LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 7 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 7 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

     ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 205,000,244 หน้วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 18.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (1 ธันวาคม 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.10 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 พ.ค. 2565วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 30 พ.ย. 2566

     PTTEP (กรุงศรี) ซื้อเป้า 150 บาท ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเป็นบวกโดยตรงกับ PTTEP เนื่องจากมีสูตรราคาเป็น Oil link แนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/64 คาดสูงขึ้น qoq และ yoy ตามราคาขายที่เพิ่มขึ้นและไตรมาสนี้คาดว่าจะไม่มี Hedging loss เหมือน Q2/64 และ Q3/64

     CRC (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 36 บาท คาดยอดขายในประเทศนับตั้งแต่ Q4/64 ฟื้นตัว กำลังซื้อกลับมาหลังเปิดเมือง, การเพิ่มสัดส่วนใน Grab จะเสริมความแข็งแกร่งในช่องทางการขาย พร้อมปรับตัวสู่โลก Block chain พัฒนา Digital Token C-Coin ทดลองใช้ในกลุ่มพนักงาน 8 หมื่นราย คาดปี 65 พร้อมให้ลูกค้าใช้งาน ด้าน Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ขาดทุนที่ 1.46 พันลบ. ส่วนปี 2565 พลิกเป็นกำไรที่ 3.9 พันลบ. ตามลำดับ

     NSL (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 23 บาท แนวโน้ม Q4/64 จะฟื้นแรงตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายและทำให้ลูกค้าเข้า 7-11 มากขึ้น รวมถึงปัญหา Supply Chain ที่หมดไป ทำให้ทั้งรายได้และ Margin ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ พร้อมคาดกำไรปี 2564 +25% Y-Y และเร่งตัวปีหน้า +44% Y-Y โดยระยะถัดไปคาดจะเติบโตในกัมพูชาตาม 7-11 เช่นกัน โดยให้แนวรับ 19-18.50 บาท แนวต้าน 20-20.40 บาท

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 600 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,227.03 จุด เพิ่มขึ้น 646.95 จุด หรือ +1.87%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,591.67 จุด เพิ่มขึ้น 53.24 จุด หรือ +1.17% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,225.15 จุด เพิ่มขึ้น 139.68 จุด หรือ +0.93%

      นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำทำเนียบขาวกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC เมื่อวานนี้ว่า  แม้ดูเหมือนว่าเร็วเกินไปที่จะออกมาสรุปในเรื่องนี้ แต่นับจนถึงขณะนี้เรายังไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสโอไมครอนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง

     สอดคล้องกับที่นายมาร์โก โคลาโนวิช และนายบราม แคปแลน นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า แม้ว่าโอไมครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีตที่บ่งชี้ว่า ไวรัสที่มีการแพร่ระบาดมากกว่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จะเข้ามาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งจะทำให้โอไมครอนเป็นตัวเร่งให้การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 นั้น กลายเป็นเพียงบางสิ่งที่คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น
           การแสดงมุมมองบวกของเหล่าผู้เชี่ยวชาญได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มอุตสาหกรรม  หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นเกือบ 5% เมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคดีดตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจเช่นกัน 

         นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้
          ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดุลการค้าเดือนต.ค., ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยในไตรมาส 3/2564, ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดปรับตัวลง 4.40 ดอลลาร์

      สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 4.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,779.50 ดอลลาร์/ออนซ์

     โดยราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันท่ามกลางความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดไว้

      นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ส่งสัญญาณยุติโครงการคิวอีเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เฟดอาจปรับลดวงเงินคิวอีมากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดจะมีการหารือกันในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 ธ.ค. 64 

      ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมวันที่ 3 พ.ย. และเฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย.64

       โดยเฟดจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์ การลดวงเงินคิวอีดังกล่าวจะทำให้เฟดยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565

     โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงินคิวอีเป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ แม้ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรก แต่อาการไม่รุนแรง

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ แม้จะไทยจะพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรก แต่เท่าที่ติดตามข่าวทั่วโลกมาปรากฏว่าอาการไม่ได้รุนแรง ทำให้ผ่อนคลายความกังวลไปได้บ้าง แม้ว่าสายพันธุ์นี้จะมีการแพร่กระจายได้เร็ว แต่อาการอ่อนกว่าสายพันธุ์เดลตา

           เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันก็พุ่งแรงเกือบ 5% ทำให้น่าจะไปหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีได้ อย่างไรก็ดี บรรยากาศอาจเป็นลักษณะชะลอการลงทุน เนื่องจากสัปดาห์นี้คาบเกี่ยวกับวันหยุดต่อเนื่อง

       ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้รีบาวด์ราว 0.2-0.3% หลังวานนี้ปรับตัวลงไปมาก พร้อมให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจของจีน อย่างตัวเลขการค้า และตัวเลขเงินเฟ้อ เป็นต้น พร้อมให้แนวรับ 1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600-1,605 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซในปี 2565

      ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ  ผู้คร่ำหวอดใน อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ของไทย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอตลาดดอทคอม เปิดคาดการณ์ 10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซในปี 2565

      ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง  คริปโทคอมเมิร์ซ ซูเปอร์แอพ รวมไปถึงการเติบโตของ  วิธี  การในการทำอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะในเรื่องของการ  ไลฟ์  ที่จะกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ ขณะที่ กลุ่มJSL อันประกอบด้วยJD Central , Shopee และ Lazada ที่ปีหน้าจะเริ่มทำกำไรได้แล้ว

สำหรับ 10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 มีดังนี้

 1.อีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นช่องทางหลักของธุรกิจปี 2564

     อาจจะยังไม่ค่อยชัดมากเท่าไหร่ แต่ปี 2565 จะชัดมากว่าอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นช่องทางหลักในแง่ของบางธุรกิจยอดขายต่าง ๆ บางกลุ่มอีคอมเมิร์ซอาจจะไม่เมาก แต่เมื่อดูอัตราการเติบโตผมบอกได้เลยว่าน่าจะโตขึ้นอีกมหาศาลเลยทีเดียวในเชิงของการขาย

2.JSL ปีหน้าจะเริ่มทำกำไรได้แล้ว กลุ่ม JSL ประกอบด้วย เจดีเซ็นทรัล (JD Central), ช้อปปี้ (Shopee) และลาซาด้า (Lazada)

      จะพยายามเข้าสู่โหมดการทำกำไร อย่างเมื่อกลางปี 2564 ลาซาด้า ส่งงบกลางปีต่อกระทรวงพาณิชย์ ตอนนี้รายได้ 1.4 หมื่นกว่าล้านบาท กำไรสูงถึง 226 ล้านได้ ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าสงครามยังคงมีอยู่ แต่บางเจ้าเริ่มหยุดการสาดเงิน เริ่มมาโฟกัสที่การทำให้เกิดรายได้ของธุรกิจมากขึ้นกำไรของพวกมาร์เก็ตเพลสนั้น lazada กับ shopee จะได้มาต่างกัน shopee จะมาจากค่าคอมมิชชั่นจากการขายทุกร้านที่ไปเปิดต้องเสียค่าคอมมิชชั่นและการซื้อโฆษณาภายในเว็บไซต์ แต่ลาซาด้าจะเอาโมเดลจากจีนมาซึ่งมี 2 โมเดล คือ แบบแรกแบบ Taobao ก็คือแบบลาซาด้ามาร์เก็ตเพลสทั่วไปตรงนี้รายได้มาจากโฆษณา ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไปขายของจะไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น แต่หากต้องการยอดขายเพิ่มอาจต้องไปซื้อโฆษณาเพิ่ม ส่วนอีกโมเดลหนึ่งคือ LazMall ตรงนี้เปิดให้เฉพาะเจ้าของแบรนด์สินค้า ซึ่งต่องจ่ายค่าคอมมิชชั่น 2-10% ขึ้นอยู่กับประเภทหมวดหมู่สินค้า เมื่อเปรียบเทียบก็ยังถือว่าต่ำการนำไปขายในช่องทางค้าปลีกทั่ว ๆ ไปที่อาจอยู่ที่ 30% เลย นอกจากนี้ยังค่าเช่าพื้นที่ ค่าพนักงานที่ไปยืนขาย ฯลฯ มเดลรูปแบบใหม่ที่เป็นออนไลน์จะทำให้เจ้าของสินค้าต่างๆ เริ่มสนใจเพราะค่ามาร์จิ้นหรือคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าของช่องทางการขายค่อนข้างต่ำกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมี บรรดามาร์เก็ตเพลสหรือ JSL จึงมุ่งไปที่แบรนด์สินค้าหรือโรงงานต่าง ๆ เพราะกลุ่มนี้เมื่อลงโฆษณาออนไลน์จะจ่ายน้อยกว่าและเห็นยอดขายเลยทันที ซึ่งตรงนี้จึงทำให้รายได้ของผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสโตขึ้น เพราะแบรนด์ต่าง ๆ เบนเข็มเบนเม็ดเงินจากที่ไปจ่ายตามสื่อต่าง ๆ มาลงบนออนไลน์เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นว่าผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสเริ่มมีรายได้มากขึ้นและเห็นแววว่าจะมีกำไรแล้ว

3.สงครามการเป็นซูเปอร์แอพ (SuperApp) แอพที่ต้องเปิดทุกวัน

      เป็นแอพพลิเคชั่นที่มีทุกบริการอยู่ภายในรายที่มีความใกล้เคียงเป็นซูเปอร์แอพมาก คือ แกร็บ สั่งอาหารได้ ส่งสินค้าได้ ปัจจุบันสั่งสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ ยังมีวอลเล็ทมีให้กู้เงิน ฯลฯ หรือ “ทรูมันนี่” เริ่มเป็นซูเปอร์แอพแล้ว ปัจจุบันมีกระเป๋าเงินจ่ายเงินได้ ซื้อกองทุน จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ทำได้หมดทุกอย่าง อีกรายที่น่ากลัวมาก คือ ช้อปปี้ ที่ปัจจุบันมีทุกอย่างและรุกหนักมาก และจะไปต่อ คือ ShopeeFood, Shopee Travel นี่คือแนวโน้มของการทำอีคอมเมิร์ซในปีหน้า ทุกรายพยายามจะกระโดดเข้ามาเป็นซูเปอร์แอพ ทุกรายขายของอยู่แล้วแต่พยายามจะขายของให้มีความหลากหลายมากขึ้น อาศัยฐานที่ตัวเองมี ทำให้ลูกค้าไม่ต้องออกไปไหนอยู่แต่ในแพลตฟอร์มตัวเองเท่านั้น เช่นเดียวกับ แฟลช เอ็กซ์เพรส นอกจากทำขนส่ง ยังมีแผนจะไปทำ Flash Pay, Flash Warehouse พยายามกระโดดไปทำทุกอย่างเหมือนกัน

4. ไลฟ์คอมเมิร์ซ+โออีเอ็ม (OEM) การขายของออนไลน์ผ่านการถ่ายทอดสดปีหน้า จะเป็นการขายทางออนไลน์แบบซีเรียสขึ้น เรียกว่า เป็นโปรเฟสชั่นนัล ไลฟ์ คอมเมิร์ซ และ ขายได้ในระดับหลายร้อยล้าน เช่น พิมรี่พาย live commerce + OEM คือ เมื่อก่อนเราอาจจะเอาของคนอื่นมาขาย แต่ปัจจุบันไม่ต้อง เมื่อไลฟ์บ่อย มีฐานลูกค้ามีคนติดตามแล้ว ก็หันจ้างบริษัทอื่นผลิตสินค้าเองเลย จะเริ่มเห็นหลายๆ คนเริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง เพราะอาจได้กำไรมากกว่าเดิม 100-200%”

5.คอมบายน์ แอนด์ ออโตเมท อีคอมเมิร์ซ (Combine and automated e-commerce) 

      ต่อไปทุกช่องทางการขายจะถูกหล่อหลอมเข้าด้วยกัน อยู่ในช่องทางเดียวกัน ยอดขายจากออนไลน์ ยอดขายจากทีวี และจากทุกสื่อทุกช่องทาง จะสามารถดึงข้อมูลมารวมไว้ที่เดียว เพื่อมาวิเคราะห์ว่าช่องทางไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ช่องทางไหนเวิร์คสุดเมื่อรวมข้อมูลทั้งหมดมาอยู่ในที่เดียวกันได้ สิ่งที่ตามมาคือ automated คือสามารถต่ออัตโนมัติ เอาพวกแชทบอทเข้ามาช่วยได้ ระบบออกบิล การเก็บข้อมูลทุกอย่าง ฯลฯ การขายของในปัจจุบันจะรวดเร็วขึ้นและจะอัตโนมัติมากขึ้นเลยทีเดียวล่าสุดพัฒนา TARAD U-Commerce 2.0 เป็นระบบที่สามารถรวบรวมยอดขายได้ทุกช่องทางไว้ที่เดียว รวมทั้งการส่งสินค้าจากหลายๆ ขนส่งที่ถูกกว่มปกติผ่าน Shippop และมีระบบชำระเงินทุกช่องทางของ PaySolutions รวมอยู่ที่เดียว

6. รีเทล ออโตเมชั่น การมาของเครื่องขายของอัจฉริยะตลอด 24 ชั่วโมงไม่ต้องใช้คนการค้าปลีกแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้คน โดยปีหน้าจะเริ่มเห็นพวกเวนดิ้ง แมชชีน พวกตู้ขายสินค้าอัตโนมัติต่างๆ ที่สามารถขายสินค้าได้ 24 ชั่วโมงมากขึ้น

7.การขายของออนไลน์ในปีหน้าจะดุมากขึ้น aggressive มากขึ้น

     งบประมาณโฆษณาที่ใช้เท่าเดิม ยอดขายจะได้น้อยลง เมื่อทุกคนกระโดดเข้ามาสู่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ เขาต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นต่างๆ เมื่อเริ่มใช้งบมากขึ้น งบเริ่มไม่ค่อยได้ผล การแข่งขันมากขึ้น ดังนั้น ตลาดการลงโฆษณา ตลาดการแข่งขันขายของออนไลน์จะดุเดือดมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา

8.คริปโทคอมเมิร์ซ  เป็นคำใหม่ขอใช้คำว่า “Crypto Commerce”

    คือ ใช้สกุลเงินคริปโตมาร่วมกับการค้าอย่างจริงจัง ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีการใช้เหรียญคริปโตมาใช้ แต่เป็นการใช้ในแง่การลงทุน เก็งกำไร ปีหน้าจะเริ่มเจอว่ามีการเอาเงินคริปโตมาซื้อของ ซึ่งปีนี้เริ่มมีให้เห็นแล้ว เช่น ใช้คริปโตซื้อรถยนต์ได้

9. D2C จะเริ่มเหิมเกริมมากกว่าเดิม (Direct to Consumer)

      เพราะทุกแบรนด์สินค้าและโรงงานต่างๆ ต่างโดดเข้ามาขายออนไลน์เองกันหมด เริ่มหันมาขายในมาร์เก็ตเพลส ขายผ่านโซเชียลมีเดีย เริ่มสร้างทีมของตัวเอง และเปิดร้านขายเอง ส่งเอง ตรงสู่ผู้บริโภคมากขึ้นอนาคตของค้าปลีกตัวกลางอย่างดีเลอร์ และร้านค้าต่างๆ ที่ผมเคยเตือนไว้ เริ่มชัดแล้วว่าบทบาทความสำคัญจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ และปีหน้าจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออีคอมเมิร์ซเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ

10.การถดถอยของธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่น (Local Business Decline)

       เมื่อ 1-9 มารวมกันจะเกิดการที่ธุรกิจท้องถิ่นที่อยู่ต่างจังหวัด ร้านโชห่วย ร้านค้าขนาดเล็ก ฯลฯ จะเริ่มเห็นการหดตัวในปี 2565 เพราะผู้บริโภคจะเริ่มคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้น จะกระทบกับธุรกิจค้าปลีกทันที ไม่ว่าจะเป็นร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ต่อไปจะมีผลกระทบมากขึ้นเลยทีเดียว ร้านเหล่านี้จะมีขนาดเล็กลง ยอดขายจะตกลงด้วยเหมือนกัน

      

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 6 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 6 ธันวาคม 2564

บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป เผย หุ้นทรุดลง 12% ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

     หุ้นบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ทรุดลง 12% แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปีวันนี้ หลังจากบริษัทยอมรับว่า ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะสามารถหาเงินได้เพียงพอเพื่อมาชำระหนี้ได้ตามกำหนดหรือไม่ ขณะทางการจีนได้เรียกตัวประธานของบริษัทเข้าประชุมเป็นการด่วน โดยหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ร่วงลงกว่า 12% แตะที่ 1.98 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2553

    โดยหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ปรับตัวลง หลังบริษัทไม่สามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้มูลค่า 82.5 ล้านดอลาร์ได้ทันกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา และนักลงทุนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า บริษัทแห่งนี้จะสามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้ทันในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน 30 วันซึ่งสิ้นสุดในวันนี้ 6 ธ.ค.) 64 

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เอเวอร์แกรนด์พยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อระดมเงินทุนในระหว่างที่ต้องรับมือกับภาระหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ล้มละลายก็จะส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ของจีนอย่างหนัก

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงว่า บรรดาเจ้าหนี้ได้ทวงหนี้จากบริษัทมูลค่ารวมราว 260 ล้านดอลลาร์

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นมณฑลกวางตุ้งได้เรียกตัวนายฮุย คา หยาน ประธานบริษัทเข้าประชุม โดยระบุในแถลงการณ์ว่า ทางการจีนจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับการควบคุมภายในบริษัท และรักษาการดำเนินงานให้เป็นปกติ

     ทั้งนี้นาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า ความเสี่ยงระยะสั้นที่เกิดจากปัญหาภายในของเอเวอร์แกรนด์นั้นจะไม่บ่อนทำลายการระดมทุนของตลาดในระยะกลางและระยะยาว พร้อมเสริมว่าการขายบ้าน การซื้อที่ดิน และการจัดหาเงินทุนในจีนได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้เพิ่มขึ้น 50 บาท

     สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 6 ธ.ค.64 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.24 น. เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,500.00 บาท ขายออกบาทละ 28,600.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,985.36 บาท ขายออกบาทละ 29,100.00 บาท

     ในขณะที่ราคาทองเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.64 2564  ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 1 ครั้ง เพิ่มขึ้น 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,450.00 บาท ขายออกบาทละ 28,550.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,939.88 บาท ขายออกบาทละ 29,050.00 บาท

     ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์3 ธ.ค.64  สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 21.2 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาทองคำ ลดลง 0.1% จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนที่ 1,785.50 ดอลลาร์

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

ธปท.ผนึกกำลัง ก.ล.ต.คุมเข้ม เหรียญคริปโท

   คริปโทเคอร์เรนซี(cryptocurrency) ที่ได้รับความสนใจจากนักเก็งกำไรคนรุ่นใหม่อย่างมาก ซึ่งข้อมูลจากสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มียอดเปิดบัญชีซื้อขายอยู่ที่ 1.64 ล้านบัญชี (สิ้น ก.ย. 2564) ขณะที่มูลค่าการซื้อขายแต่ละสัปดาห์หลายหมื่นล้าน หรือเกือบ ๆ แสนล้านบาท

     ขณะเดียวกันก็มีภาพของตลาดซื้อขายคริปโท สร้างอีโคซิสเต็ม จับมือพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ ทั้งอสังหาฯ ค้าปลีก สายการบิน ร้านกาแฟ โรงพยาบาล รถยนต์ เปิดรับชำระสินค้าและบริการด้วยคริปโทสกุลเงินต่าง ๆ ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาส่งสัญญาณเตือนถึงการยกระดับการกำกับดูแล

    เรื่องการกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงสเตเบิลคอยน์ (stablecoin) ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการหารือกับ ธปท.และ ก.ล.ต.อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะมีการยกระดับการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ทั้งในด้านของการลงทุนหรือซื้อขาย รวมถึงในส่วนของการนำมาใช้ในการรับชำระสินค้าและบริการ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการวางแผน แต่เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ตลาดคริปโทมีความร้อนแรงมากขึ้น รวมถึงมีกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดดเข้ามาร่วมในการรับชำระค่าสินค้าและบริการมากขึ้น จนทำให้ ธปท.ออกมาส่งสัญญาณเตือนไม่สนับสนุนให้ใช้ชำระสินค้าและบริการ

      สินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อใช้รองรับเรื่องการลงทุน อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็ไม่ได้เขียนห้ามเรื่องการชำระสินค้า แต่แบงก์ชาติในฐานะผู้กำกับระบบการชำระเงิน มองเห็นถึงความเสี่ยงก็ออกมาส่งสัญญาณ

    โดยขณะนี้กำลังเร่งหารือถึงแนวทางกำกับ ซึ่งต้องยอมรับว่าจากเทคโนโลยีบล็อกเชนทำให้นวัตกรรมทางการเงินมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นความท้าทายของหน่วยงานกำกับต้องมีการปรับเพื่อให้ทันการเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่การปิดกั้น แต่จะต้องมีการกำกับเพื่อดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน รวมถึงการปกป้องนักลงทุนไม่ให้ถูกเอาเปรียบ

    เนื่องจากกฎหมายที่ออกมาเมื่อปี 2561 นั้นเป็นการเขียนตามหลักการ ซึ่งตอนนี้ก็มีการพิจารณาแก้ไข สิ่งที่ผู้กำกับดูแลพยายามกำกับ คือ สร้างความเป็นธรรม และป้องกันนักลงทุน เพราะหากปล่อยไปจะมีปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ในฐานะผู้กำกับจะต้องดูว่ามีประโยชน์กับเศรษฐกิจและประเทศชาติหรือไม่ ซึ่งตอนนี้กำลังไล่เรียงดูเรื่องกฎหมายกันอยู่

    เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ติดตามการนำสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน รวมถึงการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในรูปแบบที่เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

   

ธปท.ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ทั้งยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน ที่จะส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงผู้ใช้บริการให้ได้รับความเสียหาย และหากมีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน และระบบการเงินของประเทศ และความเสียหายแก่สาธารณชนทั่วไปได้

     โดย ธปท.ร่วมกับ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณารูปแบบการกำกับ ดูแลการให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อจำกัดความเสี่ยงข้างต้น ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินโดยรวม
    นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็น (hearing) ร่างประกาศเกี่ยวกับการกำกับดูแลผู้ให้บริการ กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (DA custodial wallet provider) และการให้บริการกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล (wallet) ของลูกค้า
    รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ การเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้า เพื่อให้การกำกับดูแลการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นไปอย่างเหมาะสม มีมาตรฐานที่ดี และทรัพย์สินของลูกค้ามีความปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งป้องกันการถูกใช้เป็นเครื่องมือกระทำความผิด ซึ่งจะรับฟังความคิดเห็นไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 64 นี้
    ก.ล.ต.ได้เข้าหารือกับตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อหารือถึงแนวทางการประสานงานในการสืบสวนและตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่มีผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนและสังคม
    โดยจะเริ่มทำงานเชิงรุกในกรณีที่อาจเข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมากช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการติดตามผู้ถูกกล่าวหาที่หลบหนีการกระทำผิด เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมามีกลุ่มนักลงทุนเข้ามาร้องเรียนเรื่องที่เกิดความเสียหายจากการซื้อขายคริปโทมากขึ้น ในลักษณะต่าง ๆ รวมถึงลักษณะปั่นราคา
    นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แผนการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2565 จะทำตัวเป็นแพลตฟอร์มมากขึ้น ขณะนี้ ตลท.กำลังขอใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset exchange) จาก ก.ล.ต. เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานให้ครอบคลุมขึ้น
    “สิ่งที่ ตลท.กำลังจะทำ คือ ทำให้คนที่มีสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอร์เรนซี อยากจะกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ สามารถเปลี่ยนจากคริปโทเคอร์เรนซีมาเป็นสกุลเงินต่าง ๆ และนำเงินมาซื้อหรือลงทุนในตลาดทุน เช่น ตลาดหุ้นไทยหรือตลาดอื่น ๆ ได้สะดวกขึ้น ตรงนี้มากกว่า ที่เราจะเป็นจุดเชื่อมต่อในการให้บริการของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี แต่ไม่มีนโยบายจะเข้าไปเป็นตลาด
     

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ประเมินว่าหลังวิกฤตโควิด ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกจะหันไปโฟกัสในเรื่อง “ดิจิทัลทัวริซึ่ม” มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ และประเทศไทยก็ต้องไปตามทิศทางของโลก โดย ททท.มีแผนจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อก้าวสู่ดิจิทัลทัวริซึ่ม และสร้างโอกาสใหม่ ๆ

      รวมถึงได้เริ่มทำศึกษาข้อมูล ความเป็นไปได้ในการใช้สกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี มาใช้รับการชำระสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในประเทศ เนื่องจากมองว่ากลุ่มที่ใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงมีการออกเหรียญดิจิทัลของ ททท. เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในอนาคตด้วย
      ทุกอย่างยังอยู่ในแผนและขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ หากสามารถทำได้ตามแผน ททท.จะเปิดรับผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมลงทุน รวมถึงเปิดกว้างให้สมาคมท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย
      นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ประกาศนำคริปโทเคอร์เรนซีใช้แลกเปลี่ยนสินค้า สะท้อนว่าธุรกิจเริ่มเรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นว่าจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในธุรกิจอย่างไร ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีถือเป็นเครื่องมือในโลกบล็อกเชนที่ง่ายที่สุด ด้วยการนำ “โทเค็น” มาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งกระแสบูมมาจากราคาเหรียญคริปโทแรงขึ้น และธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
      รามีเจฟินคอยน์ใช้ในอีโคซิสเต็มของเจมาร์ท เช่น นำไปใช้แลกส่วนลด และแลกซื้อมือถือ และในต้นปีหน้าจะไปร่วมกับกลุ่มบริษัทบีทีเอส เพื่อขยายอีโคซิสเต็มของเจฟินคอยน์ให้ใหญ่ขึ้น ไม่นับที่ไปร่วมกับเดอะมอลล์ ขณะที่บริษัทอื่น ๆ ก็เริ่มตื่นตัว เช่น แสนสิริมีสิริฮับโทเค็น หรืออนันดาฯให้ใช้คริปโทจ่ายค่าบ้าน หรืออาร์เอส ที่จะออก Popcoin Token ต้นปีหน้า บริษัทต่าง ๆ เริ่มมองเห็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์ดิจิทัล ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี ทั้งเพื่อดิสรัปต์ตนเองไปสู่โลกดิจิทัล หรือเป็นกิมมิกทางการตลาดมากกว่าที่จะคาดหวังว่าจะกระตุ้นให้คนหันมาใช้คริปโทซื้อสินค้า และบริการ เพราะผู้ที่ลงทุนคริปโทส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการลงทุนมากกว่า
          นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เดอะมอลล์จับมือกับบิทคับ พร้อมพันธมิตรหลายวงการเพื่อรุกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนำคริปโท 7 สกุลเหรียญ มาแลกเป็นสินค้าหรือบัตรกำนัลในห้างและศูนย์ โดยสมาชิก M CARD ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่า 100 บาท แลกได้ 800 M POINT เพื่อไปแลกเป็นสินค้าหรือบัตรกำนัลได้ถึง 28 ก.พ. 2565 ทั้งลงทุนร่วมกับบิทคับ เปิด BITKUB M SOCIAL เป็นคอมมิวนิตี้ของผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
        นายพงศธร จันทวิมล ผู้ก่อตั้งชุมชนคนคริปโตฯ ซีคอนศรีนครินทร์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัว The Moon Crypto & NFT Cafe Physical Space เป็นคาเฟ่ที่ใช้จ่ายผ่านสกุลเงินดิจิทัลแห่งแรก เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้สำหรับคนรุ่นใหม่ให้มาสัมผัส และเรียนรู้โลกคริปโทกับผู้รู้ และที่ผ่านมาจัดโปรโมชั่น “ซีคอน โปรดี๊ดี สำหรับผู้ถือ NFT” ร่วมกับร้านค้าภายในศูนย์จัดโปรฯสำหรับผู้ถือ NFT ให้เปลี่ยนพอยต์เป็นบิตคอยน์ใช้ในร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี
        ช่วงต้นปีโรงภาพยนตร์ซีนีเพล็กซ์ ร่วมกับแรปพิดช์ (Rapidz) ผู้ให้บริการระบบบริหารการรับแลกสินค้า และบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล และซิปแม็กซ์ (Zipmex) เปิดให้ใช้บิตคอยน์แลกรับตั๋วหนังที่เมเจอร์ รัชโยธิน เช่นเดียวกับแบรนด์รองเท้า “นันยาง” ก็ประกาศรับ 3 สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อผลิตภัณฑ์นันยาง ทั้งรองเท้าแตะและรองเท้าผ้าใบบนช่องทางออนไลน์ รวมไปถึงร้านกาแฟ “คลาส คาเฟ่” ก็ประกาศว่า ทุกสาขาจะงดรับเงินสด และเริ่มรับเงินสกุลคริปโท
        ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า มีบริษัทจดทะเบียนไทยประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี 4 ประเภท คือ         1.บริษัทที่ทำ ICO portal (ผู้ให้บริการโทเค็น) ทำหน้าที่คล้ายที่ปรึกษาทางการเงิน ตรวจสอบข้อมูลการออก ICO ของบริษัทที่เสนอขายโทเค็นและเก็บรักษาทรัพย์สินของผู้ลงทุน ได้แก่ 1.ธนาคารกสิกรไทย (คิวบิกซ์ ดิจิทัล แอสเซท) 2.ธนาคารไทยพาณิชย์ (โทเค็น เอ็กซ์) 3.บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) 4.บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) 5.บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (CGH)

        2.บริษัทที่รับคริปโทเคอร์เรนซี ใช้ชำระสินค้าบริการ อาทิ บมจ.แสนสิริ, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เอสซี แอสเสท, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป, บมจ.อาร์เอส และกลุ่มอื่น ๆ เช่น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (ร้านกาแฟอินทนิล), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.เจ มาร์ท, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์

 

3.บริษัทที่เข้าไปลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีโดยตรง อาทิ บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป และ 4.บริษัทที่เข้าไปลงทุนขุดเหรียญ bitcoin อาทิ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เป็นต้น

 

ขอบคุณ : ประชาชาธุรกิจ

จีน เผย แผน 5 ปี ลุยพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล

     ไชน่า เดลี สื่อทางการจีนรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจีน (เอ็มไอไอที) เปิดตัวแผน 5 ปี (ฉบับที่ 14) ช่วงปี 2021-2025 เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจของประเทศด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดภายในปี 2025 ด้วยมาตรการการผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการผลิต รวมถึงการออกแบบแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตในระบบอุตสาหกรรมการผลิต ภายใต้เป้าหมายทำให้ อุตสาหกรรมเป็นดิจิทัล” และทำให้ “ดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรม

     เซี่ยเส้าเฟิง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของเอ็มไอไอทีระบุว่า โดยตั้งเป้าหมายทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ขีดเส้นว่าภายในปี 2025 จะต้องมีการใช้เครื่องมือในการออกแบบวิจัยและพัฒนาดิจิทัลอย่างน้อย 85% ในระบบเศรษฐกิจ และการใช้งานแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตในระบบอุตสาหกรรมต้องไม่น้อยกว่า 45%

        โกลบอลไทมส์   สื่อทางการจีนอีกรายยังระบุเพิ่มเติมว่า จีนตั้งเป้าหมายให้การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการและการดำเนินงานภายในองค์กรต่าง ๆ เพิ่มเป็น 80% ภายในปี 2025 โดยขั้นตอนการผลิตที่สำคัญในอุตสาหกรรมต้องควบคุมด้วยระบบดิจิทัลอย่างต่ำ 68%

      เอ็มไอไอทีระบุว่า การเร่งพัฒนาเครือข่าย 5 จี (5G) ในระบบอุตสาหกรรมของจีน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการ โดยขณะนี้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตที่รองรับการทำงานของภาคอุตสาหกรรมแล้วกว่า 100 รายการ และยังมีโครงการเชื่อมต่อเครือข่าย 5 จี อีกกว่า 1,800 โครงการ ครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง เหมืองแร่ ถ่านหิน และโรงไฟฟ้า

         โดยระบบ 5 จี ในอุตสาหกรรมจะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้าง “โรงงานอัจฉริยะ” ที่ยกระดับอุตสาหกรรมหลักของประเทศตั้งแต่เครื่องจักร ยานยนต์ การบินและอวกาศ รวมถึงอิเล็กทรอนิกส์

        หนี กวงหนาน นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาแห่งชาติด้านวิศวกรรมของจีนระบุว่า ความพยายามในการเร่งพัฒนาระบบ 5 จี ในภาคอุตสาหกรรมจะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตของจีนได้อย่างมาก และยังจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของจีนในระดับโลกได้ในระยะยาว

         นอกจากนี้ แผน 5 ปียังกำหนดเป้าหมายในการขยายขนาดอุตสาหกรรม “บิ๊กดาต้า” ของประเทศ โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ให้มีมูลค่าถึง 3 ล้านล้านหยวนภายในปี 2025 จากราว 1 ล้านล้านหยวนในปี 2020

         ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนขยายตัวสูงกว่า 30% ต่อปี และยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของบริษัทวิจัยการตลาด “อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ป” ประมาณการว่า ภายในปี 2025 อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนจะมีสัดส่วนถึง 27.8% ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

          ซุนเค่อ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของจีนระบุว่า ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตสาหกรรมจำนวนมากเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าจีนมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น

      เอ็มไอไอทียังเปิดเผยว่า จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการบูรณาการระบบอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารในแผน 5 ปี (ฉบับที่ 13) ช่วงปี 2016-2020 โดยการใช้งานระบบดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 68.1% และยังมีการเปิดใช้งานสถานีฐาน 5 จี มากถึง 700,000 สถานี ในช่วงเวลาดังกล่าว ถือเป็นความสำเร็จก้าวใหม่ในการยกระดับอุตสาหกรรมของจีน

ขออบคุณ : ประชาติธุรกิจ

อดีตบอร์ดแบงก์ชาติเห็นด้วย ธปท. ไม่ควรนำคริปโทซื้อสินค้าเพราะผันผวนสูง

        รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวถึง การที่ภาคธุรกิจหลายแห่งได้ปรับตัวด้วยการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” (Cryptocurrency) ในการชำระค่าสินค้าและบริการ หรือออกเหรียญดิจิทัลเองนั้น เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเงินดิจิทัลซึ่งเป็นแนวโน้มแห่งอนาคตและสอดคล้องกับระบบการชำระเงินแบบใหม่

        ภาคการเงินกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบของบริการทางการเงินในด้านต่างๆ โดยมีผู้เล่นใหม่ที่มิใช่สถาบันการเงินอย่างบริษัทเทคโนโลยีเข้ามาแข่งขันกับสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้ามาเป็นผู้ให้บริการในระบบชำระเงินซึ่งมีรูปแบบการให้บริการที่ซับซ้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริการทางการเงินประเภทอื่น

     นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินสามารถแยกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินแบบไม่กระทบกิจการธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิม และกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินที่กระทบต่อกิจการธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิม

          ผลกระทบที่สำคัญจากนวัตกรรมทางการเงินแบบที่ไม่ไปกระทบต่อกิจการธนาคารแบบเดิมจะเพียงผลักดันระบบชำระเงินไปสู่โลกไร้เงินสด (Cashless world) ได้เร็วขึ้นและเพิ่มบทบาทของ “ผู้เล่นใหม่” ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งเข้ามาให้บริการ ณ จุดต่างๆ ของระบบชำระเงิน ทำให้ความไว้วางใจเดิมที่ลูกค้าเคยมีต่อสถาบันการเงินค่อยๆ ถูกเปลี่ยนผ่านไปยังผู้เล่นใหม่เหล่านี้            แน่นอนว่าย่อมนำไปสู่การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์และส่วนแบ่งทางการตลาดในอนาคต อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมในกลุ่มนี้ยังไม่ได้ทดแทนหรือทำให้สถาบันการเงินหายไปจากวงจรการชำระเงิน โดยสถาบันการเงินยังคงมีบทบาทอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของการชำระเงิน จึงกระทบต่อกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิมไม่รุนแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน

      ส่วนนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินอีกลุ่มหนึ่ง ถือเป็น Disruptive innovation นวัตกรรมเหล่านี้เริ่มจากการให้บริการการโอนเงินและชำระเงินระหว่างประเทศ โดยช่วยลดขั้นตอนของการโอนเงินในปัจจุบันที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลานานเนื่องจากขั้นตอนมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในระบบธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีทางการเงินแบบใหม่ทำให้ระบบชำระเงินไม่จำเป็นต้องอาศัยสถาบันการเงินเป็นตัวกลางหรือตัวกลางทางการเงินบางประเภทหายไปจากวงจรการชำระเงิน

        สิ่งนี้ได้ขยายมายังการจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการด้วย “คริปโทเคอเรนซี” ของผู้ประกอบการไทยหลายแห่งจากหลายกิจการ หากแพร่หลายแล้วจะทำให้บทบาทของ “เงิน” หรือ Fiat Money ที่กำกับดูแลโดยแบงก์ชาติลดความสำคัญอย่างรวดเร็ว และแบงก์ชาติอาจสูญเสียอำนาจในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ นโยบายการเงินของแบงก์ชาติจะมีประสิทธิภาพน้อยลง

         การออกใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (retail CBDC) จัดว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาไว้ซึ่งสมดุลระหว่าง fiat money และสกุลเงินดิจิทัลทางเลือก อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงิน คือ การเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบของ public money ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไปให้มีโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงินที่สามารถรองรับและเชื่อมโยงกับสกุลเงินทางเลือกใหม่ๆ รวมถึงผู้เล่นใหม่ๆ ในระบบเศรษฐกิจการเงินที่จะมาต่อยอดตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัลในวันข้างหน้าได้

         รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวเตือนว่า ราคาคริปโทเคอเรนซีเข้าสู่ขาลงรอบใหม่และผันผวน โดยบิทคอยน์ปรับลง 17% อิเธอเรียมปรับลง 16% ภายในวันเดียวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานใหญ่ คริปโทเคอเรนซี ไม่เหมาะสมเป็น “เงินตราดิจิดัล” เพราะมีความผันผวนสูง เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนที่ไม่มีเสถียรภาพนัก ไม่สามารถวัดมูลค่าหรือสะสมค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้แต่อาจจะไม่สามารถเป็น “เงินตรา” ในการแลกเปลี่ยนเพื่อซื้อสินค้าบริการได้ดีหรือมีประสิทธิภาพ

           แต่แบงก์ชาติควรปล่อยให้ “เอกชน” ตัดสินใจเลือกเองได้ว่า เอกชนหลายใดจะนำ “คริปโทเคอเรนซี” มาใช้ในการชำระสินค้าและบริการ เพราะขณะนี้หลายบริษัทประกาศให้ลูกค้าชำระค่าสินค้าด้วยคริปโทฯ เช่น กลุ่มอสังหาฯ ทั้งบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ยังมี กลุ่มค้าปลีก อย่างเช่น “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ร่วมมือกับ “Bitkub” “ร้านกาแฟอินทนิล” ของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีแผนออกเหรียญโทเคนเอง

             สิ่งที่แบงก์ชาติต้องดำเนินการ คือ วางระบบบริหารความเสี่ยงในการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” ชำระสินค้าและบริการ และเอกชนต้องรับความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าวเอง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้ห้ามให้ทำธุรกรรมดังกล่าว แต่ประกาศไม่สนับสนุนให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากมองว่ามีความผันผวนสูง เสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน

            รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า จากประกาศล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่สนับสนุนการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” นั้น แม้ไม่ได้เป็นการห้ามทำธุรกรรมแต่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกรรมการซื้อสินค้าและบริการผ่าน “คริปโทเคอเรนซี” อย่างแน่นอน อย่าง JMART และ BTS จะได้รับผลกระทบจากยอดขายและการใช้บริการในกลุ่มลดลง เพราะมีแผนนำเหรียญ JFin Coin ใช้ชำระสินค้าในกลุ่ม, CRC ที่เตรียมเปิดรับเหรียญในการซื้อสินค้าและบริการ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ORI, ANAN ให้ซื้อบ้านด้วย BTC, ETH และ USDT

           ประกาศของ ธปท. ส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทจดทะเบียนอยู่บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจประเภท ICO Portal เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในการออกโทเคน แต่ประกาศอาจมีความจำเป็นต่อการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนสูง เสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน ส่วนกลุ่มที่รับชำระค่าสินค้าบริการคาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากจำนวนผู้บริโภคที่จะใช้โทเคนซื้อขายสินค้าและบริการยังจำกัดมาก ด้าน SCB อาจได้รับผลกระทบจากธุรกรรมของ Bitkub ที่อาจต่ำกว่าเป้าหมาย ถ้าเป็น Stable Coin แบงก์ชาติควรสนับสนุนมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้ ทางแก้ คือ แบงก์ชาติควรเร่งออก “เงินดิจิทัล” เอง เพื่อประชาชนและธุรกิจทั่วไปได้ใช้บริการ

           ขณะที่ Mobile money ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติในสังคมแล้ว การโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ อาจเป็นการโอนเงินระหว่างผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายโทรศัพท์ด้วยกันหรือการโอนเงินไปยังผู้รับปลายทางที่อยู่นอกเครือข่ายโดยอาศัยการส่ง SMS และรหัสลับ (PIN) ให้กับผู้รับเงินเพื่อนำไปเบิกเงินกับร้านค้าที่เป็นตัวแทนหรือ ATM ซึ่งพบทั้งการโอนเงินในประเทศและการโอนเงินระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น M-Pesa ใช้ในอินเดีย หรือ Wing ของกัมพูชา เป็นต้น P2P cross-border money transfer: การโอนเงินระหว่างประเทศผ่านบัญชีผู้ใช้งานซึ่งให้บริการโดย Non-banks ระบบจะตรวจสอบความต้องการโอนเงินในแต่ละประเทศด้วย Algorithm เพื่อจับคู่ความต้องการโอนเงินที่ตรงกัน ซึ่งระบบนี้ใช้กันทั้งในละตินอเมริกา หรือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เป็นต้น

          เวลานี้เอง Distributed ledger technology (DLT) หรือ เทคโนโลยีการลงบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Blockchain การโอนเงินอาจเกิดขึ้นได้โดยอาศัยสัญญาอัจฉริยะ หรือ Smart contract ที่มีเทคโนโลยีนี้เป็นพื้นฐาน ข้อตกลงจะบันทึกไว้ด้วยรหัสคอมพิวเตอร์ให้เกิดการทำตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้อัตโนมัติเมื่อมีเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น การจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาอัตโนมัติ และไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางทางการเงินที่เป็นธนาคารตัวแทนต่างประเทศ หรือเครือข่าย SWIFT เหมือนการโอนเงินรูปแบบเดิม

        กลุ่มนวัตกรรมการเงินที่กล่าวมาข้างต้นเป็น Disruptive innovation ที่จะกระทบระบบการชำระเงินและระบบธนาคารแบบดั้งเดิมมาก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง การเสริมบริการชำระเงินของสถาบันการเงิน ปัจจุบันบริการโอนเงินผ่านมือถือ และการโอนเงินบุคคลต่อบุคคลโดยไม่ผ่านตัวกลางทางการเงินได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของบริการทางการเงินในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากและทำให้เกิดบริการทางการเงินที่ทั่วถึงมากขึ้นซึ่งช่วยเสริมบริการทางการเงินและทดแทนบริการของธนาคารพาณิชย์ในเวลาเดียวกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ อัตราการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่

            อย่างไรก็ดี สำหรับพื้นที่หรือประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินพร้อมและพัฒนาเป็นอย่างดี การชำระเงินผ่านสถาบันการเงินยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้บริโภค ระดับที่สอง การทดแทนบริการทางการเงินหลักของสถาบันการเงิน เทคโนโลยีการลงบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Distributed ledger มีศักยภาพในการทดแทนการโอนเงินระหว่างประเทศในรูปแบบเดิมจากคุณสมบัติเฉพาะหลายประการ โปร่งใส ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ ลดขั้นตอนและรวดเร็วกว่า

          อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Distributed ledger เพื่อใช้ในระบบการชำระเงินขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมจำนวนมากและเชื่อมโยงธุรกรรมระหว่างประเทศทั่วโลกทดแทนระบบชำระเงินผ่านสถาบันการเงินแบบเดิมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี ในเวลานี้ สถาบันการเงินที่มีรายได้จากการโอนเงินระหว่างประเทศต้องรีบเร่งในการปรับตัวหารายได้อย่างอื่นมาทดแทน Distributed ledger จะเพิ่มผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจบริการการเงิน

          รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรวิตกกังวลผลกระทบของเทคโนโลยีทางการเงินและ “คริปโทเคอเรนซี” มากเกินไปจนกระทั่งไปออกระเบียบหรือมาตรการใดๆ ที่ไปชะลอหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบการชำระเงินหรือระบบการเงินภายใต้เทคโนโลยีแบบใหมและเข้าใจว่าธนาคารกลางของทุกประเทศรวมทั้งแบงก์ชาตินั้นมีหน้าที่ให้เกิดระบบการเงินและระบบการชำระเงินที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ แต่ความมั่นคงและเสถียรภาพอย่างแท้จริงนั้นต้องเกิดจากการปรับตัวของระบบธนาคารและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ภายใต้พลวัตของเทคโนโลยีทางการเงินในศตวรรษที่ 21 ด้วย

          การรักษาความสมดุลระหว่างการส่งเสริมให้เกิดการใช้ระบบการเงินและระบบชำระเงินด้วยเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ รวมทั้งการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” กับการประคับประคอง “ระบบการเงินและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม” ให้สามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อไม่ให้เกิดการความเสี่ยงในเชิงระบบ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ คือ การระมัดระวังไม่ให้เกิดการลุกลามของปัญหาการล้มละลายและการขาดสภาพคล่องของธุรกิจอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยสู่ภาคการเงินอื่นๆ และรัฐบาลและธนาคารกลาง ควรประสานให้ คปภ มีแนวทางและมาตรการชัดเจนในการทำให้ผู้ประกอบการประกันภัยที่มีฐานะการเงินอ่อนแอสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องเฉพาะหน้า และปรับเปลี่ยนกฎระเบียบบางประการเพื่อให้กิจการประกันภัยสามารถประคับประคองสถานการณ์ความเสี่ยงเชิงระบบจากวิกฤติโควิด

          รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อนาคตธุรกิจการเงินการธนาคารไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จะมีการขยายพรมแดนทางธุรกิจออกไป พลวัตนี้ส่งผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินและธนาคารแบบดั้งเดิมที่ไม่ปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคย่อมมีสภาพไม่ต่างจากความล่มสลายลงของกิจการทางด้านบริการอื่นๆ แบบดั้งเดิม เช่น ธุรกิจสื่อสารมวลชนแบบดั้งเดิม ธุรกิจโทรคมนาคมดั้งเดิม เป็นต้น

         ธุรกิจการให้บริการการเงินของธนาคารแบบดั้งเดิม Traditional Banking Service จะลดบทบาทลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์หากไม่มีแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลงจากกฎระเบียบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มธนาคารแบบดั้งเดิม ขณะที่การให้บริการทางการเงินและปล่อยสินเชื่อแบบดิจิทัล (Digital Financial Service) และ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม การลงทุนและการบริการทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเป็นอนาคตของกลุ่มธุรกิจการเงิน

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ