LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย งวดไตรมาส 3/64 ลดลง 23.7ิ

    นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทยบริษัท จำนวน 744 บริษัท คิดเป็น 96.2% จากทั้งหมด 773 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) พบว่ามี บจ.รายงานกำไรสุทธิ 563 บริษัท คิดเป็น 75.7% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

     โดยมียอดขายรวม 9,266,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) จำนวน 1,198,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.3% มีกำไรสุทธิ 741,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

     บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12.93% และ 8.0% (ตามลำดับ) ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และอยู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด-19 โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมาเนื่องจาก บจ.ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากครึ่งแรกของปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบการระบาดโควิด-19 รอบแรก อีกทั้งราคาน้ำมันและค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2564 สำหรับฐานะการเงินของกิจการสิ้นเดือน ก.ย.64 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน อยู่ระดับคงที่ที่ 1.50 เท่า

  ในส่วนของผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 เปรียบเทียบงวดไตรมาส 2/64 บจ.มียอดขายรวม 3,184,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.04% อย่างไรก็ดีมีกำไรจากการดำเนินงาน 383,576 ล้านบาท ลดลง 8.3% และมีกำไรสุทธิ 203,809 ล้านบาท ลดลง 23.7% เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นและมาตรการควบคุมเข้มงวดของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหมวดธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีคือ หมวดธุรกิจการแพทย์ เนื่องจากความต้องการด้านการรักษาพยาบาลมีสูงมากขึ้น

    นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 173 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 181 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พ.ย.2564 ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2564 พบ บจ.ที่รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 118 บริษัท คิดเป็น 68% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด

    ผลประกอบการ บจ. mai ไตรมาส 3/64 เทียบกับไตรมาส 2/64 มียอดขายรวม 42,483 ล้านบาท ลดลง 1.6% ต้นทุนรวม 32,903 ล้านบาท ลดลง 1.5% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.6% เป็น 22.5% มีกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) จำนวน 2,759 ล้านบาท ลดลง 2.5% ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจาก 6.6% เป็น 6.5%

    ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2,804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.3% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 3.8% เป็น 6.4% ซึ่งมีผลจากรายการพิเศษของบางบริษัท อย่างไรก็ตามผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน พบว่ามียอดขายรวม 121,966 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 7,765 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,430 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12.0%, 50.6% และ 463.5% ตามลำดับ

    ไตรมาส 3 ปีนี้ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดที่รุนแรง และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังลดลง แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาสจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ประกอบกับ บจ.สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้งวด 9 เดือนแรกปีนี้ ภาพรวม บจ.ใน mai มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกคือ สินค้าอุปโภคบริโภค จากกลุ่มธุรกิจเครื่องมือแพทย์ รองลงมาคือ ธุรกิจการเงินและทรัพยากร

       ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 273,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากสิ้นปี 2563 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.08 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2563 ที่เท่ากับ 1.11 เท่า

      ปัจจุบันมี บริษัทใน mai 181 บริษัท ชนี mai ปิดที่ระดับ 561.94 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 447,372.01 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,345.90 ล้านบาทต่อวัน

 

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูง คาดปี65 อยู่ที่ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

    นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ห้องค้ากสิกรไทยคาดการณ์ว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูงในทิศทางแข็งค่าในปี 2565 ที่ระดับ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี โดยการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากการทยอยฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และค่าระวางเรือที่ชะลอลง ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนค่าเงินบาทให้กลับมาแข็งค่า

      ความไม่แน่นอนจากโควิด-19 ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแนวโน้มการคงดอกเบี้ยของ ธปท.อาจทำให้ค่าเงินบาทผันผวนในปีหน้า

      ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดผ่อนคลายลง และภาครัฐประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ และผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่นักลงทุนมีแนวโน้มลดสถานะขายเงินบาท จากที่ในปีนี้นักลงทุนถือครองสถานะซื้อเงินดอลลาร์ในระดับสูง เพื่อเก็งกำไร

    ปีนี้โดนแรงเก็งกำไร short บาท long ดอลล่าร์ เยอะ โดยเราประเมินว่าในปีหน้านักลงทุนจะทยอยปิดสถานะขายเงินบาทต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีในปีหน้า ในขณะที่อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอลงหลังจากฟื้นตัวดีในช่วงที่ผ่านมา

    นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2565 ค่าเงินบาทน่าจะยังมีทิศทางอ่อนค่าอยู่ในช่วง 33.00-34.00 บาท เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าจากการลดมาตรการคิวอี ขณะเดียวกัน ทิศทางการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังมีอยู่ต่อเนื่อง ทั้งจากการนำเข้าที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานโลก

    ดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้า จะเกินดุลได้ก็น่าจะเข้าสู่ช่วงกลางปีแล้ว แต่ก็ขึ้นกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาด้วย ถ้าไม่ถึง 4 ล้านคนก็อาจจะปิดขาดดุลไม่ได้

      นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทยประเมินค่าเงินบาทปีหน้ามีแนวโน้มเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นราว 2% จากที่เงินบาทโดยเฉลี่ยในปีนี้อ่อนค่าลงกว่า 3% โดยกรุงไทยประเมินกรอบค่าเงินบาทปีหน้าอยู่ที่ 31.25-32.75 บาท

    ช่วงครึ่งแรกของปีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.00-32.75 บาท และในช่วงครึ่งหลังของปีจะเริ่มขยับแข็งค่าในกรอบ 31.25-32.00 บาท จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น และปัญหาซัพพลายเชนต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ สิ้นปีเงินบาทน่าจะอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์

    ปีหน้าเงินบาทจะขยับแข็งค่าเร็วมากน้อยระดับใด จะอยู่ที่ปัจจัยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตลาดคาดว่าจะเข้ามาได้ 5-6 ล้านคน และปัญหาซัพพลายเชนที่มีผลต่อต้นทุนค่าระวางเรือและค่าขนส่ง ซึ่งจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลได้ ซึ่งระหว่างทางจะมีความผันผวนโดยจะเห็นกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าตลาดหุ้นและเก็งกำไรค่าเงิน

    ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทปีหน้า (2565) อาจจะไม่ได้แข็งค่าได้เร็ว เนื่องจากคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าเฟด และทั่วโลกอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม

    ปี 2564 การที่เศรษฐกิจไทยไม่ติดลบเนื่องจากค่าเงินบาทมีส่วนช่วยภาคการส่งออก ช่วยภาคเกษตรได้ค่อนข้างมาก เพราะเงินบาทอ่อนค่าแทบจะแรงที่สุดในภูมิภาค แต่ก็ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้นและนำไปสู่เงินเฟ้อด้วย ซึ่งต้องจับตานโยบายการเงินในระยะต่อไป

    โดยหากในปีหน้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง และทั่วโลกพร้อมที่จะขึ้น ธปท.จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งผมมั่นใจว่า ธปท.ไม่ขึ้นดอกเบี้ย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ความน่าสนใจในสินทรัพย์ไทยจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปด้วยปัจจัยแบบนี้ ค่าเงินบาทเองก็ไม่น่าจะกลับมาแข็งค่าได้เร็ว

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ราคาทองคำปรับขึ้น 100 บาท

     ราคาทองคําประจำวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.25 น. ปรับเพิ่มขึ้น 100 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพฤหัสบดี ที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 2 รอบ รวมราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 50 บาท

      – ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 1

     – ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,950 บาท รับซื้อบาทละ 27,833.76 บาท

     – ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,450 บาท รับซื้อบาทละ 28,350 บาท

     – ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 2 ครั้งสุดท้าย

     – ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,850 บาท รับซื้อบาทละ 27,742.80 บาท

     – ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,350 บาท รับซื้อบาทละ 28,250 บาท

     – ราคาทองคำ Spot เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,792 ดอลลาร์ ในขณะที่เมื่อวานนี้ ตลาดทองคำโคเม็กซ์ของสหรัฐปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้า(Thanksgiving Day)

     – ราคาทองคําฮ่องกง เปิดตลาดเช้านี้ลดลง 20 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,680 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 415 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 415 จุด หรือ -1.16% แตะที่ 35,334 จุด ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันที่ 26 พ.ย. 64  เพื่อหารือเกี่ยวกับการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยไวรัสดังกล่าวมีชื่อว่า B.1.1.529 และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

        รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นการชั่วคราว หลังมีรายงานการพบเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 6 ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี และแอฟริกาใต้ ทางด้านรัฐบาลอิสราเอลประกาศระงับเที่ยวบินจาก 7 ประเทศในทวีปแอฟริกา หลังมีรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529 ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 7 ที่ถูกระงับเที่ยวบินในครั้งนี้ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี, โมซัมบิก และแอฟริกาใต้

     ทั้งนี้ นับจนถึงวันที่ 24 พ.ย. 64  ได้มีการตรวจพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวในบอตสวานา, แอฟริกาใต้ และฮ่องกง ส่วนข้อมูลการจัดลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนั้น ยังไม่ปรากฏบนแพลตฟอร์มที่ติดตามสายพันธุ์ไวรัส เช่น GISAID หรือ Outbreak.info

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 828.38 จุด

    ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 828.38 จุด หรือ -2.81% แตะที่ 28,670.90 จุด ณ เวลา 13.00 น.ตามเวลาญี่ปุ่นในวันนี้ หลังจากที่ปิดภาคเช้าดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดของวันในรอบ 1 เดือน เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้

    องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันนี้ (26 พ.ย.) เพื่อหารือเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า B.1.1.529 โดยไวรัสดังกล่าวถูกพบในแอฟริกาใต้ และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway ถึง Sideway up หลังเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว

      นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.เมื่อคืนที่ผ่านมาระบุว่า เฟดมีความพร้อมที่จะเร่งเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว และตัวเลขการจ้างงานก็ดีขึ้นเป็นตัวสนับสนุนด้วย โดยตลาดคาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.65

        ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวลงหลังจากที่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ช่วงหลังมานี้ได้เห็น Fund Flow ไหลเข้ามาในตลาดในกลุ่ม TIP เป็นผลจากการมองเศรษฐกิจในปี 65 จะฟื้นตัว พร้อมให้ติดตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) จะเป็นอย่างไร และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในยุโรป รวมถึงในเอเชียด้วย

      สำหรับบ้านเรายังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ในวันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิง จะออกมาอย่างไร เนื่องจากมีผลต่อการสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในช่วงปีใหม่จะมีอะไรบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,643-1,636 จุด ส่วนแนวต้าน 1,658-1,666 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสาร

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันพุธ  24 พ.ย. 64 ที่ผ่านมาโดยฟื้นตัวขึ้นหลังติดลบ 4 วันติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่พุ่งขึ้น แต่ตลาดปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ย่ำแย่ลงในยุโรป และแนวโน้มที่จะมีการดำเนินมาตรการจำกัดอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
     – ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 479.69 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ +0.09%
     – ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,042.23 จุด ลดลง 2.39 จุด หรือ -0.03%,
     – ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,878.39 จุด ลดลง 58.61 จุด หรือ -0.37% และ
     – ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,286.32 จุด เพิ่มขึ้น 19.63 จุด หรือ +0.27%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่พุ่งขึ้น 1.2% หลังจากหุ้นเทเลคอม อิตาเลีย ทะยานขึ้น 15.6% ขานรับข่าวที่ว่า กองทุนเคเคอาร์ของสหรัฐกำลังพิจารณาเพิ่มข้อเสนอซื้อหุ้นของบริษัท หลังจากที่วิวองดิซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระบุว่า ข้อเสนอเริ่มแรกนั้นต่ำเกินไป

       หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานบวกขึ้นด้วย เนื่องจากราคาทองแดงและราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น

       ท้้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นไม่มากนัก และมีแนวโน้มติดลบในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโควิด, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาวะเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มเดินทางร่วงลงกว่า 1.0% โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันแล้ว

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

นักลงทุนแห่ช้อนซื้อ หลังราคาทองคำตลาดนิวยอร์กร่วงหนัก

      ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ 24 พ.ย. 64 ปิดบวกเล็กน้อย  ได้ปัจจัยหนุนจากแรงช้อนซื้อเก็งกำไรหลังสัญญาทองคำร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยสัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

      สัญญาทองคำตลาด COMEX  ได้ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,784.3 ดอลลาร์/ออนซ์

  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 6.1 เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 23.496 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 11.1 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 975.3 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.40 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ 1,847.90 ดอลลาร์/ออนซ์         
         ทั้งนี้สัญญาทองคำปิดตลาดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ที่ขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ซึ่งขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 71,000 ราย สู่ระดับ 199,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2512 ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2533
 
 
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 9.42 จุด

      ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 9.42 จุด หรือ – 0.03% ปิดที่ 35,804.38 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 10.76 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 4,710.46 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 70.09 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 15,845.23 จุด

     นักวิเคราะห์จากบริษัท AXS Investments ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความวิตกเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดรอบใหม่ในยุโรป และกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุด

     โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.เมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า เฟดมีความพร้อมที่จะเร่งเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง

     สำหรับหุ้นนอร์ดสตรอม ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 29.03% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 39 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56 เซนต์ นอกจากนี้ นอร์ดสตรอมระบุว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานในช่วงก่อนเทศกาลชอปปิงในวันหยุด รวมถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

     โดยหุ้นแก๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องแต่งกายรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 24.05% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 27 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 50 เซนต์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 3.94 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 4.44 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ พุ่งขึ้น 1.64% หุ้นซีบีอาร์อี กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.39% หุ้นซีทีโอ เรียลตี้ โกร้ธ บวก 0.11%

        ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.92% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ดีดขึ้น 1.13% หุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 1.34% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ปรับตัวขึ้น 0.94%  หุ้นเอชพี อิงค์ พุ่งขึ้น 10.10% และหุ้นเดล เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 4.81% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 3 ขานรับความต้องการคอมพิวเตอร์พีซีที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
          หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 0.63% แม้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ระบุว่า นายอีลอน มัสก์ ได้เทขายหุ้นเทสลาอีก 934,000 หุ้นในวันอังคาร (23 พ.ย.) คิดเป็นมูลค่าราว 1.05 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมการขายหุ้นในเดือนนี้ของนายมัสก์อยู่ที่ระดับ 9.85 พันล้านดอลลาร์

         ทั้งนี้ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ที่ขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ในขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 71,000 ราย สู่ระดับ 199,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2512 ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี

      ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2533 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.5% ในเดือนต.ค. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนก.ย. สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันนี้ (25 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 26 พ.ย. 

 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

 

เดอะมอลล์รวมมือกับบิทคับ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคชำระเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี เริ่ม  30 พ.ย.64 นี้

     กลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป เตรียมประกาศความร่วมมือกับ บิทคับ (BITKRUB) แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือ “BITKUB X The Mall Group Partnership Announcement” โดยทางเดอะมอลล์จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วยการรับชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ภายใต้ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ซึ่งมีศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น เดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มดิสทริค, สยาม พารากอน, บลูพอร์ต โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ 30 พ.ย.64 นี้

    นายสกลกรย์ สระกวี หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์บิทคับ (Bitkub) กล่าว ว่า  ในเดือนนี้จะได้เห็นความร่วมมือระหว่างบิทคับกับพันธมิตรรายใหญ่ในประเทศไทยจากหลากหลายวงการ เพื่อช่วยกันสร้างอีโคซิสเท็มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย 

ทั้งนี้สิ่งที่บิทคับพยายามทำ คือ การทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลใหญ่ขึ้น ด้วยการพยายามทำให้การเทรดคริปโทเคอร์เรนซีเป็นแมส แต่เน้นการขยายฐานไปยังกลุ่มคนทั่วไป เพราะเมื่อตลาดใหญ่ขึ้น มูลค่าตลาดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสผันผวนทางขึ้นจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ

          นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะมีโอกาสผันผวนทางขึ้น จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากความขัดแย้งเกี่ยวกับปริมาณการผลิตระหว่างสหรัฐฯกับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน(โอเปก) เป็นปัจจัยบวกระยะสั้น ที่รัฐบาลสหรัฐจะระบายน้ำมันดิบขณะที่กลุ่มโอเปกก็พร้อมชะลอหรือระงับแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน

     ทำให้วันนี้จะมีบรรยากาศเก็งกำไร ได้ sentiment กลุ่มพลังงาน หนุนตลาดขึ้นมา แต่มองว่า 6 เดือนข้างหน้าก็ควรระวังการเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน เพราะปีหน้าเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวจากภายนอก แต่เป็นฟื้นตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศ น้ำหนักการเก็งกำไรหมุนมาเป็นกลุ่มโรงกลั่น สถานีบริการน้ำมัน ส่วนถ่านหิน หลังจากที่นโยายรัฐบาลจีนเริ่มนิ่ง น่าจะเป็นปัจจัยบวกถ่านหินฟื้นตัว

      ส่วนกลุ่มไอซีที นักลงทุนต้องเริ่มระมัดระวังการลงทุนด้วยความไม่แน่นอน ในแง่ดีลควบรวมกิจการของบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ต้องใช้ระยะเวลา ขณะที่ราคาของบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ใกล้ราคาแนวต้านที่ 216 บาท ฉะนั้นกลุ่มไอซีทีมีการเคลื่อนไหวชะลอตัวให้แนวต้านที่ 1,650-1,660 จุด แนวรับที่ 1,635 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 194.55 จุด แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 194.55 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 35,813.80 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 7.76 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 4,690.70 จุด และดัชนีแนสแด็กปรับตัว ลง 79.62 จุด หรือ 0.50% ปิดที่ 15,775.14 จุด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นกว่า 2% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้สร้างแรงกดดันต่อกลุ่มเทคโนโลยี และเป็นปัจจัยฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ

       หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.63% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.10% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 6.36% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 3.05% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.63% หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 1.648% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.64% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.51% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.39% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ บวก 2.56% ซึ่งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ร่วงลง 1.1% หุ้นเทสลา ดิ่งลง 4.14% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.46% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.63% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 0.36%  หุ้น Zoom Video Communications ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วงลง 14.71% หลังจาก Zoom คาดการณ์ว่า รายได้ของบริษัทอาจชะลอตัวลงในวันข้างหน้า สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิตรายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ย.ของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 59.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 58.4 ในเดือนต.ค. แต่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ย.อยู่ที่ 57.0 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 58.7 ในเดือนต.ค. ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564 (ประมาณการครั้งที่ 2), ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนต.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนต.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 2-3 พ.ย.

      ทั้งนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 26 พ.ย.

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

เอลซัลวาดอร์มีแผนสร้าง "เมืองบิตคอยน์"

         เว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีรายงานว่า การประกาศของนายนายิบ บูเคเล ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ มีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 21 พ.ย.64  โดยเมืองบิตคอยน์ของเอลซัลวาดอร์จะมีทั้งย่านที่พักอาศัย ย่านการค้า สถานบันเทิง ร้านอาหาร และสนามบิน โดยเมืองจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2565 ใกล้ภูเขาไฟคอนชากัวทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ นอกจากนี้ ภายในเมืองดังกล่าวยังจะไม่เรียกเก็บภาษีใด ๆ นอกจากภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย

      ขณะเดียวกัน รัฐบาลเอลซัลวาดอร์มีแผนร่วมมือกับบริษัทบล็อกสตรีม ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อระดมทุนเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ผ่านพันธบัตรบิตคอยน์ โดยครึ่งหนึ่งของเงินทุนระดับพันล้านนี้จะนำไปใช้ซื้อบิตคอยน์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขุดเหมืองบิตคอยน์

    ทั้งนี้ ราคาบิตคอยน์ร่วงลงราว 16% จากสถิติสูงสุดที่ทำได้เมื่อต้นเดือนนี้ที่ 68,990.90 ดอลลาร์ แต่หากเทียบกับช่วงต้นปีแล้ว ราคายังคงพุ่งสูงมากกว่า 90%

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองวันนี้ 24 พ.ย.64 เพิ่มขึ้น 50 บาท

       ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 (ครั้งที่ 1) เมื่อเวลา 09.28 น. เพิ่มขึ้น 50  บาท

     ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 (ครั้งที่ 1) เมื่อเวลา 09.28 น. เพิ่มขึ้น 50  บาท

  • ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,150.00 บาท ขายออกบาทละ 28,250.00 บาท
  • ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,636.68  บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท
  • ราคาทองต่างประเทศอยู่ระดับ 1,793.50ดอลลาร์/ออนซ์  ณ อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดอยู่ที่ 33.25 บาท/ดอลลาร์

     ราคาทอง ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 8 ครั้ง ราคาลดลง 550 บาท โดยเมื่อเวลา 16.43 น. 

  • ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,100 บาท ขายออกบาทละ 28,200.00 บาท
  • ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,591.20 ขายออกบาทละ 28,700.00 บาท
  • ราคาทองต่างประเทศอยู่ที่ 1,797.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดที่ 33.10 บาท/ดอลลาร์

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

วิตกโควิด-ล็อกดาวน์ฉุดเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงในวันอังคาร ที่ 23 พ.ย. 64  สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และเป็นวันที่ตลาดร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 479.25 จุด ร่วงลง 6.21 จุด หรือ -1.28%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,044.62 จุด ลดลง 60.38 จุด หรือ -0.85%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,937.00 จุด ลดลง 178.69 จุดหรือ -1.11% และ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,266.69 จุด เพิ่มขึ้น 11.23 จุด หรือ +0.15%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลง แต่หุ้นกลุ่มพลังงานและก๊าซ และกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยหุ้นกลุ่มพลังงานได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการที่นักวิเคราะห์บ่งชี้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในเอเชีย

     โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในยุโรป ดิ่งลง 3.4% และปรับตัวลงวันเดียวมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ในรอบ 2 เดือน เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดใจของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

   ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เลือกนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อไป ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ขณะที่บรรดาเทรดเดอร์ในตลาดเงินได้ปรับตัวรับโอกาส 100% ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.10% ในเดือนธ.ค. 2565 บรรดานักลงทุนได้เทขายหุ้นจากความวิตกว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 4 นั้น จะสกัดกั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางต่าง ๆ กำลังวางแผนที่จะถอนมาตรการสนับสนุนด้านการเงิน หุ้นกลุ่มเดินทาง ร่วงลง 1.8% หลังสหรัฐออกคำเตือนการเดินทางไปยังเยอรมนีและเดนมาร์ก เนื่องจากยอดติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น

    ไอเอชเอส มาร์กิตเปิดเผยผลสำรวจบ่งชี้ว่า ธุรกิจของยูโรโซนขยายตัวเกินคาดในเดือนพ.ย. แต่โรคโควิด-19 ที่ระบาดรอบใหม่และการกำหนดข้อจำกัดครั้งใหม่ รวมถึงแรงกดดันด้านราคา มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางธุรกิจในเดือนธ.ค.

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันนี้

     1. GFPT หรือ กรุงศรี  “ซื้อ”เป้าสูงสุด IAA Consensus 15 บาท ราคาหุ้นลดลงสะท้อนผลการดำเนินงานที่ขาดทุน 87 ล้านบาทใน Q3/64 ไปแล้ว แนะดักซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาไก่ในประเทศเริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 35 บาท/ก.ก. จากเฉลี่ย 30 บาท/กก. ในเดือน ต.ค. และบางพื้นที่ปรับขึ้นเป็น 43 บาท/ ก.ก.

     2. EA หรือ ฟินันเซีย ไซรัส “ซื้อ”เป้า 88 บาท แนวโน้มกำไร Q4/64 เติบโตต่อเนื่องจากการส่งมอบรถ E-Bus และการ COD โรงงานแบตเตอรี่ต้นเดือน ธ.ค.เฟสแรก 1 GWh ที่อยู่ใน Free zone การเปิดตลาดก่อนใครจะทำให้บริษัทสร้างฐานลูกค้าได้ก่อนใคร ขณะเดียวกันสถานีชาร์จทั้งรถและเรือไฟฟ้ามีมากสุดในประเทศ 427 สถานี กว่า 1.7 พันหัวจ่าย เป็นการสร้าง Eco system ที่ครบทั้ง R&D ระบบ Fast charge รองรับรถ EV ทุกค่าย ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยยังคาดกำไรปี 64-66 +57%, +19%, +14% ตามลำดับ

     3. SAT หรือ เคทีบีเอสที เป้าเชิงกลยุทธ์ 24 บาท ยอดขาย Q4/64 โอกาสเร่งตัวขึ้น ตาม Demand กลุ่ม Auto เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 คลี่คลาย และ Line การผลิตกลับมา และยอดผลิตรถยนต์นับตั้งแต่ ก.ย.-ต.ค. เร่งตัวขึ้น ปลายปีมีงาน Motor Show ปี 2565 คาดกลุ่ม Auto จะเติบโตโดดเด่น EV จะเข้าหนุน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 1 พันลบ. และ 1.1 พันลบ. +176%YoY, +10.5%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมัน-ถ่านหินฟื้น หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์

     นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ หลังจากที่กองทุนและนักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้ออีกครั้ง และราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นได้แม้จะยังไม่มาก หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจปรับแผนการผลิต หากสหรัฐและพันธมิตรทำการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรอง ส่งผลให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้น และน่าจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานในวันนี้

      ประธานาธิบดีโจ ไบเดนตัดสินใจเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 ทำให้ตลาดสหรัฐฯตอบรับในเชิงบวก และอัตราผตตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ก็ปรับขึ้นมาที่ 1.63% แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินมีการย้ายไปสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และกลุ่มเทคโนโลยีก็ปรับตัวลง ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงไปด้วย ส่วนบ้านเราเงินบาทอ่อนค่ามาที่ 33 บาท/ดอลลาร์ฯ

       ตลาดฯยังมีโมเมนตัมบวกอยู่ แต่อาจจะเป็นลักษณะของการสลับกลุ่มเล่น โดยล่าสุดราคาถ่านหินพุ่งขึ้น 6.6% สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ อาจจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มถ่านหินได้ ซึ่งมองหุ้น BANPU น่าจะกลับมาปรับตัวขึ้นได้ ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ลดลงทำให้ไม่น่าเป็นกังวล อย่างไรก็ดีให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญที่จะทยอยออกมา พร้อมให้แนวรับ 1,645-1,640 จุด ส่วนแนวต้าน 1,656-1,660 จุด

         ประเด็นในการพิจารณาหุ้น 

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,619.25 จุด เพิ่มขึ้น 17.27 จุด (+0.05%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,682.94 จุด ลดลง 15.02 จุด (-0.32%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,854.76 จุด ลดลง 202.68 จุด (-1.26%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 262.35 จุด หรือ -1.05% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.57 จุด หรือ -0.04%
    ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ (23 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณแรงงาน
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 พ.ย.)1,649.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.48 จุด (+0.27%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,722.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 พ.ย.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 พ.ย.) ปิดที่ระดับ 76.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ หรือ 1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 พ.ย.) อยู่ที่ 3.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.02 ดอลล์แข็ง หลังปธ.เฟดได้ต่อวาระ คาดกรอบ 32.90-33.10
  • ธปท.เปิดมาตรการช่วยลูกหนี้เพิ่มเติม เปิดให้ “รวมหนี้” ข้ามแบงก์ โดยใช้หลักประกันจากสินเชื่อบ้าน ช่วยลดภาระดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 10% จากเดิม 25% หวังช่วยลูกหนี้รอดวิกฤติ พร้อมสั่งห้ามแบงก์คิดค่าธรรมเนียมโปะหนี้เอื้อรีไฟแนนซ์
  • สภาพัฒน์ชี้ไตรมาส 3 คนไทยว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็น 2.25% มากกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเด็กจบใหม่ 10% หนี้ครัวเรือนยังสูง 89% กังวลหากไม่มีมาตรการรัฐเข้ามาอีกอาจมีคนจนเพิ่ม ความเหลื่อมล้ำถอยหลัง 7 ปี ขณะที่แบงก์ชาติหนุนรวมหนี้ใช้บ้านค้ำ
  • รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ต.ค.64 มีการส่งออก 22,738 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.63 ส่วนการนำเข้า 23,108.9 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 34.6% คิดเป็นเงินบาท 772,540 ล้านบาท เพิ่ม 43.3% ขาดดุลการค้า 370.2 ล้านดอลลาร์ฯ หรือ 22,524.01 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ปี 64 การส่งออกมีมูลค่า 222,736.4 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 15.7% การนำเข้ามูลค่า 221,089.8 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 31.3% เกินดุลการค้า 1,646.6 ล้านดอลลาร์ฯ
  • บอร์ดทรู-ดีแทคเคาะแผนควบรวมแลกหุ้นตั้งบริษัทใหม่เปิดสูตรแลกหุ้น 1 หุ้นดีแทคแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 24.53 หุ้น ราคาหุ้นละ 47.76 บาท ส่วนทรู 1 หุ้นแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 2.40 หุ้น ราคาหุ้นละ 5.09 บาท “ศุภชัย-ซิคเว่” เปิดวิสัยทัศน์ควบรวมสู่บริษัทเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดในอีก 20 ปีข้างหน้า โชว์รายได้รวมกัน 2.1 แสนล้านบาท กำไร 8 หมื่นล้านบาท

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ดาวโจนส์ปรับขึ้น 17 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในกรอบแคบ 17.27 จุด ปิดที่ 35,691.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.32% ปิดที่ 4,682.94  จุดและดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 1.26% ปิดที่ราคา 15,854.76 จุด

     โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันพฤหัสบดี ที่ 25พ.ย.64 เนื่องในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ ที่  26 พ.ย. 64 หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ขานรับการเสนอชื่อนายพาวเวลล์ให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดอีกสมัย เนื่องจาก นางเบรนาร์ด เป็นผู้ที่สนับสนุนการออกกฎระเบียบควบคุมภาคธนาคารอย่างเข้มงวด นักลงทุนหวังว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายสำคัญๆใดๆ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวลล์ ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 นอกจากนี้ยังได้เสนอชื่อให้นางลาเอล เบรนาร์ด ตัวเต็งอีกคน ดำรงตำแหน่งรองประธานเฟด 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

   

โบรกแห่อัพราคาหุ้นสื่อสาร

      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า  ราคาหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เปิดที่ 4.74 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ -0.42%  มูลค่าซื้อขายประมาณ 438.57  ล้านบาท ล่าสุดเมื่อเวลา 10.18 น. ราคาจะปรับขึ้นมา 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ +0.84%  จากราคาปิดเมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 4.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.44 บาท หรือบวกเพิ่ม 10.19%

    หุ้น บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) เปิดตลาดยืนที่ 45.00 บาท ทรงตัวจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ก่อนที่จะปรับมาอยู่ที่ 45.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ +0.56%  จากเมื่อวานนี้ ( 22 พ.ย. ) ปิดที่ 45.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท หรือบวก 9.09%  มูลค่าการซื้อขาย 4,054.40 ล้านบาท
        หุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดตลาดที่ 209.00 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวัที่ 22 พ.ย. 64 ล่าสุด ราคาปรับขึ้นมาอยู่ที่ 210.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +0.48%

        นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจับมือระหว่าง TRUE กับ DTAC ควบรวมจะทำให้เงินลงทุนลดลง จากการประหยัดต่อขนาด การแชร์โครงข่ายกัน ในส่วนกำไรสุทธินั้นมองว่ามีโอกาสที่จะเป็นบวกได้แต่อาจจะต้องใช้เวลา สาเหตุมาจากภาระดอกเบี้ยของ TRUE ที่สูงถึงปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท DTAC มีภาระดอกเบี้ย 4,000 ล้านบาท ขณะที่ ADVANC จ่ายดอกเบี้ย 2,000 ล้านบาท ดังนั้นด้วยขนาดที่ใหญ่หลังรวมกันก็จะทำให้มีเครดิตที่มากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง สามารถออกตราสารหนี้ใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์รับดอกเบี้ยต้นทุนต่ำลงได้ ขณะที่การแข่งขันอาจจะไม่ได้รุนแรงมาก

กลยุทธ์การลงทุนในเชิงเก็งกำไร นายกิจพณ มองว่า ทั้ง TRUE และ DTAC ราคาจะขึ้นไปเกินเทนเดอร์ ที่ระดับ 5.09 บาท และ 47.76 บาท ตามลำดับ เนื่องจากหากประเมินมาร์เก็ตแคปของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน ที่ราคาเทนเดอร์จะมีมาร์เก็ตแคป 2.8 แสนล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่ามาร์เก็ตแคปของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม ที่อยู่ระดับ 6 แสนล้านบาทค่อนข้างมาก มองว่า บริษัทใหม่ของ TRUE และ DTAC ไม่น่าที่จะต่ำกว่า ADVANC จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น จึงมองว่าราคาในที่สุดน่าจะเกินกว่าราคาเทนเดอร์ ขณะที่ ADVANC จะได้ประโยชน์ในด้านของการแข่งขันที่ไม่รุนแรง แม้ว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขึ้น แต่เนื่องจากคู่แข่งมีเพียงแค่  2 ราย การเจรจาต่างๆ จึงไม่ได้ยากเหมือนอดีตที่มี 3 ราย การประมูลใบอนุญาตต่างๆ ก็จะไม่สูงมาก และมองว่ากลุ่มสื่อสารจะต่อยอด ไปยังธุรกิจอื่นมากขึ้น เช่น ธุรกิจการเงิน

บล.กสิกรไทย  ( KS )  เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ICT Sector จุดเริ่มต้นของการเติบ โตของอุตสาหกรรม หลัง DTAC และ TRUE ยืนยันถึงการหารือเบื้องต้นในการควบรวมกิจการและเปิดเผยข้อเสนอสิทธิการเป็นเจ้าของในบริษัทใหม่ที่ 27.3%/29% ดังนั้นจึงเพิ่มอัตราความเป็นไปได้ของดีลรายการนี้จาก 25% เป็น 80% และจัดสรรมูลค่ารวมที่คาดจะเกิดขึ้นต่อราคาเป้าหมายของคู่แข่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด

        นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มมุมมองต่อกลุ่มจากกลางเป็นบวกเพราะเราปรับเพิ่มคำแนะนำ DTAC/TRUE จาก “ขาย”/”*ถือ” เป็น “ซื้อ”/”ซื้อ” โดยมูลค่าจากการผนึกกำลัง เมื่อข้อตกลงใกล้จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราคาดว่าราคาหุ้นของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้งหมดจะเริ่มปรับตัวขึ้น จากการคำนวณของเรา แสดงให้เห็นถึง upside ของมูลค่าหุ้น ADVANC ซึ่งน่าจะอยู่ที่ประมาณ 13% ของมูลค่ายุติธรรมจากธุรกิจปัจจุบัน และ 23% จากกิจการที่ควบรวมกัน ซึ่งหักด้วยต้นทุนการลงทุนที่คาดการณ์ไว้

     กำหนด 4 ด้านของการสร้างมูลค่ารวม

     1.  การเพิ่มรายได้

     2.  การลดต้นทุน

     3. การลด capex

     4. มูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น

     ทั้งนี้ KS ได้เพิ่มมุมมองต่อทั้งกลุ่มจากกลางเป็นบวกเพื่อสะท้อนอัตราความเป็นไปได้ที่ 80% ที่คาดว่าดีลรายการนี้จะเกิดขึ้น เราเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ ADVANC ขึ้น 8.5% หรือจาก 207.24 บาท เป็น 224.94 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”  เพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ DTAC ขึ้น 20.5% หรือจาก 36.47 บาท เป็น 43 97 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” เราเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ TRUE ขึ้น 23% หรือจาก 4.23 บาท เป็น 5.20 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” โดยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1. สงครามราคา 2. ไม่มีดีล M&A และ 3. การประมูลคลื่นความถี่ 3.5 GHz

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

เคาะราคาหุ้นเฮลท์ลีด 9.80 บาท

     บมจ.เฮลท์ลีด (HL) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ที่ 9.80 บาท จำนวนเสนอขาย 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อได้ในวันที่ 25-26 และ 29 พ.ย.นี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 3 ธ.ค.64 ใช้ชื่อย่อ HL ในหมวดธุรกิจบริการ วัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทฯจะนำเงินไปขยายสาขาและปรับปรุงสาขา รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่ง เน้นทำเลแหล่งชุมชนและที่อยู่อาศัย

   

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ HL เปิดเผยว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ HL ที่หุ้นละ 9.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 37.57 เท่า ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

พร้อมกันนี้มีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บล.โกลเบล็ก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.ทรีนีตี้ บล. โนมูระ พัฒนสิน บล.บียอนด์ และ บล.เอเซีย พลัส

“การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 9.80 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน HL ถือเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมาก เนื่องจากเป็นร้านขายยาค้าปลีกในรูปแบบ Chain Drug Store รายแรกที่มีความพร้อมสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น มีความสามารถในการทำกำไร และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงถึง 22% ขณะที่ยอดขายเติบโตทุกปี

ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนระดับ 1.6 เท่า ส่วนมากเป็นหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และเมื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว จะทำให้มีแหล่งเงินทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ทำให้ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว” นายสมภพ กล่าว

       ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL กล่าวว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 11.13 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 355.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.08% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 255.95 ล้านบาท

ส่วนงวด 9 เดือนของปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 38.65 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 912.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.57% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 796.67 ล้านบาท

ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมียอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง ยอดขายต่อสาขาเดิมมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งแนวโน้มการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญมากขึ้น ตลอดจนเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมียอดขายที่เติบโตมากขึ้นอีกด้วย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้มีอำนาจต่อรองกับ Supplier มากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น

     ทั้งนี้การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งในพื้นที่ของกทม.เป็นหลัก จากนั้นก็จะกระจายให้ครอบคลุมไปทั่วเขตปริมณฑลตามหัวเมืองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ขนาดพื้นที่ต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 80-150 ตารางเมตร และเมื่อมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 26 สาขา ก็จะผลักดันยอดขายเติบโต ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันที่ 22 พ.ย.64

TRUE- DTAC เปิดตลาด หุ้นพุ่งเกิน 10%

      รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ราคาหุ้น  บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เปิดที่ 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.48 บาท หรือบวก 11.11% มูลค่าซื้อขายประมาณ 1,420 ล้านบาท 

       โดยปรับขึ้นสูงสุดที่ 4.84  บาท เพิ่มขึ้น 12.04% และต่ำสุดที่ 4.74 บาท เพิ่มขึ้น 9.72% จากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 4.32 บาท ราคาปรับสูงสุดที่ 4.44 บาท ต่ำสุดที่ 4.26 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,065.56 บาท

        ด้านบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) เปิดที่ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท หรือเพิ่ม 10.30% มูลค่าซื้อขาย 1,213 ล้านบาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 46.00  บาท เพิ่มขึ้น 4.75  บาท หรือบวก 11.51% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 44.75 บาท เพิ่ม 3.50  บาทหรือบวก 8.48% จากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 41.25 บาท ราคาสูงสุดที่ 42.50 บาท และต่ำสุดที่ 40.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,115.58 ล้านบาท

       ในวันนี้  นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะแถลงข่าวร่วมกับ นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทเลนอร์ กรณีการควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทค

      ตั้งแต่ต้นปี 2564   ราคาหุ้น TRUE ปรับเพิ่มขึ้น 0.88 บาท หรือ 25.58% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 3.00 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 4.44 บาท ส่วน DTAC ปรับเพิ่มขึ้น 8.00 บาท หรือ 24.06% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 28.75 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 43.50 บาท  

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองคำวันนี้ทรงตัว

       ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.28 น. ทรงตัว ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,650.00 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,136.96 บาท ขายออกบาทละ 29,250.00 บาท

    ขณะที่ราคาทอง ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 1 ครั้ง ลดลง 100 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,650.00 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,136.96 บาท ขายออกบาทละ 29,250.00 บาท

      รวมถึงราคาทองเมื่อวันที่  19 พฤศจิกายน 2564 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 4 ครั้ง เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,750.00 บาท ขายออกบาทละ 28,850.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,227.92 บาท ขายออกบาทละ 29,350.00 บาท

       สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.8 ดอลลาร์ หรือ 0.53% ปิดที่ 1,851.6 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.9% ในรอบสัปดาห์นี้

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

5 ธนาคาร ไปต่อไม่ไหว ลดสาขาเซ่นโควิด 

       ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 จนถึง ก.ย. 2564 จำนวนสาขาและจุดให้บริการในประเทศของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการปรับลดลงจำนวน 664 สาขา จากรวม 6,809 สาขา เหลือ 6,145 สาขา โดย 5 ธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดสาขามากสุดในช่วงโควิด-19 ระบาด คือ 

        1. ธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาที่ปรับลดลงมากสุดที่ 201 สาขา จาก 1,034 สาขา เหลือ 833 สาขา

       2. ธนาคารกรุงไทยลดลง 79 สาขา จาก 1,105 สาขา เหลือ 1,026 สาขา 

       3 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับลดลง 37 สาขา จาก 703 สาขา เหลือ 666 สาขา

       4.  ธนาคารกสิกรไทยลดลง 31 สาขา จาก 894 สาขา เป็น 863 สาขา 

       5. ธนาคารกรุงเทพลดลง 30 สาขา จาก 1,148 สาขา เหลือ 1,118 สาขา ขณะที่ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี มีจำนวนสาขาปรับเพิ่มขึ้น 252 สาขา จาก 401 สาขา เป็น 653

    นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัย  ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัยพฤติกรรมการผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคารที่เปลี่ยนไปใช้ออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธนาคารลดน้ำหนักเรื่องของสาขาลง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มตัวแทนธนาคาร (banking agent) จุดให้บริการและช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้งมีสูงกว่าจำนวนประชากรแล้วโดยธรรมชาติเมื่อสาขาปรับลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องปรับลดลง หรือถูกหมุนไปทำงานด้านอื่น ๆ แทน รวมถึงจะเห็นภาพธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ หันไปใช้วิธีจ้างพนักงานเอาต์ซอร์ซแทนพนักงานประจำมากขึ้นเพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวและลดต้นทุน แต่ยังคงเห็นธนาคารคุมเข้มเรื่องเกณฑ์บริหารความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (market conduct) เป็นต้น  การแข่งขันของแบงก์ต่อไปจะต้องรวดเร็ว สะดวกยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าสาขาจะไม่หายไป แต่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธุรกรรมที่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นธุรกรรมแบบเดย์ทูเดย์ ฝากถอนโอนจ่ายจะไปอยู่บนแอปออนไลน์หมด สำหรับสาขาที่ลดลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่มีสาขาที่ความหนาแน่นมากเกินไป และเชื่อว่าแบงก์มีการรีวิวสม่ำเสมอ หากพื้นที่ไหนกลับมาเป็นพื้นที่ธุรกิจแบงก์ก็คงพิจารณากลับมาเปิดได้

      นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

โดยช่องทางสาขาก็ยังมีความสำคัญในการให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและธุรกิจ เช่น บริการสินเชื่อ การขอรับคำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าแก้ปัญหา ซึ่งการมีสาขาที่ครอบคลุมยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการช่องอื่น ๆ สาขาจึงยังมีบทบาท ทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และธนาคารก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในสาขาด้วย

      ทั้งนี้การปรับลดสาขา อีกด้านหนึ่งธนาคารก็มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาขาธนาคารมากขึ้น นอกจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท เอช เซม มอเตอร์ โดยนำร่องใช้พื้นที่สาขาธนาคาร 12 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ “H SEM Power Station” สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นการใช้สาขาธนาคารมากกว่าการทำธุรกรรมการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งประกอบด้วยสาขาสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน สาขาถนนรางน้ำ สาขาสี่แยกวังหิน สาขาสุขุมวิท 101 สาขาคลองจั่น สาขาบางปะกอก สาขาท่าพระ สาขาถนนอโศก-ดินแดง สาขาสมุทรปราการ สาขาบางเมฆขาว สาขาโพธิ์สามต้น และสาขาถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์ธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในระยะต่อไปอาจจะเป็นการเพิ่มธุรกิจใหม่ของธนาคาร

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

       ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 จนถึง ก.ย. 2564 จำนวนสาขาและจุดให้บริการในประเทศของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการปรับลดลงจำนวน 664 สาขา จากรวม 6,809 สาขา เหลือ 6,145 สาขา โดย 5 ธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดสาขามากสุดในช่วงโควิด-19 ระบาด คือ 

        1. ธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาที่ปรับลดลงมากสุดที่ 201 สาขา จาก 1,034 สาขา เหลือ 833 สาขา

       2. ธนาคารกรุงไทยลดลง 79 สาขา จาก 1,105 สาขา เหลือ 1,026 สาขา 

       3 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับลดลง 37 สาขา จาก 703 สาขา เหลือ 666 สาขา

       4.  ธนาคารกสิกรไทยลดลง 31 สาขา จาก 894 สาขา เป็น 863 สาขา 

       5. ธนาคารกรุงเทพลดลง 30 สาขา จาก 1,148 สาขา เหลือ 1,118 สาขา ขณะที่ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี มีจำนวนสาขาปรับเพิ่มขึ้น 252 สาขา จาก 401 สาขา เป็น 653

    นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัย  ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัยพฤติกรรมการผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคารที่เปลี่ยนไปใช้ออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธนาคารลดน้ำหนักเรื่องของสาขาลง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มตัวแทนธนาคาร (banking agent) จุดให้บริการและช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้งมีสูงกว่าจำนวนประชากรแล้วโดยธรรมชาติเมื่อสาขาปรับลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องปรับลดลง หรือถูกหมุนไปทำงานด้านอื่น ๆ แทน รวมถึงจะเห็นภาพธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ หันไปใช้วิธีจ้างพนักงานเอาต์ซอร์ซแทนพนักงานประจำมากขึ้นเพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวและลดต้นทุน แต่ยังคงเห็นธนาคารคุมเข้มเรื่องเกณฑ์บริหารความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (market conduct) เป็นต้น  การแข่งขันของแบงก์ต่อไปจะต้องรวดเร็ว สะดวกยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าสาขาจะไม่หายไป แต่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธุรกรรมที่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นธุรกรรมแบบเดย์ทูเดย์ ฝากถอนโอนจ่ายจะไปอยู่บนแอปออนไลน์หมด สำหรับสาขาที่ลดลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่มีสาขาที่ความหนาแน่นมากเกินไป และเชื่อว่าแบงก์มีการรีวิวสม่ำเสมอ หากพื้นที่ไหนกลับมาเป็นพื้นที่ธุรกิจแบงก์ก็คงพิจารณากลับมาเปิดได้

      นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

โดยช่องทางสาขาก็ยังมีความสำคัญในการให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและธุรกิจ เช่น บริการสินเชื่อ การขอรับคำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าแก้ปัญหา ซึ่งการมีสาขาที่ครอบคลุมยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการช่องอื่น ๆ สาขาจึงยังมีบทบาท ทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และธนาคารก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในสาขาด้วย

      ทั้งนี้การปรับลดสาขา อีกด้านหนึ่งธนาคารก็มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาขาธนาคารมากขึ้น นอกจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท เอช เซม มอเตอร์ โดยนำร่องใช้พื้นที่สาขาธนาคาร 12 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ “H SEM Power Station” สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นการใช้สาขาธนาคารมากกว่าการทำธุรกรรมการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งประกอบด้วยสาขาสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน สาขาถนนรางน้ำ สาขาสี่แยกวังหิน สาขาสุขุมวิท 101 สาขาคลองจั่น สาขาบางปะกอก สาขาท่าพระ สาขาถนนอโศก-ดินแดง สาขาสมุทรปราการ สาขาบางเมฆขาว สาขาโพธิ์สามต้น และสาขาถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์ธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในระยะต่อไปอาจจะเป็นการเพิ่มธุรกิจใหม่ของธนาคาร

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

มูลค่ามหาศาลชิงตลาดน้ำวิตามินคึกคัก

       ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหาร และคอฟฟี่ เฮาส์ บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด และบริษัท เบคเฮาส์ จำกัด ผู้บริหารร้าน “ทรู คอฟฟี่” เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทต่อยอดธุรกิจ FMCG ในกลุ่มเครื่องดื่ม ด้วยการเปิดตัว True Vitamin Water น้ำผสมวิตามินและแร่ธาตุ 2 รสชาติ ได้แก่ น้ำวิตามินกลิ่นเอ็กโซติก ฟรุต และน้ำวิตามินกลิ่นส้มหอมสดชื่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่จะมาคืนความสดชื่นให้ร่างกาย มีนักเตะชื่อดังจากสโมสรฟุตบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด “มิก้า ชูนวลศรี” เป็นพรีเซ็นเตอร์

        เพื่อเจาะเทรนด์ไลฟ์สไตล์ครอบคลุมเซ็กเมนต์ ทั้งแอ็กทีฟ บิวตี้ แทรเวล เกมเมอร์ และสตาร์ตอัพ ที่รักสุขภาพ โดยเบื้องต้นเน้นวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น และทรู คอฟฟี่ ทุกสาขาทั่วประเทศ

      เรานำเข้าวิตามินและแร่ธาตุจากแหล่งวัตถุดิบจากสวิตเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ ผ่านกระบวนการผลิตมาตรฐานคุณภาพ กับเทคโนโลยีระบบเติมไนโตรเจน ทำให้สามารถเก็บรักษาคุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุได้คงที่ และมั่นใจว่าจะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกกลุ่มเป้าหมายได้

      นอกจากการเปิดตัวน้ำดื่มผสมวิตามินของผู้ประกอบการรายใหม่ดังกล่าวแล้ว ที่ผ่านมายังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่หันมารุกตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินด้วยเช่นกัน เริ่มจากบริษัท บางกอก เชน เมเนจเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ที่ได้เปิดตัวน้ำดื่ม “เกษมราษฎร์ วิตามิน แอนด์ มิเนอรัล วอเตอร์” เมื่อช่วงต้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยชูจุดขายของการเป็นน้ำดื่มวิตามินบี ซี และดี รวม 9 ชนิด และแร่ธาตุ 2 ชนิด พร้อมด้วยพรีไบโอติก โดยวางจำหน่ายผ่านเวนดิ้งแมชชีนตามสาขาต่าง ๆ รวมทั้งมีทำการตลาดผ่านมาร์เก็ตเพลซรายใหญ่ อาทิ ช้อปปี้ ด้วย

ปิยะเวท วิตามินดี วอเตอร์” เพื่้อรองรับความตื่นตัวเรื่องกระแสสุขภาพของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ชูจุดขายของการเป็นน้ำดื่มผสมวิตามินดี 300 IU ที่จะช่วยเสริมให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานได้ดีขึ้น เน้นวางขายผ่านตู้แช่ในโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวท และมีแผนจะขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น

          จากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท มัลติพลาย บาย เอท จำกัด ในเครือบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เปิดตัวน้ำดื่มวิตามินภายใต้แบรนด์ “วิตมอรส์” ออกมาทำตลาด 2 รสชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค พร้อมมี “อิ๊งค์” วรันธร เปานิล นักร้องสาวรุ่นใหม่ เป็นพรีเซ็นเตอร์

     แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายชาพร้อมดื่มและน้ำดื่มวิตามินรายใหญ่สะท้อนภาพรวมที่เกิดขึ้นว่า ที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามินที่เติบโตและบูมมากเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพและมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น โดยหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ คือ น้ำดื่มวิตามิน และส่งผลให้น้ำดื่มวิตามินเป็นเซ็กเมนต์เดียวที่เติบโตสวนกระแสกับสินค้าอื่น ๆ และทำให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเป็นระยะ ๆ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องดื่มและผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจที่สนใจและหันมาพัฒนาสูตรน้ำดื่มวิตามินและสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อรองรับกระแสที่เกิดขึ้น

       จากการกลับมาระบาดรอบใหม่ของโควิด เมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา และทางการมีมาตรการล็อกดาวน์ ลดเวลาการเปิดให้บริการช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อที่เป็นช่องทางหลัก จึงทำให้ตลาดได้รับผลกระทบโดยตรง แต่หลังสถานการณ์โควิดเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และมีเล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ตลาดน้ำดื่มวิตามินอาจจะกลับมาคึกคักมากขึ้น โดยแต่ละค่ายอาจจะมีความเคลื่อนไหวในการสร้างแบรนด์ การขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และอาจทำให้ตลาดกลับมาเติบโตอีกครั้ง แต่อาจจะไม่หวือหวาเหมือนปีที่ผ่านมา อย่างน้อยที่สุดการเริ่มเปิดตัวในช่วงนี้ก็จะเป็นการเริ่มปูทางเพื่อสร้างแบรนด์ในช่วงแรกก่อนจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งคาดว่าตลาดอาจจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนที่เป็นหน้าขายสำคัญของตลาดเครื่องดื่ม เช่นเดียวกับ นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำดื่มวิตามิน AQUA-VITZ by Jele แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเติบโตมากในช่วงปลายปี 2563 มีการเติบโตกว่า 100%

จากกระแสรักสุขภาพและการแพร่ระบาดของโควิด แต่การระบาดของโควิดในระลอก 3-4 ที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมตลาดเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับราคาน้ำวิตามินที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับราคาน้ำดื่มทั่วไป

ประเมินว่าภาพรวมปีนี้ตลาดน้ำดื่มวิตามินจะทรงตัวจากปีที่ผ่านมา แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น โดยจะสังเกตได้จากร้านสะดวกซื้อที่เป็นช่องทางหลักของสินค้าเริ่มมีการปรับลดชั้นวางสินค้ากลุ่มนี้ลงเหลือเพียง 1-2 ชั้น จากเดิมจะมี 3-4 ชั้น

ขณะที่ตลาดในต่างจังหวัด ทั้งเทรดิชันนอลเทรดและโมเดิร์นเทรด ยอดขายก็ลดลงมาก ตอนนี้แต่ละแบรนด์ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางการตลาดมากนัก และเน้นเพียงการรักษาฐานและช่องทางเดิมไว้เท่านั้น ปัจจุบันตลาดน้ำดื่มวิตามินมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก อาทิ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ของโรงพยาบาลยันฮี ที่ถือเป็นรายแรก ๆ ของตลาด นอกจากนี้ยังมีแบรนด์วิตอะเดย์ของ บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด, อควาวิทซ์ บาย เจเล่ จากบริษัท ศรีนานาพรฯ, น้ำ PH PLUS 8.5 เครื่องดื่มน้ำ PH ผสมวิตามินบีรวม จากอิชิตัน กรุ๊ป

 

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

องค์การเภสัชฯ เปิดขาย ATK ออนไลน์ วันแรก 40 บาท

      องค์การเภสัชกรรม เปิดขาย ATK ออนไลน์ ยี่ห้อ Singclean แบบเก็บสารคัดหลั่งทางโพรงจมูก กล่องละ 800 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท เริ่ม 22 พ.ย. เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

        องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดขายชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง ATK ผ่านทางช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ www.gpoplanet.com วันนี้ (22 พ.ย.) ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

        เปิดจำหน่าย ราคา 800 บาทต่อกล่อง มีทั้งหมด 20 ชิ้น หรือเฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท โดยราคาดังกล่าวยังไม่ร่วมค่าจัดส่ง

        สำหรับช่องทางการจัดซื้อ ATK ออนไลน์

 

1. เข้าสู่เว็บไซต์ www.gpoplanet.com กดเลือกปุ่ม “สั่งซื้อชุดตรวจ ATK ที่นี่”
2. ระบบจะให้กรอกข้อมูลของผู้สั่งซื้อ ได้แก่ ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่

ขั้นตอนการชำระเงิน

1. เมื่อสั่งซื้อเสร็จ ให้กดปุ่ม “ชำระเงิน”
2. สแกนจ่ายด้วยแอปธนาคารไหนก็ได้
3. เมื่อชำระเงินสำเร็จ สถานะจะขึ้นเป็น “รอจัดส่ง” เพื่อรอรับของ

       ทั้งนี้ ชุดตรวจโควิด ATK ที่องค์การเภสัชกรรมจำหน่าย ได้แก่ ยี่ห้อ Singclean เป็นการตรวจในรูปแบบการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากภายในจมูกแบบตื้น ใช้เวลาอ่านผลราว 5-10 นาที และไม่เกิน 15 นาที   โดยสินค้า 1 ชุดประกอบด้วย ไม้ Swap จำนวน 20 ก้าน, หลอดน้ำยาสกัด จำนวน 20 หลอด, จุก dropper สำหรับหยดน้ำยาสกัด 20 อัน, น้ำยาสกัด จำนวน 20 หลอด และแผ่นตรวจแอนติเจนสำหรับอ่านผล จำนวน 20 แผ่น ส่วนการเก็บรักษาควรอยู่ในอุณหภูมิระหว่าง 4-30 องศา ด้านประสิทธิภาพชุดตรวจ Singclean แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1.Sensitivity (ความไว) 92.15% – 99.05% 2.Specifity (ความจำเพาะ) 97.47% – 99.61% และ 3.Accuracy (ความถูกต้อง) 97.19% – 99.33%

 

ขอบคุณ : ประชาขาติธุรกิจ