LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

หุ้นจีน ผันผวนหนัก เพราะปัญหารุมเร้ามาก

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์” กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กองทุนหุ้นจีน ถึงแม้ราคาในตลาด H-shares จะต่ำกว่าตลาด A-shares ประมาณ 20% ซึ่งมองว่าอัพไซด์ของจีนยังไม่มีมากนัก และเนื่องจากราคาที่ต่ำ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขายออก แต่หากจะเข้าซื้อ อาจจะพอมีอัพไซด์ แต่ก็ค่อนข้างที่จะยากและมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโซนสหรัฐหรือยุโรป รวมถึงการลงทุนในกลุ่มการเงิน (global financial)หรือกลุ่มเทคโนโลยี (global technology) ที่น่าจะมีอัพไซด์ที่ดีกว่ากองทุนหุ้นจีน

หากมองในภาพใหญ่คิดว่าจีนกำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจีนคงจะใช้ระยะเวลานานหลายปี และจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดความผันผวนได้ตลอด ดังนั้น จากความไม่แน่นอน จึงยังทำให้ยังมีความผันผวนที่สูง แต่หากนักลงทุนสนใจลงทุนในจีน แนะให้ลงทุน H-sharesและ A-shares ในสัดส่วนการลงทุนที่เท่า ๆ กัน ประมาณ 50 : 50% แต่หากดูเรื่องอัพไซด์มองว่าการลงทุนในสหรัฐและยุโรปดูน่าสนใจกว่า เนื่องจากมองว่าจีนยังเป็นดาวน์ไซด์มากกว่าอัพไซด์

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่จีนก็ยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่ยังเติบโตได้อีกมหาศาล แต่จีนยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังเงียบอยู่ ซึ่งทำให้ยังประเมินภาพการลงทุนในจีนได้ค่อนข้างยากในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจีนยังคงมีความผันผวนและมีปัจจัยลบรุมเร้าค่อนข้างมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวหากนักลงทุนสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นจีนได้ โดยต้องขึ้นกับนักลงทุนว่าจะมองช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว หรือจะเลือกไปลงทุนในที่ที่ผันผวนน้อยกว่า

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

สหรัฐ เปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF อย่างเป็นทางการ

สหรัฐอเมริกาเปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF  อย่างเป็นทางการ ซึ่งกองทุนดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัทจัดการสินทรัพย์ ProShares และใช้ชื่อย่อว่า BITO ซึ่งนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีบัญชีกับโบรกเกอร์ หรือบัญชีซื้อขายหุ้น สามารถลงทุนซื้อ-ขายกองทุน Bitcoin Future ETF ได้เลย ซึ่งเป็นกองทุน BITO ที่มีมูลค่าการซื้อขายวันแรกสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับกองทุน Bitcoin Future ETF เป็นกองทุนที่ลงทุนกับ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของราคาบิทคอยน์ มีความแตกต่างกับ Bitcoin Spot ETF ที่ไปลงทุนในบิทคอยน์มีการถือครองบิทคอยน์ไว้ในมือ

ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ทำได้เพียง Bitcoin Future EFT เท่านั้น แต่กองทุน Bitcoin Spot ETF ทางสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกายังไม่ได้มีการอนุมัติแต่อย่างใด

ทั้งนี้หากผู้ลงทุนคนไทยสนใจเทรด Bitcoin Future สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดกับ MTS Capital ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุกภายหลังจากจับมือกับ “CME Group” ซึ่งก็คือตลาดซื้อขายอนุพันธ์อันดับ 1 ของโลก ที่เปิดให้คนไทยสามารถลงทุนใน “Micro Bitcoin Future” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Cryptocurrency ที่ผู้ลงทุนคนไทยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องไปเทรดถึงตลาดต่างประเทศ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ สินเชื่อบ้านสูงขึ้นปี 65

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า  ผลของการผ่อนคลายมาตรการ LTV คงจะเปิดโอกาสให้สินเชื่อบ้านเติบโตในกรอบที่สูงขึ้นในปี 2565 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเบื้องต้นว่า การผ่อนปรนมาตรการ LTV จะทำให้สินเชื่อบ้านปี 2565 มีโอกาสเติบโตเพิ่มเติมได้ประมาณ 0.3-0.7% ไปอยู่กรอบ 4.8-5.2% สูงขึ้นกว่ากรอบคาดการณ์ปี 2564 ที่ 4.2-4.5% โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตลอดช่วงเวลาของมาตรการฯ จะเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดไว้คิดเป็นมูลค่าราว 18,000 – 30,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการ

ซึ่งการผ่อนเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่อง หรือ  มาตรการ LTV โดยปรับเพดาน LTV เป็น 100% ชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของตลาดที่อยู่อาศัยและการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปี 2565 ที่ยังเต็มไปด้วยหลายปัจจัยท้าทาย

ทั้งนี้ประเด็นติดตามจะอยู่ที่การประเมินความพร้อมในการก่อหนี้ก้อนใหม่หรือรีไฟแนนซ์หนี้เดิม ซึ่งครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด รวมถึงสถานการณ์รายได้และการจ้างงานที่อาจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ อันจะมีผลต่อเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อสำหรับลูกหนี้แต่ละรายในท้ายที่สุด

หลังถอนใบอนุญาต คปภ.แจ้ง SMS กับลูกค้าเอเชียประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. กล่าวว่า ตามที่ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) และคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 2/2564 แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชี ได้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) ชื่อ “ระบบแจ้งข้อมูลและสิทธิกรณีบริษัท ประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)” รวมถึงแจ้งข้อมูลไปยังผู้เอาประกันภัยผ่าน SMS ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้จากระบบของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมตามขั้นตอนและสิทธิต่าง ๆ ผ่านช่องทาง Web Application ดังนี้

กรณีที่ 1 กรมธรรม์ประกันภัยมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ให้ผู้เอาประกันภัยยื่นขอทวงหนี้ที่กองทุนประกันวินาศภัย หรือสำนักงาน คปภ.ทั่วประเทศ

กรณีที่ 2 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้

กรณีที่ 3 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้เช่นกัน

ทั้งนี้การส่ง SMS และการทำรายการผ่านช่องทาง Web Application ดังกล่าว จะไม่ทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียสิทธิที่พึงมีตามสัญญาประกันภัยแต่อย่างใด โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กระบวนการชำระหนี้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้หากผู้เอาประกันภัยมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 ซึ่งปัจจุบันมี 19 บริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในกรณีดังกล่าวแล้ว โดยผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าไปใช้งาน Web Application ดังกล่าวผ่านช่องทางเว็บไซต์ คปภ. และ Chatbot “คปภ.รอบรู้” (LINE : @OICConnect) และสำนักงาน คปภ.จะรวบรวมข้อมูลจากผู้เอาประกันภัยที่แจ้งข้อมูลเพื่อส่งให้กองทุนประกันวินาศภัยดำเนินการต่อไป โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะแจ้งเป็นหนังสือทางไปรษณีย์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

แนวทางฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิดคลี่คลายดัน GDP ปี 65

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในการประชุม The Committee on Macroeconomic Policy, Poverty Reduction and Financing for Development ครั้งที่ 3 ที่จัดโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP)  กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงการคลังในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และ 5 แนวทางหลักในการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

แนวที่ 1 นโยบายทางการเงินเพื่อเยียวยาและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อให้สามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

แนวทางที่2 การบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค โดยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลัง การบริหารระดับหนี้สาธารณะ ตลอดจนถึงการปรับปรุงระบบการเก็บภาษี และการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

แนวทางที่3 การลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการ คุณภาพชีวิตของผู้คน และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค

แนวทางที่4  การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มั่นคง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึง ทั้งแบบสมัครใจและมีส่วนร่วม อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ และกองทุนการออมแห่งชาติ

แนวทางที่5  รัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.64 ประเทศไทยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นลบ โดยต้องทำการตรวจเชื้อก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะได้รับการตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 63 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาด และจัดสรรเงินทุนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน แรงงาน และผู้ประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหัน หรือถูกลดค่าจ้างลง โดยผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือเยียวยา ในขณะเดียวกัน โครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลอย่างโครงการคนละครึ่ง และการลดภาษีได้ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ รวมถึงรัฐบาลได้รักษาระดับการจ้างงานผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยตรง และการดำเนินมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาลจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาค รวมถึงแนวโน้มคาดว่าภายในสิ้นปี 64 จะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้ โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ ส่วนในปี 65 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม หรือขยายตัวในช่วง 4-5% ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง

 

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 21 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 21 ตุลาคม 2564

นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ปรับลดสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยปัจจัยบวก ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ต.ค. 64 ปรับตัวลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล สู่ 426.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบ คุชชิง โอกลาโฮมา ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี

โดยเจ้าชายอับดูลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานซาอุฯ กล่าวว่าจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้โรงไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นราว 5-6 แสนบาร์เรลต่อวัน ขึ้นกับสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาว ซึ่งตลาดน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว หลังกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ยังคงมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยกลุ่มมีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ย. 64  โดยจะมีการหารือถึงแผนในเดือน ธ.ค. ในการประชุมกลุ่มวันที่ 4 พ.ย. 64

ทั้งนี้สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะการปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น ขณะที่อุปทานยังคงตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในเอเชียเหนือ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมตั้งงบ 1 แสนล้านเยน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ

นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเตรียมจัดตั้งกองทุนงบประมาณ 1 แสนล้านเยน ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยกองทุนดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์  เทคโนโลยีควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ และหุ่นยนต์ โดยจะเริ่มดำเนินการในปี 2022

โดยกองทุนดังกล่าวจะอยู่ภายใต้องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือเอ็นอีดีโอ และสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น หรือ เจเอสที โดยจะมอบเงินทุนให้กับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่รัฐบาลเห็นว่ามีความสำคัญ ซึ่งอยู่ในงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2021 ซึ่งจะจัดสรรขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 31 ต.ค.นี้ และเริ่มดำเนินโครงการในปี 2022 ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังจะมีการจัดสรรต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี

ทั้งนี้เป้าหมายใหญ่คือเร่งผลักดันเทคโนโลยีของญี่ปุ่นสู่การใช้งานจริง เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ว่าญี่ปุ่นจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง แต่มักไม่ได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากขาดแคลนเงินทุนสนับสนุน และกลายเป็นช่องทางให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นผ่านการเข้าซื้อกิจการหรือการซื้อตัวนักวิจัย ซึ่งนับเป็นความพยายามล่าสุดของญี่ปุ่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยี หลังจากที่ปล่อยให้หลายประเทศพัฒนาแซงหน้าไปเป็นเวลานาน แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องติดตามต่อไปไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะราบรื่นดังที่นายกรัฐมนตรีคิชิดะคาดหวังหรือไม่ รวมถึงความเสี่ยงที่ญี่ปุ่นอาจถูกโจมตีจากนานาชาติว่าการสนับสนุนเม็ดเงินมหาศาลให้กับภาคเอกชนในประเทศเช่นนี้ อาจเป็นการแทรกแซงตลาดอย่างไม่เป็นธรรม

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

หอการค้า เผย GDP ปี 64 เติบโต 1.0-1.5%

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ครม.อนุมัติงบประมาณ 54,600 ล้านบาท สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โครงการคนละครึ่ง และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมากมาตรการดังกล่าวจะเป็นการบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพ และยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ประมาณ 95,000 ล้านบาท ส่งผลให้ ประมาณการณ์เศรษฐกิจ ของประเทศไทยในปี 64 นี้ เพิ่มเป็น 1.0-1.5%

ซึ่งค่าใช้จ่ายของประชาชนใน 2 เดือนสุดท้าย จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญตัวหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ นอกเหนือจากเม็ดเงินที่จะได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะแม้ว่าจะเริ่มเปิดเมืองในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่ได้เข้ามาทันทีทันใด ดังนั้น การบริโภค และการเดินทางภายในประเทศจึงเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่สำคัญคือประชาชน และผู้ประกอบการ ต้องไม่ละเลยการระมัดระวังตัว และรักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด

ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพได้ส่วนหนึ่ง และหลังจาก น้ำท่วม จะต้องมีการก่อสร้าง การจับจ่ายใช้สอยเพื่อฟื้นฟูความเสียหาย โดยส่วนนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ และเกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่เผย แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศซบเซา จากที่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ยืดเยื้อ การก่อสร้างชะลอตัวลง แต่ทางบริษัทได้ยอดขายจากตลาดส่งออกมาชดเชยทำให้ไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการส่งออกเหล็กแท่งครั้งแรกในรอบ 15 ปี ไปยังแคนนาดา ได้ปริมาณ 22,000 ตัน อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้น ตามตลาดโลก ทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปและโลหะเพิ่มขึ้น

ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ราคาเหล็กจะยังคงมีราคาสูงขึ้นจากตลาดโลก เนื่องจากจีนผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกได้ลดการผลิตเหล็กลง ทำให้ตลาดมีความต้องการสินค้ามากขึ้นและมีการขยับขึ้นราคามาต่อเนื่อง ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกเฉลี่ย 750-760 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กตลาดในประเทศต้องปรับขึ้นเป็น 25,600-25,700 บาทต่อตัน จากเดือนก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 23,500 บาทต่อตัน

ทั้งนี้แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กในประเทศมีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” จากประชาชนต้องการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วมใน 18 จังหวัด รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลต่อความเชื่อมั่นเกิดการลงทุนซึ่งมีผลต่อกิจการของบริษัทรวมถึงเชื่อว่าจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และภาพรวมการดำเนินการกิจการของบริษัทยังให้ความสำคัญตลาดในประเทศเป็นหลัก เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีความต้องการก็จะเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

สหกรณ์ เผยราคาปุ๋ยปรับตัวสูงถึงปี 65 เนื่องจากราคาน้ำมัน เร่งช่วยสมาชิกลดต้นทุนผลิตปุ๋ยถูกกว่าท้องตลาด

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ราคาปุ๋ยมีปรับตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มถึงต้นปี 2565 เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความต้องการปุ๋ยเคมีสำหรับใช้ในการเพาะปลูกของเกษตรกรในต่างประเทศ เช่น อินเดีย อัตราค่าระวางการขนส่งสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศสูงถึง 97%

โดยกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในจึงได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคม คนไทยธุรกิจเกษตร ดำเนินโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ปุ๋ยช่วยเกษตรกร” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายปุ๋ยเคมีราคาถูกให้เกษตรกรผ่านสถาบันเกษตรกร เช่น สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร มีปริมาณปุ๋ยเคมีที่เข้าร่วมโครงการ 208,411 ตัน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้สำหรับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว 186 แห่ง และได้รับการจัดสรรปุ๋ยเคมีจากบริษัท ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 29,807 ตัน และได้มีการขยายระยะเวลาโครงการต่ออีก 2 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดโครงการในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือสมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้ได้ซื้อปุ๋ยเคมีในราคาถูกสามารถสั่งซื้อปุ๋ยผ่านสหกรณ์การเกษตรกลุ่มเกษตรกรที่ตนเองสังกัดได้ จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ 31 ตุลาคม 2564 นี้ ในขณะนี้มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 112 แห่งใน 44 จังหวัด ต้องการปุ๋ยเคมีสำหรับบริการแก่สมาชิกปริมาณ 32,214 ตัน หากเกษตรกรยังมีความต้องการในการใช้ปุ๋ยเคมีที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด

 

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 20 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 20 ตุลาคม 2564

กสิกร ระงับโฆษณาขายประกันภัย “โดนแฮกเงิน”

จากกรณีธนาคารกสิกรไทย มีการเผยแพร่กระจายภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ที่มีข้อความว่า “โดนแฮกเงินหาย”  ทางธนาคารกสิกรไทยได้ออกมาขออภัยลูกค้าและประชาชน โดย หยุดขายประกัน “ช้อปออนไลน์” ย้ำไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตก

โดยทางธนาคารมีการจัดทำโฆษณาเพื่อสื่อสารทางการตลาดที่สอดคล้องกับประสบการณ์ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ของลูกค้า 7 รูปแบบ ซึ่งข้อเสนอตามภาพเป็นการนำเสนอให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ประมาณ 12,000 คนผ่าน K PLUS เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา

ก่อนจะเกิดกระแสข่าวการตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของประชาชนจำนวนมาก ตามที่สื่อต่าง ๆ ได้มีการนำเสนอในช่วงนี้โดยทันที

หลังจากที่ทราบประเด็นความเดือดร้อนดังกล่าว ธนาคารจึงได้ระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้วยรูปแบบข้างต้นในทุกช่องทาง ประกันดังกล่าวธนาคารเป็นผู้เสนอขาย โดยจะให้ความคุ้มครองความเสียหาย 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. คุ้มครองผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ กรณีผู้ขายไม่ส่งสินค้าภายใน 7 วันนับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง, ผู้ซื้อได้รับสินค้าไม่ครบตามรายการสั่งซื้อ, สินค้าได้รับความเสียหายทางกายภาพ, สินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณาประชาสัมพันธ์
  2. คุ้มครองผู้ขายจากการถูกหลอกลวงให้ส่งสินค้า และไม่ได้รับเงินภายใน 7 วัน นับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง
  3. คุ้มครองเงินส่วนตัวที่หายจากบัตร บัญชี หรือกระเป๋าเงินออนไลน์ จากการถูกโจรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ โดยวิธีการใช้บัตรชำระเงิน , การเข้าสู่บัญชีธนาคาร , การเข้าสู่ e – Wallet ของผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีที่ไม่สามารถเรียกคืนได้จากผู้ออกบัตร หรือผู้ให้บริการบัญชี / กระเป๋าเงินออนไลน์

ทั้งนี้ ขอยืนยัน ว่าธนาคารไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการรูปแบบนี้ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตกเช่นนี้แต่อย่างใด ขออภัยลูกค้าและประชาชนอย่างสูง ที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ขอบคุณ : เว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย

ธปท.และสมาคมธนาคารไทย ชี้แจงความคืบหน้า กรณีประชาชนถูกดูดเงินจากบัญชี

จากกรณีที่ประชาชนถูกตัดเงินจำนวนมากจากบัญชีธนาคาร ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก  ธนาคารแห่งประเทศไทย  และ สมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาชี้แจงกรณีการตัดเงินที่ผิดปกติ ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของลูกค้าจำนวนมาก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่ามิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากระบบธนาคาร โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการที่มิจฉาชีพสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศ ที่ไม่มีการใช้ One Time Password (OTP)

 

พบว่าตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม มีบัตรที่มีการใช้งานผิดปกติจากเหตุข้างต้นจำนวน 10,700 ใบ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นรายการใช้จากบัตรเดบิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้งานส่วนใหญ่มีจำนวนเงินต่อรายการต่ำ เช่น 1 ดอลลาร์ สรอ. และมีการใช้เป็นจำนวนหลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ ธนาคารมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยแต่ละธนาคารจะกำหนดเพดานและเงื่อนไขการใช้งานของบัตรตามลักษณะประเภทร้านค้าและประเภทสินค้าแตกต่างกันไป  นอกจากนี้ ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหา ดังนี้

  1. ยกระดับความเข้มข้นในการตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมทั้งธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ธนาคารจะระงับการใช้บัตรทันทีและแจ้งลูกค้าในทุกช่องทาง รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ
  2. เพิ่มการแจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการ ตั้งแต่รายการแรกผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ระบบ Mobile banking อีเมล หรือ SMS
  3. กรณีที่ตรวจสอบพบว่าลูกค้าได้รับผลกระทบจากการทุจริตตามข้างต้น กรณีบัตรเดบิต ลูกค้าจะได้รับการคืนเงินภายใน 5 วันทำการ ส่วนกรณีบัตรเครดิต ธนาคารจะยกเลิกรายการดังกล่าว ลูกค้าไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติ และจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย3ธปท. แล
  4. สมาคมธนาคารไทยจะเร่งหารือกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตร เช่น Visa Mastercard เพื่อกำหนดให้มีการใช้การยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น OTP กับบัตรเดบิตสำหรับร้านค้าออนไลน์

สำหรับกรณีที่ลูกค้าพบความผิดปกติของธุรกรรมด้วยตนเอง สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

สำหรับประชาชนทั่วไป ควรตรวจสอบการทำธุรกรรมของตนเองอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งระมัดระวังการผูกบัตรเดบิตในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยง เช่น เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มที่ไม่มีการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน หรือไม่มี OTP สำหรับบางธนาคาร ลูกค้ายังสามารถเปิด/ปิดการใช้งานของบัตร หรือเปลี่ยนแปลงวงเงินการใช้บัตร หรืออายัดบัตรได้ด้วยตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคาร นอกเหนือจากการติดต่อกับธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย ย้ำว่า ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยธนาคารมีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป ธปท. และสถาบันการเงินจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับมาตรการและประสิทธิภาพการตรวจจับและตอบสนองต่อรายการผิดปกติ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

นายกสั่งตรึงราคาน้ำมันให้ได้ 30 บาท ย้ำ สถานการณ์ปัจจุบันยังติดลบ

20 ต.ค. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เห็นใจผู้ประกอบการขนส่งทุกคน ปัจจุบันเรามีน้ำมันอยู่หลายประเภท เช่น บี7 บี 10 บี 20 ราคา เป็นราคาที่ต่างกัน เพราะมีส่วนผสมที่แตกต่าง หากเราใช้เงินไปอุดหนุนราคาน้ำมันประเภทใดประเภทหนึ่งมากไป ก็จะทำให้น้ำมันอีกส่วนสูงขึ้นต้องดูตรงนี้ด้วย สำหรับราคาน้ำมันดีเซลพยายามตรึงให้ได้ 30 บาทต่อลิตรก่อน

ที่สำคัญต้องเข้าใจสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ยังมีความขัดแย้งในหลายส่วน หลายกลุ่มด้วยกัน สถานการณ์น้ำมันยังคงเป็นอย่างนี้อีกระยะ ซึ่งปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันพุ่งสูงว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อน ของสมาคมขนส่งหรือสมาคมรถบรรทุก รัฐบาลได้พยายามดูแลอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่รู้ว่าจะขึ้นอีกเท่าไหร่

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาทุกรัฐบาลได้มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้มาตลอด โดยการเอากองทุนน้ำมันออกไปช่วย  ทั้งที่ความจริงแล้วราคาน้ำมันสูงมากกว่านี้ โดยตรึงให้ได้ลิตรละ 30 บาท ราคานี้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันเดือนละประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันยังติดลบอยู่ก็ต้องมาพิจารณาว่าอีกสองเดือนข้างหน้าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ขอบคุณ:  ฐานเศรษฐกิจ

นับถอยหลัง 1 พ.ย. WHA ชี้แนวโน้มธุรกิจส่งสัญญาณเป็นบวก

มูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 50,440.47 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 17,066.92 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 58,961.30 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 92,334.85 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 9,498.40 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 4,339.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 17,744.04 ล้านบาท และรายย่อย ขายสุทธิ 12,585.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 18 ต.ค.64 พบว่า สถาบันกองทุนในประเทศ  มียอดขายสุทธิ 1,719.93 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 76.54 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,773.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ขายสุทธิ 2,130.49 ล้านบาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ชี้ประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด AD เพิ่มขึ้น

นายรณรงค์   พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า  กล่าวว่า  ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวในเชิงรุกเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการถูกประเทศคู่ค้าเก็บอากร Antidumping:  หรือ  AD ซึ่งจะทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้น และส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศนั้น ๆ ตลอดจนอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตและการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 

เนื่องจากปัจจุบันพบว่าประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด AD เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการใช้มาตรการระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันถึงเกือบร้อยละ 80 จากสถิติการไต่สวนการทุ่มตลาด และการใช้มาตรการ AD ของสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO ช่วงระหว่างปี 2538 – 2563 พบว่า การเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดเพิ่มขึ้นหลังจากปี 2561 โดยในปี 2563 มีการไต่สวน 349 ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับปี 2538 และคาดว่าการใช้มาตรการ AD ของสมาชิก WTO หลังจากปี 2563 จะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามจำนวนการไต่สวนที่เพิ่มขึ้น

โดยไทย อยู่อันดับที่ 6 ของโลก โดย ถูกไต่สวน 250 ครั้ง และถูกใช้มาตรการ AD 167 ครั้ง  ส่วนอินเดียเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ AD มากที่สุดใน WTO 718 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 17.64 ตามด้วย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ AD กับไทยมากที่สุด (จำนวน 39 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่  สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย จีนเป็นประเทศที่ถูกไต่สวนและถูกใช้มาตรการ AD มากที่สุดใน WTO ถูกไต่สวน 1,478 ครั้ง และถูกใช้มาตรการ AD 1,069 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 23.5 และ 26.26 ตามลำดับ รองลงมา ได้แก่ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

ทั้งนี้สินค้าที่สมาชิก WTO เปิดไต่สวน และใช้มาตรการ AD มากที่สุด ได้แก่ เหล็ก เคมีภัณฑ์ เรซิน พลาสติก และยาง ในทำนองเดียวกัน เรซิน พลาสติก และยาง ก็เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยถูกไต่สวน และถูกใช้มาตรการ AD มากที่สุด อย่างไรก็ตามในส่วนของไทย มีการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดแล้วรวม 97 ครั้ง อยู่อันดับที่ 17 ของ WTO และอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย  และไทยใช้มาตรการ AD แล้ว 60 ครั้ง อยู่อันดับที่ 18 ของ WTO และอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยประเทศที่ถูกไทยไต่สวนการทุ่มตลาด และใช้มาตรการ AD สูงสุด ได้แก่ จีน เกาหลีใต้และไต้หวัน

 

ขอบคุณ : โพสต์ทูเดย์