได้ 4Q64 ให้เติบโต QoQ

   บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า มาตรการต่างๆช่วยเสริมภาพการฟื้นตัวหุ้นกลุ่มค้าปลีกจาก จุดต่ำสุดใน 3Q64 และจะดีขึ้นใน 4Q64 ต่อเนื่องไปถึงปี 2565 ซึ่งบางหุ้นได้ปรับตัวขึ้นสะท้อนความคาดหวังเชิงบวกไปบ้างแล้ว สะท้อนจากผลตอบแทนปัจจุบันเทียบช่วงวันที่เริ่ม Lockdown 12 ก.ค. 2564 พบว่า หุ้นที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกประกอบด้วย MAKRO (+32.8%), COM7 (+9.4%), CPALL (+7.9%), CRC (+5.23%) ในกลุ่มดังกล่าว ฝ่ายวิจัยยังชื่นชอบ CPALL ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 70.50 บาท จากแนวโน้มกำไรปี 2565 ฟื้นตัว 65% สูงเป็นลำดับต้นของกลุ่ม เพิ่มขึ้นอีก 18% ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม ยังมีหุ้นค้าปลีก บางส่วนที่ราคายัง Laggard เช่น HMPRO (+2.2%), BJC (-1.5%), SPVI (-4.8%), DOHOME (-8.8%) มีความน่าสนใจในเรื่องการฟื้นตัวเช่นกัน โดยปัจจัยขับเคลื่อนที่ มีดังนี้

   BJC ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 38.70 บาท และ ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 40.50 บาท ระยะสั้นอาจเน้นการเก็งกำไร แม้ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) 3Q64 มีแนวโน้มทำได้ดี ประเมินลดลงราว 5%-10%yoy เทียบกับ 1H64 ลดลงราว 18%yoy แต่มีความเสี่ยงหักล้างจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่อาจมีต้นทุนเพิ่มขึ้น เช่น ก๊าซธรรมชาติในบรรจุภัณฑ์แก้ว และอลูมิเนียมในบรรจุภัณฑ์กระป๋อง โดยฝ่ายวิจัยอยู่ระหว่างติดตามความชัดเจนแนวทางการบริหารต้นทุนของ BJC เพื่อประเมิน Downside ทั้งนี้ ถ้าผลกระทบต้นทุนจำกัด แนวโน้มการฟื้นตัวกำไรปี 2565 ของ BJC จะเป็นหนึ่งในหุ้นที่ค่อนข้างเด่นลำดับต้นๆ ของกลุ่มที่ 44%

   DOHOME ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 30.70 บาท หุ้นสะท้อนแนวโน้มกำไร 3Q64 ที่อาจต่ำกว่าที่ตลาด แต่จะฟื้นตัวกลับมาใน 4Q64 หลังยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ฟื้นตัวเร็วระดับเกิน 30% ในช่วง MTD ต.ค. 2564 และน่าจะได้อานิสงส์ เช่นเดียวกับ HMPRO หากรัฐออกมาตรการช้อปดีมีคืน

   HMPRO ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 16.00 บาท แนวโน้มการฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว ยอดขายสาขาเดิม MTD ต.ค. 2564 กลับมาเติบโตได้ในระดับ 10%yoy ขณะที่การฟื้นตัวต่อเนื่อง 16.4% และ 14.1% ปี 2565-2566 มาจากทุกแรงหนุนทั้งยอดขาย, ธุรกิจพื้นที่เช่าและมาร์จิ้น รวมถึง ระยะถัดไปจะได้ผลบวก หากรัฐพิจารณานำนโยบายช้อปดีมีคืนกลับมาใช้อีกครั้ง

   SPVI ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 8.08 บาท และ ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 8.80 บาท ยอดขายหลังจาก iPhone 13 เปิดตัวเติบโตชัดเจน ขณะที่การขายสินค้า iPad ในสาขา U Store ยังเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนยอดขาย MTD ต.ค. 2564 ที่สูงกว่าช่วง ต.ค. 2563 ทั้งเดือน และเช่นกันระยะถัดไปจะได้ผลบวกชัดเจนหากรัฐพิจารณานโยบายช้อปดีมีคืนอีกครั้ง

   ทั้งนี้ในขณะที่ภาพรวมแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และการเพิ่มวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ รวมถึงความคาดหวังโครงการใหม่ๆ ที่ยังมีอยู่สูง จะช่วยหนุนให้หุ้นค้าปลีกฟื้นตัวได้ต่อ โดยฝ่ายวิจัยเลือก CPALL และ HMPRO เป็นส่วนหนึ่งของหุ้น Top Pick ในพอร์ตจำลองของฝ่ายวิจัย

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธรกิจ

หุ้นไทยลุ้นแตะ 1,660 จุด

    บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า 25-29 ต.ค.64  จะเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,610-1,630 จุด แนวต้าน 1,650 – 1,660 จุด โดยได้รับอานิสงส์หลังภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี สอดรับแผนเปิดประเทศ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐดีกว่าคาด สร้าง sentiment บวกต่อการลงทุน จากรายงานงบ 3Q64 ภาค real sector ของบริษัทจดทะเบียนใน SET อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยผันผวนช่วงสั้น รวมทั้งยังมีความกังวลเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น โดยมีหุ้น Top Picks แนะนำ คือ HMPRO ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท,SPALI ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท, BEM ราคาเป้าหมาย 10.00 บาท

   บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) มีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,630-1,660 จุด ตอบรับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินต่างชาติ ทั้งนี้ ต้องรอติดตามการประชุม ECB และ BOJ, ตัวเลข GDP สหรัฐ และ ยุโรป ขณะที่ความผันผวนของค่าเงินอาจกลับมากดดันบรรยากาศการลงทุนได้ โดยมีหุ้น Top Picks แนะนำ คือ PTTEP ราคาเป้าหมาย 135.00 บาท,SIRI ราคาเป้าหมาย 1.45 บาท,HMPRO ราคาเป้าหมาย 16.00 บาท

   บริษัทหลักทรัพย์.ทิสโก้ จำกัด (มหาชน)  มีกรอบที่ 1,625-1,660 จุด มองว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับปัจจัยบวกจากแนวโน้มการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในประเทศที่เริ่มฟื้นตัวมาตรการคนละครึ่งเฟสใหม่ที่จะเติมเงินในเดือน พ.ย.นี้หนุนการบริโภค รวมทั้งการปลดล็อค LTV ของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีหุ้น Top Picks แนะนำ คือ BDMS ราคาเป้าหมาย 24.60 บาท ,  SPALI ราคาเป้าหมาย 22.70 บาท

   ทั้งนี้ตลาดอาจถูกกดดันจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศที่เริ่มกลับมาน่าเป็นห่วงอีกครั้ง และแนวโน้มราคาพลังงานและเงินเฟ้อที่อาจอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

บิ๊กการเงิน เร่งประสานความร่วมมือ รองรับการเติบโตของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

   นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ได้ไปหารือร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เกี่ยวกับการกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล  คริปโทเคอร์เรนซี่  เงินสกุลดิจิทัลให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายกำกับดูแลแล้ว แต่ยังมีหลายฝ่ายตั้งประเด็นสงสัยเกี่ยวกับบทบาทการกำกับดูแล ดังนั้นจึงต้องการให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

   ขณะนี้มีผู้ประกอบการรายหลายมาขอใบอนุญาตทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แล้ว รวมถึงการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี่เป็นไปตามเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับประเทศไทย จะเติบโตแค่ไหนอย่างไ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศด้วย ซึ่งไทยไม่ได้ปิดกั้นการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องระมัดระวังในการลงทุน เพราะเรื่องการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นเรื่องใหม่ การกำกับดูแลก็ต้องชัดเจนด้วย แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และธนาคารแห่งประเทศไทยจะเคยคุยกันเรื่องบทบาทหน้าที่การกำกับดูแล้ว แต่กระทรวงการคลัง อยากให้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางและบทบาทการดูแลผู้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

   ทั้งนี้ได้เร่งให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน ผู้ลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลและเงินสกุลดิจิทัลด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่และเป็นเรื่องจำเป็น เพราะทั่วโลกกำลังก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เช่น การใช้เงินสกุลดิจิทัล  ซึ่งในขณะเดียวกันการลงทุนด้วยเงินดิจิทัล ก็มีข้อควรระวัง คือ เรื่องการหลอกหลวง เพราะเงินสกุลดิจิทัล จะเห็นเพียงตัวเลข แต่ไม่เห็นเงินจริง ดังนั้นต้องระมัดระวังและเตือนนักลงทุนเพื่อมิให้ถูกหลอกในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ