LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ดาวโจนส์หวนปิดบวกที่ 179 จุด ขานรับการปรับโครงสร้าง J&J

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 179.08 จุด หรือ 0.5% ปิดที่ 36,100.31 จุด ดัชนี S&P 500  เพิ่มขึ้น 33.58 จุด หรือ 0.72% ปิดที่ 4,682.85 และดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้น 156.68 จุด หรือ 1% ปิดที่ 15,860.96 จุด ในส่วนของราคาหุ้นของ J&J พุ่งขึ้นกว่า 1%

      ในการซื้อขาย ขานรับแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของทางบริษัท โดย J&J ประกาศแผนปรับโครงสร้าง โดยจะแยกกิจการออกเป็น 2 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในเวลา 18-24 เดือน

ทั้งนี้ J&J จะแยกธุรกิจสินค้าเพื่อผู้บริโภคออกไปตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Band-Aids และแป้งเด็ก ขณะที่ J&J ดูแลผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์ ซึ่งบริษัทยังระบุว่าจะยังคงรักษาระดับการจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยให้เท่ากับระดับเดิมหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างดังกล่าว

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวก 7 ติดต่อกัน

     สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้วันที่ 12 พ.ย. 64 ติดต่อกันเป็นวันที่ 7 รวมถึงปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนยังคงแห่เข้าซื้อทองเพราะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา

      โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.6 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ระดับ 1,868.5 ดอลลาร์/ออนซ์  สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นราว 2.8% ในสัปดาห์นี้

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 4.5 เซนต์ หรือ 0.18% ปิดที่ 25.346 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 5.3 ดอลลาร์ หรือ 0.48% ปิดที่ 1,089.2 ดอลลาร์/ออนซ์รวมถึงสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. พุ่งขึ้น 55.70 ดอลลาร์ หรือ 2.7% ปิดที่ 2,117.70 ดอลลาร์/ออนซ์

      ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาทองด้วย โดยสำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน ลดลงสู่ระดับ 10.44 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.46 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 10.63 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค.

     ทำให้ตัวเลขการลาออกจากงานโดยสมัครใจพุ่งขึ้น 164,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 4.43 ล้านตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่อัตราการลาออกจากงานโดยสมัครใจอยู่ที่ระดับ 3% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน

      ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ดิ่งลงสู่ระดับ 66.8 ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2554 จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราชกิจจาฯ ประกาศอัตราค่าโดยสารรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน

   ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ตามที่กรมสรรพากรได้ออกกฎหมายจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริการอิเล็กทรอนิกส์จากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศ (VAT for Electronic Service : VES) ที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการในประเทศไทยนั้น เพียงเดือนแรกมีแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนแล้วจำนวน 106 ราย และมียอดค่าบริการอิเล็กทรอนิกส์รวมกว่า 9,800 ล้านบาท คิดเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระในเดือนแรกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 686 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อยละ 65

      โดยกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับบริการอิเล็กทรอนิกส์ หรือ  VES  ซึ่งมีผลบังคับกับแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการที่เป็นต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 เป็นต้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการไทย

      ปัจจุบันมีแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการต่างประเทศที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ บริการโฆษณาออนไลน์ บริการขายสินค้าออนไลน์ บริการแพลตฟอร์มสมัครสมาชิก เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม บริการแพลตฟอร์มที่เป็นตัวกลาง เช่น บริการขนส่ง  และบริการจองที่พัก โรงแรม ตั๋วเดินทาง ที่ให้บริการแก่ลูกค้ารายย่อย ที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย

      สำหรับกฎหมายภาษี e-Service นี้ ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 โดยกำหนดให้ผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ในประเทศไทยและมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบ บนเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ภาษี e-Service จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ซึ่งที่ผ่านมาผู้ประกอบการไทยที่ทำธุรกิจบริการออนไลน์และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท จะต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในขณะที่ผู้ประกอบการต่างชาติที่ให้บริการออนไลน์เหมือนกันไม่ต้องจดทะเบียนและเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากภาษีนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันแล้ว ภาษี e-Service ยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ การเก็บภาษี e-Service จะช่วยให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่างชาติ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการคำนวณเป็นฐานภาษีใหม่ที่จะเป็นรายได้อีกทางหนึ่งของประเทศไทยในอนาคต

       ทั้งนี้การจัดเก็บภาษี e-Service จากผู้ประกอบการต่างประเทศหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์กับผู้ใช้บริการในประเทศไทย ที่เก็บรายได้ทะลุเป้าในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของการชำระภาษี ทำให้คาดว่าทั้งปีกรมสรรพากรน่าจะสามารถเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้จากแพลตฟอร์มผู้ให้บริการต่างประเทศประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 5,000 ล้านบาท การเก็บภาษี e-Service รวมถึงเป็นการช่วยสร้างรายได้อย่างยั่งยืนให้กับประเทศแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันได้ด้วยการสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษีระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศด้วย

 

ขอบคุณ  : ประชาติธุรกิจ

ศูนย์ววิจัยกสิกรฯจับตาจีดีพีสัปดาห์หน้า คาดเงินบาท 32.50-33.30

 

เมื่อวาน 12 พ.ย.64 เงินบาทปิดตลาดในประเทศที่ระดับ 32.80 เทียบกับระดับ 33.32 บาท/ดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้าคือ 5 พ.ย. 64  โดยธนาคารกสิกรไทย  มองกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทสำหรับสัปดาห์ถัดไป 15-19 พ.ย.64  ที่ 32.50-33.30 บาท/ดอลลาร์ฯ ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/64 ของไทย ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ และสถานการณ์โควิด-19

 

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ย. ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคานำเข้าและส่งออก ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านเดือนต.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ นอกจากนี้ ตลาดยังรอติดตามตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ของญี่ปุ่น และยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนต.ค. ของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

 

โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา 8-12 พ.ย. 64  เงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 2 เดือนที่ 32.73 บาท/ดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเกือบตลอดสัปดาห์ สอดคล้องกับสัญญาณเงินทุนไหลเข้า โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรไทย (นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทยประมาณ 4.76 หมื่นล้านบาทระหว่างวันที่ 8-12 พ.ย.) ประกอบกับน่าจะมีอานิสงส์จากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ ของกลุ่มผู้ส่งออกตามจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก

ทั้งนี้เงินบาทลดช่วงแข็งค่าลงบางส่วนระหว่างสัปดาห์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นหลังจากอัตราเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนเริ่มให้น้ำหนักต่อความเป็นไปที่เฟดอาจจะจำเป็นต้องส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินเร็วขึ้น

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564

เผยหุ้นเด่นประจำวันที่ 12.11.64 เผยตลาดหุ้นไทยเช้านี้ขยับขึ้นตาม Sentiment

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะขยับขึ้นได้ตาม Sentiment ตลาดหุ้นทั่วโลกจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในแต่ละตลาดที่ออกมาดี และราคาน้ำมันก็รีบาวด์ขึ้นด้วย รวมถึงบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ก็สามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ได้ ส่งผลให้มีแรงซื้อเข้ามาที่สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มเหมืองแร่ ซึ่งการรีบาวด์ของ SET อาจมีจำกัด จากความกังวลเงินเฟ้อที่ยังมีอยู่ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ปรับขึ้นมา 1.58% และ US Dollar Index ก็ปรับขึ้นมาสูงสุดในรอบ 16 เดือน ทำให้คาดว่า SET จะไปได้ไม่ไกล

      ทำให้ติดตามการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) วันนี้ จะมีการผ่อนปรนเพิ่มหรือไม่ อย่างในเรื่องการนำเข้าแรงงานต่างด้าว หากมีการผ่อนปรนจะเป็นผลดีต่อกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และดูว่าจะผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยได้ง่ายขึ้นหรือเปล่า หากทำได้ก็จะดีต่อกลุ่ม Reopeningพร้อมให้แนวรับ 1,625-1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,635-1,640 จุด

      นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.กำลังติดตาม 3 ปัจจัยเสี่ยงต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิดเนื่องจากจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตในภาพรวมที่ต้องปรับตัวสูงขึ้นและสะท้อนไปยังราคาสินค้าที่อาจบั่นทอนแรงซื้อประชาชนที่ลดลงได้ ประกอบด้วย ต้นทุนวัตถุดิบทั้งสินค้าโภคภัณฑ์ การเกษตรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาสินค้ากลางน้ำและปลายน้ำทยอยปรับราคา, แรงงานต่างด้าวขาดแคลนจากผลกระทบของโควิด-19 และอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าและผันผวนที่กระทบต่อการนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบและพลังงาน

    หุ้นเด่นวันนี้

        – SCB (เมย์แบงก์ กิมเอ็ง) “ซื้อ” เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 135 บาท ปัจจัยหนุนจากการที่ ธปท.ประกาศผ่อนคลายการจ่ายปันผลของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ สะท้อนความแข็งแกร่งของธนาคารไทย เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร (SCB บวกมากสุด) ผสานกับการที่ SCB เดินหน้าสู่การปรับโครงสร้างบริษัทลูก คาดจะช่วยหนุนการเติบโตในช่วงถัดไป

     – BEM (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 10 บาท มองผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วราคาหุ้นที่ลดลงเป็นโอกาสเข้าซื้อ จากทิศทางกำไรที่จะทยอยเพิ่มขึ้นตั้งแต่ Q4/64 ระยะกลางยาวมีปัจจัยบวกจากข่าวล่าสุดที่ รฟม. เปิดขายซองประมูลรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้มูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท โดย BEM และ CK เป็นเต็งหนึ่ง

      – TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 9.50 บาท กำไร Q3/64 +4% Q-Q, +20% Y-Y ดีกว่าคาดแม้จะถูกกระทบทางอ้อมจากโควิด-19 และล็อกดาวน์ แต่สินค้าของ TACC ถูกกระทบน้อยกว่าคนอื่นและยังบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเยี่ยม แนวโน้ม Q4/64 จะเร่งตัวขึ้นทั้งธุรกิจเครื่องดื่มและ Character หลังลูกค้าเริ่มกลับมาทำโปรโมชั่นการตลาดอีกครั้ง ส่วนระยะยาวยังได้แรงหนนุจากการเติบโตไปในกัมพูชาและลาวตาม 7-11 รวมถึงการขยายฐานลูกค้า Non-7-11 พร้อมให้แนวรับ 7.70-7.80 บาท แนวต้าน 8.20-8.25 บาท

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ดาวน์โจนส์ร่วง 0.44% ขณะที่ดัชนีเอสแอน์พีและดัชนีแนสแด็กปรับตัวขึ้น

      ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 158.71 จุด หรือ 0.44%  ปิดที่ 35,921.23 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500  เพิ่มขึ้น 2.56 จุด หรือ 0.06% ปิดที่ 4,649.27 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 81.58 จุด หรือ 0.52% ปิดที่ 15,704.28

      จุดเป็นวันทหารผ่านศึกของสหรัฐ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ โดยตลาดพันธบัตรสหรัฐปิดทำการ แต่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังคงเปิดทำการซื้อขายตามปกติ หุ้นของบริษัทวอลท์ ดิสนีย์ดิ่งลงกว่า 8% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าคาดในไตรมาส 4 ของปีงบการเงิน 2564

      ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุดวานนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่พุ่งสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี อาจเป็นปัจจัยผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้

       นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลางปีหน้า หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในเดือนต.ค.

      FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งวิเคราะห์การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนก.ค.2565 จากเดิมที่คาดไว้ในเดือนก.ย.2565

      ทั้งนี้ นักลงทุนเพิ่มการคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้ม 80% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.2565 และมีแนวโน้ม 100% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย.2565 ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค.2565

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

   สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค.2564 โดยถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้สัญญาทองคำที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ซึ่งสัญญาทองคำตลาด COMEX   ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 18.7 ดอลลาร์ หรือ 1.04% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.7% ในสัปดาห์นี้ แต่เพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนต.ค. โดยสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 17.1 เซนต์ หรือ 0.71% ปิดที่ 23.949 ดอลลาร์/ออนซ์ , สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 3.2 ดอลลาร์ หรือ 0.31% ปิดที่ 1,020.7 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.10 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,980.30 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาทองคำถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.82% แตะที่ 94.1169

   สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างไร้ทิศทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. แต่ชะลอตัวจากระดับ 1.0% ในเดือนส.ค. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคล ลดลง 1.0% ในเดือนก.ย.โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE ทั่วไป พุ่งขึ้น 4.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2534 โดยดัชนี PCE ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารและพลังงานรวมถึงดัชนี PCE พื้นฐาน ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับเดือนส.ค.

    ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 71.7 ในเดือนต.ค. จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

 ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในขณะที่เงินดอร์ล่าแข็งตัวขึ้น

      ราคาทองวันนี้พฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เมื่อเวลา 09.28 น. พุ่งพรวดเดียว 400 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพุธ โดยที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ รวมราคาปรับลดลงเล็กน้อย 50 บาท ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 (ประกาศครั้งที่ 1) โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,200 บาท รับซื้อบาทละ 28,091.48 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,700 บาทรับซื้อบาทละ 28,600 บาท ซึ่งราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,844 ดอลลาร์ 

     หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 17.5 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 1,848.3 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 17,190 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

      ทั้งนี้ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาพบว่า (ประกาศครั้งที่ 4 ครั้งสุดท้าย) ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,800 บาท รับซื้อบาทละ 27,697.32 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,300 บาท รับซื้อบาทละ 28,200 บาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ธปท. ผ่อนคลายนโยบายการจ่ายเงินปันผลของสถาบันการเงิน

     นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า  ธปท. ได้กำหนดแนวทางการจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 พิจารณาจากผลการประเมิน เพื่อทดสอบระดับเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) ในช่วงปี 2564-2566 พบว่าระบบธนาคารพาณิชย์ยังมีความแข็งแกร่งเพียงพอรองรับสถานการณ์ดังกล่าวได้ประกอบกับธนาคารพาณิชย์ได้เพิ่มความระมัดระวังด้วยการทยอยตั้งสำรองและสะสมเงินกองทุนมาโดยตลอด ทำให้ระบบธนาคารพาณิชย์มีอัตราการกันเงินสำรองสูงถึง 1.55 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ และมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) ที่ร้อยละ 19.9 ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564

      โดยนโยบายดังกล่าวจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินไทยเข้มแข็ง มีกันชนรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้และสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง

      ดังนั้น ด้วยระบบสถาบันการเงินที่ยังแข็งแกร่ง มีเงินสำรองและเงินกองทุนรองรับสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงในระยะข้างหน้า ธปท. จึงเห็นควรผ่อนคลายมาตรการการจ่ายเงินปันผล โดยยกเลิกการกำหนดเพดานไม่ให้จ่ายเกินอัตราการจ่ายในอดีต

     ทั้งนี้ในช่วงที่เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัว สถาบันการเงินยังจำเป็นต้องเสริมสร้างเงินกองทุนเพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่ออย่างต่อเนื่อง จึงยังกำหนดให้จ่ายเงินปันผลไม่เกินอัตราร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิประจำปี 2564 รวมทั้งให้ยึดหลักความระมัดระวัง ให้สอดคล้องกับฐานะผลการดำเนินงานของสถาบันการเงิน และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

เนชั่น พลิกมีกำไร 19.73ล้าน พร้อมเดินหน้าสำนักข่าวคุณภาพสร้าง สร้างจุดเด่น เจาะคนรุ่นใหม่วัยทำงาน

      นายสุภวัฒน์ สงวนงาม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NBC เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นการกลับมามีกำไรในรอบไตรมาสของปี 2564 โดยมีกำไรส่วนของบริษัทอยู่ที่ 19.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.84% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน อยู่ที่ 12.50 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 15.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.04% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 13.58 ล้านบาท

       รายได้รวมไตรมาสดังกล่าวอยู่ที่  152.37 ล้านบาท ลดลง 4.10% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่  158.74 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหลักที่มีรายได้จากโฆษณาทีวี และงานอีเวนท์ ลดลง เพราะ ไม่สามารถจัดงานอีเวนท์ได้ แต่เนื่องจากบริษัทมีนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายและบริหารต้นทุนที่ดีมาโดยตลอด

       ในช่วงที่ผ่านมาในกลุ่มธุรกิจทีวี เนชั่น 22 ได้มีการปรับเนื้อหาเพื่อเพิ่มฐานกลุ่มคนดูให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น จากเดิมที่มีกลุ่มคนดูในกรุงเทพฯและในจังหวัดใหญ่ ได้ขยายไปยังต่างจังหวัดด้วยคอนเทนต์ที่เข้าถึงผ่านกองบรรณาธิการข่าวที่ทำงานร่วมกันไม่เน้นที่ตัวบุคคล เพื่อตอกย้ำการเป็นสำนักข่าวที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ส่งผลทำให้ฐานคนดูเพิ่มขึ้นเฉลี่ยระดับแสนคนต่อวันรวมทั้งการเริ่มขยายกลุ่มคนดูที่อายุต่ำระหว่าง 25-45 ปี ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ ผ่านการทำคู่ขนานไปกับทีวี ส่งผลทำให้มีผู้ติดตามในออนไลน์ 14-15 ล้านคน และยอดติดตามชม 140 ล้านครั้งในทุกแพลตฟอร์มมีอัตราการเติบโต 100 %

       หลังจากปรับผังข่าวและรายการของ เนชั่น22  ด้วยการเน้นกองข่าวเป็นหลักส่งผลต่อฐานกลุ่มคนดูมากขึ้น   ซึ่งสะท้อนแผนยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับจุดเด่นสื่อที่มีคอนเทนต์คุณภาพ  เข้มข้น และข่าวเชิงลึก ต่างจากช่องอื่น  แต่ที่เพิ่มเติมกลุ่มคนดูที่เป็นวัยเริ่มต้นทำงานควบคู่กันไปผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เน้นมากขึ้นในปี 2564 สำหรับเป้าหมายในปี 2565 ในธุรกิจทีวี เน้นการเป็นสำนักข่าวและเพิ่มความแข็งแกร่งด้านในการเป็นผู้นำ Content Provider เพื่อเชื่อมโยงคนดูทั้งทีวี ออนไลน์ และงานอีเวนท์เข้าด้วยกัน ซึ่งจะมีการเพิ่มทีมผู้ประกาศเพิ่มเติมเข้ามาอีก ร่วมทั้งปรับผังรายการในช่วงเดือน ธ.ค. 2564 เพื่อก้าวสู่ Top 10 อุตสาหกรรม และยังส่งผลต่อการเพิ่มรายได้ในอนาคต  จากการเป็นโซลูชั่นที่ครบวงจรตอบสนองลูกค้าในการซื้อโฆษณาได้ครอบคลุม

      ทั้งนี้ด้านออนไลน์จะมีรายการเพื่อตอบโจทย์คนดูกลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น และสร้างจุดเด่นที่แตกต่างจากทีวีจากปัจจุบัน รายงานออนไลน์อิงทีวี 30-40 %  แต่ภายใน 3 ข้างหน้าปี คือ 2565-2567 ในส่วนของรายการออนไลน์จะมีคอนเทนต์ที่แตกต่างชัดเจน เพื่อตอบสนองกลุ่มคนดีมากขึ้น   รวมทั้งการนำคอนเทนต์และเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมโยงคนดู   ด้วยปัจจุบันฐานคนดูที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มากจากกลุ่มวีดิโอที่จะมีการดึงผู้ชมให้มีส่วนร่วมได้มากขึ้นในอนาคต สำหรับแพลตฟอร์มออนไลน์ภายใต้ NBC มีทั้ง 4 แบรนด์ ประกอบไปด้วย   เนชั่นออนไลน์  คมชัดลึกออนไลน์  ไทยนิวส์  และล่าสุดได้มีการเข้าซื้อคอนเทนต์ออนไลน์ The people เข้ามาเสริมทีมออนไลน์ ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ดาต้า ด้านบุคคลและมีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักทำให้สามารถนำมาพัฒนาคอนเทนต์ได้ในอนาคต

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564

อีลอน มัสก์ทุบสถิติเศรษฐีโลกที่เงินลดลงไปกว่า 1.6 ล้านล้านบาทภายในสองวัน! หลังราคาหุ้นเท

     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า มูลค่า บริษัท “เทสลา อิงค์” (Tesla Inc.) ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐ ตามการประเมินจากราคาตลาดหลักทรัพย์ปรับลดลงเกือบ 175,000 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยกว่า 5.7 ล้านล้านบาท ขณะที่หุ้นของเทสลาร่วงหนักสุดในรอบ 14 เดือน ติดต่อกัน 2 วันรวดนับจากต้นสัปดาห์ (8 พ.ย.) หลังจากที่ นายอีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้งและนายใหญ่ของบริษัททวีตโยนหินถามทางเมื่อวันเสาร์ (6 พ.ย.) ส่งสัญญาณว่าจะขายหุ้นที่ตนเองถืออยู่ในเทสลาออกไปสัก 10%  ภายในเวลาเพียง 2 วันที่ราคาหุ้นของเทสลาดิ่งลงติดต่อกันในช่วงต้นสัปดาห์ ความร่ำรวยของ “อีลอน มัสก์” มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวอเมริกัน ที่ได้ชื่อว่า “รวยที่สุดในโลก” ใน ทำเนียบ Bloomberg Billionaires Index ก็วูบหายไปทันที 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 1.6 ล้านล้านบาท

     ราคาหุ้นของเทสลาที่ดิ่งลงครั้งนี้ เป็นความสูญเสียที่ทำให้กระจ่างชัดขึ้นมาเพราะแม้กระนั้น อีลอน มัสก์ ก็ยังคงครองอันดับบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในทำเนียบ Billionaires Index ของบลูมเบิร์กอยู่ดี โดยเขายังคงมีทรัพย์สินมากกว่า นายเจฟฟ์ เบซอส (Jeff Bezos) มหาเศรษฐีอันดับสองอยู่ถึง 83,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2.7 ล้านล้านบาท

      โดยความมั่งคั่งที่หายไปในช่วงเวลาสองวันของอีลอน มัสก์ นายใหญ่ของค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา ถือเป็นสถิติใหม่ของทำเนียบมหาเศรษฐี Billionaires Index ของบลูมเบิร์ก เป็นความสูญเสียในช่วงเวลาสองวันที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นอกจากนี้ ยังเป็นความมั่งคั่งที่หดลดลง “มากที่สุดภายในวันเดียว” นับตั้งแต่ที่มีการจัดอันดับกันมา โดยครั้งที่หดแรงที่สุดก่อนหน้านี้ คือเมื่อคราวที่นายเจฟฟ์ เบซอส เจ้าพ่ออี-คอมเมิร์ช “แอมะซอน” หย่ากับภรรยาในปี 2561 ครั้งนั้นเบซอสจ่ายค่าหย่าให้อดีตภรรยาไป 36,000 ล้านดอลลาร์     

 

 

     ทำให้มูลค่าหุ้นของเทสลาที่หายไปมากกว่า 10% ภายในช่วงเวลาสั้น ๆนั้น (หุ้นเทสลาร่วงลงมากถึง 12% เมื่อวันอังคาร หลังจากปรับตัวลดลงที่ 4.8% เมื่อวันจันทร์) มีต้นตอมาจากการที่นายมัสก์ออกมาทวีตขอความเห็นจากผู้ที่ติดตามทวิตเตอร์ของเขาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า เขาควรจะขายหุ้นบริษัทเทสลาของเขาเองสัก 10% เพื่อเอาเงินมาจ่ายภาษีดีหรือไม่ ? เพราะตัวเขาเองนั้นโดนโจมตีว่าเสียภาษีน้อยเกินไปจากการที่เขาร่ำรวยมาจากสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นเป็นส่วนใหญ่  จากนั้นก็ตามมาด้วยข่าวที่ว่า น้องชายของมัสก์ก็ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทเหมือนกันก่อนที่เขาจะมาทวีตขอความเห็นเสียอีกเท่านั้นยังไม่พอ ที่ช่วยย้ำซ้ำเติมให้เรื่องราวทั้งหมดดูย่ำแย่เข้าไปอีก คือการออกมาให้ความเห็นของนายไมเคิล เบอร์รี นักลงทุนที่มีชื่อเสียงรายหนึ่งที่ออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อว่า มัสก์อาจจะอยากขายหุ้นเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้สินส่วนตัว

       ทั้งนี้สำหรับผู้ที่เป็นห่วงสถานะความร่ำรวยของนายมัสก์ บลูมเบิร์กเผยว่า นอกจากหุ้นเทสลาแล้ว มัสก์ยังมีหุ้นในบริษัทต่างๆ มากมายที่เขาก่อตั้งไว้หรือเป็นผู้บริหาร เช่นบริษัท นูราลิงค์ ผู้สรร์สร้างนวัตกรรมด้านประสาทเทคโนโลยี  และบริษัทสเปซเอ็กซ์ ที่กำลังมุ่งบุกเบิกยานสำรวจอวกาศเพื่อการท่องเที่ยว ดังนั้น มัสก์จึงยังคงครองตำแหน่งบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ด้วยทรัพย์สินสุทธิราว ๆ 338,000 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 11 ล้านล้านบาท

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองคำพุ่งแรง

   สัญญาทองคำในตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค.2564 โดยถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้สัญญาทองคำที่กำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ซึ่งสัญญาทองคำตลาด COMEX   ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 18.7 ดอลลาร์ หรือ 1.04% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.7% ในสัปดาห์นี้ แต่เพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนต.ค. โดยสัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 17.1 เซนต์ หรือ 0.71% ปิดที่ 23.949 ดอลลาร์/ออนซ์ , สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 3.2 ดอลลาร์ หรือ 0.31% ปิดที่ 1,020.7 ดอลลาร์/ออนซ์, สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.10 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,980.30 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาทองคำถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.82% แตะที่ 94.1169

   สำหรับการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐเมื่อคืนนี้เป็นไปอย่างไร้ทิศทางกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐ เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.ย. แต่ชะลอตัวจากระดับ 1.0% ในเดือนส.ค. ขณะที่รายได้ส่วนบุคคล ลดลง 1.0% ในเดือนก.ย.โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE ทั่วไป พุ่งขึ้น 4.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2534 โดยดัชนี PCE ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารและพลังงานรวมถึงดัชนี PCE พื้นฐาน ไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 3.6% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับเดือนส.ค.

    ทั้งนี้ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 71.7 ในเดือนต.ค. จากระดับ 72.8 ในเดือนก.ย.

 ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในขณะที่เงินดอร์ล่าแข็งตัวขึ้น

      ราคาทองวันนี้พฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เมื่อเวลา 09.28 น. พุ่งพรวดเดียว 400 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพุธ โดยที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ รวมราคาปรับลดลงเล็กน้อย 50 บาท ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 (ประกาศครั้งที่ 1) โดยราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,200 บาท รับซื้อบาทละ 28,091.48 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,700 บาทรับซื้อบาทละ 28,600 บาท ซึ่งราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,844 ดอลลาร์ 

     หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาพุ่งขึ้น 17.5 ดอลลาร์ สู่บริเวณ 1,848.3 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 30 ปี ราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้เพิ่มขึ้น 200 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 17,190 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

      ทั้งนี้ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% เมื่อวันพุธที่ 10 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมาพบว่า (ประกาศครั้งที่ 4 ครั้งสุดท้าย) ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,800 บาท รับซื้อบาทละ 27,697.32 บาท และราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,300 บาท รับซื้อบาทละ 28,200 บาท

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

บอร์ดอีวี เล็งลดภาษีนำเข้า EV ยุโรป-ญี่ปุ่นเหลือ 0% แลกขึ้นไลน์ผลิตรถพลังงานไฟฟ้าในไทย

      กระทรวงการคลัง เตรียมปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ เริ่มใช้ในปี พ.ศ.2569 โดยแบ่งพิกัดการปล่อยไอเสียให้ยิบย่อยเข้มข้นกว่าเดิม รถกินน้ำมันอย่างอีโคคาร์ และไฮบริดโดนหนัก ด้าน “บอร์ดอีวี” เล็งลดภาษีนำเข้า EV จากต่างประเทศเหลือ 0% แต่บริษัทนั้นต้องมีแผนประกอบในประเทศภายใน 3 ปี ด้านค่ายญี่ปุ่นโวย EV จีนได้ 0% แต่ไม่ต้องมีเงื่อนไขลงทุน ตามที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ที่มีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเป็นประธาน วางเป้าหมายให้ประเทศไทยผลิตรถพลังงานไฟฟ้า EV ถึง 30% จากกำลังผลิตทั้งหมดในปี 2573 จากนั้นในปี 2578 รถใหม่ที่จะขายในไทยต้องเป็น EV 100% โดยวางแผนสนับสนุนให้เกิดการผลิต และการใช้เพิ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้ ผ่านนโนบายทางด้านภาษีและไม่ใช่ภาษี พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐาน ขยายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสาธารณะให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

      บอร์ด อีวี ยังพิจารณาแผนสร้างดีมานด์ในหลากหลายทางเลือก พร้อมขยายสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสาธารณะให้เพิ่มขึ้น โดยกำหนดให้มีสถานีแบบ Fast Charge (DC) ทั้งหมด 12,000 หัวจ่าย ทั่วประเทศภายในปี 2573  เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์รถพลังงานไฟฟ้าไปให้ถึงจุดหมาย บอร์ด อีวี วางแผนเร่งให้มี EV ทำตลาดมากขึ้นในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย โดยมีแผนลดภาษีนำเข้า EV จากทุกแหล่งผลิตในต่างประเทศให้เหลือ 0% ปัจจุบันที่ EV แบรนด์ยุโรปเสียภาษีนำเข้า 80% ญี่ปุ่น 20% และเกาหลีใต้ 40% มีเพียง EV จีนที่ได้ 0% จนสามารถทำราคาได้น่าสนใจ ทั้ง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ประเดิมนำเข้า Ora Good Cat ราคา 9.89 แสน-1.19 ล้านบาท MG EP ราคา9.88 แสนบาท และ MG ZS EV ราคา 1.19 ล้านบาท (รุ่นปัจจุบันหมดสต๊อกแล้ว รอรุ่นไมเนอร์เชนจ์เปิดตัวต้นปี 2565) ตลอดจนค่ายรถยนต์แบรนด์ยุโรปเลือกนำเข้า EV จากจีนมาทำตลาด เช่น BMW iX3 ราคา 3.399 ล้านบาท และ Volvo XC40 Pure Electric ราคา 2.59 ล้านบาท

       การลดภาษีนำเข้า EV ที่มาจากประเทศอื่นๆ ให้เป็น 0% นอกเหนือจากจีน จะเริ่มใช้อย่างเป็นทางการ 1 มกราคม 2565 แต่ภายใต้แผนของบอร์ดอีวี ยังมาพร้อมเงื่อนไขว่า บริษัทรถยนต์นั้นๆ ต้องมีแผนผลิต EV ในประเทศไทยภายในระยะเวลาที่กำหนด (รอยืนยันอย่างเป็นทางการว่า ต้องผลิตภายใน 2 หรือ 3 ปี หลังจากขอใช้สิทธิ์ภาษีนำเข้า 0%)

       รายงานข่าวจากกรมสรรพสามิตระบุว่า โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีในเดือนธันวาคมนี้จะมี 2 ส่วนคือ โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ทั้งระบบที่ให้สิทธิภาษีต่างๆ ทั้งรถยนต์ไฮบริด อีโคคาร์ หรือ รถยนต์ปกติ จะหมดอายุลงในปี 2568 ดังนั้นจึงต้องประกาศโครงสร้างภาษีใหม่ที่จะให้เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2569 จึงต้องหารือกับผู้ประกอบการถึงทิศทางอุตสาหกรรมรถยนต์ในอีก 5 ปีข้างหน้าว่า จะต้องส่งเสริมการใช้รถยนต์ไปในทิศทางไหนและต้องประกาศล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัวและปรับปรุงกระบวนการผลิต ขณะเดียวกันในช่วง 5 ปี ก่อนที่สิทธิภาษีต่างๆ จะหมดลง รัฐบาลต้องการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า EV ให้เกิดเร็วขึ้นและมีการใช้มากขึ้น จึงต้องมีการเสนอการปรับโครงสร้างภาษีรถอีวีอีกชุดหนึ่งแยกต่างๆหากด้วย

       ที่หารือกันจะเป็นการยกเลิกภาษีนำเข้า EV จากยุโรปและญี่ปุ่นให้เหลือ 0% เท่ากับ EV จีน เพื่อให้มีการนำเข้ามามากขึ้น ภายใต้เงื่อนไขที่ทางการกำหนดด้วย อย่างไรก็ตาม การลดภาษีนำเข้า EV ให้เป็น 0% แต่ผู้ประกอบการรายนั้นต้องมีแผนประกอบในประเทศ ถือเป็นเงื่อนไขที่ บีโอไอ กำหนดไว้ตั้งแต่แรกในแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุน เพียงแต่โควตานำเข้าที่ได้ (กี่คัน) จะสอดคล้องกับจำนวนเงินลงทุน โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะเป็นบริษัทแรกที่เริ่มใช้สิทธิประโยชน์นี้ กับ EV รุ่น EQS ที่พร้อมนำเข้ามาเปิดตัวปลายปี 2564 (แต่ยังไม่ส่งมอบ) จากนั้นจะเริ่มประกอบในประเทศต้นปี 2565 ซึ่ง EQS รุ่นประกอบในประเทศจะเป็นตัวที่ส่งมอบให้แก่ลูกค้าชาวไทยดังนั้น ค่ายรถยนต์ที่ยื่นแผนส่งเสริมการลงทุนต่อบีโอไอในการผลิต EV ในไทย เช่น โตโยต้า ฮอนด้า มิตซูบิชิ นิสสัน อาวดี้ มาสด้า สามารถใช้สิทธิ์นำเข้า EV โดยไม่เสียภาษีนำเข้าได้เช่นกัน

       บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น กล่าวว่า การสนับสนุน EV จากญี่ปุ่นด้วยการไม่เก็บภาษีนำเข้าถือเป็นเรื่องดี แต่ยังมีเงื่อนไขการลงทุนบังคับไว้ ต่างจากค่ายรถจีนที่ได้ลดภาษีนำเข้า EV เป็น 0% ทันที ซึ่งจากนี้ไปจะมีหลายบริษัทใช้ช่องทางนี้ในการเปิดตลาด EV ในไทย ขณะที่โครงสร้างภาษีสรรพสามิตที่จะใช้ในปี 2569 จะมีผลกับรถยนต์นั่งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) รวมถึง อีโคคาร์ และรถไฮบริด ที่จะมีการขึ้นภาษีปีละ 2-3% รวมถึงแบ่งพิกัดไอเสียที่มีผลต่อการเสียภาษีสรรพสามิตให้ละเอียดมากขึ้น โดยจะมุ่งส่งเสริม EV ขณะที่รถปลั๊ก-อินไฮบริด จะนำระยะทางวิ่งมากำหนดการเสียภาษีสรรพสามิต

       ด้านแบรนด์นำเข้าจากเกาหลี “เกีย” นางสาวฬสนันท์ ภูนิธิพันธุ์กุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทยนตรกิจ เกีย มอเตอร์ จำกัดเปิดเผยว่า หากภาครัฐฯลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็น 0% ถือเป็นนโยบายที่น่าสนใจ เพราะเกียมีรถยนต์ไฟฟ้านำเข้าในรุ่น เกีย โซล อีวี ที่ปัจจุุบันจำหน่ายอยู่ที่ 2.387 ล้านบาท ซึ่งหากมีการลดภาษีจริงก็คาดว่าจะทำให้ราคาลดลงประมาณหลักแสนบาท แต่ถ้ามาพร้อมเงื่อนไขต้องลงทุนตั้งโรงงานในไทย คาดว่าบริษัท​แม่น่าจะไปลงทุนที่ยุโรปมากกว่า นอกเหนือจากฐานการผลิตในเกาหลี

     ผู้นำเข้ารถยนต์แบรนด์ยุโรปรายหนึ่งเปิดเผยว่า การผลักดันนโยบายลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า 0% เป็นการปูทางให้ไทยเป็นฮับของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะช่วยต่อยอดและสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในอนาคต แต่ในมุมของผู้นำเข้ารถยนต์จากยุโรป มองว่าแม้จะลดภาษีนำเข้าเป็น 0% แต่ผู้นำเข้ายังต้องจ่ายภาษีอื่นๆ อยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษีสรรพสามิต, ภาษีมูลค่าเพิ่ม, ภาษีมหาดไทย โดยคงต้องรอดูนโยบายที่ชัดเจนว่าการปรับลดภาษีในครั้งนี้จะหมายรวมถึงส่วนใดบ้าง แต่สิ่งที่กระทบแล้วจากข่าวนี้คือ การที่ลูกค้าอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อ EV ออกไปก่อน เพื่อรอความชัดเจน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

สัญญาณฟื้นตัวของหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น เงินเริ่มไหลออกเริ่มชะลอตัวลง หลังคลายล็อกดาวน์

       ชญานี จึงมานนท์นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 6.3 แสนล้านบาท (ณ 31 ต.ค. 2564) เติบโต 5.0% จากสิ้นปี 2563 โดยภาพรวมปีนี้ ช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) กองทุนประเภทดังกล่าวมีเงินไหลออกสุทธิรวม 3.1 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้มากกว่าครึ่งเป็นเงินไหลออกในช่วงไตรมาสแรก (ม.ค.-มี.ค.) ขณะที่ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เม็ดเงินไหลออกเริ่มชะลอลงอย่างชัดเจน เหลือเงินไหลออกสุทธิเพียง 211 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดของปีนี้ กองทุนหุ้นขนาดใหญ่มีการลงทุนในเซ็กเตอร์หลัก อย่างเช่น พลังงาน การเงิน สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นสัดส่วนโดยเฉลี่ยเกือบครึ่งหนึ่งของพอร์ตกองทุน ซึ่งจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศล่าสุด ที่ดีกว่าช่วงกลางปี รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ จะส่งเสริมให้การบริโภคฟื้นตัวได้มากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

       ภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมดัชนีในตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) จะพบว่าดัชนี mai ให้ผลตอบแทนสูงสุดที่ 62.7% ตามมาด้วย sSET ที่ 46.7% ส่วน SET index ปรับขึ้นมา 12% ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 ปรับขึ้นมาเพียง 7.6% เท่านั้น  ในช่วงครึ่งปีแรก สถานการณ์โควิด-19 เป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไปค่อนข้างมาก รวมถึงนักลงทุนรายย่อยในประเทศที่เข้าไปลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ผลงานไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักในช่วงที่ผ่านมา แต่หลังจากที่มีการเปิดประเทศก็เริ่มที่จะเห็นกระแสเงินทุน (ฟันด์โฟลว์) จากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ที่ซบเซาเริ่มฟื้นตัว

        มนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ในปีนี้ปีที่โดดเด่นสุด จะเป็นกลุ่มที่อิงไปกับพลังงานโลก (global energy) เนื่องจากเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น ส่งผลให้ราคาเชื้อเพลิงต่าง ๆ เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ที่จะเด่นในช่วงที่เหลือของปีนี้ มองว่ากลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มธนาคาร เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีการประกาศกำไรออกมาค่อนข้างดี และเป็นกลุ่มที่มีการปรับตัวและเห็นถึงการฟื้นตัวดีที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ๆ เริ่มเห็นสัญญาณหลังจากที่นักลงทุนส่วนใหญ่หันมาสนใจในหุ้นกลุ่มที่มีผลประกอบการดี อย่างเช่น กลุ่มธนาคาร ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ โดยหลังพ้นกลางเดือน พ.ย.ไปแล้ว หรือหลังจากที่มีการประกาศงบดุลของบริษัทจดทะเบียนจนครบแล้ว ก็จะมีการประเมินถึงผลประกอบการในปีหน้า ซึ่งก็เชื่อว่าหุ้นขนาดใหญ่ยังมีโอกาสเติบโตได้ดีอยู่ในช่วงปลายปีไปจนถึงปีหน้า จากความหวังจากเปิดประเทศและการประกาศงบฯของหลาย ๆ บริษัทที่ออกมายังเติบโตเป็นที่น่าประทับใจ

       ทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่าสัญญาณบวกการลงทุนน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องได้ หากไม่มีการระบาดที่รุนแรงของไวรัสโควิด-19 กลับมาอีก

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ตุลาคม 2564

หุ้นจีน ผันผวนหนัก เพราะปัญหารุมเร้ามาก

มนรัฐ ผดุงสิทธิ์” กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า กองทุนหุ้นจีน ถึงแม้ราคาในตลาด H-shares จะต่ำกว่าตลาด A-shares ประมาณ 20% ซึ่งมองว่าอัพไซด์ของจีนยังไม่มีมากนัก และเนื่องจากราคาที่ต่ำ จึงไม่มีประโยชน์ที่จะขายออก แต่หากจะเข้าซื้อ อาจจะพอมีอัพไซด์ แต่ก็ค่อนข้างที่จะยากและมีความน่าสนใจน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนโซนสหรัฐหรือยุโรป รวมถึงการลงทุนในกลุ่มการเงิน (global financial)หรือกลุ่มเทคโนโลยี (global technology) ที่น่าจะมีอัพไซด์ที่ดีกว่ากองทุนหุ้นจีน

หากมองในภาพใหญ่คิดว่าจีนกำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องของความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน ซึ่งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของจีนคงจะใช้ระยะเวลานานหลายปี และจะทำให้ตลาดหุ้นจีนเกิดความผันผวนได้ตลอด ดังนั้น จากความไม่แน่นอน จึงยังทำให้ยังมีความผันผวนที่สูง แต่หากนักลงทุนสนใจลงทุนในจีน แนะให้ลงทุน H-sharesและ A-shares ในสัดส่วนการลงทุนที่เท่า ๆ กัน ประมาณ 50 : 50% แต่หากดูเรื่องอัพไซด์มองว่าการลงทุนในสหรัฐและยุโรปดูน่าสนใจกว่า เนื่องจากมองว่าจีนยังเป็นดาวน์ไซด์มากกว่าอัพไซด์

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นกองทุนที่น่าสนใจ ถึงแม้การเติบโตของเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง แต่จีนก็ยังคงเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่ยังเติบโตได้อีกมหาศาล แต่จีนยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังเงียบอยู่ ซึ่งทำให้ยังประเมินภาพการลงทุนในจีนได้ค่อนข้างยากในช่วงนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าจีนยังคงมีความผันผวนและมีปัจจัยลบรุมเร้าค่อนข้างมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวหากนักลงทุนสามารถอดทนต่อความผันผวนของตลาดหุ้นจีนได้ โดยต้องขึ้นกับนักลงทุนว่าจะมองช่วงนี้เป็นโอกาสเข้าลงทุนระยะยาว หรือจะเลือกไปลงทุนในที่ที่ผันผวนน้อยกว่า

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

สหรัฐ เปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF อย่างเป็นทางการ

สหรัฐอเมริกาเปิดตัวกองทุน Bitcoin Future ETF  อย่างเป็นทางการ ซึ่งกองทุนดังกล่าวดำเนินการโดยบริษัทจัดการสินทรัพย์ ProShares และใช้ชื่อย่อว่า BITO ซึ่งนักลงทุนในสหรัฐอเมริกาที่มีบัญชีกับโบรกเกอร์ หรือบัญชีซื้อขายหุ้น สามารถลงทุนซื้อ-ขายกองทุน Bitcoin Future ETF ได้เลย ซึ่งเป็นกองทุน BITO ที่มีมูลค่าการซื้อขายวันแรกสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับกองทุน Bitcoin Future ETF เป็นกองทุนที่ลงทุนกับ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของราคาบิทคอยน์ มีความแตกต่างกับ Bitcoin Spot ETF ที่ไปลงทุนในบิทคอยน์มีการถือครองบิทคอยน์ไว้ในมือ

ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา ได้อนุมัติให้ทำได้เพียง Bitcoin Future EFT เท่านั้น แต่กองทุน Bitcoin Spot ETF ทางสำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกายังไม่ได้มีการอนุมัติแต่อย่างใด

ทั้งนี้หากผู้ลงทุนคนไทยสนใจเทรด Bitcoin Future สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดกับ MTS Capital ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุกภายหลังจากจับมือกับ “CME Group” ซึ่งก็คือตลาดซื้อขายอนุพันธ์อันดับ 1 ของโลก ที่เปิดให้คนไทยสามารถลงทุนใน “Micro Bitcoin Future” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Cryptocurrency ที่ผู้ลงทุนคนไทยสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องไปเทรดถึงตลาดต่างประเทศ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ สินเชื่อบ้านสูงขึ้นปี 65

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า  ผลของการผ่อนคลายมาตรการ LTV คงจะเปิดโอกาสให้สินเชื่อบ้านเติบโตในกรอบที่สูงขึ้นในปี 2565 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเบื้องต้นว่า การผ่อนปรนมาตรการ LTV จะทำให้สินเชื่อบ้านปี 2565 มีโอกาสเติบโตเพิ่มเติมได้ประมาณ 0.3-0.7% ไปอยู่กรอบ 4.8-5.2% สูงขึ้นกว่ากรอบคาดการณ์ปี 2564 ที่ 4.2-4.5% โดยยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศตลอดช่วงเวลาของมาตรการฯ จะเพิ่มขึ้นจากที่เคยคาดไว้คิดเป็นมูลค่าราว 18,000 – 30,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการ

ซึ่งการผ่อนเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่อง หรือ  มาตรการ LTV โดยปรับเพดาน LTV เป็น 100% ชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการซื้อที่อยู่อาศัย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของตลาดที่อยู่อาศัยและการปล่อยสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินในช่วงที่เหลือของปีนี้และในปี 2565 ที่ยังเต็มไปด้วยหลายปัจจัยท้าทาย

ทั้งนี้ประเด็นติดตามจะอยู่ที่การประเมินความพร้อมในการก่อหนี้ก้อนใหม่หรือรีไฟแนนซ์หนี้เดิม ซึ่งครอบคลุมถึงความเสี่ยงด้านเครดิตและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่อาจเผชิญปัญหาหนี้สินที่เพิ่มขึ้นหลังโควิด รวมถึงสถานการณ์รายได้และการจ้างงานที่อาจยังไม่กลับสู่ภาวะปกติอย่างเต็มที่ อันจะมีผลต่อเงื่อนไขการอนุมัติสินเชื่อสำหรับลูกหนี้แต่ละรายในท้ายที่สุด

หลังถอนใบอนุญาต คปภ.แจ้ง SMS กับลูกค้าเอเชียประกันภัยเพื่อบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. กล่าวว่า ตามที่ได้มีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย บริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) และคำสั่งคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยที่ 2/2564 แต่งตั้งให้กองทุนประกันวินาศภัยเป็นผู้ชำระบัญชี ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไปนั้น สำนักงาน คปภ. ซึ่งได้รับมอบหมายจากกองทุนประกันวินาศภัย ในฐานะผู้ชำระบัญชี ได้พัฒนาเว็บแอปพลิเคชั่น (Web Application) ชื่อ “ระบบแจ้งข้อมูลและสิทธิกรณีบริษัท ประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน)” รวมถึงแจ้งข้อมูลไปยังผู้เอาประกันภัยผ่าน SMS ตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้จากระบบของบริษัท เอเชียประกันภัย 1950 จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมตามขั้นตอนและสิทธิต่าง ๆ ผ่านช่องทาง Web Application ดังนี้

กรณีที่ 1 กรมธรรม์ประกันภัยมีความเสียหายเกิดขึ้นแล้ว ให้ผู้เอาประกันภัยยื่นขอทวงหนี้ที่กองทุนประกันวินาศภัย หรือสำนักงาน คปภ.ทั่วประเทศ

กรณีที่ 2 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้

กรณีที่ 3 ผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ ที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ผู้เอาประกันภัยสามารถเลือกใช้สิทธิตามที่ระบุไว้เช่นกัน

ทั้งนี้การส่ง SMS และการทำรายการผ่านช่องทาง Web Application ดังกล่าว จะไม่ทำให้ผู้เอาประกันภัยเสียสิทธิที่พึงมีตามสัญญาประกันภัยแต่อย่างใด โดยเป็นการอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกับผู้เอาประกันภัยเพื่อให้กระบวนการชำระหนี้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้หากผู้เอาประกันภัยมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่สายด่วน คปภ. 1186 ซึ่งปัจจุบันมี 19 บริษัทประกันวินาศภัยที่เข้าร่วมโครงการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในกรณีดังกล่าวแล้ว โดยผู้เอาประกันภัยสามารถเข้าไปใช้งาน Web Application ดังกล่าวผ่านช่องทางเว็บไซต์ คปภ. และ Chatbot “คปภ.รอบรู้” (LINE : @OICConnect) และสำนักงาน คปภ.จะรวบรวมข้อมูลจากผู้เอาประกันภัยที่แจ้งข้อมูลเพื่อส่งให้กองทุนประกันวินาศภัยดำเนินการต่อไป โดยกองทุนประกันวินาศภัยจะแจ้งเป็นหนังสือทางไปรษณีย์ควบคู่ไปด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ

 

ขอบคุณ: ฐานเศรษฐกิจ

แนวทางฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิดคลี่คลายดัน GDP ปี 65

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ปาฐกถาพิเศษในการประชุม The Committee on Macroeconomic Policy, Poverty Reduction and Financing for Development ครั้งที่ 3 ที่จัดโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP)  กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงการคลังในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และ 5 แนวทางหลักในการสนับสนุนและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ดังนี้

แนวที่ 1 นโยบายทางการเงินเพื่อเยียวยาและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อให้สามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง อาทิ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ

แนวทางที่2 การบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค โดยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลัง การบริหารระดับหนี้สาธารณะ ตลอดจนถึงการปรับปรุงระบบการเก็บภาษี และการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

แนวทางที่3 การลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการ คุณภาพชีวิตของผู้คน และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค

แนวทางที่4  การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มั่นคง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึง ทั้งแบบสมัครใจและมีส่วนร่วม อาทิ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ และกองทุนการออมแห่งชาติ

แนวทางที่5  รัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.64 ประเทศไทยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว สามารถเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นลบ โดยต้องทำการตรวจเชื้อก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะได้รับการตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย

โดยเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 63 ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาด และจัดสรรเงินทุนที่จำเป็นทั้งหมด เพื่อสนับสนุนระบบสาธารณสุขและบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชน แรงงาน และผู้ประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือนร้อนให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหัน หรือถูกลดค่าจ้างลง โดยผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือเยียวยา ในขณะเดียวกัน โครงการอื่น ๆ ของรัฐบาลอย่างโครงการคนละครึ่ง และการลดภาษีได้ช่วยรักษาระดับการบริโภคในประเทศ รวมถึงรัฐบาลได้รักษาระดับการจ้างงานผ่านโครงการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยตรง และการดำเนินมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ ของรัฐบาลจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในอนาค รวมถึงแนวโน้มคาดว่าภายในสิ้นปี 64 จะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้ โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ ส่วนในปี 65 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม หรือขยายตัวในช่วง 4-5% ได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง

 

ขอบคุณ: สำนักข่าวอินโฟเควสท์