LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 3 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 3 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

        HL (บมจ.เฮลท์ลีด) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO 9.80 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส (เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายฯ)ประเมินราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 15 บาท คาดกำไรสุทธิปี 64-66 จะเติบโตสูงถึง +36% CAGR โดย HL เป็น Chain ร้านขายยาบริษัทแรกในตลาดฯ ปัจจุบันมีเพียง 25 สาขาทำให้ยังเติบโตได้อีกมาก และยากสำหรับการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่เพราะมีกฎระเบียบเข้มงวดในทุกการดำเนินงาน และต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย จุดแข็งคือเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานมีเสถียรภาพ

     AMATA (กรุงศรี)”ซื้อ” เป้า 23.50 บาท เกาะกระแส Stagflation หรือเงินเฟ้อสูง ที่ดินเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากธีมการย้ายฐานการผลิตหลังจีนเผชิญปัญหาวิกฤติพลังงานและความเสี่ยงจาก Trade war

     AOT (เคทีบีเอสที)เป้าเชิงกลยุทธ์ 62-64 บาท ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว หลังปรับฐานจาก “โอไมครอน” ตลอดสัปดาห์ ด้านกำไรประเมิน Turnaround ที่ 6.2 พันลบ. ในปี 66 ส่วนผู้บริหารประเมินผู้โดยสารปี 65 ที่ 62 ล้านราย ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่จะมีผลต่อการเดินทางสูง คาดว่าบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนสามารถเร่งทำได้เร็ว พร้อมเตรียมโอนสนามบินใหม่ 3 แห่ง ประกอบไปด้วย สนามบินอุดร และสนามบินบุรีรัมย์ 2 แห่ง หลังโควิดซา สนามบินเหล่านี้จะกลายเป็น Hub ในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

หุ้นไทยแกว่งตัว 1,585 – 1,600 จุด ชี้ความกังวลโควิดสายพันธุ์โอไมครอน

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)

เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3ธ.ค.2564) คาดว่าดัชนี SET แกว่งตัว 1,585 – 1,600 จุด แม้ดัชนีจะได้ปัจจัยบวกคาดการณ์สหรัฐหลีกเลี่ยง Shutdown โดยผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยืดเวลาไปถึงวันที่ 18 ก.พ.2565

     ซึ่งความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน,ความผันผวนของ ฟันด์โฟลว์หลัง เฟด ส่งสัญญาณยุติ คิวอี เร็วกว่าคาด รวมถึงการลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว 3 วันจะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ทองคําวันนี้ประกาศครั้งที่ 1 ปรับขึ้น 50 บาท

     ราคาทองคําวันนี้ศุกร์ที่ 3 ธค 64 ประกาศครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.25 น. ปรับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพฤหัสบดี ที่แม้ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ แต่สรุปราคาตอนปิดตลาดไม่เพิ่มไม่ลดจากราคาซื้อขายของวันพุธ

        ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งที่ 1

      ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,000 บาท
รับซื้อบาทละ 27,894.40 บาท

     ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,500 บาท
รับซื้อบาทละ 28,400 บาท

       สำหรับราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,772 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาร่วงลง 21.6 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 สัปดาห์ สู่บริเวณ 1,762.7 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด นอกจากนี้ ความวิตกกังวลที่เริ่มลดลงเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันต่อแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้ลดลง 10 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,460 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่า ตลาดการเงินในฝั่งเอเชียและยุโรปจะสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในวันก่อนหน้า ทว่าความผันผวนในตลาดการเงินยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ และปิดตลาดย่อตัวลง (ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18% เช่นเดียวกับ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปรับตัวลงกว่า -1.83%) โดยแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ในวันนี้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ยังคงมาจากความกังวลปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” หลังสหรัฐฯ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรก และนอกจากประเด็น Omicron ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากมุมมองของประธานเฟดที่เดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเร่งลดคิวอี หลังจากที่ประธานเฟดมองว่า เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าที่เคยประเมินไว้ 

     ฝั่งของตลาดบอนด์ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ Omicron ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 6bps แตะระดับ 1.42% ซึ่งภาพดังกลา่ว สะท้อนว่าผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การระบาด และเลือกที่จะเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าในมุมนึงผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าเฟดอาจมีการประกาศเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะมั่นใจได้ว่า Omicron ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่เคยประเมินไว้ ซึ่งอาจต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น โดยทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสำคัญ อาทิ Pfizer, BioNTech และ Moderna ต่างคาดว่า อาจจะสามารถรายงานผลวิจัยประสิทธิภาพวัคซีนต่อ Omicron ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้แกว่งตัวในระดับ 96.03 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ความผันผวนในตลาดอาจปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด หลังจากที่ ดัชนีความกลัวที่วัดความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ VIX Index ได้ปรับตัวขึ้น ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 29 จุด สู่ระดับ 31 จุด

     สำหรับเงินดอลลาร์ยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เพราะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 113 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเพิ่มการถือครองเงินเยนตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าเงินดอลลาร์จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงหนัก

     เนื่องจากราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ล่าสุด ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้สู่ระดับ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเรามองว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดที่ต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ทำให้ราคาทองคำจะไม่ปรับฐานลงหนัก แต่การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจถูกจำกัดด้วยท่าทีของเฟดที่มีแนวโน้มจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ว่าจะมีข้อสรุปเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องตามที่เคยได้วางแผนไว้หรือไม่ หลังจากที่การระบาดของ Omicron อาจกดดันความต้องการใช้พลังงานได้ในระยะสั้น อีกทั้ง สหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ได้ประกาศพร้อมใช้น้ำมันดิบสำรองเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงานในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงมาพอสมควร และสมดุลตลาดน้ำมันอาจเปลี่ยนไป หากการระบาดของ Omicron ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น กลุ่ม OPEC+ อาจจะรอดูทิศทางตลาดน้ำมันและสถานการณ์การระบาดไปก่อนในระยะสั้นนี้

     สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าเงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ บอนด์ระยะสั้นตามการปรับสถานะเก็งกำไรเงินบาทของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งเรายังคงมองว่า ในระหว่างวันเงินบาทยังคงมีแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของ Omicron อีกทั้ง สัญญาณเชิงเทคนิคัลในระยะสั้นยังคงชี้ว่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า ทำให้ปัจจัยที่จะพอช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก คือ การรีบาวด์ของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน หากพิจารณาสัญญาณเทคนิคัลของเงินบาททั้งในส่วนกราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง RSI และ MACD อาจเริ่มส่งสัญญาณว่า เงินบาทอาจมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งต้องรอการเกิดสัญญาณเชิงเทคนิคัลอีกครั้ง ถึงจะยืนยันสมมติฐานดังกล่าวได้ และเราเชื่อว่า จังหวะกลับตัวมาแข็งค่าของเงินบาทอาจเกิดขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า การเร่งระดมแจกวัคซีนสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ Omicron ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ซบเซาหนัก ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางรายยังรอขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทอีกรอบได้ หากสัญญาณเชิงเทคนิคัลเงินบาทเริ่มเปลี่ยนทิศหรือเกิด Divergence ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน

     ดังนั้น ในระยะนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ในกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

ขออบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

นักลงทุนกังวลโอไมครอนกระทบเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง

        ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวผันผวนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและความรุนแรงของไวรัสโอไมครอน รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว

     หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุดในยุโรป โดยหุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ อาทิ อินฟิเนียน เทคโนโลยีส์, เอเอ็มเอส และเอเอสเอ็มแอล ร่วงลงราว 4.4-5.7% จากรายงานที่ว่า แอปเปิล อิงค์ เตือนเกี่ยวกับความต้องการที่ลดลงสำหรับ iPhone 13

      หุ้นแอร์เมสและหุ้นริชมอนท์ ร่วง 3.1% และ 2.1% ตามลำดับ แม้ได้รับการรวมในการคำนวณดัชนี Euro STOXX 50 ก็ตาม


ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นวันนี้

      EKH (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 9.40 บาท แนวโน้ม Q4/64 แม้จะอ่อนตัว Q-Q ตามโควิด-19 ที่คลี่คลาย แต่คาดยังเติบโตโดดเด่น Y-Y โดยเบื้องต้นคาดใกล้เคียง Q2/64 หนุนกำไรทั้งปี 64 ที่คาด +289% Y-Y มี Upside ราว 14% โดยประเมิน EKH จะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีกรณีเกิดการระบาดระลอกใหม่หลังเชื้อสายพันธุ์ “โอไมครอน” เริ่มพบในยุโรป แต่หากควบคุมได้ประเมินธุรกิจ IVF ของ EKH จะฟื้นตัวหนุนการเติบโตระยะถัดไป พร้อมให้แนวรับ 7.80-7.60 บาท แนวต้าน 8-8.20 ถัดไป 8.50 บาท

 

      EPG (คิงส์ฟอร์ด)ซื้อเก็งกำไรเป้า IAA Consensus 15.30 บาท ผลประกอบการ Q2/64-65 (ก.ค.-ก.ย.) รายงานกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท ยังเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ รายได้รวมยังปรับตัวเพิ่ม QoQ ได้หนุนจากกลุ่มชิ้นยานยนต์ยานยนต์ Aeroklas ที่ส่งออกไปยังออสเตรเลียและยุโรป และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ EPP ทีมีการเร่งระบายสินค้าเก่าในสต๊อก ช่วงชดเชยรายได้กลุ่มฉนวน Aeroflex ที่ถูกกระทบจากการ Lockdown ขณะที่ GPM ถูกกดดันจากต้นทุนวัตุดิบและการทำโปรโมชั่น แนวโน้ม Q3/64-65 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดฟื้นตัว QoQ ทุกธุรกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงจะมีการทยอยปรับเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

      RS (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22 บาท ทุกหน่วยธุรกิจฟื้นตัว ผู้บริหารเตรียมสร้าง Digital Eco System พร้อม Transform คาดโควิด-19 ไม่ทำแผนสะดุด ราคาที่พักฐานระยะสั้นเป็นโอกาสสะสม ด้านบริษัทย่อย “โฟร์ท แอปเปิ้ล” เตรียมสร้าง Platform สำหรับ Popcoin- Digital Token ของกลุ่มที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าและ Partner พร้อมเข้าเทรดต้นปี 65 พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 225 ลบ. และ 576 ลบ. -57.4%YoY, +155.9%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ปรับตัวลงราว 0.5-0.8% ส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลง

        นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างปรับตัวลงราว 0.5-0.8% จากความกังวลไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ซึ่งขณะนี้ได้มีการระบาดในยุโรปหลายประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ในยุโรปก็มีการระบาดโควิดหนักอยู่แล้ว มาเจอสายพันธุ์ใหม่อีก ทำให้กังวลการเติบโตเศรษฐกิจ จึงมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา

      ตลาดบ้านเราก็เผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมาทั้งในตลาดหุ้น และตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยง และตลาดฯวันนี้คงจะเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานด้วยหลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงแรง

      ทั้งนี้สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจไทย, MSCI Rebalance ในวันที่ 30 พ.ย.นี้, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการของทั่วโลกที่จะทยอยออกมา, ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค.นี้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

วิกฤตโอไมครอน ส่งผลให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดขึ้นกว่า 200 จุด

 

     ณ เวลา 07.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้น 204 จุด หรือ +0.59% แตะที่ 35,062 จุด ในส่วนของราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้น 3.25 ดอลลาร์ หรือ +4.77% แตะที่ 71.42 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ หลังจากที่ดิ่งลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% ปิดที่ 68.15 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

    นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนที่พบในแอฟริกาใต้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าไวรัสโอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตก และอาจแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่น  โดยโอไมครอนเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ที่ 5 ที่ WHO ประกาศให้เป็น สายพันธุ์ที่น่าวิตก ซึ่งแคนาดาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจำนวน 2 รายในเมืองออตตาวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 รายเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศไนจีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้

     ทั้งนี้นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค., ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดดัลลัส, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนต.ค. , จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นค้าปลีกไอทีโตแรง สวนโควิด

     กำลังซื้อกลุ่มสินค้าไอทียอดพุ่ง สวนกระแส การระบาดของโควิด-19 ซึ่งการแพร่ระบาดดังกล่าว ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home) เรียนหนังสือที่บ้าน (Learn From Home) กันมากขึ้น สินค้าไอทีจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น

     โดยโปรดักส์สุดฮิต ที่ยังมาแรงเห็นจะเป็น iPhone 13 เดินหน้าโกยยอดขายได้ต่อเนื่อง หลังเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา แถมตอนนี้หลายรุ่น สินค้าขาดตลาดด้วยซ้ำ สาวกไอโฟนต้องอดใจรอกันหน่อย

     ความร้อนแรงของ iPhone 13 เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายร้านค้าปลีกสินค้าไอทีปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หลายบริษัทน่าจะได้เห็นยอดขายทำนิวไฮ เติบโตสวนวิกฤตโควิด ขณะเดียวกันกระแสโลกเสมือนจริง หรือ Metaverse ที่กำลังมาแรงจะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญให้ตลาดสินค้าไอทีในระยะถัดไป

     สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าไอทีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทยมีอยู่หลายบริษัท นำโดยบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ด้วยขนาดมาร์เก็ตแคป 96,600 ล้านบาท มีร้านค้ามากมายหลายแบรนด์รวมกว่า 900 สาขา เช่น BaNANA, Studio7, BaNANA Mobile, KingKong Phone ฯลฯ และยังให้บริการหลังการขายสินค้า Apple ภายใต้ชื่อ “iCare” รวมทั้งร้าน “TRUE by Com7” โดยปี 2563 มีรายได้รวม 37,352.90 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จะเติบโต 20%

     อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจะคุ้นเคยกันดี บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART มีหน้าร้านของตัวเองมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆ ในเครืออีกหลายธุรกิจ จนเข้าตากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ โดดเข้ามาถือหุ้น

     ส่วนบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เน้นตลาดขายส่งเป็นหลัก โดยได้รับเลือกเป็นผู้แทนจําหน่ายสินค้าจากแบรนด์ชั้นนําระดับโลกมากกว่า 60 แบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 32,244.44 ล้านบาท

     บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของแบรนด์ Xiaomi ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขา รวมทั้งยังขายสินค้าของ Apple ผ่านร้าน iStudio by copperwired และ Ai ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 โตมากกว่า 20%

     บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI อีกหนึ่งตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ผ่านช่องทางร้าน iStudio by SPVi, iBeat by SPVi, U Store by SPVi, Mobi และศูนย์บริการลูกค้า iCenter ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 โต 10-15% โดยเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา

     บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการขายสินค้าไอทีครบวงจร ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เช่นเดียวกับปีนี้ พร้อมวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 43 สาขา รวมเป็น 440 สาขา

    ทั้งนี้การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ในฝั่งของผู้ประกอบการอัดแคมเปญโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ลด แลก แจก แถม กันอย่างเต็มที่เพื่อปิดตัวเลขปลายปี ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภค

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าร่วง หลุดระดับ 1,600 จุด

  เมื่อเวลา 10.12 น. วันที่ 29 ธ.ค.64 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,608.83 จุด ลดลง 1.78 จุด (-0.11%)

   นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด หลุดแนว 1,600 จุด ซึ่งตลาดบ้านเราปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบกันทั่วหน้า จากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ทำให้สถานการณ์มีความไม่แน่นอน เนื่องจากยังมีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่มากนัก

   นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงมาก ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดฯในเช้านี้ด้วย และยังเผชิญแรงกดดันจากหุ้น AOT และหุ้นในกลุ่มแบงก์ด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610-1,615 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์