LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

หุ้นจีน ผันผวนหนัก เพราะปัญหารุมเร้ามาก

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์” กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กองทุนหุ้นจีน ถึงแม้ราคาในตลาด H-shares จะต่ำกว่าตลาด A-shares ประมาณ 20% ซึ่งมองว่าอัพไซด์ของจีนยังไม่มีมากนัก และเนื่องจากราคาที่ต่ำ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขายออก แต่หากจะเข้าซื้อ อาจจะพอมีอัพไซด์ แต่ก็ค่อนข้างที่จะยากและมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโซนสหรัฐหรือยุโรป รวมถึงการลงทุนในกลุ่มการเงิน (global financial)หรือกลุ่มเทคโนโลยี (global technology) ที่น่าจะมีอัพไซด์ที่ดีกว่ากองทุนหุ้นจีน

หากมองในภาพใหญ่คิดว่าจีนกำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจีนคงจะใช้ระยะเวลานานหลายปี และจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดความผันผวนได้ตลอด ดังนั้น จากความไม่แน่นอน จึงยังทำให้ยังมีความผันผวนที่สูง แต่หากนักลงทุนสนใจลงทุนในจีน แนะให้ลงทุน H-sharesและ A-shares ในสัดส่วนการลงทุนที่เท่า ๆ กัน ประมาณ 50 : 50% แต่หากดูเรื่องอัพไซด์มองว่าการลงทุนในสหรัฐและยุโรปดูน่าสนใจกว่า เนื่องจากมองว่าจีนยังเป็นดาวน์ไซด์มากกว่าอัพไซด์

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่จีนก็ยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่ยังเติบโตได้อีกมหาศาล แต่จีนยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังเงียบอยู่ ซึ่งทำให้ยังประเมินภาพการลงทุนในจีนได้ค่อนข้างยากในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจีนยังคงมีความผันผวนและมีปัจจัยลบรุมเร้าค่อนข้างมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวหากนักลงทุนสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นจีนได้ โดยต้องขึ้นกับนักลงทุนว่าจะมองช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว หรือจะเลือกไปลงทุนในที่ที่ผันผวนน้อยกว่า

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

สหรัฐ เปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF อย่างเป็นทางการ

สหรัฐอเมริกาเปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF  อย่างเป็นทางการ ซึ่งกองทุนดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัทจัดการสินทรัพย์ ProShares และใช้ชื่อย่อว่า BITO ซึ่งนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีบัญชีกับโบรกเกอร์ หรือบัญชีซื้อขายหุ้น สามารถลงทุนซื้อ-ขายกองทุน Bitcoin Future ETF ได้เลย ซึ่งเป็นกองทุน BITO ที่มีมูลค่าการซื้อขายวันแรกสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับกองทุน Bitcoin Future ETF เป็นกองทุนที่ลงทุนกับ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของราคาบิทคอยน์ มีความแตกต่างกับ Bitcoin Spot ETF ที่ไปลงทุนในบิทคอยน์มีการถือครองบิทคอยน์ไว้ในมือ

ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ทำได้เพียง Bitcoin Future EFT เท่านั้น แต่กองทุน Bitcoin Spot ETF ทางสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกายังไม่ได้มีการอนุมัติแต่อย่างใด

ทั้งนี้หากผู้ลงทุนคนไทยสนใจเทรด Bitcoin Future สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดกับ MTS Capital ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุกภายหลังจากจับมือกับ “CME Group” ซึ่งก็คือตลาดซื้อขายอนุพันธ์อันดับ 1 ของโลก ที่เปิดให้คนไทยสามารถลงทุนใน “Micro Bitcoin Future” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Cryptocurrency ที่ผู้ลงทุนคนไทยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องไปเทรดถึงตลาดต่างประเทศ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ สินเชื่อบ้านสูงขึ้นปี 65

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า  ผลของการผ่อนคลายมาตรการ LTV คงจะเปิดโอกาสให้สินเชื่อบ้านเติบโตในกรอบที่สูงขึ้นในปี 2565 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเบื้องต้นว่า การผ่อนปรนมาตรการ LTV จะทำให้สินเชื่อบ้านปี 2565 มีโอกาสเติบโตเพิ่มเติมได้ประมาณ 0.3-0.7% ไปอยู่กรอบ 4.8-5.2% สูงขึ้นกว่ากรอบคาดการณ์ปี 2564 ที่ 4.2-4.5% โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตลอดช่วงเวลาของมาตรการฯ จะเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดไว้คิดเป็นมูลค่าราว 18,000 – 30,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการ

ซึ่งการผ่อนเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่อง หรือ  มาตรการ LTV โดยปรับเพดาน LTV เป็น 100% ชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของตลาดที่อยู่อาศัยและการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปี 2565 ที่ยังเต็มไปด้วยหลายปัจจัยท้าทาย

ทั้งนี้ประเด็นติดตามจะอยู่ที่การประเมินความพร้อมในการก่อหนี้ก้อนใหม่หรือรีไฟแนนซ์หนี้เดิม ซึ่งครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด รวมถึงสถานการณ์รายได้และการจ้างงานที่อาจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ อันจะมีผลต่อเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อสำหรับลูกหนี้แต่ละรายในท้ายที่สุด

หลังถอนใบอนุญาต คปภ.แจ้ง SMS กับลูกค้าเอเชียประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. กล่าวว่า ตามที่ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) และคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 2/2564 แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชี ได้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) ชื่อ “ระบบแจ้งข้อมูลและสิทธิกรณีบริษัท ประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)” รวมถึงแจ้งข้อมูลไปยังผู้เอาประกันภัยผ่าน SMS ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้จากระบบของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมตามขั้นตอนและสิทธิต่าง ๆ ผ่านช่องทาง Web Application ดังนี้

กรณีที่ 1 กรมธรรม์ประกันภัยมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ให้ผู้เอาประกันภัยยื่นขอทวงหนี้ที่กองทุนประกันวินาศภัย หรือสำนักงาน คปภ.ทั่วประเทศ

กรณีที่ 2 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้

กรณีที่ 3 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้เช่นกัน

ทั้งนี้การส่ง SMS และการทำรายการผ่านช่องทาง Web Application ดังกล่าว จะไม่ทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียสิทธิที่พึงมีตามสัญญาประกันภัยแต่อย่างใด โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กระบวนการชำระหนี้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้หากผู้เอาประกันภัยมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 ซึ่งปัจจุบันมี 19 บริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในกรณีดังกล่าวแล้ว โดยผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าไปใช้งาน Web Application ดังกล่าวผ่านช่องทางเว็บไซต์ คปภ. และ Chatbot “คปภ.รอบรู้” (LINE : @OICConnect) และสำนักงาน คปภ.จะรวบรวมข้อมูลจากผู้เอาประกันภัยที่แจ้งข้อมูลเพื่อส่งให้กองทุนประกันวินาศภัยดำเนินการต่อไป โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะแจ้งเป็นหนังสือทางไปรษณีย์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

แนวทางฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิดคลี่คลายดัน GDP ปี 65

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในการประชุม The Committee on Macroeconomic Policy, Poverty Reduction and Financing for Development ครั้งที่ 3 ที่จัดโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP)  กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงการคลังในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และ 5 แนวทางหลักในการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

แนวที่ 1 นโยบายทางการเงินเพื่อเยียวยาและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อให้สามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

แนวทางที่2 การบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค โดยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลัง การบริหารระดับหนี้สาธารณะ ตลอดจนถึงการปรับปรุงระบบการเก็บภาษี และการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

แนวทางที่3 การลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการ คุณภาพชีวิตของผู้คน และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค

แนวทางที่4  การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มั่นคง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึง ทั้งแบบสมัครใจและมีส่วนร่วม อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ และกองทุนการออมแห่งชาติ

แนวทางที่5  รัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.64 ประเทศไทยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นลบ โดยต้องทำการตรวจเชื้อก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะได้รับการตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 63 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาด และจัดสรรเงินทุนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน แรงงาน และผู้ประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหัน หรือถูกลดค่าจ้างลง โดยผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือเยียวยา ในขณะเดียวกัน โครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลอย่างโครงการคนละครึ่ง และการลดภาษีได้ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ รวมถึงรัฐบาลได้รักษาระดับการจ้างงานผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยตรง และการดำเนินมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาลจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาค รวมถึงแนวโน้มคาดว่าภายในสิ้นปี 64 จะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้ โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ ส่วนในปี 65 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม หรือขยายตัวในช่วง 4-5% ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง

 

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 21 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 21 ตุลาคม 2564

นักวิเคราะห์คาดราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น

ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ปรับลดสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ โดยปัจจัยบวก ราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA) รายงานปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐ ประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 15 ต.ค. 64 ปรับตัวลดลง 0.4 ล้านบาร์เรล สู่ 426.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งลดลงสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล ขณะที่ปริมาณน้ำมันดิบคงคลัง ณ จุดส่งมอบ คุชชิง โอกลาโฮมา ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี

โดยเจ้าชายอับดูลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานซาอุฯ กล่าวว่าจากราคาก๊าซธรรมชาติและถ่านหินที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้โรงไฟฟ้าหันมาใช้น้ำมันในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยอาจทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นราว 5-6 แสนบาร์เรลต่อวัน ขึ้นกับสภาพอากาศในช่วงฤดูหนาว ซึ่งตลาดน้ำมันยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปทานที่ตึงตัว หลังกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ยังคงมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าความต้องการใช้น้ำมันจะฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยกลุ่มมีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือน พ.ย. 64  โดยจะมีการหารือถึงแผนในเดือน ธ.ค. ในการประชุมกลุ่มวันที่ 4 พ.ย. 64

ทั้งนี้สำหรับราคาน้ำมันเบนซินจะการปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังได้รับแรงกดดันจากปริมาณการผลิตน้ำมันเบนซินในภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดิบที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาน้ำมันดีเซลจะปรับตัวลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังความต้องการใช้น้ำมันดีเซลในภูมิภาคยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น ขณะที่อุปทานยังคงตึงตัวจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นในเอเชียเหนือ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมตั้งงบ 1 แสนล้านเยน ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ

นิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศเตรียมจัดตั้งกองทุนงบประมาณ 1 แสนล้านเยน ในการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงภายในประเทศ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศ โดยกองทุนดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่เทคโนโลยีสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาประดิษฐ์  เทคโนโลยีควอนตัม เทคโนโลยีชีวภาพ และหุ่นยนต์ โดยจะเริ่มดำเนินการในปี 2022

โดยกองทุนดังกล่าวจะอยู่ภายใต้องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น หรือเอ็นอีดีโอ และสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีญี่ปุ่น หรือ เจเอสที โดยจะมอบเงินทุนให้กับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่รัฐบาลเห็นว่ามีความสำคัญ ซึ่งอยู่ในงบประมาณเพิ่มเติมในปีงบประมาณ 2021 ซึ่งจะจัดสรรขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 31 ต.ค.นี้ และเริ่มดำเนินโครงการในปี 2022 ซึ่งกองทุนดังกล่าวยังจะมีการจัดสรรต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี

ทั้งนี้เป้าหมายใหญ่คือเร่งผลักดันเทคโนโลยีของญี่ปุ่นสู่การใช้งานจริง เนื่องจากที่ผ่านมาแม้ว่าญี่ปุ่นจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างต่อเนื่อง แต่มักไม่ได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ เนื่องจากขาดแคลนเงินทุนสนับสนุน และกลายเป็นช่องทางให้บริษัทต่างชาติสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นผ่านการเข้าซื้อกิจการหรือการซื้อตัวนักวิจัย ซึ่งนับเป็นความพยายามล่าสุดของญี่ปุ่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยี หลังจากที่ปล่อยให้หลายประเทศพัฒนาแซงหน้าไปเป็นเวลานาน แต่ยังคงมีความท้าทายที่ต้องติดตามต่อไปไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะราบรื่นดังที่นายกรัฐมนตรีคิชิดะคาดหวังหรือไม่ รวมถึงความเสี่ยงที่ญี่ปุ่นอาจถูกโจมตีจากนานาชาติว่าการสนับสนุนเม็ดเงินมหาศาลให้กับภาคเอกชนในประเทศเช่นนี้ อาจเป็นการแทรกแซงตลาดอย่างไม่เป็นธรรม

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

หอการค้า เผย GDP ปี 64 เติบโต 1.0-1.5%

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ครม.อนุมัติงบประมาณ 54,600 ล้านบาท สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพของรัฐ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ โครงการคนละครึ่ง และโครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนจำนวนมากมาตรการดังกล่าวจะเป็นการบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพ และยังช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ประมาณ 95,000 ล้านบาท ส่งผลให้ ประมาณการณ์เศรษฐกิจ ของประเทศไทยในปี 64 นี้ เพิ่มเป็น 1.0-1.5%

ซึ่งค่าใช้จ่ายของประชาชนใน 2 เดือนสุดท้าย จะเป็นตัวชี้วัดสำคัญตัวหนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ นอกเหนือจากเม็ดเงินที่จะได้จากการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะแม้ว่าจะเริ่มเปิดเมืองในเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะยังไม่ได้เข้ามาทันทีทันใด ดังนั้น การบริโภค และการเดินทางภายในประเทศจึงเป็นตัวเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ที่สำคัญคือประชาชน และผู้ประกอบการ ต้องไม่ละเลยการระมัดระวังตัว และรักษามาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการแพร่ระบาด

ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพได้ส่วนหนึ่ง และหลังจาก น้ำท่วม จะต้องมีการก่อสร้าง การจับจ่ายใช้สอยเพื่อฟื้นฟูความเสียหาย โดยส่วนนี้ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนได้ และเกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่เผย แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น

นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทาทาสตีล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศซบเซา จากที่เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ ที่ยืดเยื้อ การก่อสร้างชะลอตัวลง แต่ทางบริษัทได้ยอดขายจากตลาดส่งออกมาชดเชยทำให้ไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นการส่งออกเหล็กแท่งครั้งแรกในรอบ 15 ปี ไปยังแคนนาดา ได้ปริมาณ 22,000 ตัน อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากราคาเหล็กที่ปรับตัวดีขึ้น ตามตลาดโลก ทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปและโลหะเพิ่มขึ้น

ซึ่งคาดว่าสถานการณ์ราคาเหล็กจะยังคงมีราคาสูงขึ้นจากตลาดโลก เนื่องจากจีนผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกได้ลดการผลิตเหล็กลง ทำให้ตลาดมีความต้องการสินค้ามากขึ้นและมีการขยับขึ้นราคามาต่อเนื่อง ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกเฉลี่ย 750-760 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่งผลให้ราคาเหล็กตลาดในประเทศต้องปรับขึ้นเป็น 25,600-25,700 บาทต่อตัน จากเดือนก่อนซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 23,500 บาทต่อตัน

ทั้งนี้แนวโน้มความต้องการใช้เหล็กในประเทศมีแนวโน้ม “เพิ่มขึ้น” จากประชาชนต้องการซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วมใน 18 จังหวัด รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลต่อความเชื่อมั่นเกิดการลงทุนซึ่งมีผลต่อกิจการของบริษัทรวมถึงเชื่อว่าจากนี้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น และภาพรวมการดำเนินการกิจการของบริษัทยังให้ความสำคัญตลาดในประเทศเป็นหลัก เพราะเมื่อเศรษฐกิจดีความต้องการก็จะเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

สหกรณ์ เผยราคาปุ๋ยปรับตัวสูงถึงปี 65 เนื่องจากราคาน้ำมัน เร่งช่วยสมาชิกลดต้นทุนผลิตปุ๋ยถูกกว่าท้องตลาด

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า ราคาปุ๋ยมีปรับตัวสูงขึ้นและมีแนวโน้มถึงต้นปี 2565 เกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความต้องการปุ๋ยเคมีสำหรับใช้ในการเพาะปลูกของเกษตรกรในต่างประเทศ เช่น อินเดีย อัตราค่าระวางการขนส่งสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยต้องพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศสูงถึง 97%

โดยกระทรวงพาณิชย์ กรมการค้าภายในจึงได้ร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคม คนไทยธุรกิจเกษตร ดำเนินโครงการ “พาณิชย์ลดราคา! ปุ๋ยช่วยเกษตรกร” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจำหน่ายปุ๋ยเคมีราคาถูกให้เกษตรกรผ่านสถาบันเกษตรกร เช่น สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร มีปริมาณปุ๋ยเคมีที่เข้าร่วมโครงการ 208,411 ตัน โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้สำหรับสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการดังกล่าว 186 แห่ง และได้รับการจัดสรรปุ๋ยเคมีจากบริษัท ที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 29,807 ตัน และได้มีการขยายระยะเวลาโครงการต่ออีก 2 เดือน ซึ่งจะสิ้นสุดโครงการในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือสมาชิกของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรให้ได้ซื้อปุ๋ยเคมีในราคาถูกสามารถสั่งซื้อปุ๋ยผ่านสหกรณ์การเกษตรกลุ่มเกษตรกรที่ตนเองสังกัดได้ จนถึงวันสิ้นสุดโครงการ 31 ตุลาคม 2564 นี้ ในขณะนี้มีสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร จำนวน 112 แห่งใน 44 จังหวัด ต้องการปุ๋ยเคมีสำหรับบริการแก่สมาชิกปริมาณ 32,214 ตัน หากเกษตรกรยังมีความต้องการในการใช้ปุ๋ยเคมีที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด

 

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 20 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 20 ตุลาคม 2564

กสิกร ระงับโฆษณาขายประกันภัย “โดนแฮกเงิน”

จากกรณีธนาคารกสิกรไทย มีการเผยแพร่กระจายภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์ประกันภัยใหม่ที่มีข้อความว่า “โดนแฮกเงินหาย”  ทางธนาคารกสิกรไทยได้ออกมาขออภัยลูกค้าและประชาชน โดย หยุดขายประกัน “ช้อปออนไลน์” ย้ำไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตก

โดยทางธนาคารมีการจัดทำโฆษณาเพื่อสื่อสารทางการตลาดที่สอดคล้องกับประสบการณ์ในการซื้อขายสินค้าออนไลน์ของลูกค้า 7 รูปแบบ ซึ่งข้อเสนอตามภาพเป็นการนำเสนอให้กับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ประมาณ 12,000 คนผ่าน K PLUS เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา

ก่อนจะเกิดกระแสข่าวการตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของประชาชนจำนวนมาก ตามที่สื่อต่าง ๆ ได้มีการนำเสนอในช่วงนี้โดยทันที

หลังจากที่ทราบประเด็นความเดือดร้อนดังกล่าว ธนาคารจึงได้ระงับการโฆษณาผลิตภัณฑ์ด้วยรูปแบบข้างต้นในทุกช่องทาง ประกันดังกล่าวธนาคารเป็นผู้เสนอขาย โดยจะให้ความคุ้มครองความเสียหาย 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. คุ้มครองผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ กรณีผู้ขายไม่ส่งสินค้าภายใน 7 วันนับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง, ผู้ซื้อได้รับสินค้าไม่ครบตามรายการสั่งซื้อ, สินค้าได้รับความเสียหายทางกายภาพ, สินค้าไม่เป็นไปตามที่โฆษณาประชาสัมพันธ์
  2. คุ้มครองผู้ขายจากการถูกหลอกลวงให้ส่งสินค้า และไม่ได้รับเงินภายใน 7 วัน นับจากวันที่แจ้งว่าจะจัดส่ง
  3. คุ้มครองเงินส่วนตัวที่หายจากบัตร บัญชี หรือกระเป๋าเงินออนไลน์ จากการถูกโจรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ โดยวิธีการใช้บัตรชำระเงิน , การเข้าสู่บัญชีธนาคาร , การเข้าสู่ e – Wallet ของผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาต กรณีที่ไม่สามารถเรียกคืนได้จากผู้ออกบัตร หรือผู้ให้บริการบัญชี / กระเป๋าเงินออนไลน์

ทั้งนี้ ขอยืนยัน ว่าธนาคารไม่ได้มีเจตนาในการเสนอขายผลิตภัณฑ์หรือบริการรูปแบบนี้ ในช่วงสถานการณ์ที่สังคมมีกระแสวิตกเช่นนี้แต่อย่างใด ขออภัยลูกค้าและประชาชนอย่างสูง ที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกรณีที่เกิดขึ้น

ขอบคุณ : เว็บไซต์ธนาคารกสิกรไทย

ธปท.และสมาคมธนาคารไทย ชี้แจงความคืบหน้า กรณีประชาชนถูกดูดเงินจากบัญชี

จากกรณีที่ประชาชนถูกตัดเงินจำนวนมากจากบัญชีธนาคาร ทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก  ธนาคารแห่งประเทศไทย  และ สมาคมธนาคารไทย ได้ออกมาชี้แจงกรณีการตัดเงินที่ผิดปกติ ผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตของลูกค้าจำนวนมาก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ว่ามิได้เกิดจากการรั่วไหลของข้อมูลจากระบบธนาคาร โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการที่มิจฉาชีพสุ่มข้อมูลบัตรและนำไปสวมรอยทำธุรกรรมผ่านร้านค้าออนไลน์ต่างประเทศ ที่ไม่มีการใช้ One Time Password (OTP)

 

พบว่าตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม มีบัตรที่มีการใช้งานผิดปกติจากเหตุข้างต้นจำนวน 10,700 ใบ โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นรายการใช้จากบัตรเดบิตเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งการใช้งานส่วนใหญ่มีจำนวนเงินต่อรายการต่ำ เช่น 1 ดอลลาร์ สรอ. และมีการใช้เป็นจำนวนหลาย ๆ ครั้ง ทั้งนี้ ธนาคารมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ โดยแต่ละธนาคารจะกำหนดเพดานและเงื่อนไขการใช้งานของบัตรตามลักษณะประเภทร้านค้าและประเภทสินค้าแตกต่างกันไป  นอกจากนี้ ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย ได้ร่วมกันกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันและแก้ปัญหา ดังนี้

  1. ยกระดับความเข้มข้นในการตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติ ให้ครอบคลุมทั้งธุรกรรมที่มีจำนวนเงินต่ำและที่มีความถี่สูง หากพบธุรกรรมที่ผิดปกติ ธนาคารจะระงับการใช้บัตรทันทีและแจ้งลูกค้าในทุกช่องทาง รวมทั้งติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ
  2. เพิ่มการแจ้งเตือนลูกค้าในการทำธุรกรรมทุกรายการ ตั้งแต่รายการแรกผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ระบบ Mobile banking อีเมล หรือ SMS
  3. กรณีที่ตรวจสอบพบว่าลูกค้าได้รับผลกระทบจากการทุจริตตามข้างต้น กรณีบัตรเดบิต ลูกค้าจะได้รับการคืนเงินภายใน 5 วันทำการ ส่วนกรณีบัตรเครดิต ธนาคารจะยกเลิกรายการดังกล่าว ลูกค้าไม่ต้องชำระเงินตามยอดเรียกเก็บที่ผิดปกติ และจะไม่มีการคิดดอกเบี้ย3ธปท. แล
  4. สมาคมธนาคารไทยจะเร่งหารือกับผู้ให้บริการเครือข่ายบัตร เช่น Visa Mastercard เพื่อกำหนดให้มีการใช้การยืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น OTP กับบัตรเดบิตสำหรับร้านค้าออนไลน์

สำหรับกรณีที่ลูกค้าพบความผิดปกติของธุรกรรมด้วยตนเอง สามารถติดต่อคอลเซ็นเตอร์หรือสาขาของธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อแจ้งตรวจสอบและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมในทันที โดยธนาคารจะดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด

สำหรับประชาชนทั่วไป ควรตรวจสอบการทำธุรกรรมของตนเองอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งระมัดระวังการผูกบัตรเดบิตในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะกับแพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยง เช่น เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มที่ไม่มีการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน หรือไม่มี OTP สำหรับบางธนาคาร ลูกค้ายังสามารถเปิด/ปิดการใช้งานของบัตร หรือเปลี่ยนแปลงวงเงินการใช้บัตร หรืออายัดบัตรได้ด้วยตัวเองผ่านแอพพลิเคชั่นของธนาคาร นอกเหนือจากการติดต่อกับธนาคาร

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สมาคมธนาคารไทย ย้ำว่า ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางการเงิน และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า โดยธนาคารมีระบบการรักษาความมั่นคงปลอดภัยและมีการตรวจสอบการทำธุรกรรมที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง ในระยะต่อไป ธปท. และสถาบันการเงินจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการยกระดับมาตรการและประสิทธิภาพการตรวจจับและตอบสนองต่อรายการผิดปกติ เพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าว

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

นายกสั่งตรึงราคาน้ำมันให้ได้ 30 บาท ย้ำ สถานการณ์ปัจจุบันยังติดลบ

20 ต.ค. 64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เห็นใจผู้ประกอบการขนส่งทุกคน ปัจจุบันเรามีน้ำมันอยู่หลายประเภท เช่น บี7 บี 10 บี 20 ราคา เป็นราคาที่ต่างกัน เพราะมีส่วนผสมที่แตกต่าง หากเราใช้เงินไปอุดหนุนราคาน้ำมันประเภทใดประเภทหนึ่งมากไป ก็จะทำให้น้ำมันอีกส่วนสูงขึ้นต้องดูตรงนี้ด้วย สำหรับราคาน้ำมันดีเซลพยายามตรึงให้ได้ 30 บาทต่อลิตรก่อน

ที่สำคัญต้องเข้าใจสถานการณ์ราคาน้ำมันโลก ยังมีความขัดแย้งในหลายส่วน หลายกลุ่มด้วยกัน สถานการณ์น้ำมันยังคงเป็นอย่างนี้อีกระยะ ซึ่งปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากราคาน้ำมันพุ่งสูงว่า รัฐบาลเข้าใจถึงความเดือดร้อน ของสมาคมขนส่งหรือสมาคมรถบรรทุก รัฐบาลได้พยายามดูแลอย่างเต็มที่ แต่สถานการณ์น้ำมันโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และยังไม่รู้ว่าจะขึ้นอีกเท่าไหร่

ทั้งนี้ในช่วงที่ผ่านมาทุกรัฐบาลได้มีการบริหารจัดการในเรื่องนี้มาตลอด โดยการเอากองทุนน้ำมันออกไปช่วย  ทั้งที่ความจริงแล้วราคาน้ำมันสูงมากกว่านี้ โดยตรึงให้ได้ลิตรละ 30 บาท ราคานี้ต้องใช้เงินกองทุนน้ำมันเดือนละประมาณ 6,000 กว่าล้านบาท รวมถึงสถานการณ์ปัจจุบันยังติดลบอยู่ก็ต้องมาพิจารณาว่าอีกสองเดือนข้างหน้าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

ขอบคุณ:  ฐานเศรษฐกิจ

นับถอยหลัง 1 พ.ย. WHA ชี้แนวโน้มธุรกิจส่งสัญญาณเป็นบวก

มูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 50,440.47 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 17,066.92 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 58,961.30 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 92,334.85 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 9,498.40 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 4,339.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 17,744.04 ล้านบาท และรายย่อย ขายสุทธิ 12,585.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 18 ต.ค.64 พบว่า สถาบันกองทุนในประเทศ  มียอดขายสุทธิ 1,719.93 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 76.54 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,773.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ขายสุทธิ 2,130.49 ล้านบาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ชี้ประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด AD เพิ่มขึ้น

นายรณรงค์   พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า  กล่าวว่า  ผู้ประกอบการไทยควรปรับตัวในเชิงรุกเพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการถูกประเทศคู่ค้าเก็บอากร Antidumping:  หรือ  AD ซึ่งจะทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้น และส่งผลต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศนั้น ๆ ตลอดจนอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตและการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง 

เนื่องจากปัจจุบันพบว่าประเทศกำลังพัฒนาใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด AD เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการใช้มาตรการระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันถึงเกือบร้อยละ 80 จากสถิติการไต่สวนการทุ่มตลาด และการใช้มาตรการ AD ของสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO ช่วงระหว่างปี 2538 – 2563 พบว่า การเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดเพิ่มขึ้นหลังจากปี 2561 โดยในปี 2563 มีการไต่สวน 349 ครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า เมื่อเทียบกับปี 2538 และคาดว่าการใช้มาตรการ AD ของสมาชิก WTO หลังจากปี 2563 จะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามจำนวนการไต่สวนที่เพิ่มขึ้น

โดยไทย อยู่อันดับที่ 6 ของโลก โดย ถูกไต่สวน 250 ครั้ง และถูกใช้มาตรการ AD 167 ครั้ง  ส่วนอินเดียเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ AD มากที่สุดใน WTO 718 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 17.64 ตามด้วย สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นประเทศที่ใช้มาตรการ AD กับไทยมากที่สุด (จำนวน 39 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่  สหภาพยุโรป และออสเตรเลีย จีนเป็นประเทศที่ถูกไต่สวนและถูกใช้มาตรการ AD มากที่สุดใน WTO ถูกไต่สวน 1,478 ครั้ง และถูกใช้มาตรการ AD 1,069 ครั้ง คิดเป็นร้อยละ 23.5 และ 26.26 ตามลำดับ รองลงมา ได้แก่ เกาหลีใต้ และไต้หวัน

ทั้งนี้สินค้าที่สมาชิก WTO เปิดไต่สวน และใช้มาตรการ AD มากที่สุด ได้แก่ เหล็ก เคมีภัณฑ์ เรซิน พลาสติก และยาง ในทำนองเดียวกัน เรซิน พลาสติก และยาง ก็เป็นกลุ่มสินค้าที่ไทยถูกไต่สวน และถูกใช้มาตรการ AD มากที่สุด อย่างไรก็ตามในส่วนของไทย มีการเปิดไต่สวนการทุ่มตลาดแล้วรวม 97 ครั้ง อยู่อันดับที่ 17 ของ WTO และอันดับที่ 3 ของอาเซียนรองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย  และไทยใช้มาตรการ AD แล้ว 60 ครั้ง อยู่อันดับที่ 18 ของ WTO และอันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยประเทศที่ถูกไทยไต่สวนการทุ่มตลาด และใช้มาตรการ AD สูงสุด ได้แก่ จีน เกาหลีใต้และไต้หวัน

 

ขอบคุณ : โพสต์ทูเดย์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 19 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 19 ตุลาคม 2564

ม็อบรถ10ล้อ กดดันรัฐบาลหลังได้รับผลกระทบราคาน้ำมันพุ่ง

วันนี้ 19 ต.ค. 64 ตั้งแต่ เวลา 10.00 – 16.00 น.  ม็อบคาราวานสิบล้อนัดเคลื่อนพลกันครั้งใหญ่โดยวิ่งไปในเส้นทางสายหลัก เหนือ ใต้ อีสาน ตะวันออกและตัววันตก เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ลิตรละ 25 บาทต่อลิตร ลดภาษีสรรพสามิตลง 5 บาทต่อลิตร ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนพลังงาน เป็นระยะเวลา 1 ปี เพราะเกิดวิกฤติน้ำมันดีเชล ได้ปรับราคาขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง​ ส่งผลกระทบต่อต้นทุนอัตราค่าขนส่ง​ ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภค​ และ​บริโภค​ขึ้นตามราคาน้ำมันไปด้วย​ ภาคการขนส่ง​ และประชาชนได้รับความเดือดร้อน

 

นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานที่ปรึกษาสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของพลังของคนรถบรรทุก เป็นการเรียกร้องให้ภาครัฐได้รับทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชนและอาชีพขนส่งที่บริโภคน้ำมัน ประเด็นราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งซ้ำเติมประชาชน และผู้ประกอบการภาคขนส่งช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด ซึ่งในปัจจุบันมีรถบรรทุกที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ประมาณ 1.4 ล้านคัน  ทำให้ขณะนี้รถบรรทุกมีการขนส่งแค่ 30-40% เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทสินค้าอุปโภค-บริโภค ปิโตรเลียม น้ำมัน ส่วนสินค้าประเภทภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมมีการหยุดชะงัก เพราะภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และประสบปัญหาอุทกภัยในขณะนี้

 

โดยไม่เห็นด้วยกับมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงานของกระทรวงพลังงาน ซึ่งข้อเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันดีเซลที่มีราคาสูงตามหนังสือของสหพันธ์ ที่ได้เรียกร้องไปก่อนหน้านี้

 1.ให้ตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ปรับสูตรใหม่ชนิด บี 6 ในราคา 25 บาท/ลิตร เป็นเวลา 1 ปี เริ่ม 11 ต.ค.เป็นต้นไป

 2.ลดภาษีสรรพสามิตลง ลิตรละ 5 บาท/ลิตร เป็นเวลา 1 ปี หรือนำเงินกองทุนพลังงานมารักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ระดับ 25 บาท/ลิตร

 3.กำหนดผลิตภัณฑ์หรือชนิดน้ำมันดีเซลเป็นชนิดบี 6 ชนิดเดียว เพื่อลดผลกระทบผู้บริโภคช่วงโควิด

แต่ปัจจุบันยังไม่มีการตอบรับแต่ประการใด สำหรับเส้นทางที่จะเคลื่อนพลไปคือ  เส้นทางที่ 1️ ถนนพระรามสองเชื่อมต่อกาญจนาภิเษก, เส้นทางที่ 2️ ถนนบรมราชชนนี ถนนกาญจนาภิเษก, เส้นทางที่ 3️ ถนนสายเอเชียเชื่อมต่อบางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา(ไม่เข้าเขตกรุงเทพฯ), เส้นทางที่ 4️ ถนนบางนาตราด เชื่อมต่อกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันตก (บางพลี) จ.สมุทรปราการ (ไม่เข้าเขตกรุงเทพฯ), เส้นทางที่ 5️ ถนนสุขุมวิท อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี เชื่อมต่อ ถนนหมายเลข 7 มอเตอร์เวย์ แหลมฉบัง (ไม่เข้าเขตกรุงเทพฯ),เส้นทางที่ 6️ ถนนรอบเมือง จ.อุบลราชธานี

 

ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ,เดลินิวส์

 

Elon Musk โกยกำไรพุ่งกว่า 1 พันล้านดอลลาร์

Coinmarketcap รายงานว่า บริษัท Elon Musk ได้เพิ่ม BTC มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในงบดุล ซึ่งผลตอบแทนในปี 2564 ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากราคาของ BTC ปรับตัวขึ้นในเดือนตุลาคมแตะระดับ 58,000 ดอลลาร์ในวันที่ 14 ตุลาคม โดยราคาล่าสุดของ Bitcoin มีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 2,069,000 บาท

  โดย Tesla เปิดเผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ว่ามีการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้า 241,300 คันในไตรมาสที่ 3 เทียบกับ 201,250 คันในไตรมาสก่อนหน้า เมื่อรวมกับผลกำไร Bitcoin ของ Tesla ความคาดหวังสูงสำหรับรายได้บล็อกบัสเตอร์ที่จะเปิดตัวหลังจากตลาดปิดในวันที่ 19 ต.ค.

สำหรับ Tesla  ถือครองเหรียญคริปโต Bitcoin  อยู่ประมาณ 43,200 เหรียญ โดยประเมินมูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ณ ราคาปัจจุบัน ตามข้อมูลการตรวจสอบออนไลน์ของ Bitcoin Treasuries ซึ่งมากกว่าที่ผู้ผลิตรถยนต์จ่ายไปในเดือนกุมภาพันธ์ประมาณ 65% หรือ 1 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งไตรมาส 2 Tesla ขายการถือครอง Bitcoin 10% หรือประมาณ 46,000 BTC ที่ราคาเฉลี่ยประมาณ 50,000 ดอลลาร์ต่อโทเค็น ในรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทแจ้งว่าได้บันทึกกำไรมูลค่า 128 ล้านดอลลาร์จากการขาย Bitcoin

ทั้งนี้หลังจากการฟื้นตัวของราคา Bitcoin ล่าสุด กำไรสุทธิของ Tesla จากการถือครอง crypto มากพอ ๆ กับรายได้ Q2 ซึ่งรายละเอียด Tesla ระบุถึงกำไรสุทธิ คือ 1.14 พันล้านดอลลาร์ ในไตรมาส 2 ถือว่าเป็นครั้งแรกผ่านระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ โดยรายรับนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายรับ 11.96 พันล้านดอลลาร์ ที่ Tesla ทำส่วนใหญ่ด้วยการขายรถยนต์ มูลค่าประมาณ 10.21 พันล้านดอลลาร์ ในส่วนที่เหลือ 354 ล้านดอลลาร์ มาจากการขายสินเชื่อด้านกฎระเบียบ

 

ขอบคุณ : มติชนออนไลน์

3 หุ้นน้องใหม่ IPO เตรียมลงสนามเทรด เล็งต่อยอดขยายธุรกิจ

3 หุ้นน้องใหม่IPO เตรียมลงสนามเทรด  มั่นใจหลังระดมทุน เล็งต่อยอดธุรกิจพัฒนาแพลตฟอร์มรองรับการขยายธุรกิจ พร้อมวางเป้าขยายยอดขาย

TFM  เปิดจอง 19-21 ต.ค.นี้ ราคาขายหุ้นละ 13.50 บ.โดยเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก IPOจำนวน 109.3 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุน 90 ล้านหุ้น ซึ่งหุ้นสามัญเดิมเสนอขายโดย บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จํากัด มหาชน จำนวน 19.3 ล้านหุ้น รวมทั้งหมดไม่เกินร้อยละ 21.9 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย ชำระคืนเงินกู้ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต

นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM กล่าวว่า ใน 3 ปีข้างหน้า มองการเติบโตของยอดขายในไทยโตปีละ 5-10% การโตในระดับนี้ บริษัทจึงอยากจะไปโตในต่างประเทศ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องไปลงทุนในอินโดนีเซียและปากีสถาน โดยตั้งเป้ารายได้ในต่างประเทศปี 65-67 เติบโตระดับ 10%,15% และ 25% ในอนาคตจะเติบโตในต่างประเทศเป็นหลัก

ทั้งนี้การเข้าระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจ เนื่องจากธุรกิจของ TFM ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะตลาดในประเทศไทยเท่านั้น บริษัทฯ ยังได้มีการขยายธุรกิจไปยังประเทศที่อุตสาหกรรมสัตว์น้ำมีศักยภาพในการเติบโตสูง ผ่าน Model ธุรกิจที่เหมาะสมกับแต่ละประเทศ

นางจารีรัตน์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นของบริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT กล่าวว่า กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก IPO  จำนวน 53.25 ล้านหุ้น ที่ราคา 7.50 บาท/หุ้น โดยเปิดให้จองซื้อในวันที่ 19 – 21 ต.ค.นี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI 28 ต.ค. นี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจวัสดุก่อสร้างในชื่อหลักทรัพย์ว่า “DPAINT”

โดยราคาหุ้นสามัญเสนอขายหุ้นละ 7.50 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 32.80 เท่า คำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด ระหว่างวันที่1 ก.ค. 63 – 30 มิ.ย.64 ถือว่ามีส่วนลด จากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิเฉลี่ยของกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจเหมือนกันทั้งในและต่างประเทศ มองว่า DPAINT มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น เป็นหุ้นกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคารรายที่ 3 ในตลาดทุน ที่โดดเด่นทางด้านนวัตกรรม และผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ เป็นโอกาสในการสร้างรายได้และกำไรที่จะเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT กล่าวว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จำนวนประมาณ 373.16 ล้านบาท หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง จะนำไปใช้ลงทุนในการปรับปรุงโรงงาน เครื่องจักร และระบบการผลิตที่โรงงานสุวินทวงศ์ จำนวนประมาณ 150 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้เงินภายในปี 68 เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตและบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงนำไปใช้เป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องผสมสีจำนวน 440 เครื่อง จำนวนประมาณ 100 ล้านบาท ภายในปี 68 เพื่อขยายจำนวนร้านค้าปลีกและร้านค้าปลีกสมัยใหม่ให้ครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขยายผลิตภัณฑ์สีกลุ่มที่อัตรากำไรดี นอกจากนี้จะนำเงินไปใช้ลงทุนในการทำระบบ ERP จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท และใช้ลงทุนสร้างห้อง LAB จำนวนประมาณ 5 ล้านบาทภายในปี 65,ใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น 25 ล้านบาทภายในปี64 และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 83.20 ล้านบาท

ทั้งนี้ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 เติบโตตามแผน แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 DPAINT มีรายได้จากการขายและบริการ 387.7 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 31.7% กำไรสุทธิ 32.9 ล้านบาท เติบโต 48.2% อัตรากำไรขั้นต้น 43.3% อัตรากำไรสุทธิ 8.5%

นายจรัญพัฒณ์ บุญยัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รุ่งเรืองตลอดไป จำกัด (มหาชน) หรือ GLORY เปิดเผยว่า นำหุ้นซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ วันที่ 25 ต.ค.นี้ ในใช้ชื่อหุ้น “GLORY” การซื้อขายหลักทรัพย์ หลังจากเปิดจองซื้อหุ้น IPO ระหว่างวันที่ 12 , 14 และ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท จำนวนทั้งสิ้น 70 ล้านหุ้น ได้กระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มนักลงทุนจำนวนมาก ทำให้บริษัทสามารถขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก IPO หมดจำนวน สะท้อนถึงศักยภาพธุรกิจความเชื่อมั่นในฐานะผู้ประกอบการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่บริการดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีดิจิทัลแพลตฟอร์มรวมถึงเป็นสื่อกลางการจัดจำหน่ายวรรณกรรมแปลลิขสิทธิ์ต่างประเทศ นิยาย การ์ตูน และหนังสือ ออนไลน์ ผ่านช่องทาง Kawebook  แพลตฟอร์ม เพื่อรองรับการขยายตัวของวงการหนังสือในตลาดอีคอมเมิร์ช

โดยเงินจากการระดมทุนหลังหักค่าใช้จ่าย189 ล้านบาท เตรียมซื้อลิขสิทธิ์วรรณกรรม นิยายและการ์ตูนจากต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายของวรรณกรรมให้ตอบสนองความต้องการของฐานลูกค้าให้ได้ครบทุกกลุ่มเป้าหมาย พัฒนาแพลตฟอร์ม Kawebook เพื่อขยายการเติบโตของฐานลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายผู้หญิง รวมไปถึงพัฒนาแพลตฟอร์มให้รองรับการใช้งานภาษาต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้อัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 61 – ปี 63 เทียบเป็นจำนวน 42.52 ล้านบาท 73.43 ล้านบาท และ 78.24 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี CAGR 35.81% ขณะรายได้การจำหน่ายและบริการในช่วง 6 เดือนแรกปี 2564 อยู่ที่ 45.43 ล้านบาท อัตราการเติบโต 19.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนผลความเชื่อมั่นได้ว่า GLORY เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งตามภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรมในอนาคต สำหรับนักลงทุนมั่นใจในศักยภาพและปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจที่มีศักยภาพ ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการพัฒนาและการให้บริการด้าน Digital Technology Platforms เพื่อรองรับการขยายตัวของวงการหนังสือในตลาด E-Commerce  ซึ่งหุ้นของ GLORY เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์MAIในหมวด เชื่อมั่นว่า การระดมทุนของ GLORY ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทสามารถต่อยอดและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในอนาคตให้มีศักยภาพและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

 

ขอบคุณ: มติชนออนไลน์

เดือนตุลา ยอดซื้อหุ้นต่างชาติพุ่ง

มูลค่าการซื้อขายสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 50,440.47 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 17,066.92 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 58,961.30 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 92,334.85 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายสะสมในช่วง 1 – 18 ต.ค. กองทุน ขายสุทธิ 9,498.40 ล้านบาท โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 4,339.46 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 17,744.04 ล้านบาท และรายย่อย ขายสุทธิ 12,585.10 ล้านบาท

ทั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้สรุปมูลค่าการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุนวันที่ 18 ต.ค.64 พบว่า สถาบันกองทุนในประเทศ  มียอดขายสุทธิ 1,719.93 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ซื้อสุทธิ 76.54 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิ 3,773.87 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปในประเทศ (รายย่อย) ขายสุทธิ 2,130.49 ล้านบาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ออสเตรเลีย ร่างกฎหมาย สั่งยึดเหรียญ Crypto

Karen Andrews รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของออสเตรเลีย กล่าวว่า มาตรการใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อขัดขวางการกำหนดเป้าหมายของธุรกิจในออสเตรเลียโดยแฮ็กเกอร์ระหว่างประเทศ กฎหมายใหม่ ที่เข้มงวดจะกำหนดเป้าหมายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ และโจมตีอาชญากรไซเบอร์ที่ซึ่งมันจะสร้างความเจ็บปวดที่สุดในการกระทำของพวกเขา โดยฝ่ายบังคับใช้กฎหมายจะทำการยึดไม่ให้มียอดคงเหลือในธนาคาร โดยกฏหมายดังกล่าวยังครอบคลุมไปถึงอาชญากรทางคอมพิวเตอร์ด้านการจัดการกับข้อมูลที่ถูกขโมยและการซื้อและขายมัลแวร์เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีประเภทแรนซัมแวร์ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็จะถูกลงโทษด้วย

สำหรับหน่วยงานเฉพาะกิจจากหลายองค์กรที่เรียกว่า Operation Orcus ถูกจัดตั้งขึ้นในเดือนกรกฎาคมเพื่อจัดการกับการโจมตีของแรนซัมแวร์ การโจมตีส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดในรัสเซียโดยใช้มัลแวร์ เช่น REvil หรือ DarkSide ซึ่งเข้ารหัสหรือขโมยข้อมูล จากนั้นจึงเรียกค่าไถ่ในสกุลเงินดิจิทัล

ทั้งนี้ฝ่ายนิติบัญญัติในสหรัฐอเมริกา ได้เพิ่มความพยายามในการจัดการกับแรนซัมแวร์ เมื่อต้นเดือนต.ค.64 ว่าวุฒิสมาชิกต่อต้านการคริปโต Elizabeth Warren ได้แนะนำพระราชบัญญัติการเปิดเผยค่าไถ่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบทบาทของสกุลเงินดิจิทัลในการโจมตีแรนซัมแวร์ นอกจากนี้เมื่อวันที่ 6 ต.ค. บริษัทวิเคราะห์บล็อคเชน Chainalysis ได้ซื้อบริษัทสืบสวนอาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ต Excygent เพื่อสนับสนุนคลังแสงในการทำสงครามกับแรนซัมแวร์อย่างต่อเนื่อง

 

ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 12 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 12 ตุลาคม 2564

เคอรี่ จับมือ เบทาโกร คลอดธุรกิจ ขนส่งควบคุมอุณหภูมิครบวงจร ตั้งเป้า เบอร์1 ของไทย

บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  จับมือกับ เครือเบทาโกร ผนึกกำลังทางธุรกิจจัดตั้งบริษัทใหม่ “Kerry Betagro Company Limited” คลอดธุรกิจ” KERRY COOL” ที่แรกของไทยที่ให้บริการขนส่งสินค้าด้วยแพลตฟอร์มการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Delivery Platform) gxHoเทคโนโลยีและบริการที่มีคุณภาพระดับโลก และราคาที่เข้าถึงได้ โดยบริการของ KERRY COOL ได้นำหลักการของวิธีการขนส่งแบบ Hub-and-Spoke มาปรับใช้อย่างเหมาะสมและครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารสดแช่เย็น ไปจนถึงเนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์แช่แข็งต่างๆ

นายอเล็กซ์ อึ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศของเราต้องการคุณภาพที่ดีสำหรับการขนส่งผลิตภัณฑ์ทั้งแบบแช่เย็นและแช่แข็ง ซึ่งมีความต้องการอยู่ทั่วประเทศ โดยผู้ให้บริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิส่วนใหญ่เป็นรายเล็กหลายรายในตลาดและยังดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม รวมถึงการบริการยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบถ้วน ซึ่งรถขนส่งเย็นของเราสามารถเชื่อมต่อข้อมูลของรถทุกคันผ่านระบบดาวเทียมซึ่งทำให้ทราบถึงสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์ และคงอุณหภูมิที่แน่นอนตลอดเส้นทาง ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่เราพร้อมส่งมอบให้กับลูกค้าและสร้างความโดดเด่นแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด คาดว่าบริษัทจะสามารถครองใจลูกค้าด้วยคุณภาพที่เป็นเลิศเสมือนกับมาตรฐานการให้บริการธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนของเรา

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเบทาโกร  กล่าวว่า การผนึกกำลังระหว่างเครือเบทาโกร และ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เป็นการพัฒนาธุรกิจ “KERRY COOL” บริการขนส่งสินค้าด้วยแพลตฟอร์มแบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold Delivery Platform) ที่ได้มาตรฐานคุณภาพระดับสากล เพื่อให้ผู้บริโภค และผู้ประกอบการ ทั้งรายใหญ่ และ รายย่อย ได้มีทางเลือก ตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันในการดำเนินธุรกิจ ส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพและปลอดภัยสูงสู่มือลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ความต้องการด้วยราคาที่เข้าถึงได้

สำหรับ KERRY COOL เป็น บริษัท เคอรี่ เบทาโกร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนจดทะเบียนขั้นต้น 1 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการลงทุนจากเคอรี่ ร้อยละ 60 และ เบทาโกร ร้อยละ 40 และมีแผนจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ให้บริการของจะครอบคลุมทั้งลูกค้า Walk-In ที่สาขาของเคอรี่ เอ็กซ์เพรส และ ร้านในเครือเบทาโกร รวมถึงช่องทาง D2D booking ซึ่งเป็นบริการเข้ารับพัสดุที่หน้าบ้าน ลูกค้าสามารถจองรถเข้ารับพัสดุได้ด้วยตนเองผ่านทั้งทางแอปพลิเคชั่นมือถือและเว็บไซต์

ทั้งนี้จะเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ตั้งเป้าหมายยกระดับมาตรฐานการให้บริการขนส่งพัสดุแบบควบคุมอุณหภูมิให้เหมือนกับที่ได้เข้ามาสร้างปรากฎการณ์ในธุรกิจจัดส่งพัสดุด่วนพร้อมกับมอบคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการระดับแนวหน้าและเป็นสากล ในราคาที่คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงได้

ขอบคุณ : Hooninside,ข่าวหุ้น

DPAINT จัดโรดโชว์ออนไลน์ นำเสนอขายหุ้น IPO

DPAINT จัดโรดโชว์ออนไลน์ แสดงวิสัยทัศน์ความเป็นหนึ่งในผู้นำนวัตกรรมสี นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อแนะนำธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน

นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT กล่าวว่า  บริษัทได้เตรียมนำเสนอข้อมูลธุรกิจในงานโรดโชว์ออนไลน์ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 64 ที่ผ่านมา โดยให้นักลงทุนได้รับทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของการดำเนินธุรกิจ จุดเด่น และโอกาสการเติบโตของบริษัทในอนาคต ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ภายในเดือนตุลาคมนี้

ซึ่งการเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์จากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจ โดยภายหลังสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น งานก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์เริ่มขับเคลื่อนเดินหน้าตามแผนงานที่วางไว้ ส่งผลให้ความต้องการสีทาอาคารเติบโตตามมา จึงมองว่า DPAINT จะเป็นหุ้นคุณภาพสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทซึ่งมีเส้นทางและปัจจัยส่งเสริมการเติบโตที่มั่นคง

โดยผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 โดยปี 2563 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและบริการ 596.2 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 41.9 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 41.9% อัตรากำไรสุทธิ 7.0% ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 64 มีรายได้จากการขายและบริการ 387.7 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 31.7% กำไรสุทธิ 32.9 ล้านบาท เติบโต 48.2% อัตรากำไรขั้นต้น 43.3% อัตรากำไรสุทธิ 8.5%.

ทั้งนี้ DPAINT ถิอเป็นผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีทาอาคารที่มีคุณสูง ซึ่งมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาเสริมพอร์ต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดสีทาอาคารในประเทศไทยที่มีมูลค่ารวมสูงถึง 20,000 ล้านบาท โดยการระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขีดความสามารถทางการแข่งขัน และเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดสีด้านนวัตกรรมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดย DPAINT อยู่ระหว่างเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 53.25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 1.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 23.15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้

ขอบคุณ: ข่าวออนไลน์RYT9

MAKRO เดินหน้าขอไฟลิ่งขาย PO ต่อ หวังเพิ่มฟรีโฟลทเป็น 15% ดันมาร์เก็ตแคปเข้าดัชนี SET50 วางแผนลงทุน 5 ปีใช้งบ 130,000 ล้านบาท

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ MAKRO กล่าวว่า หลังเสนอขาย PO จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในมือของรายย่อย (ฟรีโฟลท) เพิ่มขึ้นเป็นไม่ต่ำกว่า 15% จากปัจจุบัน 7%  และช่วยให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้น สามารถเข้าไปอยู่ในดัชนี SET50 ได้แน่นอน และแม้รวมกิจการของกลุ่มโลตัสส์เข้ามาในบริษัท แต่ยังคงยึดมั่นการทำธุรกิจที่เป็นคู่คิดทางธุรกิจทุกกลุ่มผู้ประกอบการ พร้อมสนับสนุนผู้ผลิตสินค้าและร้านค้าปลีกรายย่อย ตลอดจนให้ความสำคัญกับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงจำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม

ในการเข้าถือหุ้นและรับโอนกิจการทั้งหมดของกลุ่มโลตัสส์จะเพิ่มโอกาสการเติบโตจากการขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีประชากรจำนวนมาก เพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังโควิด-19 และร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น

โดยเตรียมงบลงทุนในช่วง 5 ปีข้างหน้าสำหรับธุรกิจของ MAKRO และกลุ่มโลตัสส์ 1.3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจกลุ่ม MAKRO6 หมื่นล้านบาท และกลุ่มโลตัสส์ 7 หมื่นล้านบาท ใช้พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการ ซึ่งนอกจากการขยายสาขาแล้ว จะหันมาเน้นการลงทุนด้านดิจิทัลเพิ่มมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ตั้งเป้าจะขยายสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 10% ของรายได้รวมภายในช่วง 5 ปีหรือในปี 2568 จากปัจจุบัน 5% ส่วนหนึ่งจะมีการรับรู้รายได้จากสาขาในประเทศมาเลเซียรวมถึงมีแผนขยายสาขาทั้ง MAKRO และโลตัสส์ในต่างประเทศเพิ่มขึ้น จากเดิม MAKRO มี 7 สาขาในต่างประเทศ โดยปัจจุบันได้เริ่มศึกษารูปแบบของตลาดทั้งแบบ B2B และ B2C และการลงทุนแบบก่อสร้างใหม่เอง หรือไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่อยู่ในประเทศนั้นด้วย

นางเสาวลักษณ์ ถิฐาพันธ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโครสายงาน Group Shared Service กล่าวว่า การรับโอนกิจการของกลุ่มโลตัสส์ครั้งนี้ จะทำให้บริษัทมีมาร์เก็ตที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทที่สามารถรับรู้รายได้ของกลุ่มโลตัสส์ รวมถึงรายได้จากพื้นที่เช่าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ที่มีผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค

หากได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น บริษัทเตรียมยื่นขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เพื่อเสนอขายหุ้น PO คาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ โดยที่ผู้ถือหุ้นเดิมคือบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) (CPALL), บริษัท เจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท ซี.พี.เมอร์แชนไดซิ่ง จำกัด ที่ได้รับหุ้น PP จากการรับโอนกิจการดังกล่าว จะร่วมเสนอขายหุ้นสามัญที่ถืออยู่ในบริษัทด้วยบางส่วน พร้อมกับการทำ PO ในครั้งนี้ เพื่อเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย

ทั้งนี้หลังประกาศปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกครั้งใหญ่ของ “เครือซีพี” ให้บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) (MAKRO) รับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัทซี.พี. รีเทล โฮลดิ้ง จำกัด (CPRH) ที่ถือหุ้นในบริษัท ซี.พี. รีเทล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (CPRD) ในสัดส่วน 99.99% และ CPRD ถือหุ้นสัดส่วน 99.99% ในบริษัท โลตัสส์สโตร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus’s ในประเทศไทย และถือหุ้นสัดส่วน 100% ใน Lotuss Stores (Malaysia) Sdn. Bhd. ประกอบธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ Lotus’s ในประเทศมาเลเซียด้ว

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

“เถ้าแก่น้อย” โมเดลโรงงานต้นแบบป้องกันโควิด19 เดินหน้าขยายกิจการในจีน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ผ่านมามีผลกระทบทุกบริษัทหนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)    ทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุขออกมตราการต่างๆมา ทำให้ทุกบริษัทต้องดำเนินการตามแนวทางปฎิบัติที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ โดยจัดหาที่พักให้กับพนักงานทั้งในและนอกโรงงาน จัดทำทะเบียนพนักงาน พัฒนาโปรแกรมในโทรศัพท์มือถือมาใช้ในการกำกับดูแลพนักงาน สามารถระบุสถานที่หรือเวลาพนักงานทำงานอยู่ รวมถึงระบุที่นั่งบนรถรับ-ส่งพนักงาน และจำกัดที่นั่งไม่เกิน 50%

               สำหรับบริษัทเถ้าแก่น้อย  ได้ปรับมาตรการเชิงรุกและให้ความสำคัญการดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคในพื้นที่เฉพาะ (Bubble and Seal) เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  จนได้รับเกียรติบัตรสถานประกอบกิจการที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาอยุธยาโมเดล ถือเป็นโรงงานต้นแบบมาตรฐานในการจัดการป้องกันควบคุมโรคโควิด 19 ภายใต้ “เศรษฐกิจเดินหน้า อยุธยาปลอดภัย ทุกภาคส่วนร่วมใจ ห่างไกลโควิด” จากหน่วยงานราชการในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

               นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจากการปรับมาตรการเชิงรุกในการบริหารจัดการภายในโรงงานผลิต ส่งผลดีต่อกระบวนการผลิตสินค้าในโรงงานและความสามารถการผลิตสินค้า ล่าสุดได้ทยอยติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิต รองรับคำสั่งซื้อสินค้าจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ปัจจุบัน TKN มียอดคำสั่งซื้อจากจีนเฉลี่ย 150-170 ตู้คอนเทนเนอร์ และได้ร่วมกับคู่ค้าวางแผนบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์เพื่อแก้ไขปัญหาค่าระวางการขนส่งสินค้าทางเรือและตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นกว่า 500%

ซึ่งแนวโน้มตลาดในไตรมาสสุดท้ายนี้ คาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หลังจากที่บริษัทเร่งปรับกลยุทธ์การจัดจำหน่ายในประเทศจีน เพื่อรองรับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่กำลังฟื้นตัว ส่งผลให้มียอดคำสั่งซื้อทยอยกลับมาตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 

 ทั้งนี้ในการปรับกลยุทธ์การขายในประเทศจีนโดยการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายสินค้า ปัจจุบันเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดี เห็นได้จากออเดอร์ที่เข้ามาตั้งแต่ช่วงต้นครึ่งปีหลัง 2564 แต่บริษัทไม่สามารถตอบสนอง Supply สินค้าได้ทันตามออเดอร์ที่เข้ามา เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 หลังจากได้วางมาตรการเชิงรุกเพื่อป้องกันและควบคุมโรคโควิด 19 ภายในโรงงาน ส่งผลให้แนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 4/64 ประกอบกับบริษัทได้สั่งซื้อเครื่องจักรใหม่เพิ่มเติม ทำให้สามารถเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าได้ทันกับความต้องการของลูกค้าในจีนได้

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

Categories
การลงทุน ข่าวหุ้น ธุรกิจ ลับ เศรษฐี นอกตำรา

เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ

เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ?

         เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ อย่าโทษแต่สิ่งรอบข้างจนลืมมองตัวเอง คนเรามักโทษสิ่งอื่นเสมอแต่ไม่เคยมองตัวเอง โควิด19- ทำให้ทำงานไม่ได้ ต่อให้เจอวิกฤตอะไรคุณก็โทษได้ทั้งนั้น ที่ผ่านมาเห็นแต่คนโทษเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเมื่อไหร่ 20 หรือ 30 ปีก็มีแต่คนบอกเศรษฐกิจไม่ดี ไม่เคยเห็นเลยที่บอกเศรษฐกิจดี แต่ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ได้เห็นคนประสบความสำเร็จหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้จะในช่วงโควิด

เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมานานเป็นปี ส่งผลกระทบรุนแรงไม่ใช่แค่ เศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ยังรวมไปถึง ภาคธุรกิจ ร้านค้า กิจการ มนุษย์เดือน ฟรีแลนซ์ ที่โดนปรับลดค่าจ้าง ลดค่าใช้จ่าย ภายใน หรือแม้กระทั่ง นักเรียน นักศึกษา ที่ได้รับผลกระทบ จากวิกฤติครั้งนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และเพื่อให้ทุกอาชีพสามารถผ่านพ้นวิกฤติการเงินครั้งนี้ไปได้ เราจะมาดูวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอด จากวิกฤติการเงินนี้ได้กัน

1. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่ลดรายจ่ายของความบันเทิง

       ช่วงวิกฤติการเงินสาหัสเช่นนี้ จะใช้จ่ายตามใจชอบเหมือนที่ผ่านมาคงไม่ได้ รายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น รายจ่ายเพื่อความบันเทิงคงจะต้องตัดออกไปก่อน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับสถานะการเงินในช่วงวิกฤติให้ผ่านพ้นไปด้วยดี

2. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่จัดระเบียบกระเป๋าเงินของตนเอง

    กระเป๋าการเงินก็เปรียบเสมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานะการเงินของเราในแต่ละช่วงเวลา ยิ่งในช่วงที่มีวิกฤติเรื่องโรคระบาดหนักเช่นนี้ วิธีที่จะสามารถเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีคือหันมาให้ความสำคัญ จัดระเบียบการเงินในกระเป๋าของเราเอง เตรียมพร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์ โดยแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และเงินออมสำรองยามฉุกเฉินไว้ใช้ในอนาคต

3. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ สร้างหนี้สินที่ไม่จำเป็น

      เราไม่รู้ว่าโควิด-19 จะไปจากเราเมื่อไหร่ และสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติได้ตอนไหน หนทางการเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้คือ หยุดก่อหนี้ และเคลียร์หนี้สินคงค้างให้เสร็จสิ้น เมื่อหมดหนี้แล้ว เราก็อาจจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการใช้ยอดขั้นต่ำการชำระหนี้มาแปลเปลี่ยนเป็นจำนวนเงินที่เราต้องออมในแต่ละเดือนก็ได้เช่นกันนะคะ นอกจากไม่มีหนี้แล้วยังช่วยให้มีเงินออมเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่เคยทำอาชีพเสริม

        สถานการณ์แบบนี้มีรายได้ทางเดียวคงไม่เพียงพอ และเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติก็คงต้องหาอาชีพเสริม หรือช่องทางเพิ่มรายได้ขึ้นมา เพื่ออย่างน้อย ๆ จะได้ลดปัญหาเรื่องการขาดรายได้จากอาชีพหลักของเรา โดยอาจจะเลือกทำจากสิ่งที่เราชอบ หรือถนัดมาต่อยอดไอเดียหารายได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะเปลี่ยนจากอาชีพเสริมมาเป็นอาชีพหลักเลยก็ได้ค่ะ

5. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่ระวังเรื่องการลงทุน

      เศรษฐกิจตอนนี้มีความผันผวนสูง หากใครที่คิดว่าการลงทุนอาจจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนมาใช้ชีวิตรอดในช่วงนี้ได้อาจเป็นความคิดที่ไม่ถูกเสมอไป  เพราะเราอาจเสียเงินต้นไปจำนวนมากภายในพริบตา แต่ถ้าสำหรับใครที่ต้องการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง และเป็นระดับความเสี่ยงที่รับได้ แนะนำว่าให้ศึกษาการลงทุนแต่ละรูปแบบ และเงินที่จะนำไปลงทุนควรจะต้องเป็น “เงินเย็น” เท่านั้น

6. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่ติดตามข่าวสารมาตรการจากรัฐบาลและสถาบันการเงิน

        ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาตรการเยียวยา ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือขาดรายได้ให้แก่ประชาชน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ช่วยเหลือแก่ผู้มีหนี้สิน นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นวิกฤติในช่วงนี้ไปได้

       วิธีการเอาตัวรอดทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่ง ที่อาจะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นจากวิกฤติการเงินในช่วงโควิด-19 ไปได้ไม่มากก็น้อย แต่สุดท้ายแล้วเราต้องหาวิธีการปรับตัว และวิธีการจัดการเงินให้เหมาะสมกับตนเอง แล้วเราก็จะสามาระเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้