LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 26 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 26 ตุลาคม 2564

26 ต.ค. ราคาบิตคอยน์ ขยับขึ้น 3.21%

   ราคาบิตคอยน์วันนี้ 26 ต.ค. 2564 ขยับขึ้น +3.21% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 62,731.20 เหรียญสหรัฐ หรือราว 2,071,854.71 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 31.61 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลอัพเดต เมื่อเวลา 8:12 น. ที่ผ่านมา ในขณะที่ราคาเหรียญดิจิทัลคริปโตอื่นๆ Ethereum ได้ขยับขึ้น 1.07% Binance Coin ขยับขึ้น 1.03% และ Dogecoin คงที่ในช่วง 24 ชั่วโมง โดยมีราคาดังนี้ คือ

    Bitcoin  ราคา 62,731.20 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.21%, Ethereum  ราคา 4,134.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.07%,  Binance Coin ราคา 483.03 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.03%  Cardano  ราคา 2.15 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.49%, Tether  ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01% , Terra  ราคา 43.19 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.26% , XRP ราคา 1.09 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.51%,  Polkadot  ราคา 43.70 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.74%, Dogecoin  ราคา 0.27 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.38% USD Coin ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง 0.00%

   ทั้งนี้ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

รับเสี่ยงกดดันแลกเปลี่ยนเงินบาทแข็งค่ากดเงินดอลอ่อนลง เช้านี้ 26 ต.ค.2564

   นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรอบเงินบาทวันนี้ 26.ต.ค.2564 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.20 บาท/ดอลลาร์ แนวโน้มค่าเงินบาทยังมีทิศทางการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways โดยปัจจัยหนุนในฝั่งแข็งค่าคือ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่จะกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง รวมถึง โฟลว์ขายทำกำไรทองคำ โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์

   สำหรับฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะฟันด์โฟลว์หุ้น จะเป็นปัจจัยที่สร้างความผันผวนให้กับเงินบาทได้ เพราะ นักลงทุนต่างชาติได้เริ่มขายทำกำไรหุ้นไทยออกมาบ้าง ซึ่งจะกดดันให้เงินบาทผันผวนในฝั่งอ่อนค่า โดยโฟลว์นักลงทุนต่างชาติอาจมีการซื้อ-ขาย สลับกัน จนกว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจจะมีทิศทางดีขึ้นชัดเจนและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเริ่มดีขึ้น จนนักวิเคราะห์มีการปรับเป้าผลกำไร ซึ่งจะช่วยลดระดับ Valuation ของหุ้นไทยให้ถูกลงจนน่าสนใจได้ เนื่องจากปัจจุบัน ระดับ Valuation หุ้นไทยถือว่าแพงพอสมควร

    นอกจากนี้แนวต้านสำคัญของเงินบาทยังอยู่ในโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนต่างรอขายเงินดอลลาร์อยู่ ผู้นำเข้าบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้ เงินบาทยังมีแนวรับสำคัญที่โซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ แนวรับเงินบาทที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากผู้เล่นต่างชาติที่ยังคงเก็งกำไรเงินบาทอ่อนค่าและมีเป้าในช่วง 34-35 บาทต่อดอลลาร์นั้น อาจวาง Stoploss ไว้ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้ หากเงินบาทแข็งค่าหลุดระดับดังกล่าว เราอาจเห็นโฟลว์ cover short positions ที่เก็งกำไรเงินบาทอ่อน กดดันให้เงินบาทแข็งค่าเร็วได้ในระยะสั้น

   สำหรับตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมยังทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยผู้เล่นในตลาดยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนสถานะถือครองเพิ่มเติมมากหนัก เพราะถึงแม้ว่าตลาดจะเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อ แต่ตลาดยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงจากแนวโน้มเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงอยู่ โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ยังแกว่งตัวใกล้ระดับ 93.85 จุด โดยการเคลื่อนไหว sideways ของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ รวมถึง ความต้องการถือทองคำ เพื่อ hedge ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ได้หนุนให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาสู่ระดับ 1,806 ดอลลาร์ต่อออนซ์  อาจเริ่มเห็นโฟลว์ขายทำกำไรทองคำเกิดขึ้นบ้าง และโฟลว์ดังกล่าวอาจส่งผลให้เงินบาทผันผวนในฝั่งแข็งค่าขึ้นได้

    ทั้งนี้รอติดตาม ตลอดทั้งวันนี้ผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นเทคฯ ใหญ่สหรัฐฯ อาทิ Alphabet หรือ Google, Twitter และ Microsoft ซึ่งผลประกอบการที่ดีกว่าคาดและแนวโน้มการเติบโตของผลกำไรที่โดดเด่นจะช่วยหนุนให้ตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงได้

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

นิยายรุ่ง GLORY ขยายแพลตฟอร์มเล็งตลาดE-Bookต่างชาติ

    บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (Mai)  โดยเปิดการซื้อขายที่ราคา 5.30 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.50 บาท หรือ 89.29% จากราคาจอง 2.80 บาทต่อหุ้น ระหว่างวันปรับขึ้นทำจุดสูงสุดที่ 8.30 บาทต่อหุ้น ก่อนกลับมาปิดตลาดที่ระดับ 7.60  บาท เพิ่มขึ้น  4.80 บาท หรือ 171.43% มูลค่าการซื้อขาย 5,989.55 ล้านบาท

    นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายได้ปี 2564 บริษัทคาดว่าจะเติบโตใกล้เคียงกับครึ่งแรกของปีที่ 19% และในปี 2565 คาดว่าจะเติบโต 20-40% โดยได้ปัจจัยหนุนจากการนำเข้าลิขสิทธิ์นิยายต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทมีแผนจะซื้อลิขสิทธิ์นิยายเพิ่มขึ้นประมาณ 70% ตั้งแต่ปลายปี 2564 ต่อเนื่องถึงปี 2565 จากปัจจุบันมีลิขสิทธิ์นิยายแปลประมาณ 100 เรื่องขณะที่การเปิดตัวแพลตฟอร์ม Jinovel คาดว่าจะสร้างการเติบโตให้รายได้ราว 20% เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนหุ้นของบริษัท ซึ่งภายหลังจากการเข้าระดมทุนในครั้งนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้ราว 189 ล้านบาท ไปใช้ในการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการขยายบริการทั้งในและต่างประเทศ การพัฒนาแพลตฟอร์มนิยาย “จีโนเวล”  เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าเพศหญิง และการซื้อลิขสิทธิ์นิยายต่างประเทศ รวมถึงบริษัทยังได้หนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-Book ที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 14% โดยคาดว่าจะเห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังผู้อ่านเริ่มคุ้นเคยกับการใช้งานแพลตฟอร์ม

   ปัจจุบันบริษัทมีต้นแบบนิยายไทยส่วนหนึ่งที่เตรียมแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้บริการลูกค้าต่างประเทศ โดยตั้งเป้าหมายระยะยาวสัดส่วนรายได้ต่างประเทศจะสูงกว่ารายได้ในประเทศ สอดคล้องกับประชากรต่างประเทศที่มีจำนวนมากกว่าประชากรในประเทศสำหรับแผนการขยายแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการกลุ่มลูกค้าต่างประเทศ บริษัทจะเริ่มขยายแพลตฟอร์มภาษาอังกฤษก่อนในเฟสแรก สำหรับภาษาอื่นๆจะพิจารณาในเฟสถัดไป

    ทั้งนี้บริษัทมองการต่อยอดไปธุรกิจอื่นๆ เช่น ธุรกิจโฆษณา เนื่องจากแพลตฟอร์มปัจจุบันของบริษัท  Kawebook มีจำนวนผู้ใช้บริการค่อนข้างสูง จากฐานสมาชิกมากกว่า 2 แสนราย ง่ายต่อการต่อยอดมากกว่าการเปิดแพลตฟอร์มใหม่ที่ยังไม่มีจำนวนผู้ใช้บริการที่ชัดเจนรวมถึงการใช้จ่ายบนแพลตฟอร์ม บริษัทไม่ได้ปิดกั้นโอกาสใหม่ๆ เช่น การชำระค่าบริการด้วยสกุลเงินดิจิทัลด้วย

 

ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ

พลิกเกมส์วิกฤตเศรษฐกิจ JWD เติบโตขึ้นในช่วงปีหลัง

    หุ้นบริษัทเจดับเบิ้ลยูดีอินโฟโลจิสติกส์จำกัด(มหาชน) หรือ JWD คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3/64 จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในสถาการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 ที่ส่งผลกับทางด้านธุรกิจการค้าทั่วโลก ส่งผลให้เกือบทั้งไตรมาสการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์รวมถึงกิจการขนส่งทางรางและการขาดแคลนชิปในกลุ่มธุรกิจยานยนต์ทั้งหมด ซึ่งธุรกิจของJWDเติบโตได้ที่ดีจากธุรกิจห้องเย็นซึ่งเข้าสู่ High Season ในช่วงปีหลัง

    หากปริมาณการเป็นไปตามคาดกำไร 9 เดือนแรกของปี 64 อยู่ที่ 323.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 50.9 %จากปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 73.3% จากปีก่อนคิดเป็น 74.9% ของปริมาณการทั้งปี คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 4/64 จะทำสถิติสูงสุดจากทั้งธุรกิจเดิมและรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากESCO ซึ่งเป็นผู้ประกอบการท่าเรือตู้คอนเทนเนอร์ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังจึงยังคงปริมาณกำไรสุทธิปี 2554 ที่ 502.5 ล้านบาทเติบโตขึ้น 73.3% จากปีก่อนคิดเป็นอัตรากำไร 9.9 และคงประมาณการกำไรปกติ 2565 -2566 ที่ 566.2 ล้านบาทและ 690.8 ล้านบาท เติบโต 33.4% จากปีก่อนและ 22.0% จากปีก่อนตามลำดับ โดยในปี 2565 จัดเก็บเกี่ยวประโยชน์เต็มปีจากบิลที่เกิดขึ้นในปีนี้หลายดิวได้แก่ทุน ESCO  รับรู้รายได้จากALPHA โครงการร่วมทุนกับORI โดยตั้งเป้าปี 2565 อยู่ที่ 23 บาท ราคาหุ้นปัจจุบัน PE ปี 2565 EBITDA สะท้อนความสามารถทำกำไรดีกว่าหุ้นปัจจุบันที่มีEV/EBITDA ปี 2022 เพียง 12.4 เท่า ต่ำกว่าการเติบโตEBITDAที่คาด เพิ่มขึ้น 15.3% CAGR ในช่วงปี 2564-2566

    ทั้งนี้ในด้านธุรกิจอาหารธุรกิจ Barge หรือ ธุรกิจ Self-storageและธุรกิจขนส่งที่รับรู้รายได้จาก VNS Transportเต็มไตรมาสแรกทำให้ค่ารายได้รวมเพิ่มขึ้น 5.9% จากไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้น 35.3%จะปีก่อนเป็น 1,324.7 ล้านบาท โดยต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆคาดว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

ขอบคุณ : ข่าวหุ้น

รพ.รามรามคำแหง หยุดซื้อ หุ้นสินแพทย์เพิ่ม เนื่องจากราคาแพง

บริษัทโรงพยาบาลรามคำแหงจำกัด (มหาชน) หรื อRAM  สละสิทธิ์การซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจาก บริษัท สินแพทย์ จำกัด เนื่องจากราคาหุ้นของโรงพยาบาลสินแพทย์ที่เพิ่มทุนนี้ได้ขายในราคาหุ้นละ 100 บาทเมื่อพิจารณาถึงอัตราส่วนP/E จะเห็นว่าค่อนข้างสูง อยู่ที่ 30.258 เท่า ขณะที่สัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทในโรงพยาบาลสินแพทย์อยู่ที่ร้อยละ 32.95 ของทุนจดทะเบียนและชำระของบริษัทสินแพทย์จำกัดซึ่งภายหลังสละสิทธิ์บริษัทจะมีส่วนถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 28.40 ของทุนจดทะเบียนและชำระแล้วของบริษัทสินแพทย์จำกัด 

รวมถึงขณะนี้บริษัทได้ขยายการลงทุนโรงพยาบาลทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดจึงจะต้องใช้ทุนจำนวนมากทางบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนในขณะนี้ค่อนข้างจำกัด

ขอบคุณ ข่าวหุ้น

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 16 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ธปท. เตือนประชาชน ระวังชักถูกชวนลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ให้ผลตอบแทนสูง

นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การชักชวนให้ลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (FOREX) ได้ผลตอบแทนที่ดี มักเป็นการหลอกลวง มีลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ที่ไม่มีการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศจริง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าว เพราะนอกจากธุรกิจดังกล่าวจะผิดกฎหมายแล้ว ประชาชนยังมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินคืนด้วย

 ตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ประชาชนจะต้องทำกับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น รวมถึงปัจจุบันยังไม่เคยให้ใบอนุญาตแก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อการลงทุนแต่อย่างใด แต่การประกอบธุรกิจหรือมีส่วนร่วมกับการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ FOREX ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การให้บริการรับ-ส่งเงินเพื่อให้ประชาชนทำธุรกรรมหรือเพื่อชำระเงินในธุรกรรม FOREX บนเว็บไซต์ ทั้งในและต่างประเทศ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน

 ทั้งนี้บุคคลที่โฆษณาหรือเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือ FOREX กับตนโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย  หากมีข้อสงสัย โปรดสอบถาม ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธปท. โทร 02 3567799 หรือ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร 1213

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ราคาบิตคอยปรับตัวเป็นบวก61,350ดอลลาร์

วันที่ 16 ต.ค.64 เวลา 05.42 น. ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม  การเคลื่อนไหวที่ 61,350.0 ดอลลาร์ปรับตัวในช่วงขาขึ้นของราคาบิตคอยน์เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเมื่อวันที่15ต.ค.ที่ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 61,000 ดอลลาร์ และอยู่เหนือระดับ 2,000,000 บาท ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ จะอนุมัติจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์เพื่อทำการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า

โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.64 เวลา 00.33 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์ได้ทะยานขึ้น 5.98% สู่ระดับ 61,333.62 ดอลลาร์ หรือราว 2,042,400 บาท ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มคอยน์เบส ซึ่งก่อนหน้านี้ บิตคอยน์ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 64,889 ดอลลาร์ในขณะที่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา “เบน เคสลิน” หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทเอเอเอ็กซ์  คาดการณ์ว่า การจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์ในสหรัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 4

ซึ่งสถิติที่ผ่านมาชี้ว่า สกุลเงินดิจิทัลมักปรับตัวได้ดีในเดือนต.ค. สามารถฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย. ในรูปแบบการปรับตัวของบิตคอยน์ปีนี้สอดคล้องกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะบิตคอยน์ดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย.ปีนี้ ใกล้หลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ หลังจีนสั่งกวาดล้างการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์

สำหรับธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์กล่าวว่า การทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งรวมถึงบิตคอยน์ ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และจะถูกกวาดล้างอย่างหนัก นอกจากนี้ แพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่ให้บริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแก่ลูกค้าในจีน ก็ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายเช่นกัน และพนักงานที่ทำงานให้แก่แพลตฟอร์มดังกล่าวจะถูกดำเนินการสอบสวน

ในเดือนก.ค. ธนาคารกลางจีนมีคำสั่งห้ามสถาบันการเงิน รวมทั้งอาลีเพย์ ซึ่งเป็นบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในเครือของบริษัทแอนท์กรุ๊ปของอาลีบาบา ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต ขณะที่รัฐบาลจีนสั่งกวาดล้างเหมืองขุดบิตคอยน์

 ทั้งนี้บิตคอยน์ยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า กองทุนของ”จอร์จ โซรอส” เจ้าของฉายาพ่อมดการเงิน ได้เข้าลงทุนในบิตคอยน์

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจจีนขยายตัว 5%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจพบว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 5% ในไตรมาส 3 จากระดับ 7.9% ในไตรมาส 2 ในขณะที่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จากวิกฤตหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ รวมทั้งการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า, ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอของผู้บริโภค และต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นในภาคการผลิต

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการลงทุนที่ซบเซา การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอในเดือนก.ย.ที่ผ่านมายอดค้าปลีกอาจฟื้นตัวขึ้น หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) รายงานว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7.9% ในไตรมาส 2 ทำสถิติขยายตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ด้านจีดีพีประจำไตรมาส 2 ของจีนชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวเป็นประวัติการณ์ถึง 18.3% นอกจากนี้จีดีพีในไตรมาส 2 ยังขยายตัวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวราว 8.0-8.1%ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัว 12.7%

 

ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

เฮิร์บ เทรเชอร์ จับมือสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปลูกกัญชงตั้งเป้าปีละพันล้าน

นางสาวรมย์ชลี จันทร์ประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ บริษัท เฮิร์บ เทรเซอร์  ได้เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ทดสอบสายพันธุ์กัญชงเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตั้งแต่การเพาะปลูก การบำรุงรักษา ตลอดจนเก็บเกี่ยวผลผลิต และการแปรรูปจำหน่ายในเชิงพาณิชย์  โดยที่ผ่านมาร่วมลงนามความร่วมมือกับ การยาสูบแห่งประเทศไทย  ว่าด้วยความร่วมมือโครงการส่งเสริมการปลูกกัญชงเพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร และ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงราย-พะเยา เพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ  ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ที่สนใจเข้าร่วมโครงการประสานมายังบริษัทฯได้ รวมถึงผู้ที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและถูกต้องตามกฏหมาย

ซึ่งในปัจจุบันบริษัท มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร อาหารเสริม เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ในประเทศทั้งฝั่งเอเชีย และ ยุโรป ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสารสกัด CBD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่บริษัทฯ มีพันธมิตรที่แข็งแรง จะสามารถขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าผลผลิตแรกจะเริ่มออกในช่วงปลายปีนี้ และจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายภาคิณ ปุณณเกษมกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ  ROJNA กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด ด้วยการเข้าซื้อเงินลงทุนในหุ้นสามัญเป็น จำนวนหุ้น 255,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 51% ในระยะแรกให้ความสำคัญและการเติบโตของธุรกิจกัญชงแบบครบวงจรที่เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องผลิตสายพันธุ์ การปลูก สกัด จากการปลูกใน 300 โรงเรือนอัจฉริยะ บนพื้นที่ 100 ไร่ ซึ่งสามารถผลิตสาร CBD Isolateได้ประมาณ 9 ตันต่อปี  เพื่อตอบสนองความการเติบโตของตลาดของสาร CBD เชิงพาณิชย์หลายด้านในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมอาหารเสริม เป็นต้น  โดยในระยะแรกบอร์ดอนุมัติลงทุน 250 ล้านบาท สำหรับเดินหน้าก่อสร้างโรงงานสกัดสาร CBD ระยะที่หนึ่ง และมีแผนเพิ่มทุนระยะที่2 ในระยะเวลาอันใกล้เพื่อให้เสร็จภายในปี 2565 

สำหรับการลงทุนแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 250 ล้านบาทเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของกลุ่มลูกค้าที่ได้ส่งเอกสารแสดงความต้องการจะซื้อผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเตรียมการเพื่อขยายกำลังการผลิตและรองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกในระยะเวลา 2 ปี  โดยเฮิร์บ เทรเชอร์ ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตส่งออก และคาดการณ์ว่าการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชงแบบครบวงจรครั้งนี้ จะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชงตั้งแต่ปี 2565  ตั้งเป้าปีละ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เหตุผลหลักในการตัดสินใจเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชงครบวงจร เนื่องจากผู้บริหาร ROJNA จำเป็นต้องมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งมูลค่าผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาวเพื่อพิจารณาถึงธุรกิจที่มีความเป็นไปได้จริงและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งเฮิร์บ เทรเชอร์  เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์จริง ที่สำคัญมีผู้บริหารที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีนโยบายและหลักการในการบริหารธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาด

 

 ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

ลูกค้า เอเชียประกันภัย เตรียมโอมกรมธรรม์ไปบริษัทในเครือ คปภ.13 บริษัท หลัง บริษัทเอเชียประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต

จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 จำกัด(มหาชน)โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564เป็นต้นไป

ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2564 ตามความเห็นคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ให้บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 จำกัดหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่23ก.ย.2564เพิ่มทุนหรือแก้ไขสถานะให้มีค่าCAR ตามที่กฎหมายกำหนดตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 30 วัน และแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายโดยประจำการที่ทำการของบริษัทพร้อมได้เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยคืบหน้ากว่า 13,000 รายวงเงินกว่า 800 ล้านบาท

 ในขณะที่สินไหมค้างจ่ายทดแทนคงเหลือ 29,560 กรมธรรม์จำนวนเงิน 1,792.78 ล้านบาท โดยทรัพย์สินของบริษัทยังไม่เพียงพอที่จะดูแลค่าเคลมที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่บริษัทไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะทางการเงินและมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน-327.40%

จาก ข้อมูลจากการตรวจสอบ “บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 โดยข้อมูลทางการเงินของบริษัทที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ณเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,713.48 ล้านบาทหนี้สินรวม 5,256.54ล้านบาท หนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน -1,543.06ล้านบาท สินทรัพย์สภาพคล่อง 1,366.05 ล้านบาท จึงเป็นเหตุต้องเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยเข้าดูแลโดยใช้เงินกองทุนเยียวยาผู้เอาประกันภัย  

ต่อมาทาง คปภ.ได้ร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัยและบริษัทประกันวินาศภัยรวม 13 บริษัทเพื่อรับโอนกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่หมดอายุความคุ้มครองแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1.กรมธรรม์ประกันโควิด 8 แสนฉบับ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ 2แสนบาทและประกันรถยนต์ภาคบังคับและอื่นๆมากกว่า 1 ล้านฉบับ  สำหรับผู้เอาประกันภัยโควิคที่ต้องการความคุ้มครองอยู่ คปภ.ร่วมกับบมจ.ทิพยประกันภัยเสนอแพ็คเกจกรมธรรม์คุ้มครองโควิชกรณีภาวะโคม่าด้วยทุนประกันภัย 300,000 บาทเบี้ยประกันภัย 300 บาท

ทั้งนี้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งถอนใบอนุญาติประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เช่น บมจ.เจ้าพระยาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 7กันยายน 2561 ซึ่งคปภ.ได้รับความร่วมมือจากบริษัทประกันวินาศภัย 26บริษัทรับโอนกรรมสิทธิกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ยังมีผลผูกพันของผู้เอาประกันภัยทั้งภาคสมัครใจและประเภทอื่น ๆและมีกองทุนประกันวินาศภัยเพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้กรณีบริษัทถูกถอนใบอนุญาต

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ