LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 14 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • KTC (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 65.00 บาท ตั้งเป้ารายได้ปี 22 โต 10% ยอดสินเชื่อและยอดการใช้จ่ายจะโตตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว สาขาจะทำงานได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการ Lockdown มองเป้าโต 10% Conservative เกินไป การตั้งสำรองและ NPL ปี 65 มีแนวโน้มลดลง หนุนกำไร และอีกหนึ่งจุดแข็งคือการบริหารลูกหนี้ทำได้ดีกว่ากลุ่ม ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 5.79 พัน ลบ. และ 6.55 พัน ลบ. +8.7%YoY, +13%YoY ตามลำดับ
  • TTB (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าหมาย 1.80 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65 จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร +32% Y-Y จากประโยชน์หลังการควบรวมเต็มปีทั้งการ Cross Selling รวมถึงลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเป็นธนาคารเดียวที่ ROE จะสูงเหนือระดับก่อน COVID-19 ฐานลูกค้าที่เป็นรายย่อยมากขึ้นทำให้ Loan Yield สูงและมีโอกาสเกิดการ Rerate Valuation ขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน TTB ซื้อขายที่ระดับ PBV เพียง 0.6 เท่า ซึ่งเรามองว่าต่ำเกินไป
  • TNP (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้าหมาย Consensus 6.7 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/64 ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งตามผลบวกของฤดูกาล (High season) ขณะที่ปีนี้ทิศทางกำไรยังโตเด่นจากแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น 6-7 สาขาต่อปีทำให้มี Growth อย่างน้อย 20-30% จากจำนวนสาขาในปัจจุบันที่ 30 สาขา
  • AQ-W5 เริ่มเทรดวันแรกวันนี้ (14 ม.ค.) จำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 42,660,889,866 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ (ใบสำคัญแสดงสิทธิ:หุ้นสามัญใหม่ 1:1) ราคาการใช้สิทธิ 0.028 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 21วัน นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ วันใช้สิทธิครั้งแรก 31 มี.ค.65 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 6 ธ.ค.67

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ลดลง 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ ปรับลง 3.17% 

         ราคาบิตคอยน์วันนี้ 14 ม.ค. 65 ปรับลง -3.17% ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ 42,508.70 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,412,564.10 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 48.20 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 6.58 น.

         ราคาเหรียญดิจิทัลคริปโตฯ อื่นๆ Ethereum ปรับลง 4.03% Binance Coin ปรับลง 2.61% และ Dogecoin ร่วงลง 5.8% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

           สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

  • Bitcoin (BTC) ราคา 42,508.70 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.17%
  •  Ethereum (ETH) ราคา 3,235.04 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -4.03%
  •  BNB (BNB) ราคา 474.31 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.61%
  • Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
  • . Solana (SOL) ราคา 145.59 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.86%

  •  Dogecoin (DOGE) ราคา 0.17 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +5.46%
  •  Cardano (ADA) ราคา 1.23 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.89%
  •  XRP (XRP) ราคา0.77 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.94%
  •  Terra (LUNA) ราคา 77.97 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -4.86%
  •  Polkadot (DOT) ราคา 25.71 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.80%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.23 บาท/ดอลลาร์

      นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ในกรอบต่อ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา โดยปัจจัยด้านแข็งค่ายังคงเป็น การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ ขณะที่ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าที่มองข้ามไม่ได้

          นอกจากนี้ หากเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจนหลุดระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น ต้องอาศัยฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติพอสมควร ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณการทยอยขายทำกำไรการเก็งเงินบาทฝั่งแข็งค่าจากผู้เล่นต่างชาติ โดยในวันก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นกว่า -6.3 พันล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่รีบเข้ามาเก็งกำไรการแข็งค่าของเงินบาทและพร้อมที่จะขายทำกำไร หากเงินบาทแข็งค่าถึงระดับเป้าราคาที่ต้องการ

           นอกจากนี้ หากเงินบาทแข็งค่าใกล้ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปมากได้

         มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.35 บาท/ดอลลาร์

        ตลาดการเงินเผชิญความผันผวนจากแรงเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อีกครั้ง หลังถ้อยแถลงของว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ต่างส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมและเฟดจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

         นอกจากนี้ แรงเทขายหุ้นเทคฯ ยังมาจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ อาจจะไม่ได้เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะ หุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่จะได้รับอานิสงส์ของการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

          ซึ่งภาพดังกล่าวยังคงหนุนให้การเปลี่ยนกลุ่มลงทุนของผู้เล่นในตลาด (Sector & Style Rotation) ยังดำเนินต่อไป ดังจะเห็นได้จากการที่ ดัชนี Dowjones ของสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนหุ้น Cyclical สูง ย่อตัวลงเพียง -0.49% ในขณะที่ดัชนี S&P500 และดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงกว่า -1.42% และ -2.51% ตามลำดับ

          ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ทรงตัวจากระดับปิดวันก่อนหน้า เพราะถึงแม้ว่า ตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ นำโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคฯ Adyen -6.0%, SAP -1.4% แต่โดยรวม ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มยานยนต์และกลุ่มการเงิน Daimler +2.7%, BNP Paribas +2.5%, BMW +1.6% ทั้งนี้ เราคงมองว่า การลงทุนในหุ้นยุโรปยังมีความน่าสนใจ จากสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Cyclical ที่สูงและมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการระบาดของโอมิครอนสงบลง

         ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทว่า ภาพดังกล่าวกลับไม่ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว

         อย่างไรก็ดี ภาวะตลาดการเงินไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงและอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวกลับหนุนให้ ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย 3bps สู่ระดับ 1.71% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่มองว่า ปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว

               ดังนั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์จะเกิดขึ้นได้ หากตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หรือ เฟดมีการสื่อสารถึงการลดงบดุลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาจเป็นการลดงบดุลในอัตราที่สูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) แกว่งตัวใกล้ระดับ 94.79 จุด โดยเรามองว่า เงินดอลลาร์ยังมีแรงกดดันจากแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก

            โดยเฉพาะฝั่งยุโรป หลังสถานการณ์การระบาดในยุโรปใกล้ถึงจุดเลวร้ายสุด ซึ่งภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) รวมถึง เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ทำให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์

           สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาผลกระทบของการระบาดของโอมิครอนต่อการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยสัญญาณผลกระทบเบื้องต้นอาจสะท้อนผ่าน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนธันวาคม ที่อาจหดตัว -0.1%m/m แม้ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลที่ปกติแล้วยอดค้าปลีกควรขยายตัวได้ดี

         รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนมกราคมที่อาจชะลอลงสู่ระดับ 70 จุด นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงิน Wells Fargo, Citigroup, JP Morgan เป็นต้น

              ส่วนในฝั่งเอเชีย เราคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.00% ก่อน จนกว่า BOK จะมั่นใจว่าการระบาดของโอมิครอนจะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น BOK จะสามารถกลับมาขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือ ในไตรมาสที่ 2

            อย่างไรก็ดีในระยะสั้น ยอดการส่งออกของจีนอาจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนบ้าง แต่คาดว่าความต้องการสินค้าจากทั่วโลกจะกลับมาขยายตัวดีขึ้น หลังการระบาดเริ่มสงบลง ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของจีนยังคงขยายตัวได้ดีและช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น

           ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 33.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 33.18 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น โดยอาจจะมีอานิสงส์ต่อเนื่องจากสัญญาณเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตรไทย

            อย่างไรก็ดีอาจต้องติดตามแรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ในระหว่างวันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังข้อมูล PPI สหรัฐฯ ยังคงขยับขึ้น และเจ้าหน้าที่เฟดมีท่าทีสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. นี้

            สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทพรุ่งนี้ คาดไว้ที่ 33.10-33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออกเดือนธ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นสำหรับเดือนม.ค.

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ประกันสังคม แจ้งขายหุ้น TU จำนวน 3 ล้านหุ้น และหุ้น BCH อีก 10 ล้านหุ้น

          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ได้เป็นรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ( TU )โดย สำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.0644% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 230,438,108 หุ้น หรือสัดส่วน 4.9501% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

          นอกจากนี้ยังได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้น บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) โดยสำนักงานประกันสังคม เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 จำนวน 10 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.401% ล่าสุดถืออยู่ 123,826,940 หุ้น คิดเป็น 4.9654%

         สำนักงานประกันสังคม รายงานสถานะกองทุนประกันสังคม ล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีมูลค่าพอร์ต 2,274,718 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่รับรู้แล้วในปี 2564 ( ม.ค.- ก.ย.2564 ) จำนวน 45,951 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 3.61%

         โดยเป็นการลงทุนในประเทศ 1,892,867 ล้านบาท คิดเป็น 83.21% ลงทุนต่างประเทศ 381,851 ล้านบาท คิดเป็น 16.79% และแยกมูลค่าการลงทุนตามความเสี่ยง เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง 557,874 ล้านบาท สัดส่วน 24.52% หลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง 1,716,844 ล้านบาท สัดส่วน 75.48%

        ปัจจุบัน ประกันสังคม มีการลงทุนโดยถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียน (บจ.)และกองทุนรวมอสังหา/สิทธิการเช่าอสังหา รวมทั้งสิ้น 80 แห่ง มูลค่าการลงทุน ณ วันที่ 13 ม.ค.65 ประมาณ 2.94 แสนล้านบาท

5 อันดับหลักทรัพย์ที่ประกันสังคมถือหุ้นและมีมูลค่าสูงสุดได้แก่

– PTT ถือหุ้น 2.14% มูลค่าราว 23,978 ล้านบาท
– ADVANC ถือหุ้น 3.36% มูลค่าราว 22,188 ล้านบาท
– SCC ถือหุ้น 4.01% มูลค่าราว 18,777 ล้านบาท
– SCB ถือหุ้น 3.54% มูลค่าราว 15,163 ล้านบาท
– BDMS ถือหุ้น 4.08% มูลค่าราว 14,652 ล้านบาท

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 13 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 13 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • WICE (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 25.50 บาท คาดกำไรผลักดันราคาหุ้น, Outlook ปี 65 สดใส แนวโน้มราคาหุ้นปรับตัวขึ้นด้วยกำไร พื้นฐานแข็งแกร่ง Outlook สวย การขนส่งทางบก,ราง,เรือ,อากาศ เติบโตต่อรับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ธุรกิจขนส่งข้ามพรมแดนจะเด่น เสริมด้วยธุรกิจขนส่งทางรางที่กำลังจะเริ่มต้น H2/65 เตรียมนำ ETL (ขนส่งข้ามพรมแดน) เข้าตลาดหุ้น ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 524 ลบ. และ 682 ลบ. +161%YoY, +30%YoY ตามลำดับ
  • BANPU (เอเชียเวลท์) “ซื้อ” เป้า 14 บาท แนวโน้มกำไร Q4/64 ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจาก Q3/64 อิงตามราคาถ่านหินในตลาดโลกที่สูงขึ้น และแนวโน้ม Q1/65 เติบโตต่อเนื่องหลังราคาถ่านหินพลิกกลับมาฟื้นตัว และล่าสุดปรับขึ้นสู่ระดับ 203$/ton เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับราคา ณ สิ้นปี 64 ที่ 170$/ton
  • WINMED (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าห 7.80 บาท คาดกำไรปกติ Q4/64 ทยอยฟื้นตัวตามการ Reopening ในส่วนของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเลือดและสุขภาพสตรี และคาดหนุนทั้งปี 2021 +16% Y-Y โมเมนตัมกำไรจะเร่งตัวโดยระยะสั้นได้แรงหนุนจากการเปิดแล็บตรวจ RT-PCR และขาย ATK COVID-19 ส่วนธุรกิจหลักกลับมาเติบโตเร่งตัว ส่วนการเปิดแล็บตรวจเชื้อ HPV และ STD รวมถึงแล็บสำหรับการผลิตยาหนุนการเติบโตระยะยาว เราคาดกำไรปี 65-66 +91% Y-Y และ +52% Y-Y
  • APURE-W3 เข้าซื้อขายวันแรกวันนี้ (13 ม.ค.)จำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 479,131,206 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 : 1 ราคาการใช้สิทธิ 7.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (28 ธ.ค.64) วันใช้สิทธิครั้งแรก 31 มี.ค.65 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 27 ธ.ค.67

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ปรับขึ้น 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ ขยับขึ้น 2.73%

           ราคาบิตคอยน์วันนี้ 13 ม.ค. 65 ขยับขึ้น +2.73% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 43,900.30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,460,519.08 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 32.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อเวลา 6.58 น. ที่ผ่านมา

           สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาเหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ขยับขึ้น 4.06% Binance Coin ดีดขึ้น 5.1% และ Dogecoin ดีดขึ้น 6.89% ในช่วง 24 ชั่วโมง

        สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

  • Bitcoin (BTC) ราคา 43,900.30 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.73%
  •  Ethereum (ETH) ราคา 3,369.32 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.06%
  • BNB (BNB) ราคา 487.10 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +5.10%
  • Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01%
  • Solana (SOL) ราคา 151.50 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +8.05%
    6. Avalanche (AVAX) ราคา 96.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.26%
  •  Cardano (ADA) ราคา 1.31 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +10.03%
  • XRP (XRP) ราคา 0.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.69%
  • Terra (LUNA) ราคา 82.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +11.62%
  •  Polkadot (DOT) ราคา 27.31 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +6.89%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.26บาท/ดอลลาร์

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แม้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้น แต่จะไม่แข็งค่าไปมากนัก เพราะถึงแม้ว่า เงินบาทจะได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ แต่ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังคงเป็นปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

       โดยเฉพาะการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ การแข็งค่าขึ้นจนหลุดระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น ต้องอาศัยฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติพอสมควร อีกทั้ง ช่วง 2 วันที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นว่า โฟลว์ซื้อสุทธิบอนด์ระยะสั้นจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดลง ซึ่งอาจสะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่รีบเข้ามาเก็งกำไรการแข็งค่าของเงินบาท และผู้เล่นต่างชาติบางส่วนอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่า เพื่อเพิ่มสถานะการถือครอง ขณะที่หากเงินบาทแข็งค่าถึงระดับเป้าราคาที่ต้องการ ก็อาจเห็นการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นต่างชาติได้

           นอกจากนี้ หากเงินบาทแข็งค่าใกล้ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปมากได้

    กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.40 บาท/ดอลลาร์

     ผู้เล่นในตลาดการเงินเดินหน้าทยอยเปิดรับความเสี่ยงต่อ หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 7.0% ตามคาด และยิ่งหนุนให้เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปแล้วพอสมควร

        ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดจึงไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อแต่อย่างใด นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard และเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ยังคงออกมาสอดคล้องกับประธานเฟดที่ได้ระบุก่อนหน้าว่า เฟดพร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ

          การทยอยเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดจะเห็นได้ชัดจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯและหุ้นสไตล์ Growth ที่ย่อตัวลงหนักในช่วงที่ผ่านมา หนุนให้ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.28% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถปรับตัวขึ้นราว +0.23%

       ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้นเกือบ +0.8% นำโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ ASML +3.1%, Adyen +1.4% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical

        อาทิ กลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน Total Energies +3.1%, Intesa Sanpaolo +2.6% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มประเมินว่า ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในยุโรปอาจใกล้ถึงจุดเลวร้ายสุดและเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี

            ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดยังไม่มีการปรับสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวที่ชัดเจน หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ ล่าสุดยังคงย้ำโอกาสที่เฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ในเดือนมีนาคม ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงทรงตัวที่ระดับ 1.75%

         ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว ดังนั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์จะเกิดขึ้นได้ หากตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หรือ เฟดมีการสื่อสารถึงการลดงบดุลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาจเป็นการลดงบดุลในอัตราที่สูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเราคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ รวมถึงทั่วโลก ทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้

        ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงมาใกล้ระดับ 94.92 จุด กดดันโดยภาวะตลาดเปิดรับความเสี่ยงและรายงานเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ออกมาผิดจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้และไม่ได้ส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ได้ประเมินว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ราว 3-4 ครั้ง อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ได้หนุนให้สกุลเงินหลักต่างแข็งค่าขึ้น อาทิ เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.144 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.37 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ซึ่งทั้งสองสกุลเงินยังได้แรงหนุนจากความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนใกล้ถึงจุดเลวร้ายที่สุด

        นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ทรงตัว ณ ระดับเดิมต่อ ได้หนุนให้ ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 1,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเข้ามาทยอยขายทำกำไรได้ ซึ่งโฟลว์ขายทำกำไรทองคำดังกล่าวจะสามารถช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้

          สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Thomas Barkin, Patrick Harker, Charles Evans และที่สำคัญตลาดจะจับตาการแถลงต่อคณะกรรมาธิการ Senate Banking ในกระบวนการสรรหาประธานและรองประธานเฟด (Confirmation Hearing) ของว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard ว่าจะมีมุมมองต่อภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างไร รวมถึงมุมมองต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟดในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

         ส่วนในฝั่งไทย เราคงมองว่า ผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่จะไม่กดดันให้เศรษฐกิจซบเซาหนัก เนื่องจากรัฐบาลจะพยายามเลี่ยงการใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวด โดยอาศัยการเร่งแจกจ่ายวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุข อย่างไรก็ดี แม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจไม่มากนัก แต่การระบาดของโอมิครอนอาจกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในระยะสั้นได้ ซึ่งอาจสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมที่อาจย่อตัวลงเล็กน้อยและอาจปรับตัวลดลงมากขึ้น จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะมีแนวโน้มดีขึ้น

         ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.27-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.45 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายหลังจากที่ข้อมูล CPI เดือน ธ.ค. 64 ของสหรัฐฯ ออกมาใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์ของตลาด โดยเพิ่มขึ้นแตะ 7% YoY สูงสุดในรอบ 39 ปีครึ่ง ซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า แม้เฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเข้มนโยบายการเงินในปีนี้ แต่ก็จะสอดคล้องกับที่เคยให้สัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

            สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ฮ่องกงเตรียมออกกฎคุมเข้มเทรดคริปโท

           วันที่ 13 ม.ค. 65 บลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางฮ่องกงเปิดเผยว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนเกี่ยวกับการจำแนกธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อออกข้อกำหนดกฎระเบียบสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเหรียญในกลุ่ม stablecoins

         รายงานระบุว่า ธนาคารกลางโดยพฤตินัยของฮ่องกงมีแผนเผยความชัดเจนเกี่ยวกับข้อบังคับด้านสินทรัพย์คริปโทฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้ทันการแข่งขันกับสิงคโปร์ซึ่งมีแผนเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียเช่นกัน

        บลูมเบิร์กอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องในธนาคารกลางฮ่องกงว่า บรรดาเจ้าหน้าที่อาวุโสในหน่วยงานด้านการเงินของฮ่องกงต่างกังวลเกี่ยวกับการเติบโตที่รวดเร็วของการลงทุนคริปโทฯ ที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเชื่อว่าในอนาคตอาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อระบบการเงินในปัจจุบัน หากอุตสาหกรรมนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีข้อบังคับใด ๆ

          ดังนั้นเป้าหมายในตอนนี้คือการเตรียมแผนกำกับดูแลสำหรับใช้งานในปี 67 โดยกฎระเบียบดังกล่าวยังคลอบคลุมถึงถึงผลประโยชน์ของนักลงทุนอีกด้วย อาทิ ป้องกันการหลอกลวง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่ผู้ใช้งานไม่สามารถถอนเงินออกจากกระดานเทรดได้

         โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 7 ม.ค. 65 มีบรรดานักเทรดหลายรายแจ้งต่อทางการฮ่องกงว่า Coinsupe กระดานเทรดคริปโตฯ ที่มีฐานอยู่ที่ฮ่องกงและได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบันจำนวนมากเกิดปัญหาไม่สามารถย้ายเงินทุนออกจากแพลตฟอร์มได้ตั้งพฤศจิกายนปีทีผ่านมา โดยผู้ใช้งานอย่างน้อย 7 รายได้ไปยื่นเรื่องเพื่อดำเนินการติดตามเงินจำนวนดังกล่าวของพวกเขาจากตำรวจ แต่ก็ไม่ได้รับความคืบหน้าใด ๆ

อบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 11 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • TFG (ฟินันเซีย ไซรัส)”ซื้อ” ปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 6 บาท เริ่มเห็นผลบวกราคาหมูปรับขึ้นแรงตั้งแต่ Q4/64 คาดจะพลิกมีกำไรได้อีกครั้ง หลังขาดทุนใน Q3/64 และจะได้ผลบวกเต็มที่ใน Q1/65 รวมถึงราคาไก่ที่ปรับขึ้นตาม และหากรัฐลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จะยิ่งเป็นบวกต่อต้นทุน ปรับสมมติฐานราคาขายหมูหน้าฟาร์มปี 65 จาก 79 บาท/กก.เป็น 95 บาท/กก.มองว่าโรคระบาดจะทำให้ราคาหมูยืนสูงนานจากปัจจุบันราคาเฉลี่ย 104 บาท/กก.จึงปรับเพิ่มกำไรปีนี้ขึ้นเป็น 2.27 พันลบ. +300% Y-Y
  • PSL (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 21.50 บาท โควิดระลอกใหม่ใหม่-จีนคุมท่าเรืออาจทำให้ค่าระวางกลับมาสูงอีกครั้ง ค่าระวางเรือปี 65 มีโอกาสกลับมาสูงหลังการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยจีนมีโอกาสใช้นโยบายคุมโควิดและเข้มงวดกับท่าเรือ ปริมาณการขนส่งทั่วโลกปีนี้เพิ่มขึ้นรับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว สถานการณ์ท่าเรือยังไม่ปกติคงอยู่ในภาวะ Congestion เรือขาด ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 3.83 พัน ลบ. และ 2.64 พัน ลบ.พลิกจากขาดทุนในปี 63 ชะลอตัว -31%YoY ในปี 65 ตามลำดับ
  • ASIAN (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 22.60 บาท ธุรกิจหลักอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นหนึ่งในธุรกิจที่รับความผันผวนได้ดีจากปัจจัยโควิด โดยกำไรสุทธิ Q3/64 ที่ 271 ลบ. +34.0%YoY,-7.6%QoQ ยังเติบโตได้ดีจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ช่วง Q4/64 ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากเงินบาทอ่อน (รายได้ส่งออกราว 70%) ส่วนช่วงถัดๆไปยังมีความน่าสนใจจากภาพรวมธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงแผนนำ เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เข้าตลาดหุ้นปีนี้ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และ EPS ปี 65 จะขยับขึ้นมาที่ 1.42 บาท/หุ้น

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้คงที่

บิตคอยน์วันนี้ปรับลง 0.04% 

            ราคาบิตคอยน์วันนี้ 11  ม.ค.65 ปรับลง -0.04% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 41,833.60 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,406,780.30 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 32.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลอัพเดต เมื่อเวลา 6.59 น. ของวันนี้

         ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ปรับลง 2.11% Binance Coin ขยับขึ้น .01% และ Dogecoin ปรับลง 3.33% ในช่วง 24 ชั่วโมง

       สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

1. Bitcoin (BTC) ราคา 41,833.60 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.04%
2. Ethereum (ETH) ราคา 3,083.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.11%
3. Tether (USDT) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01%
4. BNB (BNB) ราคา 424.90 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.12%
5. USD Coin (USDC) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
6. Avalanche (AVAX) ราคา 84.48 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.46%
7. Cardano (ADA) ราคา 1.12 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.86%
8. XRP (XRP) ราคา .74 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.72%
9. Terra (LUNA) ราคา 69.46 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -6.69%
10. Polkadot (DOT) ราคา 23.78 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.33%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

 

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ทรงตัว 33.62 บาท/ดอลลาร์

               อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า

                นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้มผันผวนในระหว่างวัน โดยแรงกดดันด้านอ่อนค่ายังคงเป็นการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็ว และปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

                    อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดมาก ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิอย่างต่อเนื่อง

             ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อบอนด์ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งอาจสะท้อนภาพการเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า โดยอาจมองได้ว่า นักลงทุนต่างชาติได้รอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อรอเข้าเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า

               อนึ่ง ผู้ส่งออกเริ่มมีการขยับออเดอร์และทำให้โซนแนวต้านขยับมาอยู่ที่โซนใกล้ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับสำคัญ ยังอยู่ในช่วง 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.70 บาท/ดอลลาร์

              ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนักจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็วขึ้นกว่าคาด ซึ่งล่าสุดเริ่มมีนักวิเคราะห์ของทาง Goldman Sachs มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 4 ครั้งในปีนี้และอาจเริ่มลดงบดุลได้เร็วกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทั้งนี้ แม้ว่าความกังวลแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น จะกดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นสไตล์ Growth หรือ หุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับฐานหนัก ทว่ายังมีผู้เล่นบางส่วนรอซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวตอนย่อตัว (Buy on Dip) หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถปิดตลาด +0.05% (จากที่ลงลึกมากกว่า -2% ในระหว่างวัน) ส่วนดัชนี S&P 500 ย่อตัวลง -0.14%

              ทั้งนี้ เราคงมองว่า ในระยะสั้น ตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงและมีโอกาสย่อตัวลงต่อได้ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง เงินเฟ้อทั่วไป รวมถึง ถ้อยแถลงของประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดได้สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟดได้เร็ว ซึ่งในภาวะดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้ หุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงิน, กลุ่มพลังงาน หรือ หุ้นสไตล์ Value สามารถปรับตัวขึ้นได้ดีกว่า หุ้นในกลุ่มเทคฯ หรือ หุ้นสไตล์ Growth

              ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวลงกว่า -1.54% ตาม sentiment ของตลาดโลกที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงนอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากปรับตัวลงหนักของหุ้นกลุ่มเทคฯ ซึ่งอ่อนไหวต่อแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ Adyen -8.4%, ASML -6.4%, Infineon Tech. -4.0% ทั้งนี้ เราคงมองว่า จังหวะการปรับฐานของหุ้นยุโรปอาจเปิดโอกาสในการเข้าสะสม หรือ Buy on Dip

                    เนื่องจากหุ้นยุโรปยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Cyclical หรือ หุ้นในธีม Reopening เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ดี หากสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนเริ่มสงบลง อีกทั้ง นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ยังมีความผ่อนคลายมากกว่าเฟด

                   ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยและปรับลดงบดุลได้เร็วกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เดินหน้าปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1.80% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดสู่ระดับ 1.77% นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี ทั่วโลก ต่างปรับตัวขึ้นเช่นกัน

                     ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจัยที่จะหนุนให้บอนด์ยีลด์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวขึ้นต่อได้จะเป็นประเด็นการปรับลดงบดุลของเฟด ว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไหนและแผนการลดงบดุลเป็นอย่างไร (เฟดจะลดงบดุลโดยการปล่อยให้ตราสารครบกำหนดแบบในอดีต หรือ เฟดเลือกที่จะขายตราสารที่ถือครองอยู่) ซึ่งต้องติดตามความชัดเจนของประเด็นดังกล่าวผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้

                      ในฝั่งตลาดค่าเงิน แนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วขึ้น และสภาวะตลาดที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นมาใกล้ระดับ 96 จุด อย่างไรก็ดี ราคาทองคำยังสามารถรีบาวด์ขึ้นมาแตะระดับ 1,804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ราคาทองคำย่อตัวต่อเนื่องสู่แนวรับสำคัญ จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา

                   อย่างไรก็ดี เรามองว่า โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปมากนัก คงเป็นไปได้ยาก เพราะเฟดมีแนวโน้มเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ ซึ่งผู้เล่นอาจต้องรอจังหวะการย่อตัว เพื่อเข้าซื้อรอการรีบาวด์

                     สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและที่สำคัญตลาดจะจับตาการแถลงต่อคณะกรรมาธิการ Senate Banking ในกระบวนการสรรหาประธานและรองประธานเฟด (Confirmation Hearing) ของว่าที่ประธานเฟดสมัยที่ 2 Jerome Powell และ ว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard ว่าทั้งสองท่านจะมีมุมมองต่อภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างไร

                      รวมถึงมุมมองต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟดในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งนี้ เรามองว่า ทั้งสองท่าน รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาจรอประเมินผลกระทบของการระบาดของโอมิครอนต่อการเติบโตเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งมีความเป็นไปได้ว่าทั้ง Jerome Powell และ Lael Brainard อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดอาจจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทว่า มุมมองของว่าที่ประธานเฟดและว่าที่รองประธานที่อาจเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือ มุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนมี.ค.นี้

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ยันเก็บภาษีปีนี้แน่ ขาขายหุ้น 0.1% รมว.คลัง มั่นใจไม่กระทบตลาดหุ้นไทย

         นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง หลังจากที่ได้ยกเว้นการจัดเก็บมานาน 30 ปี แต่คงต้องพิจารณาแนวทางการจัดเก็บให้มีความเหมาะสมที่สุด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยทำการศึกษาแนวทางเพื่อให้มีรูปแบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

         ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีหุ้นในต่างประเทศมี 2 รูปแบบ คือ

        1. เก็บจากส่วนต่างของกำไร (Capital Gain) ซึ่งมีข้อดี แต่การดำเนินการยุ่งยาก เป็นภาระกับผู้เสียภาษีมากกว่า หากกรมสรรพากรดำเนินการรูปแบบนี้จะต้องออกระเบียบและแก้กฎหมายใหม่ 

         2.เก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนใหญ่จัดเก็บวิธีการนี้

         สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นน่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด โดยในต่างประเทศจัดเก็บทั้ง 2 ขา ทั้งขาขายและขาซื้อ แต่ในส่วนของไทยศึกษาการจัดเก็บจากการขายหุ้นฝั่งเดียวเท่านั้น ซึ่งภาระไม่ได้มาก อัตราจัดเก็บที่ 0.1% เท่ากับหากมีการขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1,000 บาทเท่านั้น

      กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางการศึกษาทั้งหมดให้ รมว.คลัง พิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการจะเริ่มเก็บภาษีต้องดูสภาพตลาดหุ้นด้วย ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นไทยก็มีดัชนีเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นมองว่าหากมีการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก

        การเก็บภาษีหุ้นไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีด้วย เพราะเป็นการเสียในรูปแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกัน การซื้อขายอสังหาริมทรัยพ์ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด ซึ่งภาษีหุ้นก็อยู่ในหมวดธุรกิจเฉพาะที่จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% เพียงแต่ที่ผ่านมาได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปี

        นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการ FETCO จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction tax) เพื่อหาข้อสรุปในการทำหนังสือในนาม FETCO ไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงมุมมองให้รับทราบ

      เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว  และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เนื่องจากช่วงเวลาเก็บภาษีจากการขายหุ้นยังไม่เหมาะสม แม้จะเห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองมาตรการดังกล่าวในระยะยาวอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุน ซึ่งเป็นจุดขายหลักของตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องโดดเด่นสุดในอาเซียน จึงไม่อยากเห็นการออกมาตรการที่จะส่งกระทบต่อสภาพคล่องและไม่เห็นด้วยที่จะออกมาในปีนี้

      หากมีการเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้จริง เบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบโดยรวมจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายตลาดจะหายไปราว 20-30% โดยกลุ่มนักลงทุนที่จะกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากต้นทุนในการซื้อขายหุ้นปกติก็สูงกว่า 1 เท่าตัวของนักลงทุนในประเทศอยู่แล้ว

        หากมีการจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกไปเทรดในตลาดอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งจะทำให้ยอดเทรดลดลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนกว่า 40% ของปริมาณการซื้อขายรวม และกลุ่มถัดไปที่จะโดนผลกระทบคือกลุ่มเทรดเดอร์และ Prop Trade 

      ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่  กล่าวว่าเบื้องต้นประเมินการเก็บภาษีจากธุรกรรมซื้อขายหุ้น จะส่งผลกระทบต่อวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์แน่นอน เพราะไม่ต่างกับการถูกเรียกเก็บค่านายหน้าซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น) เพิ่ม  นอกจากนี้การเก็บภาษีขายหุ้นคาดว่าจะกระทบต่อการซื้อขายของหุ่นยนต์ (โรบอทเทรด) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 30% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งหมด โดยคาดว่าวอลุ่มของกลุ่มนี้จะลดน้อยลง หรือหายไปชั่วขณะ เพราะต้องปรับระบบ หรือปรับสูตรใหม่ ภายหลังต้นทุนการขายต่อครั้งเพิ่มขึ้น 

      แต่หากมองในมุมบวก การเก็บภาษีขายหุ้นอาจส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ถือหุ้นยาว เพราะที่ผ่านมาต้นทุนค่าคอมมิชชั่นถูก ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสามารถซื้อขายหุ้นระยะสั้นได้ แต่หากเก็บภาษีขายหุ้น คาดว่าการเก็บกำไรอาจลดลง เพราะนักลงทุนอาจหันมาถือยาวเพื่อเก็บกำไรยาวขึ้น 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 7 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 7 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • OCEAN (เมย์แบงก์)เป้าเชิงกลยุทธ์ 2.89 บาท คาดกำไรปกติปี 65 จะขยายตัวสู่ระดับ 221 ล้านบาท เติบโตเด่นจากปี 64 ที่มีกำไรเพียง 40 ล้านบาท แรงหนุนจากการรับรู้โครงการอสังหาฯ ผสานกับการต่อยอดในธุรกิจกัญชง ที่เป็น New S-Curveใหม่ที่คาดจะสร้างรายได้ตั้งแต่ 1Q65 และจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังปี 65
  • PSL (คันทรี่ กรุ๊ป) “ซื้อ” เป้าหมาย 21.20 บาท คาดอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ย (TCE) สำหรับเรือขนาดเล็ก-กลาง (Handysize และ Supramax) จะยังมีระดับที่ทำกำไรได้สูงตลอดทั้งปี 2022-23 จากประเด็นอุปทานล้นเกินที่หมดไป
  • SMD (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร” เป้าหมาย IAA Consensus 20.20 บาท การเร่งตัวของจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศหลังปีใหม่ ทำให้การตรวจคัดกรองเชื้อ COVID-19 ด้วยตัวเองผ่านชุดเครื่องตรวจ ATK กลายเป็นสินค้าจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่เดินทางเป็นประจำ รวมถึงบางสถานที่ยังเพิ่มความเข้มงวดตรวจคัดกรองด้วย ATK ก่อนเข้ารับบริการ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 พันล้านบาท จากแนวโน้มปี 64 คาดว่าจะทำรายได้ที่ราว 1.55 พันล้านบาท เนื่องจากความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายได้จากการขายจากการขายชุดตรวจ ATK ให้กับหน่วยงานราชการและร้านสะดวกซื้อ 7-11

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ลดลง 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ปรับตัวร่วงลง  0.64%

     บิตคอยน์เคลื่อนไหวในแดนลบเช้าวันนี้ หลังจากดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(6ม.ค.)ร่วงลง 170 จุดหลังปรับตัวขึ้นในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวร่วงลง 170.64 จุด หรือ 0.4% ปิดที่ 36,236.47 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 0.1% ปิดที่ 4,696.05 จุด ดัชนีแนสแด็กร่วง 0.1%  ปิดที่ 15,080.86 จุด

       ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดี ที่ 6 ม.ค. 65  ดิ่งลง 35.90 ดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งระบุว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุล

       สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 35.90 ปิดที่ราคา 1,789.20 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ขอบคุณ :  กรุงเทพธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท อ่อนค่าที่ 33.57 บาท

        วันที่ 7 ม.ค. 65 รายงานจากห้องค้าเงิน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ อ่อนค่าที่ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.45 บาท แนวต้านที่ 33.70 บาท

    โดยปัจจัยขับเคลื่อนตลาดช่วงนี้มาจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ย สามารถเริ่มต้นได้เร็วที่สุดในเดือนมีนาคม และควรลดขนาดงบดุลหลังจากนั้น เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ

      ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตสหรัฐ โดยไอเอสเอ็มในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 62.0  ส่วนปัจจัยในประเทศ ไทยประกาศยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 จากระดับ 3 ปรับขึ้นเป็นระดับ 4 

      สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ เงินเฟ้อยูโรโซน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราว่างงานสหรัฐ

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ยันเก็บภาษีปีนี้แน่ ขาขายหุ้น 0.1% รมว.คลัง มั่นใจไม่กระทบตลาดหุ้นไทย

         นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง หลังจากที่ได้ยกเว้นการจัดเก็บมานาน 30 ปี แต่คงต้องพิจารณาแนวทางการจัดเก็บให้มีความเหมาะสมที่สุด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยทำการศึกษาแนวทางเพื่อให้มีรูปแบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

         ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีหุ้นในต่างประเทศมี 2 รูปแบบ คือ

        1. เก็บจากส่วนต่างของกำไร (Capital Gain) ซึ่งมีข้อดี แต่การดำเนินการยุ่งยาก เป็นภาระกับผู้เสียภาษีมากกว่า หากกรมสรรพากรดำเนินการรูปแบบนี้จะต้องออกระเบียบและแก้กฎหมายใหม่ 

         2.เก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนใหญ่จัดเก็บวิธีการนี้

         สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นน่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด โดยในต่างประเทศจัดเก็บทั้ง 2 ขา ทั้งขาขายและขาซื้อ แต่ในส่วนของไทยศึกษาการจัดเก็บจากการขายหุ้นฝั่งเดียวเท่านั้น ซึ่งภาระไม่ได้มาก อัตราจัดเก็บที่ 0.1% เท่ากับหากมีการขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1,000 บาทเท่านั้น

      กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางการศึกษาทั้งหมดให้ รมว.คลัง พิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการจะเริ่มเก็บภาษีต้องดูสภาพตลาดหุ้นด้วย ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นไทยก็มีดัชนีเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นมองว่าหากมีการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก

        การเก็บภาษีหุ้นไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีด้วย เพราะเป็นการเสียในรูปแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกัน การซื้อขายอสังหาริมทรัยพ์ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด ซึ่งภาษีหุ้นก็อยู่ในหมวดธุรกิจเฉพาะที่จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% เพียงแต่ที่ผ่านมาได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปี

        นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการ FETCO จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction tax) เพื่อหาข้อสรุปในการทำหนังสือในนาม FETCO ไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงมุมมองให้รับทราบ

      เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว  และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เนื่องจากช่วงเวลาเก็บภาษีจากการขายหุ้นยังไม่เหมาะสม แม้จะเห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองมาตรการดังกล่าวในระยะยาวอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุน ซึ่งเป็นจุดขายหลักของตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องโดดเด่นสุดในอาเซียน จึงไม่อยากเห็นการออกมาตรการที่จะส่งกระทบต่อสภาพคล่องและไม่เห็นด้วยที่จะออกมาในปีนี้

      หากมีการเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้จริง เบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบโดยรวมจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายตลาดจะหายไปราว 20-30% โดยกลุ่มนักลงทุนที่จะกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากต้นทุนในการซื้อขายหุ้นปกติก็สูงกว่า 1 เท่าตัวของนักลงทุนในประเทศอยู่แล้ว

        หากมีการจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกไปเทรดในตลาดอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งจะทำให้ยอดเทรดลดลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนกว่า 40% ของปริมาณการซื้อขายรวม และกลุ่มถัดไปที่จะโดนผลกระทบคือกลุ่มเทรดเดอร์และ Prop Trade 

      ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่  กล่าวว่าเบื้องต้นประเมินการเก็บภาษีจากธุรกรรมซื้อขายหุ้น จะส่งผลกระทบต่อวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์แน่นอน เพราะไม่ต่างกับการถูกเรียกเก็บค่านายหน้าซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น) เพิ่ม  นอกจากนี้การเก็บภาษีขายหุ้นคาดว่าจะกระทบต่อการซื้อขายของหุ่นยนต์ (โรบอทเทรด) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 30% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งหมด โดยคาดว่าวอลุ่มของกลุ่มนี้จะลดน้อยลง หรือหายไปชั่วขณะ เพราะต้องปรับระบบ หรือปรับสูตรใหม่ ภายหลังต้นทุนการขายต่อครั้งเพิ่มขึ้น 

      แต่หากมองในมุมบวก การเก็บภาษีขายหุ้นอาจส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ถือหุ้นยาว เพราะที่ผ่านมาต้นทุนค่าคอมมิชชั่นถูก ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสามารถซื้อขายหุ้นระยะสั้นได้ แต่หากเก็บภาษีขายหุ้น คาดว่าการเก็บกำไรอาจลดลง เพราะนักลงทุนอาจหันมาถือยาวเพื่อเก็บกำไรยาวขึ้น 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันที่ 19 พ.ย.64

แนวโน้มธุรกิจ “EV” พุ่ง 7% โบรกฯชูเป้า 76 บ. แรงตัวขึ้น Q4 หนุนกำไรปีนี้พุ่ง 19%

EA วิ่ง 7% โบรกฯชูเป้า 76 บ. แนวโน้มธุรกิจ “EV” แรงตัวขึ้น Q4 จำนวน 200-300 คัน และโรงผลิตเบตเตอรี่ขนาด 1GWh ระยะที่ 1 ในเดือน ธ.ค.64 ชี้หนุนกำไรปีนี้พุ่ง 19%
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จํากัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 64 ว่าในไตรมาส 3/2564 ทาง EA บันทึก รายได้ 557 ล้านบาท จากธุรกิจแบตเตอรี่และ EV ซึ่งคาดว่ามีกําไรสุทธิ (NP) อยู่ที่ 139 ล้านบาท จากการขาย e-bus จํานวน 77 คัน ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบ e-buses และรถกระบะไฟฟ้า (e-truck) อีก 300 คันในไตรมาส 4/2564 และยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 2,000 คัน ในปี 2565 ยอดขายไฟฟ้าเพิ่ม 12% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากปริมาณขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นเป็น 211 GWh (เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบจาก ปีก่อน) ซึ่งช่วยชดเชยราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่ลดลงของโรงไฟฟ้าพลังลมเป็น 6.0 บาท/kWh (ลดลง 1.8% เมื่อเทียบจากปีก่อน) ปริมาณขายของโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ลดลงเหลือ 146 GWh (ลดลง 2% เมื่อเทียบจากปีก่อน) พร้อมราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูง ขึ้นเป็น 9.8 บาท/kWh (เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบจากปีก่อน) ปริมาณขายไบโอดีเซลลดลง 25% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็น 34 ล้าน ลิตรจากผลกระทบของ Covid-19 แต่ชดเชยได้จากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่สูงขึ้น 60% เมื่อเทียบจากปีก่อน เป็น 34.6 บาท/ลิตร

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคิดว่าการเติบโตของกําไรสุทธิ (NP) ของ EA จะเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 ซึ่งจะกระตุ้นอัตราการเติบโตของ กําไรสุทธิ (NP) เป็น 19% เมื่อเทียบจากปีก่อน ในปี 2565 และ 14% เมื่อเทียบจากปีก่อน ใน 2566 โดยจะได้ปัจจัยผลักดันจากการ เริ่มต้นของโครงการเพื่อการเติบโตในระดับสูงหลายโครงการ ประกอบด้วยการส่งมอบ e-bus จํานวน 200-300 คัน ซึ่งคาดว่าจะอยู่ ในไตรมาส 4/2564 และโรงผลิตแบตเตอรี่ขนาด 1 GWh ระยะที่ 1 ในเดือน ธ.ค. 64 การส่งมอบ EV จํานวน 2,000-3,000 คันในปี 2565 และการก่อสร้างสถานีชาร์จ EV ที่กําลังดําเนินงานอยู่

โดย ฝ่ายวิจัยคงคําแนะนํา “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 76 บาท ซึ่งรวมถึงธุรกิจใหม่ ๆ ของบริษัทฯ EA เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงาน หมุนเวียนของไทยจากแนวโน้มกําไรสุทธิที่อยู่ในระดับสูงของโครงการเพื่อการเติบโตในระดับสูงหลายโครงการ ซึ่งฝ่ายวิจัยคิดว่า จะเริ่มเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 เป็นต้นไป โดยฝ่ายวิจัยคาดว่าการผลิตและการขายแบตเตอรี่และ EV ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จนถึงปี 2565 จะเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตกําไรที่สําคัญของ EA

 

ขอบคุณ : ข่าวหุ้น.com

Bitcoin ร่วงดิ่ง -7% กลับกัน เหรียญสาย Metaverse พุ่งสวนตลาด บวกแล้วกว่า 22%

เช้าวันนี้ Bitcoin ดิ่งแล้ว -7% ตลาดคริปโทร่วงต่อไม่หยุด พร้อมกับเหรียญอื่นๆ ที่สภาพสาหัสยิ่ง กว่า แต่ MANA, SAND เหรียญสาย Metaverse พุ่งสวนตลาด บวกแล้วกว่า 22%

หลังจากที่ราคา Bitcoin และตลาดคริปโทเคอร์เรนซีทําขาขึ้นมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ตุลาคมที่ผ่านมา จนขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลครั้งใหม่ที่ 69,000 ดอลลาร์ หรือราว 2.25 ล้าน ดอลลาร์ จนช่วงวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ราคาตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ก็เริ่มร่วงหนัก จนใน วันนี้ทั้ง Bitcoin และ Altcoin แทบทุกเหรียญในตลาดต่างพากันวิ่งถึง 7-8% ในรอบ 24 ชั่วโมงกันล้วน แล้วทั้งสิ้น

ในขณะนี้ราคา Bitcoin อยู่ที่ 56,511 ดอลลาร์ หรือราว 1.84 ล้านบาท ดิ่งลงมาจากจุดสูงสุด ที่ 69,000 ดอลลาร์ อยู่ถึงราว -19%

สําหรับ Altcoin ในวันนี้ก็มีสภาพย่ําแย่กว่า ETH -7.53%, BNB -9.5%, SOL -12.7%, ADA -7.4%, XRP-10.28%, DOT -9.6%

แต่ตรงกันข้ามกับเหรียญสาย Metaverse อย่างเหรียญ MANA ของเกม “Decentraland” ที่ราคา บวกไปถึง 22.9% ในรอบ 24 ชั่วโมง, บวกกว่า 40.8% ในรอบสัปดาห์ และเหรียญ SAND ของเกม “Sandbox อีกหนึ่งเกมจําลองโลกเสมือน ที่ราคาบวกไป 18.20% ในรอบ 24 ชั่วโมง และบวก 70.28% ในรอบสัปดาห์

ขอบคุณ : efinnancethai

Short คริปโท ให้ระวังฟองสบู่แตก คำเตือนจาก `ไมเคิล เบอร์รี่` ยัน `ตัวเองไม่เคย Short คริปโท

 ‘Michael Burry’ นักลงทุนฟิวเจอร์สและผู้จัดการกองทุนชื่อดังออกมาเปิดเผยผ่าน Twitter ส่วนตัวว่า ‘ไม่เคย Short คริปโทเคอร์เรนซี’ แต่เตือนให้นักลงทุนระวังเหตุการณ์ฟองสบูแตกในตลาดคริปโท แต่ไม่นานก็ลบบัญชี Twitter ของเขาไป

  ‘Michael Burry’ ผู้เคยร่ำรวยจากการ Short ในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฟิวเจอร์ส) ก่อนเกิดวิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่เมื่อปี 2008 จนถูกนำไปสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Big Short” หรือชื่อภาษาไทยว่า “เกมฉวยโอกาสรวย” ในปี 2015

  โดยเขาได้โพสต์ผ่านบัญชี Twitter ส่วนตัวในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ระบุว่า “ผมไม่เคย Short คริปโทเคอร์เรนซี แต่นี่คือฟองสบู่ครั้งที่ 3 ของผม และจะเป็นครั้งที่ใหญ่ที่สุด” 

  ซึ่งก็คาดว่าเขาได้บอกให้เราทราบอยู่ 2 อย่าง หนึ่งคือเขาไม่เคย Short คริปโท และสองคือเขาอาจจะมองว่าวิกฤตฟองสบู่ของคริปโทกำลังจะมาถึง

  ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เขาก็เคยระบุในทำนองเดียวกัน “ผมคิดว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกำลังอยู่ในฟองสบู่” พร้อมกับโพสต์แนะนำเกี่ยวกับการ Short คริปโท แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBD ว่าเขาไม่ได้ Short คริปโทไปในครั้งนั้นแต่อย่างใด

  แต่ในวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เขาก็ได้ลบบัญชี Twitter ของเขาไปหลังจากมีการโพสต์ตอบโต้กันกับ ‘อีลอน มัสก์’ เรื่องที่เขาไปแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการขายหุ้น Tesla โดย ‘อีลอน มัสก์’ ก็ได้โพสต์ตอบโต้ว่า Michael Burry นั้นเป็นนาฬิกาที่ตายแล้ว

  และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาลบบัญชี Twitter ของเขา อย่างในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาเขาก็ได้ลบบัญชี Twitter หลังจากออกมาทำนายถึงเหตุการณ์ฟองสบู่แตก, การทรุดตัวของตลาดครั้งใหญ่ และอีกหลายต่อหลายครั้ง จนมีผู้ใช้งาน Twitter ออกมาสร้างบัญชี @BurryArchive ที่มีจุดประสงค์สำหรับถ่ายภาพหน้าจอโพสต์ของ Michael Burry มาโพสต์เก็บไว้ในบัญชี เผื่อในกรณีที่เขาลบบัญชี Twitter อีกอย่างเช่นในครั้งนี้

  ไม่ใช่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ออกมาเตือนถึงเหตุการณ์ฟองสบู่สำหรับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมามหาเศรษฐีนักลงทุน ‘Stan Druckenmiller’ ก็ได้ออกมากล่าวว่าคริปโทและทุกๆ อย่างล้วนอยู่ในฟองสบู่ทั้งนั้น

 “คริปโท, หุ้นมีม, งานศิลป์, ไวน์, หลักทรัพย์ เจ้าฟองสบู่นี้มันอยู่ทุกที่นั่นแหละ ทุกๆ สินทรัพย์บนโลกของเรา” Stan Druckenmiller กล่าว

ขอบคุณ : efinnancethai

กลุ่มแบงก์นำดิ่งช่วงเกาะกระแส Fund Flow- ปิดลบ 4.52 จุด ลุ้น ปธ.เฟดคนใหม่

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,646.50 จุด ลดลง 4.52 จุด (-0.27%) มูลค่าการซื้อขายราว 60,813 ล้านบาท

การซื้อขายหุ้นช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยทำระดับสูงสุด 1,656.27 จุด และระดับต่ำสุด 1,641.52 จุด

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ์ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงจากแรงขายหุ้นกลุ่มแบงก์ลงนำตลาด ไม่ว่าจะเป็น SCB, KBANK, BBL จากที่ปรับขึ้นไปมากแล้ว แต่ยังมีแรงซื้อหุ้นกลุ่ม ICT ประคองไว้ได้บ้าง

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยมีกลุ่มที่บวกราว 0.6-0.7% และกลุ่มที่ลบราว 1% ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเป็นความเคลื่อนไหวระหว่างรอลุ้นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนต่อไป

 

ทั้งนี้ ตลาดบ้านเรายังต้องติดตามกระแส Fund Flow หลังจากเงินบาทแข็งค่า ขณะที่มีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาซื้อทั้งหุ้นและพันธบัตรในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอีกหรือไม่

แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายวิจิตร กล่าวว่า ตลาดฯคงจะยืนได้ โดยกลุ่ม ICT แข็งแกร่งกว่าตลาดฯ พร้อมให้แนวรับ 1,640 จุด ส่วนแนวต้าน 1,660 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์

SCB ปิดที่ 129.00 บาท ลดลง 5.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 7,506.10 ล้านบาท 

KBANK ปิดที่ 146.50 บาท ลดลง 2.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,428.06 ล้านบาท 

EA ปิดที่ 77.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,829.69 ล้านบาท 

TRUE ปิดที่ 4.34 บาท ลดลง 0.04 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,291.48 ล้านบาท 

BBL ปิดที่ 125.50 บาท ลดลง 2.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,710.96 ล้านบาท 

ขอขอบคุณ สำนักข่าว RYT9

 
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันที่ 18 พ.ย.64

       MAJOR หรือ กรุงศรี โดยซื้อเป้า 28 บาท การดำเนินงานปกติผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วใน Q3/64 ที่ผ่านมา และจะเริ่มพลิกมีกำไรตั้งแต่ Q4/64 จากการคลายล็อกดาวน์ของภาครัฐ โรงหนังกลับมาเปิดทำการ มีหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉาย และยังมีเงินปันผลพิเศษให้อีก 1 บาทต่อหุ้นให้ Dividend yield สูงถึง 4.6%

      NER หรือ ฟินันเซีย ไซรัส โดยเก็งกำไร มีเป้า 8.50 บาท คาดกำไร Q4/64 น่าจะทรงตัวสูง Q-Q ได้และโตเด่น Y-Y ต่อเนื่องตามปริมาณขายที่ยังอยู่ในระดับที่ดี และราคายางพารายังทรงตัวสูง โดยยังคาดกำไรสุทธิปี 64 ทำ New High ที่ 1.7 พันลบ. +100% Y-Y ปัจจัยหนุนกำไรปีหน้าจะมาจากการขยายกำลังการผลิตเพิ่มในช่วง H2/64 ขึ้นอีก 10% และอยู่ระหว่างขยายเข้าสู่ธุรกิจแผ่นปูรองนอนวัว แบรนด์ Cattle Flex เราประเมินกำไรปี 2022 โตต่อเนื่อง +10% Y-Y พร้อมให้แนวรับ 7.30-7.40 บาท แนวต้าน 7.60//7.80-8 บาท

– UBE หรือ เคจีไอ หรือเป้าพื้นฐาน 3.2 บาท ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงาน Q4/64 จะดีขึ้น QoQ หลังจากการคลายล็อกดาวน์ประเทศ คาดจะทำให้ยอดขายเอทาทอลเพิ่มขึ้น การเดินทางโดยรถยนต์ฟื้นตัว ขณะที่คาดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯและยุโรป จะหนุนยอดส่งออกแป้งมันสำปะหลัง โดยประเมินกำไรปี 2565 เติบโต +86% YoY เป็น 543 ล้านบาท และจะทำให้ Forward PE ลดลงเป็น +/-15 เท่า (จาก Forward PE ปีนี้ที่ +/-28 เท่า) พร้อมประเมินแนวรับ 2.02 บาท / แนวต้าน 2.14-2.20 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 2.4 บาท Stop loss 1.97 บาท

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นไทยปรับลดลง กลุ่มพลังงานกดดันน้ำมันร่วง

        นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับลงตามตลาดภูมิภาค เล็งกลุ่มพลังงานกดดันหลังราคาน้ำมันร่วง จากสหรัฐฯบอกให้จีน-ประเทศอื่น ๆ เอาน้ำมันจากคลังออกมาใช้เพื่อสกัดเงินเฟ้อพุ่ง ทำให้เล็งสหรัฐฯจะนำน้ำมันจากคลังออกมาใช้ก่อน นอกจากนี้เงินเฟ้อของอังกฤษพุ่ง เล็ง BoE จะขึ้นดอกเบี้ยก่อน ขณะที่เฟด-ECB พยายามที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ส่วนบ้านเราลุ้นมาตรการช้อปดีมีคืน และปัจจัยอื่น ๆ พร้อมให้แนวรับ 1,640-1,635 แนวต้าน 1,650-1,658 จุด

         นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างเคลื่อนไหวในแดนลบกันเป็นส่วนใหญ่ จากหุ้นในกลุ่มพลังงานที่น่าจะปรับตัวลงตามราคาน้ำมันที่ร่วงลง หลังสหรัฐฯบอกให้จีน และประเทศอื่น ๆ นำน้ำมันออกจากคลังมาใช้เพื่อสกัดเงินเฟ้อพุ่งสูง ซึ่งทำให้มีการมองกันว่าสหรัฐฯคงจะเริ่มระบายน้ำมันออกจากคลังมาใช้ก่อนคนอื่น

          โดยเงินเฟ้อของอังกฤษได้ขึ้นสูง ทำให้มีการมองกันว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจจะเป็นประเทศแรกที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) พยายามที่จะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยส่วนบ้านเราเวลานี้ยังไม่มีปัจจัยอะไรเด่น ก็มองเป็นปัจจัยอื่น ๆ อย่างการลุ้นมาตรการช้อปดีมีคืนเอาออกมาใช้ เป็นต้น และวานนี้หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ปรับตัวขึ้นเด่น รับผลจากเศรษฐกิจไทยฟื้น และอัตราดอกเบี้ยบ้านเราก็ยังไม่ปรับขึ้น รวมถึงได้ตอบรับปัจจัยลบก่อนหน้านี้ไปมากแล้ว ซึ่งตอนนี้บ้านเราก็รอ Fund Flow ไหลเข้ามา พร้อมให้แนวรับ 1,640-1,635 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,658 จุด

        สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์ เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ย. 64 ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,931.05 จุด ลดลง 211.17 จุด (-0.58%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,688.67 จุด ลดลง 12.23 จุด (-0.26%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,921.57 จุด ลดลง 52.28 จุด (-0.33%) ในขณะที่ ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ 18 พ.ย.64 ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 90.4 จุด หรือ -0.30%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 280.2 จุด หรือ -1.09% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 5.88 จุด หรือ -0.17%

        ธปท.ส่งสัญญาณ ธุรกิจโรงแรม เริ่มทยอยถอนตัว จากมาตรการพักทรัพย์พักหนี้หลายราย หลังผู้ประกอบการขอลุยธุรกิจเองอีกครั้ง ขานรับปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ ท่องเที่ยวกลับมาฟื้น บ่งชี้ผ่านยอดจองห้องพักพุ่ง 100% ฟากแบงก์เร่งช่วยลูกหนี้ จ่อยืดหนี้ยาวถึง 15 ปี

         นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 82 สายบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว (ทางยกระดับบนถนนพระราม 2) ระยะที่ 2 ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ระยะทางรวม 16.4 กิโลเมตร (กม.) โดยใช้เงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง (กองทุนมอเตอร์เวย์) วงเงิน 19,700 ล้านบาท ได้ผู้รับจ้างที่เสนอราคาต่ำสุดครบทั้ง 10 สัญญาแล้ว โดยกรมเตรียมลงนามสัญญากับผู้รับจ้างทั้ง 10 สัญญาเร็วๆ นี้

           นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ จังหวัดกระบี่ ได้เห็นชอบตามข้อเสนอกระทรวงที่ให้ปี 2565 เป็นปีส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย โดยจะทำการตลาดในแคมเปญ Visit Thailand Year 2022 : Amazing New Chapters ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะจัดงานส่งเสริมกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อกระจายรายได้ไปยังภูมิภาค 5 แห่ง คือ ภูเก็ต พัทยา นครราชสีมา เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา คลังยันไม่ลดภาษีดีเซล แจงกองทุนน้ำมันยังมีเงินเพียงพอดูแลราคาไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร หากไม่ไหว ราคาน้ำมันยังพุ่งต่อค่อยพิจารณาหั่นภาษีช่วย เพื่อไทยจี้หากทำไม่ได้ก็ขอให้ผู้มีความสามารถขึ้นมาบริหารแทน มโนยุโรปจะล็อกดาวน์ราคาน้ำมันลดแน่

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด และในไตรมาส 4/64 ถึง ปี 65 ก็คาดว่าจะดีขึ้น

       นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันก็ลดลงมาก วันนี้มีจำนวน 6,300 กว่าราย ต่ำกสุดในรอบ 4 เดือน น่าจะช่วยหนุนหุ้น Domestic play และกลุ่ม Reopening ได้

      ในส่วนการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาแล้วก็ไม่ได้กระทบตลาดฯมาก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้มีโอกาสที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยเช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน

        ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับฐาน และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงไปมาก ทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมากดดันตลาดฯได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ในช่วงรอดูทิศทางต่าง ๆ จากฝั่งสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไปในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมา และรอดูภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงติดตามทิศทางการเมืองในประเทศด้วยพร้อมให้แนวรับ 1,630-1,628 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด

 

ขอบคุณ : นักข่าวอินโฟเควสท

ราคาทองวันนี้ครั้งที่ 1 เพิ่มขึ้น 50 บาท

        ราคาทองวันนี้ 18 พ.ย.64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย ครั้งที่ 1  เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,750.00 บาท ขายออกบาทละ 28,850.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,227.92 บาท ขายออกบาทละ 29,350.00 บาท

         ซึ่งราคาทองวันที่ 17 พ.ย. 64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 3 ครั้ง ลดลง 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,700.00 บาท ขายออกบาทละ 28,800.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,182.44 บาท ขายออกบาทละ 29,300.00 บาท

         ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้  สัญญาทองคำตลาด COMEX  ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 16.1 ดอลลาร์ หรือ 0.87% ปิดที่ 1,870.2 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย. 64

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

รมว.คลังย้ำไม่ลดภาษีน้ำมัน เล็งกู้เพิ่ม 3 หมื่นล้าน พยุงราคาน้ำมันดีเซล30บาท/ลิตร

        นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ข้อเรียกร้องให้มีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลงนั้น ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้กลไกลของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรแล้ว ซึ่งเป็นไปตามบทบาทของกองทุนน้ำมันฯ ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้รักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเป็นหลัก โดยที่ผ่านมาก็ได้ยืดหยุ่นการส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามสถานการณ์ จะลดภาษีหรือไม่ ต้องดูกำลังของกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งขณะนี้กองทุนน้ำมันฯยังมีกำลังในการดูแลราคาได้

       ล่าสุด ครม. ก็อนุมัติขยายกรอบการกู้เงินเป็น 30,000 ล้านบาทเพื่อให้สามารถเข้าไปดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งหากกู้เงินเต็มเพดานแล้ว แต่สถานการณ์ราคายังไม่ดีขึ้น ก็ยังขยายเพดานได้

       ทั้งนี้ในช่วงปลายปี จะเป็นช่วงปกติที่ราคามันดีเซลปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงฤดูหนาว และล่าสุดอเมริกาก็เริ่มทยอยนำน้ำมันในคลังมาใช้ ซึ่งจะช่วยทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงได้นอกจากนี้หลายๆ ประเทศ เริ่มมีนโยบายมุ่งใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล ซึ่งไทยก็มีนโยบายในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และจะมีความชัดเจนของนโยบายมากขึ้นในต้นปี 65 ขณะที่ค่าเงินบาทต้องยอมรับว่าไม่ว่าจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า ก็จะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 17พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564

หุ้นไฟเซอร์ ดิ่งกว่า 1% หลังบริษัททำข้อตกลงร่วม MPP

     ราคาหุ้นของ ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวันที่ 16 พ.ย.64 เวลา 23.02 น. ที่ 16 พ.ย. 64  ราคาหุ้นไฟเซอร์ร่วงลง 1.36% สู่ระดับ 48.97 ดอลลาร์  หลังจากที่บริษัทอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญจาก 95 ประเทศทั่วโลกสามารถผลิต ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมากผลิตยา “แพกซ์โลวิด” ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน

      ราคาหุ้นของ ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลงกว่า 1% ในการซื้อขายที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทเมื่อวานนี้ 16 พ.ย.64 หลังจากที่บริษัทอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญจาก 95 ประเทศทั่วโลกสามารถผลิต ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) โดยไม่เรียกเก็บค่าตอบแทน ซึ่งจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมาก

     องค์กรสิทธิบัตรยาร่วม (MPP) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติ (UN) เปิดเผยว่า MPP ได้บรรลุข้อตกลงด้านสิทธิบัตรยากับบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ โดยทางบริษัทจะอนุญาตให้ผู้ผลิตยาสามัญสามารถผลิตและจำหน่ายยาแพกซ์โลวิด ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลางจำนวน 95 ประเทศทั่วโลก ผลการทดลองพบว่า ยาแพกซ์โลวิดสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50% โดยยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน ส่วนผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อ HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยคาดว่าจะให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ในช่วงต้นเดือนธ.ค. และให้การอนุมัติยาแพกซ์โลวิดหลังจากนั้น

     MPP คาดการณ์ว่ายาแพกซ์โลวิดจะเข้าถึง 95 ประเทศดังกล่าวภายในเวลาอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าการบรรลุข้อตกลงระหว่าง MPP และบริษัทไฟเซอร์เมื่อวานนี้มีขึ้นหลังจากที่ MPP ได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ก่อนหน้านี้เช่นกันในการมอบสูตรการผลิตยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 ให้แก่ 105 ประเทศทั่วโลก

      ผลการทดลองพบว่า ยาแพกซ์โลวิดสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% โดยสูงกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 50% ซึ่งยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน ส่วนผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาผู้ติดเชื้อ HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน

     ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดเป็นกรณีฉุกเฉิน โดยคาดว่าจะให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ในช่วงต้นเดือนธ.ค. และให้การอนุมัติยาแพกซ์โลวิดหลังจากนั้น

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

สัญญาทองคำ ปิดร่วง 12.5 ดอลลาร์

        สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ 16 พ.ย.64  โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ดีเกินคาด ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค. 64  สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 12.5 ดอลลาร์ หรือ 0.67% ปิดที่ 1,854.1 ดอลลาร์/ออนซ์

      สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 16.1 เซนต์ หรือ 0.64% ปิดที่ 24.944 ดอลลาร์/ออนซ์

      สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 22.4 ดอลลาร์ หรือ 2.04% ปิดที่ 1,074.5 ดอลลาร์/ออนซ์

     สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 11.50 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 2,167.60 ดอลลาร์/ออนซ์

     สัญญาทองคำร่วงลง หลังจากดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.53% แตะที่ 95.9182

     โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ยังทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น ๆ

    นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.7% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4% โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น และยอดขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน

      ทั้งนี้ทางด้านธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวมของสหรัฐดีดตัวขึ้น 1.6% ในเดือนต.ค. หลังจากร่วงลง 1.3% ในเดือนก.ย. โดยตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมโดยรวม เป็นมาตรวัดการปรับตัวของภาคโรงงาน, เหมืองแร่ และสาธารณูปโภคของสหรัฐ

 

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway up

      นักวิเคราะห์ฯคาดตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway up ไร้ปัจจัยกระทบหนัก แม้วิตกการเจรจาผู้นำสหรัฐ-จีนแต่น้ำหนักออกมาในทางบวกเล็กน้อย อีกทั้งผลกำไรบริษัทจดทะเบียนทะลุ 2 แสนล้านบาทดีกว่าคาด รวมถึงเงินบาทแข็งค่า โดยรวมเป็นบวกต่อตลาดฯ ด้านตลาดภูมิภาคเช้านี้แกว่งบวก-ลบราว 0.5-1% แนะติดตามผลสืบเนื่องจากการเจรจา 2 ผู้นำโลก พร้อมให้แนวรับ 1,633 แนวต้าน 1,650 จุด

      ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งแดนบวก-ลบราว 0.5-1% โดยยังต้องติดตามผลสืบเนื่องจากการเจรจาของผู้นำสหรัฐและจีนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และบ้านเราก็ให้ติดตามการปรับประมาณการของนักวิเคราะห์ฯหลังบริษัทจดทะเบียนแจ้งงบไตรมาส 3/64 ครบถ้วน และได้รับข้อมูลชี้แจงเพิ่มเตืมแล้ว รวมถึงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในประเทศ และความคืบหน้ามาตรการของภาครัฐพร้อมให้แนวรับ 1,633 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 จุด

       ทั้งนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,142.22 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด (+0.15%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.90 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด (+0.39%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,973.86 จุด เพิ่มขึ้น 120.01 จุด (+0.76%)

      ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 98.56 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 45.97 จุด หรือ -0.18% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.23 จุด หรือ -0.09% พร้อมให้แนวรับ 1,633 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650 จุด ประเด็นพิจารณาการลงตลาดหุ้นนิวยอร์มี ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,142.22 จุด เพิ่มขึ้น 54.77 จุด (+0.15%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,700.90 จุด เพิ่มขึ้น 18.10 จุด (+0.39%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,973.86 จุด เพิ่มขึ้น 120.01 จุด (+0.76%)

      ทั้งนี้หุ้นเอเชียเปิดตลาด ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 98.56 จุด หรือ +0.33%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 45.97 จุด หรือ -0.18% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 3.23 จุด หรือ -0.09%

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ก.ล.ต. แนะผู้สนใจศึกษาข้อมูล เหรียญสมเด็จคอยน์ หวั่นลงทุนมากกว่าทำบุญ

        นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีผู้สื่อข่าวสอบถามเข้ามายังสำนักงาน ก.ล.ต.ถึงความกังวลเกี่ยวกับ “เหรียญสมเด็จคอยน์ หรือเหรียญ Somdejcoin : SDC” นั้น เบื้องต้นทาง ก.ล.ต.ขอชี้แจงว่า ผู้พัฒนาเหรียญหรือทางผู้ประสานงานวัดป่ามหาญาณ ได้มีหนังสือถึง ก.ล.ต.จำนวน 2 ฉบับ เพื่อหารือว่าเหรียญ SDC เข้าข่ายเป็นเหรียญสินทรัพย์ดิจิทัล 4 ประเภท ห้ามไม่ให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนำมาให้บริการซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ตามข้อ 39/1 ของประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่ กธ. 19/2561 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล  ก.ล.ต. ได้มีหนังสือขอข้อมูลเพิ่มเติมจากวัดป่ามหาญาณแล้ว เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2564 เพื่อใช้ประกอบการ 

      พิจารณาให้ความเห็นต่อไป ในประเด็นเกี่ยวกับ

    1.การใช้ชื่อสมเด็จมาเป็นชื่อเหรียญ รวมทั้งมีแผนจะนำเหรียญดังกล่าวไปซื้อขายในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งโดยทั่วไปมีลักษณะเก็งกำไรนั้น การดำเนินการดังกล่าวมีความเหมาะสมที่อาจกระทบต่อพระพุทธศาสนา จึงให้ผู้ออกหารือและนำหนังสือความเห็นจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ มาเพื่อประกอบการพิจารณาว่าเหรียญ SDC ไม่ขัดต่อกฎหมาย

       2.ข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น เช่น กลไกในการใช้สิทธิประโยชน์ของเหรียญมีลักษณะการดำเนินการอย่างไร อัตราในการนำเหรียญเพื่อใช้ในการแลกสิทธิประโยชน์เป็นอย่างไร รวมทั้งแผนที่จะเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในอนาคต จะมีหรือไม่ และหากมีการเปลี่ยนแปลงจะดำเนินการอย่างไร

       3.การเปิดให้มีการซื้อขายเหรียญโดยหักภาษีในอัตรา 9% ในทุกครั้งที่มีการแลกเปลี่ยนซื้อขาย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วนที่เท่ากัน หรือ 3% สำหรับนำไปทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและช่วยเหลือสังคม หรือ 3% สำหรับการไปเสริมสภาพคล่องในระบบ หรือ 3% สำหรับการนำไปเพิ่มเหรียญให้แก่ผู้ถือเหรียญ

      ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้มีการถือครองเหรียญเพื่อการลงทุนมากกว่าการทำบุญ จึงมีข้อสังเกตว่ามีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเหรียญในการทำนุบำรุงศาสนาและช่วยเหลือสังคม รวมทั้งถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวัดหรือไม่

       ทั้งนี้เหรียญ 4 ประเภทตามประกาศข้างต้น ได้แก่ 1.เหรียญที่ออกโดยไม่มีวัตถุประสงค์หรือสาระชัดเจนหรือไม่มีสิ่งใดรองรับโดยมีราคาขึ้นอยู่กับกระแสในโลกโซเชียล (Meme Token) 2.เหรียญที่ออกโดยมีลักษณะเกิดจากกระแสความชื่นชอบส่วนบุคคล (Fan Token)

        3.โทเคนดิจิทัลที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แสดงความเป็นเจ้าของหรือให้สิทธิในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่สามารถใช้โทเคนดิจิทัลประเภทและชนิดเดียวกันและจำนวนเท่ากันแทนกันได้ (Non-Fungible Token) และ 4.โทเคนดิจิทัลที่ออกโดยผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเองหรือบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นบนบล็อกเชน

         ส่วนกรณีการจัดสรรเหรียญให้แก่ผู้ถือด้วยการแจกสามารถทำได้ (เป็นการให้ฟรี ไม่มีการเสนอขาย) ในส่วนของการเทรดปัจจุบันยังไม่มีการเทรดกับผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย อย่างไรก็ดีหากผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องการนำเหรียญ SDC เข้ามาซื้อขายในกระดานจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนด Listing Rule ของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ซึ่งให้แต่ละศูนย์ซื้อขายสามารถกำหนดได้เอง เนื่องจากข้อมูลในเบื้องต้นลักษณะของเหรียญไม่เข้าข่ายเป็นเหรียญที่ต้องได้รับอนุญาตให้เสนอขายจาก ก.ล.ต. และข้อมูลยังมีความไม่ชัดเจนในบางเรื่อง ดังนั้นจึงขอให้ผู้สนใจศึกษาข้อมูลและใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจซื้อขาย

      ทั้งนี้เนื่องจากเหรียญดังกล่าวใช้ชื่อสมเด็จและเป็นกิจกรรมของวัด จึงอาจมีความเกี่ยวข้องและต้องได้รับอนุญาตจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วย

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

สภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นขยายตัว 1.2%

       สภาพัฒน์ฯ ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เป็นขยายตัว 1.2% จากเดิมคาด 0.7-1.2% และคาดปี 2565 เติบโตที่ 3.5-4.5% ในขณะที่วิจัยกรุงศรี เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 64 และ 65 โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 3 ปีนี้หดตัวน้อยกว่าคาด, การกระจายวัคซีนที่เร่งขึ้น ล่าสุดทางการตั้งเป้าฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้

         ซึ่งจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ, สัญญาณเชิงบวกจากการลงทุนภาคเอกชนที่อาจได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและกิจกรรมเศรษฐกิจของโลกที่ทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ ตลอดจนมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะยังมีบทบาทสำคัญ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง

       ในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) บ่งชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อมาจากปัจจัยชั่วคราว พร้อมส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า โดยการประชุม กนง. วันที่ 10 พฤศจิกายน มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วและเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว จากการใช้ภายในประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเร่งกระจายวัคซีน และตลาดแรงงานมีแนวโน้มปรับดีขึ้น จึงคาดการณ์ว่า GDP ปี 2564 และปี 2565 จะขยายตัวใกล้เคียงกับประมาณการในการประชุมครั้งก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากราคาพลังงานโลกเป็นหลัก

        วิจัยกรุงศรีประเมินว่า แม้ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะลดลง และมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งหลายประเทศเตรียมทยอยปรับลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินกันบ้างแล้ว แต่ในส่วนของไทย คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า

       ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงาน GDP ใน 3Q/2564 หดตัว -0.3% YoY จากขยายตัว 7.6% ในไตรมาสก่อน ผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรงของโควิด-19 แต่อัตราการติดลบดังกล่าวน้อยกว่าที่ตลาดและวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ -1.3% และ -1.1% ตามลำดับ เนื่องจากได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เร่งขึ้น, มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนทำให้การบริโภคสินค้าไม่คงทนในหมวดอาหารยังเติบโตได้แม้ภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนจะหดตัว, การเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังในไตรมาสนี้นับว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ, การส่งออกสินค้าและบริการที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกบริการที่เร่งขึ้นจากค่าบริการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวดีตามปริมาณการค้าระหว่างประเทศ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 16 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขาขึ้น1,630-1,645 จุด แต่ดาวน์ไซด์ไม่มีมาก

      บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดดัชนี SET Index เช้านี้ขึ้นในกรอบจำกัด หลังวานนี้มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่กลับเข้ามาในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน สื่อสาร และธนาคาร ตอบรับสภาพัฒน์ฯประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของปี 2564 ออกมาหดตัวเพียง 0.3% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งดีกว่าคาดมาก

      ในส่วนของสินค้าเกษตรและการส่งออกที่ขยายตัวช่วยหนุน แต่กลุ่มบริโภคและลงทุนยังคงได้รับผลกระทบหนักจากการ Lockdown ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการจะขยายตัวเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 และปีหน้า โดยในปี 2565 สภาพัฒน์ฯคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 3.5-4.5% โดยค่ากลาง 4.0% ตามการคลี่คลายของสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศและการเปิดภาคการท่องเที่ยวอีกครั้ง เช้านี้ SET Index จะแกว่งตัวอิงทางขึ้นได้ต่อในกรอบระหว่าง 1,630-1,645 จุด แม้อัพไซต์ยังจำกัด แต่ดาวน์ไซต์ก็ไม่มีมากเช่นกัน รอติดตามการประชุม ครม.สัญจร และข้อสรุปการหารือระหว่างผู้นำสหรัฐและจีน

      ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงหารือกันผ่าน Virtual Conference ท่ามกลางการจับตาของทั่วโลกหลังความสัมพันธ์ระหว่างสองมหาอำนาจโลกมีความขัดแย้งกันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน ซินเจียง อุยกูร์ การปราบปรามผู้ชุมนุมในฮ่องกง และการขยายอิทธิพลในทะเลจีนใต้ในด้านเศรษฐกิจต้องติดตามข้อตกลงการค้า ภาษีนำเข้า และการแบนบริษัทข้ามชาติของสองประเทศว่าจะมีทิศทางใด แม้การหารือครั้งนี้ทั้งสหรัฐและจีนจะไม่ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน แต่อาจจับสัญญาณได้บางส่วนจากที่คาด สี จิ้นผิง จะเชิญไบเดนเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาวที่กรุงปักกิ่งช่วงเดือน ก.พ. 2565

      ซึ่งหากไบเดนตอบรับคำเชิญจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าการหารือเป็นไปได้ด้วยดีระหว่างสองประเทศ อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้ประเด็นดังกล่าวมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น คือ การที่จี 7 กำลังพิจารณาที่จะ บอยคอตทางการทูต ต่อการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของจีน โดยนักกีฬายังคงเข้าร่วมการแข่งขันได้ตามปกติ แต่ผู้นำประเทศของจี 7 จะไม่เข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขัน COVID-19

     ด้านสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในยุโรปยังเร่งตัวต่อเนื่อง อังกฤษ-เยอรมนี-รัสเซียติดเชื้อรายวันสูงสุดแตะ 40,000-50,000 ราย ขณะที่บางประเทศเริ่มใช้มาตรการคุมเข้มแล้ว อีกทั้งยังพบการกลายพันธุ์ใหม่ชนิด B.1.640 จากฝรั่งเศส ที่ยังไม่ทราบความรุนแรงและระดับการแพร่กระจายของเชื้อตัวดังกล่าว ที่หากการระบาดรุนแรงจนต้องกลับไปใช้มาตรการ Lockdown อีกครั้ง อาจฉุดอุปสงค์น้ำมันดิบโลกลงอีกครั้ง และกระทบภาคการท่องเที่ยวของไทยในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วง High Season ไตรมาส 4 ส่งผลให้ GDP ปีนี้โตต่ำกว่าคาดการณ์ของสภาพัฒน์ 1.2%

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 64 และ 65

       สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐและสังคมแห่งชาติ  หรือ สภาพัฒน์ ปรับเพิ่มเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 1.2% จากเดิมคาด 0.7-1.2% และคาดปี 2565 เติบโตที่ 3.5-4.5% โดยก่อนหน้า ได้รายงาน GDP ใน 3Q/2564 หดตัว -0.3% YoY จากขยายตัว 7.6% ในไตรมาสก่อน ผลกระทบจากการระบาดที่รุนแรงของโควิด-19 แต่อัตราการติดลบดังกล่าวน้อยกว่าที่ตลาดและวิจัยกรุงศรีคาดไว้ที่ -1.3% และ -1.1% ตามลำดับ เนื่องจากได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐที่เร่งขึ้นมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนทำให้การบริโภคสินค้าไม่คงทนในหมวดอาหารยังเติบโตได้แม้ภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนจะหดตัวซึ่งการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังในไตรมาสนี้นับว่ามีส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจทำให้การส่งออกสินค้าและบริการที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการส่งออกบริการที่เร่งขึ้นจากค่าบริการขนส่งสินค้าที่ขยายตัวดีตามปริมาณการค้าระหว่างประเทศ

          ขณะที่ศูนย์วิจัยกรุงศรี เตรียมปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 64 และ 65 โดยมีปัจจัยหนุนจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ในไตรมาส 3 ปีนี้หดตัวน้อยกว่าคาดซึ่งการกระจายวัคซีนที่เร่งขึ้น ตั้งเป้าฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ, สัญญาณเชิงบวกจากการลงทุนภาคเอกชนที่อาจได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในประเทศและกิจกรรมเศรษฐกิจของโลกที่ทยอยฟื้นตัวเป็นลำดับ ตลอดจนมาตรการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากภาครัฐที่คาดว่าจะยังมีบทบาทสำคัญ รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง

       ภาพรวมทางเศรษฐกิจไทย หรือ Thai GDP level  มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเหนือระดับก่อนการระบาดได้เร็วกว่าเดิม 1-2 ไตรมาส จากเดิมคาดไตรมาส 1/2566 ในส่วนของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. บ่งชี้ว่าการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อมาจากปัจจัยชั่วคราว พร้อมส่งสัญญาณไม่รีบปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า โดยการประชุม กนง. วันที่ 10 พฤศจิกายน มีมติเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วและเข้าสู่ช่วงการฟื้นตัว จากการใช้ภายในประเทศที่ทยอยปรับดีขึ้นตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด การเร่งกระจายวัคซีน และตลาดแรงงานมีแนวโน้มปรับดีขึ้น จึงคาดการณ์ว่า GDP ปี 2564 และปี 2565 จะขยายตัวใกล้เคียงกับประมาณการในการประชุมครั้งก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากราคาพลังงานโลกเป็นหลัก

      แม้ความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะลดลง และมีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อสูงขึ้น อีกทั้งหลายประเทศเตรียมทยอยปรับลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินกันบ้างแล้ว แต่ในส่วนของไทย คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้า เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้น โดยอาจเห็นแตะระดับ 3% ได้ในบางเดือนของไตรมาส 1/2565 ส่วนหนึ่งมาจากผลของฐานที่ต่ำในช่วงต้นปี 2564 แต่จะบรรเทาลงในช่วงที่เหลือของปี 2565 สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท.  ประเมินว่าน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะอุปทานส่วนเกิน หรือ excess supply ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบางภายใต้ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวไทยที่ยังต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาเท่ากับช่วงก่อนเกิดการระบาด

      ทั้งนี้แถลงของ กนง.ยังคงให้น้ำหนักกับการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ชี้ว่าทางการจะยังดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยรวมแล้ว คาดว่า กนง.จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.50% อย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2565

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด และในไตรมาส 4/64 ถึง ปี 65 ก็คาดว่าจะดีขึ้น

       นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันก็ลดลงมาก วันนี้มีจำนวน 6,300 กว่าราย ต่ำกสุดในรอบ 4 เดือน น่าจะช่วยหนุนหุ้น Domestic play และกลุ่ม Reopening ได้

      ในส่วนการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาแล้วก็ไม่ได้กระทบตลาดฯมาก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้มีโอกาสที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยเช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน

        ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับฐาน และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงไปมาก ทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมากดดันตลาดฯได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ในช่วงรอดูทิศทางต่าง ๆ จากฝั่งสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไปในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมา และรอดูภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงติดตามทิศทางการเมืองในประเทศด้วยพร้อมให้แนวรับ 1,630-1,628 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด

 

ขอบคุณ : อินโฟเควสท

โควิดฉุดรายได้เครือMKร่วง 257 ล้าน

      บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เจ้าของกิจการ อาทิ  ร้านเอ็มเค สุกี้, ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ, ร้านมิยาซากิ ได้เปิดเผยผลกระกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัท และบริษัทย่อย มีรายได้จากการขายและบริการเท่ากับ 1,973 ล้านบาท ลดลง 1,825 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 48.1 มีผลขาดทุน 257 ล้านบาท ลดลง 722 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

      ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ กระทบต่อธุรกิจร้านอาหาร ที่ต้องปิดให้บริการ โดยสามารถให้บริการได้เฉพาะซื้อกลับบ้านและดีลิเวอรี่ ส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายและการบริการ

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

จัดตั้งยานแม่ SCBx ผู้ถือหุ้นไทยพาณิชย์ โหวตผ่านฉลุย กว่า99%

     นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ขอขอบคุณผู้ถือหุ้นที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในแนวทางการสร้างไทยพาณิชย์ให้เป็นธุรกิจเทคโนโลยีทางการเงินด้วยเป้าหมายสู่การเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด และเพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย (stakeholder) ทุกฝ่ายอย่างมั่นคงและแข็งแรงต่อไป โดยเห็นว่าแผนการปรับโครงสร้างการถือหุ้นนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพและความคล่องตัวในการเติบโตของธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ในหลายด้าน  รวมทั้งเพิ่มความชัดเจนในการทำธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ให้สามารถขยายและพัฒนาธุรกิจได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนทำให้กลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์ มีการแบ่งแยกการกำกับดูแลและการบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างชัดเจน  ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจของกลุ่มธุรกิจไทยพาณิชย์โดยรวม

      ทั้งนี้ช่วงเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม 2565 ผู้ถือหุ้นจะพิจารณาทำคำตอบรับการเสนอซื้อหลักทรัพย์ (Tender Offer) จากบริษัท SCBx  โดยผู้ถือหุ้นต้องตอบรับคำเสนอซื้ออย่างน้อย 90% ต่อมาในเดือนมีนาคม2565 หุ้น “SCBx” จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเพิกถอนหุ้น “SCB” ในวันเดียวกัน โดยจะยังใช้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “SCB”  และผู้ถือหุ้น SCB จะเปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้น SCBx  แทน

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564

มุ่งเจาะกลุ่ม SME เปิดตลาดหุ้นปักกิ่ง วันแรก

       ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง หรือ Beijing Stock Exchange ของจีน ออกแถลงการณ์ กล่าวว่า  พร้อมเปิดให้บริการคาดว่าจะมีบริษัทกลุ่มแรกจำนวน 81 แห่งที่เริ่มการซื้อขายหุ้นแต่วันจันทร์ที่ 15 พ.ย. เป็นต้นไป ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งเปิดตัวขึ้นหลังจากที่จีนประกาศแผนการจัดตั้งตลาดหุ้นแห่งใหม่เมื่อ 2 เดือนก่อน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีภายหลังการประกาศ เนื่องจากมุ่งแก้ปัญหาทางการเงินอันซับซ้อนที่มีมายาวนานของบรรดาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)

        โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่นี้เป็นการปฏิรูปตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน (NEEQ) หรือ ที่รู้จักกันในชื่อตลาดหุ้นแห่งที่ 3 (New Third Board) และจะมีบทบาทที่แตกต่างออกไปจากตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เสิ่นเจิ้น รวมถึงจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างตลาดหลักทรัพย์สองแห่งนี้ด้วย

       การประกาศจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ได้กระตุ้นความสนใจและความกระตือรือร้นของตลาดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนและบริษัทต่างๆ ต่างจับตาดูความคืบหน้าอย่างใกล้ชิดและแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณสมบัติในการซื้อขายหุ้น  ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งระบุว่า มีนักลงทุนรายใหม่กว่า 2.1 ล้านคนยื่นสมัครเป็นนักลงทุนที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัตร (Qualified Investor) พร้อมเสริมว่าจำนวนนักลงทุนที่เข้าเงื่อนไขจะทะลุ 4 ล้านคนหลังตลาดเริ่มการซื้อขาย

        นอกจากนี้ยังเผยว่า มีบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุมัติให้เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้แล้ว 112 แห่ง โดยมีระเบียบปฏิบัติจำนวน 6 ฉบับ ร่วมกับแนวปฏิบัติอื่นๆ อีก 45 ข้อที่เคยออกในก่อนหน้านี้ ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นระบบการกำกับดูแลตนเองของตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ที่มีการกำหนดกฎระเบียบต่างๆ ด้านการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ รวมไปถึงการจัดหาเงินทุน การกำกับดูแล และการซื้อขาย และอื่นๆ

       หลี่ ตงซวี่ กรรมการผู้จัดการบริษัทสินเชื่อเพื่อธุรกิจหลักทรัพย์จีน (China Securities) กล่าวว่า บริษัทกลุ่มแรกเหล่านี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง ในการเป็นตลาดซื้อขายแห่งหลักสำหรับธุรกิจเชิงนวัตกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม และบริษัทกลุ่มแรกนี้ล้วนเป็นบริษัทชั้นนำในแต่ละภาคส่วน ที่มีทั้งผลประกอบการที่ดีและศักยภาพการเติบโตสูง

        โดยบริษัทเหล่านี้ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลัก 25 ประเภทในหลากหลายภาคส่วน เช่น การผลิตระดับสูง บริการเทคโนโลยีระดับสูง และอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ที่เพิ่งเกิดใหม่ โดยยอดใช้จ่ายเฉลี่ยในด้านการวิจัยและพัฒนาของบริษัทเหล่านี้อยู่ที่มากกว่า 25.36 ล้านหยวน หรือ ราว 130 ล้านบาท  ในขณะที่มีบริษัทจำนวนมากเข้าคิวรอเสนอซื้อขายหุ้นแก่สาธารณชน หรือ ไอพีโอ (IPO) ตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่งก็จะปรับปรุงการกำกับดูแลการดำเนินงานและคุณภาพของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด รวมถึงออกมาตรการเพื่อเสริมสร้างการตรวจสอบก่อนการจดทะเบียน แจกแจงภาระความรับผิดชอบของสถาบันตัวกลางและบริษัทที่จดทะเบียน รวมไปถึงสร้างช่องทางที่ราบรื่นสำหรับการเพิกถอนบริษัทจดทะเบียนจากตลาดหลักทรัพย์

        ทั้งนี้พบว่าบรรดาผู้สังเกตการณ์มองว่า การเปิดซื้อขายในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของตลาดหลักทรัพย์ปักกิ่ง พร้อมสนับสนุนให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามปรับตัวให้ทันและเปิดกว้างมากขึ้น รวมถึงทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างสภาพแวดล้อมตลาดที่ดี เพื่อเอื้อให้ตลาดหุ้นใหม่นี้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ขายเกลี้ยงหมดในครึ่งชม.พันธบัตรออมวอลเล็ต สบม.ออมไปด้วยกัน ชี้หากต้องการสามารถซื้อผ่าน 4 แบงก์ตัวแทนได้

       วันที่ 15 พ.ย.64 เวลา 08.50 น.  Krungthai Care ได้แจ้งว่า “ขอขอบคุณ ที่สนับสนุน พันธบัตรออมทรัพย์ รุ่นออมไปด้วยกัน จำหน่ายเต็มวงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับประชาชนที่พลาดโอกาสการซื้อ พันธบัตรออมทรัพย์ วอลเล็ต สบม.รุ่นออมไปด้วยกัน  ยังสามารถซื้อผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์  เปิดจำหน่ายในวงเงินรวม 55,000 ล้านบาท ซื้อได้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 ลงทุนขั้นต่ำ 1,000 บาท ไม่จำกัดวงเงินซื้อขั้นสูง มีให้เลือก 2 รุ่น คือรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ได้รับอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ พันธบัตรออมทรัพย์ วอลเล็ต สบม. ในรุ่นเดียวกัน คือ 5 ปี เฉลี่ยที่ 2.10 % ต่อปี และ 10 ปี เฉลี่ยที่ 3.00% ต่อปี

        นอกจากนี้ยังเปิดจำหน่ายให้แก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท มีเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี เปิดจำหน่ายตั้งแต่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจำหน่ายเฉพาะช่องทางเคาน์เตอร์ธนาคารทั้ง 4 แห่ง

         จากกรณีที่กระทรวงการคลังเปิดจำหน่วยพันธบัตรออมทรัพย์รุ่น “ออมไปด้วยกัน” วงเงินจำหน่าย 8 หมื่นล้านบาท โดยประชาชนสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รุ่นอายุ และซื้อได้ทั้งในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง โดยในครั้งนี้กระทรวงการคลังได้เพิ่มวงเงินจำหน่ายเป็น 80,000 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของผู้ลงทุนทุกกลุ่ม และจ่ายดอกเบี้ย ให้ประชาชนทุก 3 เดือน ประชาชนสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รุ่นอายุ และซื้อได้ทั้งในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง และธนาคารตัวแทนจำหน่ายทั้ง 4 แห่ง โดยการลงทุน “พันธบัตรออมทรัพย์” รุ่น “ออมไปด้วยกัน” บน “วอลเล็ต สบม.” ผ่านแอพพลิเคชั่น “เป๋าตัง”

  1. พันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (เฉลี่ย 10% ต่อปี)

          ปีที่ 1 : 1.50% ต่อปี

          ปีที่ 2-4 : 2.00% ต่อปี

          ปีที่ 5 : 3.00% ต่อปี

       2.พันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันได (เฉลี่ย 00% ต่อปี)

          ปีที่ 1-3 : 2.00% ต่อปี

          ปีที่ 4-5 : 3.00% ต่อปี

          ปีที่ 6-9 : 3.50% ต่อปี

          ปีที่ 10 : 4.00% ต่อปี

          วันที่จำหน่าย คือ จำหน่ายผ่าน วอลเล็ตสะสมบอนด์มั่งคั่ง (วอลเล็ต สบม.) ในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ตั้งแต่เวลา 8.30 น. ของวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 จนถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 3 ธันวาคม 2564 (ผู้มีสิทธิซื้อต้องลงทะเบียนผ่าน วอลเล็ต สบม. ก่อน จึงจะสามารถทำรายการซื้อพันธบัตรได้

         ผู้มีสิทธิ์ซื้อ ในตลาดแรก คือ บุคคลธรรมดาที่ถือสัญชาติไทย ที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป (ผู้ที่มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อนการซื้อพันธบัตร ณ สาขาธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)

        วันที่จ่ายดอกเบี้ย คือ จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน ในวันที่ 15 ของเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม สิงหาคม และพฤศจิกายน ของทุกปี จนกว่าพันธบัตรจะครบกำหนดไถ่ถอน โดยจ่ายดอกเบี้ยงวดแรกในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565

การทำธุรกรรมภายหลังการซื้อพันธบัตรผู้ถือกรรมสิทธิ์สามารถดำเนินการผ่านวอลเล็ต สบม. ได้แก่

      –  การใช้พันธบัตรเป็นหลักประกันให้กระทำได้หลังจากวันที่ทำรายการซื้อ 2 วันทำการ

      –  การขายพันธบัตรก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน และการโอนกรรมสิทธิ์ให้กระทำได้ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 เป็นต้นไป

         ทั้งนี้ ไม่สามารถทำธุรกรรมได้ตั้งแต่วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อจ่ายคืนเงินต้นตามที่ ธปท. ประกาศกำหนดการทำธุรกรรมภายหลังการซื้อพันธบัตรไม่เสียค่าธรรมเนียม ยกเว้นการใช้พันธบัตรเป็นหลักประกันมีค่าธรรมเนียม การออกใบค้ำประกัน 500 บาท รายการธุรกรรมต่างๆ จะปรากฏในวอลเล็ต สบม. เท่านั้น ไม่สามารถนำไปรวมกับพันธบัตรอื่น ๆ ในสมุดพันธบัตร (Bond Book) ได้

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ กรุงเทพธุรกิจ ประชาชาติธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์

        นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้ หลังการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนออกมาเกือบจะหมดแล้ว ซึ่งออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ตลาดคาด และในไตรมาส 4/64 ถึง ปี 65 ก็คาดว่าจะดีขึ้น

       นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันก็ลดลงมาก วันนี้มีจำนวน 6,300 กว่าราย ต่ำกสุดในรอบ 4 เดือน น่าจะช่วยหนุนหุ้น Domestic play และกลุ่ม Reopening ได้

      ในส่วนการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ออกมาแล้วก็ไม่ได้กระทบตลาดฯมาก และเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นก็ทำให้มีโอกาสที่ Fund Flow ไหลเข้า โดยเช้านี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 32.68 บาท/ดอลลาร์ฯ แข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือน

        ทั้งนี้ราคาน้ำมันปรับฐาน และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลงไปมาก ทำให้กลุ่มพลังงานอาจจะมากดดันตลาดฯได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ ในช่วงรอดูทิศทางต่าง ๆ จากฝั่งสหรัฐฯ ส่วนบ้านเราก็ติดตามการทยอยประกาศงบฯต่อไปในส่วนที่เหลือที่ยังไม่ออกมา และรอดูภาครัฐฯจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มอีกหรือไม่ รวมถึงติดตามทิศทางการเมืองในประเทศด้วยพร้อมให้แนวรับ 1,630-1,628 จุด ส่วนแนวต้าน 1,640-1,645 จุด

 

ขอบคุณ : นักข่าวอินโฟเควสท

ส่องหุ้นถุงมือยาง STGT

        บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT เป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ที่สุดของประเทศ และอันดับ 3 ของโลก โดย STGT เพิ่งจะเข้ามาโลดแล่นในตลาดหุ้นไทยได้ไม่นานราวๆ 1 ปี โดยลงสนามซื้อขายวันแรก เมื่อ 2 ก.ค. 2563 เปิดเทรดที่ 55.25 บาท เพิ่มขึ้น 62.5% จากราคาไอพีโอ 34 บาท จากนั้นราคาหุ้นค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาต่อเนื่อง ตามแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส หลังมียอดออเดอร์ถุงมือยางหลั่งไหลมาจากทั่วโลก

       จนราคาหุ้นขึ้นไปทำจุดสูงสุดของปี 2563 ที่ 94.50 บาท เมื่อวันที่ 29 ต.ค. จากนั้นในช่วงปลายปีเริ่มมีการปรับฐานลงมา หลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลาย ขณะที่การพัฒนาวัคซีนมีความคืบหน้ามากขึ้นต่อมาบริษัทประกาศแตกพาร์จากราคาหุ้นละ 1 บาท เหลือ 0.50 บาท โดยเริ่มซื้อขายวันแรกด้วยราคาพาร์ใหม่เมื่อ 5 ม.ค. 2564 ถือว่าออกสตาร์ทได้ดี ราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง หลังเกิดการระบาดระลอกใหม่จากเชื้อสายพันธุ์เดลตา ซึ่งรอบนี้สถานการณ์ดูรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จนต้องล็อกดาวน์รอบใหม่ หนุนหุ้น STGT ขึ้นไปทำออลไทม์ไฮรอบใหม่ที่ราคาพาร์ใหม่ 49 บาท (หากคิดเป็นราคาพาร์เก่าอยู่ที่ 98 บาท) เมื่อวันที่ 18 พ.ค. แต่จากนั้นราคาหุ้นเริ่มเปลี่ยนทิศอีกครั้ง หลังการฉีดวัคซีนครอบคลุมขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มองกันว่าถุงมือยางอาจไม่ได้จำเป็นเท่ากับช่วงที่เกิดการระบาดแรกๆ

       นอกจากดีมานด์ที่ชะลอตัวลงแล้ว ในฝั่งซัพพลายมีกำลังการผลิตออกสู่ตลาดมากขึ้น หลายบริษัทในต่างประเทศที่ก่อนหน้านี้ต้องปิดโรงงานเพราะโควิดระบาดหนัก กลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ทำให้ราคาถุงมือยางทั้งโลกเริ่มปรับตัวลดลง

        โดยผลประกอบการงวดล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,532.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 4,404.8 ล้านบาท แต่ลดลง 37.7% จากงวดไตรมาสก่อนที่ 7,280.1 ล้านบาท เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของราคาถุงมือยาง โดยราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 1,531 บาทต่อพันชิ้น หรือ 46.7 ดอลลาร์ ลดลง 32.5% จากไตรมาสก่อน ตามราคาถุงมือยางในตลาดโลกที่อ่อนตัวลง ซึ่งราคาถุงมือยางที่ปรับตัวลดลง กลายเป็นปัจจัยหลักที่กดดันธุรกิจของ STGT การเติบโตของรายได้กำไรอาจไม่ได้ร้อนแรงเท่ากับช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้ราคาหุ้นค่อยๆ ปรับตัวลดลงมาต่อเนื่อง เรียกว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับช่วงที่ขึ้นไปพีคสุดๆและทำให้เกิดคำถามตามมาทันทีว่า ตกลงแล้วจุดสูงสุดของบริษัท ทั้งผลประกอบการและราคาหุ้นได้ผ่านพ้นไปหรือยัง? STGT ยังน่าสนใจยังมีเสน่ห์อยู่หรือไม่? หรือ บริษัทจะปรับตัวอย่างไร? ล้วนแต่เป็นสิ่งที่นักลงทุนอยากรู้หากดูจากมุมมองของนักวิเคราะห์ ต้องบอกว่าเสียงยังแตก มีความคิดเห็นที่หลากหลาย โดยบล.ทรีนีตี้ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ระบุว่าเริ่มเห็นสัญญาณที่ทรงตัวของราคาถุงมือยาง เชื่อว่าราคาน่าจะต่ำสุดแล้วในเดือน ธ.ค. นี้ อย่างไรก็ตาม ได้ปรับประมาณการกำไรปี 2564-2565 ลงเหลือ 2.5 หมื่นล้านบาท และ 9 พันล้านบาท ตามลำดับ จากสมมติฐานราคาถุงมือยางที่ปรับลดลง ในส่วนของบล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ถือ” มองว่าราคาถุงมือยางในไตรมาส 4 ปี 2564 จะลดลงอีก 25% จากไตรมาสก่อน ทำให้กำไรยังเป็นขาลงอีกไตรมาส ขณะที่ฝั่งอุปสงค์ลดความร้อนแรงลงจากพัฒนาการของวัคซีนและยารักษาโควิด ถือเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ของอุตสาหกรรม

        ทั้งนี้ด้านบล.เคทีบีเอสที แนะนำ ขายจากราคาขายถุงมือยางในตลาดโลกที่ยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง ตามกำลังการผลิตถุงมือยางโลกที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 30-35% ในปี 2565 ขณะที่การพัฒนายาต้านไวรัสโควิดเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อราคาขายถุงมือยาง ส่งผลให้ EPS ปี 2565 ปรับตัวลดลง 60% โดยฝ่ายวิจัยประเมินว่า valuation ของ STGTจะยังคงเทรดที่ discount ไปจนกว่าจะเห็นราคาขายถุงมือยางกลับเข้าสู่ดุลยภาพ

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

กองทุนช่วยประหยัดภาษี  SSF และ RMF 2 กองทุนแตกต่างอย่างไร

      ในการลดหย่อนภาษี 2564 พลาดไม่ได้กับ 2 กองทุนช่วยประหยัดภาษี นั่นคือ กองทุนรวมเพื่อการออม หรือ SSF และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF โดย 2 กองทุนมีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ไม่ได้แตกต่างกันนัก คือลงทุนได้ทั้ง หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ กองทุนทองคำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ แตกต่างก็ตรงการลงทุนใน SSF จะซื้อหน่วยลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับค่าลดหย่อนการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ตัวอย่าง กองทุนรวมสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท และต้องถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ปี นับจากวันที่ซื้อ ไม่กำหนดขั้นต่ำ ในการซื้อ และไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี
             ในส่วนของผู้ลงทุนกองทุน RMF ซื้อหน่วยลงทุนเพื่อใช้ลดหย่อนภาษีสูงสุดได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการออมเพื่อเกษียณอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อครั้งแรก และขายได้เมื่ออายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ไม่กำหนดขั้นต่ำในการซื้อ แต่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยซื้อปีเว้นปี
ของทุน SSF และ RMF เหมาะกับวัยทำงานที่มีเงินได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี แต่ต้องการประหยัดภาษี และอยากลดหย่อนภาษีด้วยการลงทุนโดยหวังผลตอบแทนในระยะยาว หรือต้องการเตรียมความพร้อมด้านการเงินก่อนเกษียณอายุจากการทำงาน

     ส่วนการพิจารณาเลือกลงทุนกองทุน SSF หรือ RMF ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการลงทุน อายุของผู้ลงทุน รายได้และเงินเก็บ ดังนี้
     หากเน้นการออมเงินระยะยาวประมาณ 10 ปี ควรเลือกลงทุนใน SSF เพราะสามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบ 10 ปี โดยไม่ต้องรอจนอายุถึง 55 ปีเหมือน RMF
เป้าหมายเพื่อเตรียมเงินสำหรับการเกษียณอายุ ควรเลือก RMF เพราะนอกจากจะได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีแล้ว ยังตอบโจทย์การทยอยเก็บเงินไว้ใช้ตอนเกษียณ เนื่องจากเป็นการลงทุนต่อเนื่องทุกปี และสามารถลงทุนตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้เงินงอกเงยในระยะยาว
หากมีอายุต่ำกว่า 45 ปี มีเงินลงทุนไม่สม่ำเสมอ ก็อาจเลือกลงทุนในกองทุน SSF เพราะเป็นการลงทุนแบบก้อนต่อก้อน ไม่จำเป็นต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี แต่ต้องลงทุนยาว 10 ปี
       หากอายุ 45 ปี สามารถเลือกลงทุนได้ทั้งแบบกองทุน SSF หรือ RMF เพราะมีระยะเวลาถือจนครบกำหนด 10 ปีไม่ต่างกัน
ส่วนอายุ 47 ปี หรือ 50 ปีขึ้นไป การเลือกลงทุนในกองทุน RMF จะใช้ระยะเวลาในการลงทุนที่สั้นกว่า เพราะถือเพียง 5 – 8 ปีก็สามารถขายคืนหน่วยลงทุนได้ ไม่ต้องถือจนครบกำหนด 10 ปี เหมือน SSF

ขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564

เงินบาทแข็งที่สุดในรอบ 2 เดือน

        เมื่อวันศุกร์ 12 พ.ย. 64 ที่ผ่านมา  เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 32.80 เทียบกับระดับ 33.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันที่ 5 พ.ย.64  ศูนย์วิจัยกสิกรไทย สรุปความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทว่า เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์สอดคล้องกับสัญญาณเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรไทย นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทยประมาณ 4.76 หมื่นล้านบาทระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.64 ประกอบกับน่าจะมีอานิสงส์จากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของกลุ่มผู้ส่งออกตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย. ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคานำเข้าและส่งออก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

       โดยเงินบาทลดช่วงแข็งค่าลงบางส่วนระหว่างสัปดาห์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นหลังจากอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักต่อความเป็นไปที่เฟดอาจจะจำเป็นต้องส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินเร็วขึ้น

      สำหรับตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นและยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนต.ค. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

        สำหรับความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย หุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,633.94 จุด เพิ่มขึ้น 0.47% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 72,080.92 ล้านบาท ลดลง 6.28% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 1.99% มาปิดที่ 558.09 จุด

       ทั้งนี้หุ้นไทยขยับขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค โดยมีแรงหนุนช่วงต้นสัปดาห์จากแรงซื้อของต่างชาติ อย่างไรก็ดีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบในช่วงกลางสัปดาห์เนื่องจากขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ

      ประกอบกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศในภาพรวมถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และการคาดการณ์เกี่ยวกับจังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ในสัปดาห์นี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงจากเรื่องการปรับเกณฑ์คัดหุ้นเข้าดัชนี SET50 และ SET100 ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

นักลงทุนไม่ผิดหวัง หลัง BE8-PIN ทำกำไรทะยาน 160%

         ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือวันที่ 8-12 พ.ย.64  หุ้นน้องใหม่ไอพีโอ ไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังหากขายหุ้นในวันแรก หลังเทรดวันแรก กำไร ด้วย หุ้น เบริล 8 พลัส หรือ BE8 กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี โดยเข้าซื้อขายวันแรก ในวันที่ 8 พ.ย.64 อยู่ที่ 26 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 16 บาท ทะยานไปที่ 160% จากราคา IPO 10 บาทต่อหุ้น

         ด้าน หุ้น ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค หรือ PIN น้องใหม่รายล่าสุดในรอบกว่า 10 ปี ในกลุ่มอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมที่เข้าระดมทุนเมื่อ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยเปิดซื้อขายวันแรก 4 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 2.56% จากราคาไอพีโอ 3.90 บาทต่อหุ้น ฟาก “บล.ฟินันเซีย ไซรัส” ระบุว่า หุ้น PIN ถือเป็นผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรมที่มี “จุดเด่น” ด้านทำเลที่ตั้งในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC) แม้ปี 2563-2564 ถูกกระทบจาก Lockdown จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่คาดกำไรกำลังเข้าสู่วัฏจักรการเติบโตอีกครั้งหลังเปิดเมืองและการเปิดให้บริการ PIN6

           โดยหลังจากที่บมจ.คอมเซเว่น หรือ COM7 โชว์ตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 ได้กำไรสุทธิ 570.5 ล้านบาท พุ่งกว่า 53% ขณะที่โกย รายได้ ไปที่10,098.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ในสถานการณ์โควิด-19 รุนแรง มีการล็อกดาวน์และปิดห้างสรรพสินค้าชั่วคราว แต่ COM7 ปรับกลยุทธ์ด้วยการเพิ่มช่องทาง Pop Up Store และ Stand Alone เสริมทัพ ควบคู่การขายผ่านออนไลน์ด้วย

               ด้านบมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท หรือ J หนึ่งในบริษัทไซด์เล็กสุดใน กลุ่ม เจมาร์ท (JMART) ได้ฤกษ์เปิดตัวตัวโครงการศูนย์การค้าขนาดเล็ก (Community Mall) แห่งที่ 5 “JAS Green Village” ถนนคู้บอน “สุพจน์ สิริกุลภัสสร์” ซีอีโอ J ลั่นกำลังเร่งทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้เปิดเชิงพาณิชย์ทันต้นเดือนธ.ค.นี้ โดยปัจจันมีเพื่อน (ร้านค้า) เช่าพื้นที่กว่า 90% แล้ว ไม่คิดว่าภายใต้สถานการณ์โควิด-19 จะได้รับกระแสตอบรับจากร้านค้ามากขนาดนี้

 

ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ

ปิดดีลร่วมทุน แหลมฉบังเฟส 3

เรือโทกมลศักดิ์ พรหมประยูร ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F โดยระบุว่า ปัจจุบันร่างสัญญาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวผ่านการเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา จึงถือว่าขั้นตอนการคัดเลือกเอกชนแล้วเสร็จ หลังจากนี้จะเข้าสู่ขั้นตอนลงนามสัญญา ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือน พ.ย.นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินต้นเดือน ธ.ค.2564

โดยโครงการแหลมฉบัง 3 ถือเป็นโครงการในอีอีซีฟาสต์แทร็กที่ล่าช้าที่สุด หากเทียบกับโครงการอื่นอย่างรถไฟความเร็วสูง เมืองการบินอู่ตะเภา และท่าเรือมาบตาพุด เพราะโครงการนี้เสียเวลากับการสู้คดีกรณีเอกชนฟ้องร้องถึงกระบวนการคัดเลือกไปถึง 1 ปี รวมระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เริ่มเปิดประกวดราคาเป็นเวลากว่า 2 ปี 7 เดือน 12 วัน

 

หลังจากนี้คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) จะเป็นผู้ประสานการลงนามสัญญากับกลุ่มกิจการร่วมค้า GPC ประกอบด้วย บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทพีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT TANK) บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด โดยจะเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีลงนาม

แบ่งออกเป็น 4 โครงการ มูลค่ารวม 5 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย

1.ก่อสร้างงานทางทะเลกับกิจการร่วมค้า ซีเอ็นเอ็นซี วงเงินรวม 21,320 ล้านบาท โดยปัจจุบันได้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา คาดแล้วเสร็จ 2566

2.การก่อสร้างอาคาร ท่าเรือเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณสุข มูลค่า 6,502 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) คาดว่าจะสามารถปะกวดราคาภายในปีนี้ เพื่อเร่งรัดให้ทยอยแล้วเสร็จรองรับการส่งมอบพื้นที่ให้เอกชนในปี 2566

3.สร้างระบบทางรถไฟ จะทยอยดำเนินการหลังจากนี้

4.ลงทุนเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการ ตลอดจนหาเครื่องมือระบบกึ่งอัตโนมัติให้บริการ จะทยอยดำเนินการหลังจากนี้

สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ตามแผนพัฒนาจะมีมูลค่าการลงทุนรวมประมาณ 1.1 แสนล้านบาท แบ่งออกเป็น ภาครัฐลงทุนประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ในส่วนของงานโครงสร้างพื้นฐานที่ระบไว้ข้างต้น ขณะที่เอกชนลงทุนประมาณ 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น  1.ลงทุนในท่าเทียบเรือ F ประมาณ 3หมื่นล้านบาท ที่ปัจจุบันได้กลุ่มกิจการร่วมค้า GPC เป็นผู้ร่วมลงทุน 2.ท่าเทียบเรือ E ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท และ 3.ท่าเทียบเรือ E0 ประมาณ 5 พันล้านบาท จะเป็นแผนลงทุนในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือราวปี 2573

ขณะที่ผลการดำเนินงานในรอบปีงบประมาณ 2564 กทท.มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า ณ ท่าเรือกรุงเทพ 1.4 ล้าน ที.อี.ยู.ใกล้เคียงปีก่อน ส่วนท่าเรือแหลมฉบัง มีปริมาณรวม 8.42 ล้าน ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 10% และปริมาณเรือเทียบท่ารวม 11,041 เที่ยว ลดลง 0.46% โดย กทท. มีกำไรสุทธิในภาพรวมประมาณ 6,023 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.99% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ส่วนในปี 2565 เบื้องต้นประเมินว่าจะมีรายได้ 1.59 หมื่นล้านบาท และเพิ่มต่อเนื่องในปี 2566 คาดรายได้ 1.6 หมื่นล้านบาท

 

ขอบคุณ กรุงเทพธุรกิจ

โควิด-19 หนุนเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนเพิ่มขึ้น มูลค่าแตะ 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

        นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของกลุ่มประเทศอาเซียน ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคระบาดรุนแรง รวมถึงบริษัทสตาร์ตอัพเทคโนโลยีที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.63 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 และมีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030

       e-Conomy SEA Report 2021 จัดทำโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง “กูเกิล” ร่วมกับกองทุน “เทมาเส็ก” ของสิงคโปร์ และบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ “เบนแอนด์โค” ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ทำการสำรวจวิเคราะห์ครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจในอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยภูมิภาคอาเซียนมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 40 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดรวมของผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในอาเซียนอยู่ที่ราว 350 ล้านคน คิดเป็น 75% ของประชากรทั้งภูมิภาค และในจำนวนดังกล่าวราว 8 ใน 10 รายเคยสั่งซื้อของออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง

        สเตฟานี เดวิส  รองประธานกูเกิลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเป็นพื้นที่ที่มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและการบริโภคออนไลน์สูงที่สุด แต่เห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่อย่างชัดเจนในเวลานี้ มีจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในพื้นที่นอกเมืองมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายมาเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ในปี 2020 และขยายตัวมากขึ้นในปีนี้ โดยเราจะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้บริโภคในเมืองและในชนบท ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนในปีนี้อยู่ที่ 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 49% จาก 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020   ไม่เพียงจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ขยายตัวเท่านั้น แต่สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ด้วยมูลค่าบริษัทสูงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ปีนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 11 ราย ส่งผลให้ปัจจุบันอาเซียนมียูนิคอร์นรวมเป็น 23 ราย ยูนิคอร์นหน้าใหม่ที่เกิดขึ้น อาทิ คาร์โร  แพลตฟอร์มขายรถมือสอง, นินจา แวน  ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุ ซึ่งทั้ง  2 ราย เป็นสตาร์ตอัพของสิงคโปร์ ส่วนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง แกร็บ  และ โกทู  ยังคงเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก เช่นเดียวกับกลุ่ม ซี กรุ๊ป ยักษ์เทคโนโลยีของสิงคโปร์ที่กลายเป็นบริษัทมาแรง ด้วยมูลค่าตลาด  ถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์อย่าง การีน่า และช็อปปิ้งออนไลน์อย่าง  ช้อปปี้

        โดยกระแสเงินทุนของนักลงทุนทั่วโลกในสตาร์ตอัพเทคโนโลยีของอาเซียนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าข้อตกลงทางธุรกิจในบริษัทเทคโนโลยีอาเซียนช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นราว 65% จากช่วงเดียวกันของปี 2020 และเกือบเท่ากับมูลค่ารวมของข้อตกลงตลอดทั้งปี 2020 ที่ 11,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

        ทั้งนี้สำหรับในไทยปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของสตาร์ทอัพ เพราะเกิดสตาร์ทอัพ ที่มีมูลค่าธุรกิจ  1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 33,000 ล้านบาท  หรือที่เรียกว่า “ยูนิคอร์น”เกิดขึ้น 3 รายรวด  เริ่มต้นจากแฟลช กรุ๊ป ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซครบวงจร  ที่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสามารถปิดดีลยักษ์จากการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ฺ E จากกลุ่ม Buer Capital Limited และ SCB 10X เข้าร่วมทุน พร้อม eWTP -โออาร์-เดอเบล-กรุงศรีฟินโนเวต ที่ลงเพิ่มได้เม็ดเงินรวมไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท นับเป็นสตาร์ทอัพไทยรายแรก ที่สามารถระดมทุนรวมได้มากที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 30,000 กลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย และประกาศขึ้นเป็นขนส่งเอกชนอันดับ 1 ด้วยตัวเลขจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น

         ล่าสุดที่ปิดดีลกันในเดือนพฤศจิกายน โดยกลุ่มเอสซีบี เอ็กซ์” SCBX  เข้าลงทุนใน Bitkub “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจาก Bitkub บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd.) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท

 

ขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ

        นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของกลุ่มประเทศอาเซียน ได้รับปัจจัยบวกจากจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงสถานการณ์โรคระบาดรุนแรง รวมถึงบริษัทสตาร์ตอัพเทคโนโลยีที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคนี้คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3.63 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 และมีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030

       e-Conomy SEA Report 2021 จัดทำโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง “กูเกิล” ร่วมกับกองทุน “เทมาเส็ก” ของสิงคโปร์ และบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ “เบนแอนด์โค” ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา ที่ทำการสำรวจวิเคราะห์ครอบคลุมประเทศเศรษฐกิจในอาเซียน 6 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยภูมิภาคอาเซียนมีจำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 40 ล้านคนในปีนี้ ส่งผลให้ปัจจุบันมียอดรวมของผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในอาเซียนอยู่ที่ราว 350 ล้านคน คิดเป็น 75% ของประชากรทั้งภูมิภาค และในจำนวนดังกล่าวราว 8 ใน 10 รายเคยสั่งซื้อของออนไลน์อย่างน้อย 1 ครั้ง

        สเตฟานี เดวิส  รองประธานกูเกิลประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมืองใหญ่ในภูมิภาคเป็นพื้นที่ที่มีการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและการบริโภคออนไลน์สูงที่สุด แต่เห็นสัญญาณความเปลี่ยนแปลงที่อย่างชัดเจนในเวลานี้ มีจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตในพื้นที่นอกเมืองมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายมาเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ในปี 2020 และขยายตัวมากขึ้นในปีนี้ โดยเราจะเริ่มมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างผู้บริโภคในเมืองและในชนบท ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียนในปีนี้อยู่ที่ 1.74 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 49% จาก 1.17 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020   ไม่เพียงจำนวนผู้เข้าถึงอินเตอร์เน็ตที่ขยายตัวเท่านั้น แต่สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะสตาร์ตอัพที่กลายเป็น “ยูนิคอร์น” ด้วยมูลค่าบริษัทสูงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ปีนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 11 ราย ส่งผลให้ปัจจุบันอาเซียนมียูนิคอร์นรวมเป็น 23 ราย ยูนิคอร์นหน้าใหม่ที่เกิดขึ้น อาทิ คาร์โร  แพลตฟอร์มขายรถมือสอง, นินจา แวน  ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุ ซึ่งทั้ง  2 ราย เป็นสตาร์ตอัพของสิงคโปร์ ส่วนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง แกร็บ  และ โกทู  ยังคงเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก เช่นเดียวกับกลุ่ม ซี กรุ๊ป ยักษ์เทคโนโลยีของสิงคโปร์ที่กลายเป็นบริษัทมาแรง ด้วยมูลค่าตลาด  ถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นเกมออนไลน์อย่าง การีน่า และช็อปปิ้งออนไลน์อย่าง  ช้อปปี้

        โดยกระแสเงินทุนของนักลงทุนทั่วโลกในสตาร์ตอัพเทคโนโลยีของอาเซียนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ โดยมูลค่าข้อตกลงทางธุรกิจในบริษัทเทคโนโลยีอาเซียนช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ อยู่ที่ 11,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นราว 65% จากช่วงเดียวกันของปี 2020 และเกือบเท่ากับมูลค่ารวมของข้อตกลงตลอดทั้งปี 2020 ที่ 11,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

        ทั้งนี้สำหรับในไทยปีนี้ถือว่าเป็นปีทองของสตาร์ทอัพ เพราะเกิดสตาร์ทอัพ ที่มีมูลค่าธุรกิจ  1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 33,000 ล้านบาท  หรือที่เรียกว่า “ยูนิคอร์น”เกิดขึ้น 3 รายรวด  เริ่มต้นจากแฟลช กรุ๊ป ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ และอีคอมเมิร์ซครบวงจร  ที่ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาสามารถปิดดีลยักษ์จากการระดมทุนรอบซีรีส์ D+ และ ซีรีส์ฺ E จากกลุ่ม Buer Capital Limited และ SCB 10X เข้าร่วมทุน พร้อม eWTP -โออาร์-เดอเบล-กรุงศรีฟินโนเวต ที่ลงเพิ่มได้เม็ดเงินรวมไปกว่า 150 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,700 ล้านบาท นับเป็นสตาร์ทอัพไทยรายแรก ที่สามารถระดมทุนรวมได้มากที่สุดในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี ทำให้ธุรกิจมีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 30,000 กลายเป็นยูนิคอร์นรายแรกของไทย และประกาศขึ้นเป็นขนส่งเอกชนอันดับ 1 ด้วยตัวเลขจัดส่งพัสดุต่อวันสูงสุดร่วม 2 ล้านชิ้น

         ล่าสุดที่ปิดดีลกันในเดือนพฤศจิกายน โดยกลุ่มเอสซีบี เอ็กซ์” SCBX  เข้าลงทุนใน Bitkub “บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด” (Bitkub Online Co., Ltd.) ผู้นำด้านศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย (Digital Asset Exchange) ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจาก Bitkub บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (Bitkub Capital Group Holdings Co., Ltd.) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 17,850 ล้านบาท

 

ขอบคุณ ฐานเศรษฐกิจ

คลังเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์ ตั้งแต่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค64

     น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กระทรวงการคลังจะเปิดขายพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นออมไปด้วยกัน วงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 รัฐบาลจึงขอเชิญชวนประชาชนมาลงทุนเพื่อเป็นอีกทางเลือกในการเพิ่มการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนดี โดยช่องทางการจำหน่ายหลากหลาย สะดวกในการเลือกลงทุนแบ่งเป็น 2 รุ่นอายุ คือ อายุ 5 ปี และ 10 ปี ช่องทางการจำหน่ายแยกเป็น 2 ส่วน รายละเอียดดังนี้ ส่วนที่ 1 จำหน่ายในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง วงเงินรวม 1 หมื่นล้านบาท เปิดจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 โดยพันธบัตรรุ่นอายุ 5 ปี จ่ายดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได ปีที่ 1 ร้อยละ 1.5 ต่อปี ปีที่ 2-4 ร้อยละ 2 ต่อปี และ ปีที่ 5 ร้อยละ 3 ต่อปี เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.10 ต่อปี ส่วนรุ่นอายุ 10 ปี จ่ายดอกเบี้ยเป็นขั้นบันได ปีที่ 1-3 ร้อยละ 2 ต่อปี ปีที่ 4-5 ร้อยละ 3 ต่อปี ปีที่ 6-9 ร้อยละ 3.50 ต่อปี และปีที่10 ร้อยละ 4 ต่อปี เฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน สามารถลงทุนได้ตั้งแต่ 100 บาท ถึง 10 ล้านบาท

      คุณสมบัติผู้ซื้อเป็นบุคคลสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป แต่กรณีผู้เยาว์เมื่อลงทะเบียนในวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตังแล้วต้องไปยืนยันตัวตนพร้อมผู้ปกครองที่สาขาธนาคารกรุงไทยสำหรับการซื้อครั้งแรก

        ส่วนที่ 2 จำหน่ายให้แก่ประชาชนและนิติบุคคลไม่แสวงหากำไรผ่านธนาคารตัวแทนจำหน่าย 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ วงเงิน 70,000 ล้านบาท ลงทุนได้ตั้งแต่ 1,000 บาท โดยไม่จำกัดวงเงินซื้อขั้นสูง

       โดยจะแยกเป็นการจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไปก่อนในวงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย. – 3 ธ.ค. 2564 อัตราดอกเบี้ยทั้งรุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี และรอบการจ่ายดอกเบี้ยเหมือนกับผู้ลงทุนผ่านแอปพลิชั่นเป๋าตัง โดยประชาชนที่สนใจสามารถลงทุนผ่านทั้งเคาน์เตอร์ธนาคาร อินเตอร์เน็ตแบงกิ้งและโมบายแบงกิ้งของธนาคารทั้ง 4 แห่ง คุณสมบัติผู้ลงทุนเช่นเดียวกับการลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง หากเป็นผู้เยาว์ต้องมีบัญชีธนาคารตัวแทนจำหน่ายและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครองก่อน

        ส่วนที่เหลือ 1.5 หมื่นล้านบาทจำหน่ายให้แก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไร มีเฉพาะรุ่นอายุ 10 ปี เปิดจำหน่ายตั้งแต่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค. 2564 ดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 2.20 จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน โดยจำหน่ายเฉพาะช่องทางเคาน์เตอร์ธนาคารทั้ง 4 แห่งรัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมในรูปแบบต่างๆ จึงมีการพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์การเงินของภาครัฐ ช่องทางการอำนวยความสะดวกในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในวงเงิน 8 หมื่นล้านบาท ครั้งนี้กระทรวงการคลังก็ได้เน้นจำหน่ายให้แก่ประชาชนรายย่อย 6.5 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือ 1.5 หมื่นล้านบาทจำหน่ายแก่นิติบุคคลไม่แสวงหากำไรกระทรวงการคลังมีแผนออกพันธบัตรออมทรัพย์ในปีงบประมาณ 2565 รวม 1.5 แสนล้านบาท รอบนี้ออกพันธบัตร 8 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วนอีก 7 หมื่นล้านบาท จะออกจำหน่ายช่วงเดือน พ.ค.-ก.ย. 2565

 

ขอบคุณ สำนักข่าวอินโฟเควสท์