LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันนี้

     1. GFPT หรือ กรุงศรี  “ซื้อ”เป้าสูงสุด IAA Consensus 15 บาท ราคาหุ้นลดลงสะท้อนผลการดำเนินงานที่ขาดทุน 87 ล้านบาทใน Q3/64 ไปแล้ว แนะดักซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาไก่ในประเทศเริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 35 บาท/ก.ก. จากเฉลี่ย 30 บาท/กก. ในเดือน ต.ค. และบางพื้นที่ปรับขึ้นเป็น 43 บาท/ ก.ก.

     2. EA หรือ ฟินันเซีย ไซรัส “ซื้อ”เป้า 88 บาท แนวโน้มกำไร Q4/64 เติบโตต่อเนื่องจากการส่งมอบรถ E-Bus และการ COD โรงงานแบตเตอรี่ต้นเดือน ธ.ค.เฟสแรก 1 GWh ที่อยู่ใน Free zone การเปิดตลาดก่อนใครจะทำให้บริษัทสร้างฐานลูกค้าได้ก่อนใคร ขณะเดียวกันสถานีชาร์จทั้งรถและเรือไฟฟ้ามีมากสุดในประเทศ 427 สถานี กว่า 1.7 พันหัวจ่าย เป็นการสร้าง Eco system ที่ครบทั้ง R&D ระบบ Fast charge รองรับรถ EV ทุกค่าย ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยยังคาดกำไรปี 64-66 +57%, +19%, +14% ตามลำดับ

     3. SAT หรือ เคทีบีเอสที เป้าเชิงกลยุทธ์ 24 บาท ยอดขาย Q4/64 โอกาสเร่งตัวขึ้น ตาม Demand กลุ่ม Auto เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 คลี่คลาย และ Line การผลิตกลับมา และยอดผลิตรถยนต์นับตั้งแต่ ก.ย.-ต.ค. เร่งตัวขึ้น ปลายปีมีงาน Motor Show ปี 2565 คาดกลุ่ม Auto จะเติบโตโดดเด่น EV จะเข้าหนุน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 1 พันลบ. และ 1.1 พันลบ. +176%YoY, +10.5%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมัน-ถ่านหินฟื้น หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์

     นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ หลังจากที่กองทุนและนักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้ออีกครั้ง และราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นได้แม้จะยังไม่มาก หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจปรับแผนการผลิต หากสหรัฐและพันธมิตรทำการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรอง ส่งผลให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้น และน่าจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานในวันนี้

      ประธานาธิบดีโจ ไบเดนตัดสินใจเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 ทำให้ตลาดสหรัฐฯตอบรับในเชิงบวก และอัตราผตตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ก็ปรับขึ้นมาที่ 1.63% แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินมีการย้ายไปสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และกลุ่มเทคโนโลยีก็ปรับตัวลง ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงไปด้วย ส่วนบ้านเราเงินบาทอ่อนค่ามาที่ 33 บาท/ดอลลาร์ฯ

       ตลาดฯยังมีโมเมนตัมบวกอยู่ แต่อาจจะเป็นลักษณะของการสลับกลุ่มเล่น โดยล่าสุดราคาถ่านหินพุ่งขึ้น 6.6% สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ อาจจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มถ่านหินได้ ซึ่งมองหุ้น BANPU น่าจะกลับมาปรับตัวขึ้นได้ ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ลดลงทำให้ไม่น่าเป็นกังวล อย่างไรก็ดีให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญที่จะทยอยออกมา พร้อมให้แนวรับ 1,645-1,640 จุด ส่วนแนวต้าน 1,656-1,660 จุด

         ประเด็นในการพิจารณาหุ้น 

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,619.25 จุด เพิ่มขึ้น 17.27 จุด (+0.05%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,682.94 จุด ลดลง 15.02 จุด (-0.32%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,854.76 จุด ลดลง 202.68 จุด (-1.26%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 262.35 จุด หรือ -1.05% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.57 จุด หรือ -0.04%
    ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ (23 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณแรงงาน
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 พ.ย.)1,649.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.48 จุด (+0.27%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,722.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 พ.ย.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 พ.ย.) ปิดที่ระดับ 76.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ หรือ 1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 พ.ย.) อยู่ที่ 3.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.02 ดอลล์แข็ง หลังปธ.เฟดได้ต่อวาระ คาดกรอบ 32.90-33.10
  • ธปท.เปิดมาตรการช่วยลูกหนี้เพิ่มเติม เปิดให้ “รวมหนี้” ข้ามแบงก์ โดยใช้หลักประกันจากสินเชื่อบ้าน ช่วยลดภาระดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 10% จากเดิม 25% หวังช่วยลูกหนี้รอดวิกฤติ พร้อมสั่งห้ามแบงก์คิดค่าธรรมเนียมโปะหนี้เอื้อรีไฟแนนซ์
  • สภาพัฒน์ชี้ไตรมาส 3 คนไทยว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็น 2.25% มากกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเด็กจบใหม่ 10% หนี้ครัวเรือนยังสูง 89% กังวลหากไม่มีมาตรการรัฐเข้ามาอีกอาจมีคนจนเพิ่ม ความเหลื่อมล้ำถอยหลัง 7 ปี ขณะที่แบงก์ชาติหนุนรวมหนี้ใช้บ้านค้ำ
  • รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ต.ค.64 มีการส่งออก 22,738 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.63 ส่วนการนำเข้า 23,108.9 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 34.6% คิดเป็นเงินบาท 772,540 ล้านบาท เพิ่ม 43.3% ขาดดุลการค้า 370.2 ล้านดอลลาร์ฯ หรือ 22,524.01 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ปี 64 การส่งออกมีมูลค่า 222,736.4 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 15.7% การนำเข้ามูลค่า 221,089.8 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 31.3% เกินดุลการค้า 1,646.6 ล้านดอลลาร์ฯ
  • บอร์ดทรู-ดีแทคเคาะแผนควบรวมแลกหุ้นตั้งบริษัทใหม่เปิดสูตรแลกหุ้น 1 หุ้นดีแทคแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 24.53 หุ้น ราคาหุ้นละ 47.76 บาท ส่วนทรู 1 หุ้นแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 2.40 หุ้น ราคาหุ้นละ 5.09 บาท “ศุภชัย-ซิคเว่” เปิดวิสัยทัศน์ควบรวมสู่บริษัทเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดในอีก 20 ปีข้างหน้า โชว์รายได้รวมกัน 2.1 แสนล้านบาท กำไร 8 หมื่นล้านบาท

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ดาวโจนส์ปรับขึ้น 17 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในกรอบแคบ 17.27 จุด ปิดที่ 35,691.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.32% ปิดที่ 4,682.94  จุดและดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 1.26% ปิดที่ราคา 15,854.76 จุด

     โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันพฤหัสบดี ที่ 25พ.ย.64 เนื่องในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ ที่  26 พ.ย. 64 หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ขานรับการเสนอชื่อนายพาวเวลล์ให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดอีกสมัย เนื่องจาก นางเบรนาร์ด เป็นผู้ที่สนับสนุนการออกกฎระเบียบควบคุมภาคธนาคารอย่างเข้มงวด นักลงทุนหวังว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายสำคัญๆใดๆ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวลล์ ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 นอกจากนี้ยังได้เสนอชื่อให้นางลาเอล เบรนาร์ด ตัวเต็งอีกคน ดำรงตำแหน่งรองประธานเฟด 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

   

โบรกแห่อัพราคาหุ้นสื่อสาร

      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า  ราคาหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เปิดที่ 4.74 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ -0.42%  มูลค่าซื้อขายประมาณ 438.57  ล้านบาท ล่าสุดเมื่อเวลา 10.18 น. ราคาจะปรับขึ้นมา 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ +0.84%  จากราคาปิดเมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 4.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.44 บาท หรือบวกเพิ่ม 10.19%

    หุ้น บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) เปิดตลาดยืนที่ 45.00 บาท ทรงตัวจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ก่อนที่จะปรับมาอยู่ที่ 45.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ +0.56%  จากเมื่อวานนี้ ( 22 พ.ย. ) ปิดที่ 45.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท หรือบวก 9.09%  มูลค่าการซื้อขาย 4,054.40 ล้านบาท
        หุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดตลาดที่ 209.00 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวัที่ 22 พ.ย. 64 ล่าสุด ราคาปรับขึ้นมาอยู่ที่ 210.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +0.48%

        นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจับมือระหว่าง TRUE กับ DTAC ควบรวมจะทำให้เงินลงทุนลดลง จากการประหยัดต่อขนาด การแชร์โครงข่ายกัน ในส่วนกำไรสุทธินั้นมองว่ามีโอกาสที่จะเป็นบวกได้แต่อาจจะต้องใช้เวลา สาเหตุมาจากภาระดอกเบี้ยของ TRUE ที่สูงถึงปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท DTAC มีภาระดอกเบี้ย 4,000 ล้านบาท ขณะที่ ADVANC จ่ายดอกเบี้ย 2,000 ล้านบาท ดังนั้นด้วยขนาดที่ใหญ่หลังรวมกันก็จะทำให้มีเครดิตที่มากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง สามารถออกตราสารหนี้ใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์รับดอกเบี้ยต้นทุนต่ำลงได้ ขณะที่การแข่งขันอาจจะไม่ได้รุนแรงมาก

กลยุทธ์การลงทุนในเชิงเก็งกำไร นายกิจพณ มองว่า ทั้ง TRUE และ DTAC ราคาจะขึ้นไปเกินเทนเดอร์ ที่ระดับ 5.09 บาท และ 47.76 บาท ตามลำดับ เนื่องจากหากประเมินมาร์เก็ตแคปของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน ที่ราคาเทนเดอร์จะมีมาร์เก็ตแคป 2.8 แสนล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่ามาร์เก็ตแคปของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม ที่อยู่ระดับ 6 แสนล้านบาทค่อนข้างมาก มองว่า บริษัทใหม่ของ TRUE และ DTAC ไม่น่าที่จะต่ำกว่า ADVANC จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น จึงมองว่าราคาในที่สุดน่าจะเกินกว่าราคาเทนเดอร์ ขณะที่ ADVANC จะได้ประโยชน์ในด้านของการแข่งขันที่ไม่รุนแรง แม้ว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขึ้น แต่เนื่องจากคู่แข่งมีเพียงแค่  2 ราย การเจรจาต่างๆ จึงไม่ได้ยากเหมือนอดีตที่มี 3 ราย การประมูลใบอนุญาตต่างๆ ก็จะไม่สูงมาก และมองว่ากลุ่มสื่อสารจะต่อยอด ไปยังธุรกิจอื่นมากขึ้น เช่น ธุรกิจการเงิน

บล.กสิกรไทย  ( KS )  เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ICT Sector จุดเริ่มต้นของการเติบ โตของอุตสาหกรรม หลัง DTAC และ TRUE ยืนยันถึงการหารือเบื้องต้นในการควบรวมกิจการและเปิดเผยข้อเสนอสิทธิการเป็นเจ้าของในบริษัทใหม่ที่ 27.3%/29% ดังนั้นจึงเพิ่มอัตราความเป็นไปได้ของดีลรายการนี้จาก 25% เป็น 80% และจัดสรรมูลค่ารวมที่คาดจะเกิดขึ้นต่อราคาเป้าหมายของคู่แข่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด

        นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มมุมมองต่อกลุ่มจากกลางเป็นบวกเพราะเราปรับเพิ่มคำแนะนำ DTAC/TRUE จาก “ขาย”/”*ถือ” เป็น “ซื้อ”/”ซื้อ” โดยมูลค่าจากการผนึกกำลัง เมื่อข้อตกลงใกล้จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราคาดว่าราคาหุ้นของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้งหมดจะเริ่มปรับตัวขึ้น จากการคำนวณของเรา แสดงให้เห็นถึง upside ของมูลค่าหุ้น ADVANC ซึ่งน่าจะอยู่ที่ประมาณ 13% ของมูลค่ายุติธรรมจากธุรกิจปัจจุบัน และ 23% จากกิจการที่ควบรวมกัน ซึ่งหักด้วยต้นทุนการลงทุนที่คาดการณ์ไว้

     กำหนด 4 ด้านของการสร้างมูลค่ารวม

     1.  การเพิ่มรายได้

     2.  การลดต้นทุน

     3. การลด capex

     4. มูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น

     ทั้งนี้ KS ได้เพิ่มมุมมองต่อทั้งกลุ่มจากกลางเป็นบวกเพื่อสะท้อนอัตราความเป็นไปได้ที่ 80% ที่คาดว่าดีลรายการนี้จะเกิดขึ้น เราเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ ADVANC ขึ้น 8.5% หรือจาก 207.24 บาท เป็น 224.94 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”  เพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ DTAC ขึ้น 20.5% หรือจาก 36.47 บาท เป็น 43 97 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” เราเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ TRUE ขึ้น 23% หรือจาก 4.23 บาท เป็น 5.20 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” โดยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1. สงครามราคา 2. ไม่มีดีล M&A และ 3. การประมูลคลื่นความถี่ 3.5 GHz

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

เคาะราคาหุ้นเฮลท์ลีด 9.80 บาท

     บมจ.เฮลท์ลีด (HL) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ที่ 9.80 บาท จำนวนเสนอขาย 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อได้ในวันที่ 25-26 และ 29 พ.ย.นี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 3 ธ.ค.64 ใช้ชื่อย่อ HL ในหมวดธุรกิจบริการ วัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทฯจะนำเงินไปขยายสาขาและปรับปรุงสาขา รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่ง เน้นทำเลแหล่งชุมชนและที่อยู่อาศัย

   

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ HL เปิดเผยว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ HL ที่หุ้นละ 9.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 37.57 เท่า ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

พร้อมกันนี้มีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บล.โกลเบล็ก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.ทรีนีตี้ บล. โนมูระ พัฒนสิน บล.บียอนด์ และ บล.เอเซีย พลัส

“การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 9.80 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน HL ถือเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมาก เนื่องจากเป็นร้านขายยาค้าปลีกในรูปแบบ Chain Drug Store รายแรกที่มีความพร้อมสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น มีความสามารถในการทำกำไร และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงถึง 22% ขณะที่ยอดขายเติบโตทุกปี

ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนระดับ 1.6 เท่า ส่วนมากเป็นหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และเมื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว จะทำให้มีแหล่งเงินทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ทำให้ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว” นายสมภพ กล่าว

       ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL กล่าวว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 11.13 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 355.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.08% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 255.95 ล้านบาท

ส่วนงวด 9 เดือนของปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 38.65 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 912.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.57% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 796.67 ล้านบาท

ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมียอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง ยอดขายต่อสาขาเดิมมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งแนวโน้มการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญมากขึ้น ตลอดจนเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมียอดขายที่เติบโตมากขึ้นอีกด้วย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้มีอำนาจต่อรองกับ Supplier มากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น

     ทั้งนี้การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งในพื้นที่ของกทม.เป็นหลัก จากนั้นก็จะกระจายให้ครอบคลุมไปทั่วเขตปริมณฑลตามหัวเมืองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ขนาดพื้นที่ต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 80-150 ตารางเมตร และเมื่อมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 26 สาขา ก็จะผลักดันยอดขายเติบโต ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันที่ 22 พ.ย.64

TRUE- DTAC เปิดตลาด หุ้นพุ่งเกิน 10%

      รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ราคาหุ้น  บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เปิดที่ 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.48 บาท หรือบวก 11.11% มูลค่าซื้อขายประมาณ 1,420 ล้านบาท 

       โดยปรับขึ้นสูงสุดที่ 4.84  บาท เพิ่มขึ้น 12.04% และต่ำสุดที่ 4.74 บาท เพิ่มขึ้น 9.72% จากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 4.32 บาท ราคาปรับสูงสุดที่ 4.44 บาท ต่ำสุดที่ 4.26 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,065.56 บาท

        ด้านบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) เปิดที่ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท หรือเพิ่ม 10.30% มูลค่าซื้อขาย 1,213 ล้านบาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 46.00  บาท เพิ่มขึ้น 4.75  บาท หรือบวก 11.51% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 44.75 บาท เพิ่ม 3.50  บาทหรือบวก 8.48% จากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 41.25 บาท ราคาสูงสุดที่ 42.50 บาท และต่ำสุดที่ 40.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,115.58 ล้านบาท

       ในวันนี้  นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะแถลงข่าวร่วมกับ นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทเลนอร์ กรณีการควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทค

      ตั้งแต่ต้นปี 2564   ราคาหุ้น TRUE ปรับเพิ่มขึ้น 0.88 บาท หรือ 25.58% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 3.00 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 4.44 บาท ส่วน DTAC ปรับเพิ่มขึ้น 8.00 บาท หรือ 24.06% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 28.75 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 43.50 บาท  

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองคำวันนี้ทรงตัว

       ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.28 น. ทรงตัว ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,650.00 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,136.96 บาท ขายออกบาทละ 29,250.00 บาท

    ขณะที่ราคาทอง ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 1 ครั้ง ลดลง 100 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,650.00 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,136.96 บาท ขายออกบาทละ 29,250.00 บาท

      รวมถึงราคาทองเมื่อวันที่  19 พฤศจิกายน 2564 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 4 ครั้ง เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,750.00 บาท ขายออกบาทละ 28,850.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,227.92 บาท ขายออกบาทละ 29,350.00 บาท

       สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.8 ดอลลาร์ หรือ 0.53% ปิดที่ 1,851.6 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.9% ในรอบสัปดาห์นี้

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

5 ธนาคาร ไปต่อไม่ไหว ลดสาขาเซ่นโควิด 

       ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 จนถึง ก.ย. 2564 จำนวนสาขาและจุดให้บริการในประเทศของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการปรับลดลงจำนวน 664 สาขา จากรวม 6,809 สาขา เหลือ 6,145 สาขา โดย 5 ธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดสาขามากสุดในช่วงโควิด-19 ระบาด คือ 

        1. ธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาที่ปรับลดลงมากสุดที่ 201 สาขา จาก 1,034 สาขา เหลือ 833 สาขา

       2. ธนาคารกรุงไทยลดลง 79 สาขา จาก 1,105 สาขา เหลือ 1,026 สาขา 

       3 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับลดลง 37 สาขา จาก 703 สาขา เหลือ 666 สาขา

       4.  ธนาคารกสิกรไทยลดลง 31 สาขา จาก 894 สาขา เป็น 863 สาขา 

       5. ธนาคารกรุงเทพลดลง 30 สาขา จาก 1,148 สาขา เหลือ 1,118 สาขา ขณะที่ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี มีจำนวนสาขาปรับเพิ่มขึ้น 252 สาขา จาก 401 สาขา เป็น 653

    นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัย  ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัยพฤติกรรมการผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคารที่เปลี่ยนไปใช้ออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธนาคารลดน้ำหนักเรื่องของสาขาลง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มตัวแทนธนาคาร (banking agent) จุดให้บริการและช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้งมีสูงกว่าจำนวนประชากรแล้วโดยธรรมชาติเมื่อสาขาปรับลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องปรับลดลง หรือถูกหมุนไปทำงานด้านอื่น ๆ แทน รวมถึงจะเห็นภาพธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ หันไปใช้วิธีจ้างพนักงานเอาต์ซอร์ซแทนพนักงานประจำมากขึ้นเพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวและลดต้นทุน แต่ยังคงเห็นธนาคารคุมเข้มเรื่องเกณฑ์บริหารความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (market conduct) เป็นต้น  การแข่งขันของแบงก์ต่อไปจะต้องรวดเร็ว สะดวกยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าสาขาจะไม่หายไป แต่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธุรกรรมที่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นธุรกรรมแบบเดย์ทูเดย์ ฝากถอนโอนจ่ายจะไปอยู่บนแอปออนไลน์หมด สำหรับสาขาที่ลดลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่มีสาขาที่ความหนาแน่นมากเกินไป และเชื่อว่าแบงก์มีการรีวิวสม่ำเสมอ หากพื้นที่ไหนกลับมาเป็นพื้นที่ธุรกิจแบงก์ก็คงพิจารณากลับมาเปิดได้

      นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

โดยช่องทางสาขาก็ยังมีความสำคัญในการให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและธุรกิจ เช่น บริการสินเชื่อ การขอรับคำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าแก้ปัญหา ซึ่งการมีสาขาที่ครอบคลุมยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการช่องอื่น ๆ สาขาจึงยังมีบทบาท ทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และธนาคารก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในสาขาด้วย

      ทั้งนี้การปรับลดสาขา อีกด้านหนึ่งธนาคารก็มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาขาธนาคารมากขึ้น นอกจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท เอช เซม มอเตอร์ โดยนำร่องใช้พื้นที่สาขาธนาคาร 12 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ “H SEM Power Station” สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นการใช้สาขาธนาคารมากกว่าการทำธุรกรรมการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งประกอบด้วยสาขาสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน สาขาถนนรางน้ำ สาขาสี่แยกวังหิน สาขาสุขุมวิท 101 สาขาคลองจั่น สาขาบางปะกอก สาขาท่าพระ สาขาถนนอโศก-ดินแดง สาขาสมุทรปราการ สาขาบางเมฆขาว สาขาโพธิ์สามต้น และสาขาถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์ธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในระยะต่อไปอาจจะเป็นการเพิ่มธุรกิจใหม่ของธนาคาร

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

       ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 จนถึง ก.ย. 2564 จำนวนสาขาและจุดให้บริการในประเทศของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการปรับลดลงจำนวน 664 สาขา จากรวม 6,809 สาขา เหลือ 6,145 สาขา โดย 5 ธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดสาขามากสุดในช่วงโควิด-19 ระบาด คือ 

        1. ธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาที่ปรับลดลงมากสุดที่ 201 สาขา จาก 1,034 สาขา เหลือ 833 สาขา

       2. ธนาคารกรุงไทยลดลง 79 สาขา จาก 1,105 สาขา เหลือ 1,026 สาขา 

       3 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับลดลง 37 สาขา จาก 703 สาขา เหลือ 666 สาขา

       4.  ธนาคารกสิกรไทยลดลง 31 สาขา จาก 894 สาขา เป็น 863 สาขา 

       5. ธนาคารกรุงเทพลดลง 30 สาขา จาก 1,148 สาขา เหลือ 1,118 สาขา ขณะที่ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี มีจำนวนสาขาปรับเพิ่มขึ้น 252 สาขา จาก 401 สาขา เป็น 653

    นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัย  ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัยพฤติกรรมการผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคารที่เปลี่ยนไปใช้ออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธนาคารลดน้ำหนักเรื่องของสาขาลง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มตัวแทนธนาคาร (banking agent) จุดให้บริการและช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้งมีสูงกว่าจำนวนประชากรแล้วโดยธรรมชาติเมื่อสาขาปรับลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องปรับลดลง หรือถูกหมุนไปทำงานด้านอื่น ๆ แทน รวมถึงจะเห็นภาพธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ หันไปใช้วิธีจ้างพนักงานเอาต์ซอร์ซแทนพนักงานประจำมากขึ้นเพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวและลดต้นทุน แต่ยังคงเห็นธนาคารคุมเข้มเรื่องเกณฑ์บริหารความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (market conduct) เป็นต้น  การแข่งขันของแบงก์ต่อไปจะต้องรวดเร็ว สะดวกยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าสาขาจะไม่หายไป แต่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธุรกรรมที่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นธุรกรรมแบบเดย์ทูเดย์ ฝากถอนโอนจ่ายจะไปอยู่บนแอปออนไลน์หมด สำหรับสาขาที่ลดลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่มีสาขาที่ความหนาแน่นมากเกินไป และเชื่อว่าแบงก์มีการรีวิวสม่ำเสมอ หากพื้นที่ไหนกลับมาเป็นพื้นที่ธุรกิจแบงก์ก็คงพิจารณากลับมาเปิดได้

      นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

โดยช่องทางสาขาก็ยังมีความสำคัญในการให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและธุรกิจ เช่น บริการสินเชื่อ การขอรับคำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าแก้ปัญหา ซึ่งการมีสาขาที่ครอบคลุมยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการช่องอื่น ๆ สาขาจึงยังมีบทบาท ทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และธนาคารก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในสาขาด้วย

      ทั้งนี้การปรับลดสาขา อีกด้านหนึ่งธนาคารก็มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาขาธนาคารมากขึ้น นอกจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท เอช เซม มอเตอร์ โดยนำร่องใช้พื้นที่สาขาธนาคาร 12 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ “H SEM Power Station” สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นการใช้สาขาธนาคารมากกว่าการทำธุรกรรมการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งประกอบด้วยสาขาสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน สาขาถนนรางน้ำ สาขาสี่แยกวังหิน สาขาสุขุมวิท 101 สาขาคลองจั่น สาขาบางปะกอก สาขาท่าพระ สาขาถนนอโศก-ดินแดง สาขาสมุทรปราการ สาขาบางเมฆขาว สาขาโพธิ์สามต้น และสาขาถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์ธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในระยะต่อไปอาจจะเป็นการเพิ่มธุรกิจใหม่ของธนาคาร

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

มูลค่ามหาศาลชิงตลาดน้ำวิตามินคึกคัก

       ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหาร และคอฟฟี่ เฮาส์ บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด และบริษัท เบคเฮาส์ จำกัด ผู้บริหารร้าน “ทรู คอฟฟี่” เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทต่อยอดธุรกิจ FMCG ในกลุ่มเครื่องดื่ม ด้วยการเปิดตัว True Vitamin Water น้ำผสมวิตามินและแร่ธาตุ 2 รสชาติ ได้แก่ น้ำวิตามินกลิ่นเอ็กโซติก ฟรุต และน้ำวิตามินกลิ่นส้มหอมสดชื่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่จะมาคืนความสดชื่นให้ร่างกาย มีนักเตะชื่อดังจากสโมสรฟุตบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด “มิก้า ชูนวลศรี” เป็นพรีเซ็นเตอร์

        เพื่อเจาะเทรนด์ไลฟ์สไตล์ครอบคลุมเซ็กเมนต์ ทั้งแอ็กทีฟ บิวตี้ แทรเวล เกมเมอร์ และสตาร์ตอัพ ที่รักสุขภาพ โดยเบื้องต้นเน้นวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น และทรู คอฟฟี่ ทุกสาขาทั่วประเทศ

      เรานำเข้าวิตามินและแร่ธาตุจากแหล่งวัตถุดิบจากสวิตเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ ผ่านกระบวนการผลิตมาตรฐานคุณภาพ กับเทคโนโลยีระบบเติมไนโตรเจน ทำให้สามารถเก็บรักษาคุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุได้คงที่ และมั่นใจว่าจะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกกลุ่มเป้าหมายได้

      นอกจากการเปิดตัวน้ำดื่มผสมวิตามินของผู้ประกอบการรายใหม่ดังกล่าวแล้ว ที่ผ่านมายังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่หันมารุกตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินด้วยเช่นกัน เริ่มจากบริษัท บางกอก เชน เมเนจเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ที่ได้เปิดตัวน้ำดื่ม “เกษมราษฎร์ วิตามิน แอนด์ มิเนอรัล วอเตอร์” เมื่อช่วงต้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยชูจุดขายของการเป็นน้ำดื่มวิตามินบี ซี และดี รวม 9 ชนิด และแร่ธาตุ 2 ชนิด พร้อมด้วยพรีไบโอติก โดยวางจำหน่ายผ่านเวนดิ้งแมชชีนตามสาขาต่าง ๆ รวมทั้งมีทำการตลาดผ่านมาร์เก็ตเพลซรายใหญ่ อาทิ ช้อปปี้ ด้วย

ปิยะเวท วิตามินดี วอเตอร์” เพื่้อรองรับความตื่นตัวเรื่องกระแสสุขภาพของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ชูจุดขายของการเป็นน้ำดื่มผสมวิตามินดี 300 IU ที่จะช่วยเสริมให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานได้ดีขึ้น เน้นวางขายผ่านตู้แช่ในโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวท และมีแผนจะขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น

          จากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท มัลติพลาย บาย เอท จำกัด ในเครือบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เปิดตัวน้ำดื่มวิตามินภายใต้แบรนด์ “วิตมอรส์” ออกมาทำตลาด 2 รสชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค พร้อมมี “อิ๊งค์” วรันธร เปานิล นักร้องสาวรุ่นใหม่ เป็นพรีเซ็นเตอร์

     แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายชาพร้อมดื่มและน้ำดื่มวิตามินรายใหญ่สะท้อนภาพรวมที่เกิดขึ้นว่า ที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามินที่เติบโตและบูมมากเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพและมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น โดยหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ คือ น้ำดื่มวิตามิน และส่งผลให้น้ำดื่มวิตามินเป็นเซ็กเมนต์เดียวที่เติบโตสวนกระแสกับสินค้าอื่น ๆ และทำให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเป็นระยะ ๆ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องดื่มและผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจที่สนใจและหันมาพัฒนาสูตรน้ำดื่มวิตามินและสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อรองรับกระแสที่เกิดขึ้น

       จากการกลับมาระบาดรอบใหม่ของโควิด เมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา และทางการมีมาตรการล็อกดาวน์ ลดเวลาการเปิดให้บริการช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อที่เป็นช่องทางหลัก จึงทำให้ตลาดได้รับผลกระทบโดยตรง แต่หลังสถานการณ์โควิดเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และมีเล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ตลาดน้ำดื่มวิตามินอาจจะกลับมาคึกคักมากขึ้น โดยแต่ละค่ายอาจจะมีความเคลื่อนไหวในการสร้างแบรนด์ การขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และอาจทำให้ตลาดกลับมาเติบโตอีกครั้ง แต่อาจจะไม่หวือหวาเหมือนปีที่ผ่านมา อย่างน้อยที่สุดการเริ่มเปิดตัวในช่วงนี้ก็จะเป็นการเริ่มปูทางเพื่อสร้างแบรนด์ในช่วงแรกก่อนจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งคาดว่าตลาดอาจจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนที่เป็นหน้าขายสำคัญของตลาดเครื่องดื่ม เช่นเดียวกับ นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำดื่มวิตามิน AQUA-VITZ by Jele แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเติบโตมากในช่วงปลายปี 2563 มีการเติบโตกว่า 100%

จากกระแสรักสุขภาพและการแพร่ระบาดของโควิด แต่การระบาดของโควิดในระลอก 3-4 ที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมตลาดเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับราคาน้ำวิตามินที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับราคาน้ำดื่มทั่วไป

ประเมินว่าภาพรวมปีนี้ตลาดน้ำดื่มวิตามินจะทรงตัวจากปีที่ผ่านมา แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น โดยจะสังเกตได้จากร้านสะดวกซื้อที่เป็นช่องทางหลักของสินค้าเริ่มมีการปรับลดชั้นวางสินค้ากลุ่มนี้ลงเหลือเพียง 1-2 ชั้น จากเดิมจะมี 3-4 ชั้น

ขณะที่ตลาดในต่างจังหวัด ทั้งเทรดิชันนอลเทรดและโมเดิร์นเทรด ยอดขายก็ลดลงมาก ตอนนี้แต่ละแบรนด์ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางการตลาดมากนัก และเน้นเพียงการรักษาฐานและช่องทางเดิมไว้เท่านั้น ปัจจุบันตลาดน้ำดื่มวิตามินมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก อาทิ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ของโรงพยาบาลยันฮี ที่ถือเป็นรายแรก ๆ ของตลาด นอกจากนี้ยังมีแบรนด์วิตอะเดย์ของ บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด, อควาวิทซ์ บาย เจเล่ จากบริษัท ศรีนานาพรฯ, น้ำ PH PLUS 8.5 เครื่องดื่มน้ำ PH ผสมวิตามินบีรวม จากอิชิตัน กรุ๊ป

 

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

องค์การเภสัชฯ เปิดขาย ATK ออนไลน์ วันแรก 40 บาท

      องค์การเภสัชกรรม เปิดขาย ATK ออนไลน์ ยี่ห้อ Singclean แบบเก็บสารคัดหลั่งทางโพรงจมูก กล่องละ 800 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท เริ่ม 22 พ.ย. เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

        องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดขายชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง ATK ผ่านทางช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ www.gpoplanet.com วันนี้ (22 พ.ย.) ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

        เปิดจำหน่าย ราคา 800 บาทต่อกล่อง มีทั้งหมด 20 ชิ้น หรือเฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท โดยราคาดังกล่าวยังไม่ร่วมค่าจัดส่ง

        สำหรับช่องทางการจัดซื้อ ATK ออนไลน์

 

1. เข้าสู่เว็บไซต์ www.gpoplanet.com กดเลือกปุ่ม “สั่งซื้อชุดตรวจ ATK ที่นี่”
2. ระบบจะให้กรอกข้อมูลของผู้สั่งซื้อ ได้แก่ ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่

ขั้นตอนการชำระเงิน

1. เมื่อสั่งซื้อเสร็จ ให้กดปุ่ม “ชำระเงิน”
2. สแกนจ่ายด้วยแอปธนาคารไหนก็ได้
3. เมื่อชำระเงินสำเร็จ สถานะจะขึ้นเป็น “รอจัดส่ง” เพื่อรอรับของ

       ทั้งนี้ ชุดตรวจโควิด ATK ที่องค์การเภสัชกรรมจำหน่าย ได้แก่ ยี่ห้อ Singclean เป็นการตรวจในรูปแบบการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากภายในจมูกแบบตื้น ใช้เวลาอ่านผลราว 5-10 นาที และไม่เกิน 15 นาที   โดยสินค้า 1 ชุดประกอบด้วย ไม้ Swap จำนวน 20 ก้าน, หลอดน้ำยาสกัด จำนวน 20 หลอด, จุก dropper สำหรับหยดน้ำยาสกัด 20 อัน, น้ำยาสกัด จำนวน 20 หลอด และแผ่นตรวจแอนติเจนสำหรับอ่านผล จำนวน 20 แผ่น ส่วนการเก็บรักษาควรอยู่ในอุณหภูมิระหว่าง 4-30 องศา ด้านประสิทธิภาพชุดตรวจ Singclean แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1.Sensitivity (ความไว) 92.15% – 99.05% 2.Specifity (ความจำเพาะ) 97.47% – 99.61% และ 3.Accuracy (ความถูกต้อง) 97.19% – 99.33%

 

ขอบคุณ : ประชาขาติธุรกิจ