LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 9 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 9 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

       OTO-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.วันทูวัน คอนแทคส์(OTO)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 279,998,669 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 3.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (1 ธันวาคม 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 พ.ค. 2566 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 29 พ.ย. 2567

        ASK (กรุงศรี)”ซื้อ”เป้า IAA Consensus 47.50 บาท ฐานกำไรทยอยยกขึ้นในทุกไตรมาส อานิสงส์จากธุรกิจออนไลน์ที่ขยายตัวหนุนดีมานด์รถบรรทุกพุ่งขณะที่ซัพพลายมีไม่พอส่งผลให้ราคารถใหม่และเก่าเพิ่มเป็นบวกกับ ASK โดยตรง

     TACC (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 9.50 บาท คาดกำไร Q4/64 ฟื้นแข็งแกร่งต่อเนื่องหลังคลาย Lockdown การออกสินค้าใหม่ รวมถึงธุรกิจ Charactor ฟื้นตัวหลังลูกค้ากลับมาเชื่อมั่นและเริ่มทำกิจกรรมทางการตลาดเพิ่มขึ้น คาดกำไรทั้งปี 2564 +9% Y-Y ด้านผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2565 โต 10-15% สูงกว่าประมาณการจากสินค้าใหม่และผลิตภัณฑ์กัญชงใน Q2/65 การเติบโตคู่กับ 7-11 ในต่างประเทศ รวมถึงการขยายฐานลูกค้า Non 7-11 โดยคาดกำไรปี 2565 +21% Y-Y พร้อมให้แนวรับ 7.70-7.60 ถัดไป 7.35 บาท แนวต้าน 8-8.20 บาท

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายครั้งที่ 1 ลดลง 150 บาท

     ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 9 ธ.ค. 64 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.27 น. ลดลง 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,150.00 บาท ขายออกบาทละ 28,250.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,636.68 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท

      โดยราคาทอง ประจำวันที่ 8 ธ.ค.64 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 5 ครั้ง ลดลง 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,300.00 บาท ขายออกบาทละ 28,400.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,788.28 บาท ขายออกบาทละ 28,900.00 บาท

     ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้วันที่ 8 ธ.ค.64 สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 80 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 1,785.50 ดอลลาร์/ออนซ์

 ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ชะลอตัว 

      นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ลักษณะชะลอตัว จากแรงขายเพื่อลดความเสี่ยงหลังจากรีบาวด์ขึ้นมาเกินครึ่งทางแล้ว และจะเข้าวันหยุดยาวอีกครั้ง รวมถึงรอติดตามการประชุมหลายธนาคารกลางในสัปดาห์หน้า ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด), ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE), ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ADVERTISEMENT

     ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ราว 0.1-0.2% โดยวันนี้รอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อจีน และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ และพรุ่งนี้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ พร้อมให้แนวรับ 1,610-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,625 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เงินบาทวันนี้ แข็งค่า 33.44 บาท

       ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ 9 ธ.ค.64 เปิดตลาดแข็งค่าขึ้นที่ 33.44 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.35 บาท แนวต้านที่ 33.50 บาท

      โดยปัจจัยมาจากกรณีที่ไฟเซอร์ ออกมาระบุว่าต้องฉีดวัคซีน 3 เข็ม จึงสามารถมีภูมิต้านทานเชื้อโควิดโอไมครอนได้ ขณะที่ออสเตรเลียพบเชื้อโอไมครอนเวอร์ชั่นล่องหน (Stealth Omicron) ส่วนสถานการณ์ระหว่างสหรัฐ-จีน ตึงเครียดเพิ่มขึ้น หลังสภาสหรัฐผ่านกฎหมายลงโทษจีนกรณีซินเจียงอุยกูร์
          นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่นายโอลาฟ โชลซ์ เข้ารับตำแหน่งนายกเยอรมนีต่อจากอังเกลา แมร์เคิล ฟากธนาคารกลางบราซิลขึ้นอัตราดอกเบี้ย 150 bps เป็น 9.25% และส่งสัญญาณอาจมีการขึ้นอีก 150 bps ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565

        ช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของ และ ตัวเลขเงินทุนสำรองของไทยในวันนี้ และดัชนีราคาผู้บริโภคของญี่ปุ่น รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐและความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 35.32 จุด

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,754.75 จุด เพิ่มขึ้น 35.32 จุด หรือ +0.10%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,701.21 จุด เพิ่มขึ้น 14.46 จุด หรือ +0.31% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,786.99 จุด เพิ่มขึ้น 100.07 จุด หรือ +0.64%
          ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นและปิดบวก หลังจากบริษัทไฟเซอร์ อิงค์และไบออนเทคออกแถลงการณ์ร่วมกันเมื่อวานนี้ว่า วัคซีนของไฟเซอร์/ไบออนเทคจำนวน 3 โดสมีประสิทธิภาพสูงในการสร้างภูมิต้านทานต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

     แถลงการณ์ดังกล่าวระบุว่า ผลการทดลองในเบื้องต้นบ่งชี้ว่าการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของแอนติบอดีได้ถึง 25 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม โดยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ได้ลดความสามารถในการต่อสู้ของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนลงเหลือเท่ากับไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิมซึ่งร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานด้วยการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม

          ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 11.0 ล้านตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งหากสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

      ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 8 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 8 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

     M (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 62 บาท คาดพลิกมีกำไรแข็งแกร่ง Q4/64 ราว 350-400 ลบ. ซึ่งโตได้เล็กน้อย Y-Y หลังกลับมาเปิดให้บริการได้ตามปกติ โดยยอดขายฟื้นต่อเนื่องในเดือน ต.ค.-พ.ย. ตามการคลาย Lockdown และจะดีสุดในเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็น High Season พร้อมคาดจบปี 64 มีกำไร 113 ลบ. และจะเร่งขึ้นเป็น 2.2 พันลบ.ในปี 65 จากสมมติฐานสถานการณ์ปกติไม่มี Lockdown ขณะที่การฟื้นตัวของราคายัง Laggard เทียบกับรอบก่อนๆ โดยให้แนวรับ 51.50-50 บาท แนวต้าน 53.50-54 บาท

     PTTEP (กรุงศรี) ซื้อเป้า 150 บาท ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเป็นบวกโดยตรง เนื่องจากมีสูตรราคาเป็น Oil link แนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/64 คาดสูงขึ้น qoq และ yoy ตามปริมาณและราคาที่เพิ่มขึ้นและจะไม่มี Hedging loss  Q2/64 และ Q3/64

     AOT (กสิกรไทย) เป้า 64.46 บาท เห็นโอกาสลงทุนหลังหุ้นปรับตัวลงมามากกว่าหุ้นสนามบินต่างประเทศในสหรัฐฯหรือยุโรป Sentiment บวกหลังตลาดเริ่มคลายความกังวลจากโอมิครอนจะช่วยสนับสนุนการปรับตัวขึ้น

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

นักลงทุนคลายกังวลโอมิครอน ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 492 จุด

          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,719.43 จุด เพิ่มขึ้น 492.40 จุด หรือ +1.40%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,686.75 จุด เพิ่มขึ้น 95.08 จุด หรือ +2.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,686.92 จุด เพิ่มขึ้น 461.76 จุด หรือ +3.03%

      ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเกือบ 500 จุดเมื่อคืนนี้ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เพิ่มขึ้นติดต่อกันวันที่สอง หลังจากนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำทำเนียบขาวได้แสดงความเห็นกับสื่อมวลชนว่า นับจนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนได้ก่อให้เกิดอาการป่วยที่รุนแรง และการหาข้อมูลเพิ่มเติมยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่จะทำให้ภาพรวมความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีความชัดเจนมากขึ้น

      หุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวกทั้งหมด นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 3.51% 

       หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นว่าไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยหุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.45% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 3.72% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 1.12% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.48% 

        ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 17.6% สู่ระดับ 6.71 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน แต่สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.68 หมื่นล้านดอลลาร์

          นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ โดยดัชนี CPI เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งหากสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
          ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

ธุรกิจใจชื้น โควิดสายพันธุ์ใหม่ โอไมครอน ไม่รุนแรงเหมือนที่คาด

         ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ นักวิชาการค้าปลีก เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ประเมินว่าสถานการณ์ของโควิดโอไมครอนในประเทศไทยขณะนี้ ไม่น่าส่งผลกระทบต่อภาพรวมกำลังการจับจ่าย และมู้ดของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่มากนัก

        เนื่องจากที่ผ่านมาตั้งแต่มีการระบาดของไวรัสเกิดขึ้นถึงขณะนี้ คนไทยยังตั้งการ์ดป้องกันโควิดสูงอยู่ ทั้งเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ รวมถึงด้านสุขอนามัยต่าง ๆ ที่เข้มงวดอยู่ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าผู้ประกอบการในหลายภาคธุรกิจ ทั้งค้าปลีก ร้านค้า ร้านอาหาร ต้องประเมินสถานการณ์ และติดตามอย่างใกล้ชิด

    เชื่อว่าช่วงปลายปีใหม่การจับจ่ายของประชาชนจะยังคงอยู่ เนื่องจากคนไทยเริ่มชินกับการระบาด รวมถึงมีการป้องกันเข้มงวด ส่วนหนึ่งก็ต้องการบรรยากาศเฉลิมฉลองปลายปี หากการระบาดของไวรัสโอไมครอนในไทยยังสามารถควบคุมได้ และไม่ทวีความรุนแรงมากกว่านี้ เชื่อว่าภาพรวมกำลังซื้อ บรรยากาศช่วงปลายปีจะยังคงอยู่แน่นอน  

    ส่วนกิจกรรมช่วงปลายปีของธุรกิจค้าปลีกที่มีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว หากการระบาดไม่ได้เลวร้ายลง การจัดงานอีเวนต์แต่ละแห่งจะยังคงเดินหน้าปกติ เบื้องต้นขณะนี้หลายแห่งยังคงจัดกิจกรรมภายใต้มาตรการที่เข้มงวดอยู่แล้ว จะมีเพิ่มการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์มากขึ้น

      นาวสาวธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) ผู้บริหารศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ที่ประเมินว่าการพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนในประเทศไทยจะทำให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศลดน้อยลง ส่วนการท่องเที่ยวในประเทศ แม้จะมีการเดินทางท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่เชื่อว่ายังมีประชาชนและคนกรุงเทพฯอีกไม่น้อยที่เลือกจะใช้เวลาเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่ในกรุงเทพฯ ผ่านแลนด์มาร์กต่าง ๆ ที่มีการจัดงาน

      สำหรับสามย่านมิตรทาวน์เตรียมกิจกรรมในช่วงอาทิตย์สุดท้ายของเดือน ธ.ค. ซึ่งถือเป็นช่วงเพรสทีจซีซั่น โดยวางแผนทำอีเวนต์ลานนม ซึ่งเป็นไฮไลต์ของทางศูนย์ นอกเหนือจากการตกแต่งต้นคริสต์มาส และบรรยากาศปีใหม่ต่าง ๆ

      ขณะนี้อยู่ระหว่างการประเมินสถานการณ์ และอยู่ในขั้นตอนทำตามระเบียบของศูนย์บริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และข้อกำหนดของกรุงเทพมหานคร โดยจะมีมาตรการป้องกันเข้มงวด และลดจำนวนคนที่สามารถเข้าร่วมงานได้ตามมาตรการรัฐ

      นางสาวนรินติยา เสาวณีย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท มิสเตอร์.ดี.ไอ.วาย. เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนกว่า 400 สาขาทั่วประเทศ กล่าวว่า แม้พบผู้ติดเชื้อโอไมครอนในไทย แต่พฤติกรรมการใช้บริการและมูลค่าการจับจ่ายของผู้บริโภคยังไม่เปลี่ยนแปลง อยู่ในระดับ 200-400 คนต่อวัน และ 200-250 บาทต่อคน เท่ากับช่วงที่ผ่านมา คาดว่าเป็นเพราะความเชื่อมั่นในการรับมือของรัฐบาล และความเข้มงวดของร้าน

        บริษัทได้ยกระดับมาตรการป้องกันโรคให้เข้มงวดขึ้น ทั้งในส่วนของพนักงาน การจำกัดจำนวนผู้ใช้บริการในร้าน ด้านแผนจัดการงานฉลองเปิดสาขาใหม่ก็ยังเดินหน้าตามเดิม และพร้อมปรับตัวหากรัฐมีมาตรการควบคุมโรคโดยนำประสบการณ์ช่วงล็อกดาวน์มาปรับใช้

        นายกิตติ กันทรวิชัยวัฒน์ เลขาธิการสมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี กล่าว

ว่า การไม่อนุญาตให้ 8 ประเทศกลุ่มเสี่ยงสูงในทวีปแอฟริกาใต้เข้าไทย กระทบต่อธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับใน จ.จันทบุรี เนื่องจากวัตถุดิบพลอยแดงมากกว่า 50% นำเข้าจากโมซัมบิก และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา ทั้งแทนซาเนีย ไนจีเรีย มาดากัสการ์ ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบพลอย 60-70%

         แม้ตอนนี้ผลกระทบยังไม่ชัดเจน ต้องรอประเมินสถานการณ์อีก 2 สัปดาห์ หากมาตรการห้ามเข้าประเทศเป็นระยะสั้นจะไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ระยะยาวมีผลกระทบแน่นอน เพราะการสต๊อกสินค้ามีมูลค่าสูง มีผลกระทบต่อการผลิต เพราะปกติผู้ซื้อวัตถุดิบพลอยจะเดินทางไปดูสินค้าด้วยตัวเอง

        ตอนนี้ห้ามเฉพาะคนเข้า-ออก ยังขนส่งวัตถุดิบพลอยมาได้ตามออร์เดอร์ และมีการนำพลอยมาจัดประมูลใน กทม. ช่วงโควิด-19 ระบาดต่อเนื่อง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าพลอยลดลงเหลือเพียง 20-30% จากข้อจำกัดในการเดินทางเข้าไทย และการประกาศปิดตลาดพลอยหลายครั้ง เนื่องจากสินค้าอัญมณีต้องดูด้วยสายตาและสัมผัสจริง ช่วงไตรมาส 3 ตลาดการซื้อขายพลอยฟื้นตัวดีขึ้น 40-50%

          กลุ่มลูกค้าหลักคือ จีน อเมริกา ยุโรป โดยเฉพาะจีนประมาณ 60% จากที่โควิดคลี่คลาย และนโยบายเปิดประเทศของไทยตั้งแต่ 1 พ.ย. 2564 มีชาวต่างประเทศเดินทางเข้ามาซื้อ-ขายพลอยในรูปแบบ test and go ที่น่าเป็นห่วงคือแรงงานที่ลักลอบเข้ามาตามแนวชายแดน ทั้งนี้ เดือน ก.พ. 2565 สถาบัน GIT จะจัดงานเทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรี ถ้าโควิดไม่รุนแรงลูกค้าต่างประเทศน่าจะเข้ามาซื้อขายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

         

นายชายพงษ์ นิยมกิจ ประธานหอการค้า จ.จันทบุรี และอุปนายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี กล่าวเพิ่มเติมว่า โมซัมบิกเป็นแหล่งวัตถุดิบพลอยมากกว่า 70% การปิดกั้นการเดินทางจึงกระทบการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวขึ้น 40% จากปี 2563 ลดลงถึง 70-80% ธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับค่อนข้างอ่อนไหวตามสถานการณ์โควิด-19 เช่นเดียวกับการท่องเที่ยว

        ถ้าปี 2565 สถานการณ์ยังยืดเยื้อ เดินทางไปซื้อวัตถุดิบหรือนำพลอยดิบเข้ามาขายไม่ได้ จะมีปัญหาด้านซัพพลาย เดิมคาดว่าปี 2565 ธุรกิจนี้จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้ามีมาตรการคุมการเข้า-ออกประเทศเข้มข้น กว่าตลาดจะกลับมาปกติจะใช้เวลา 2 ปี แต่งานเทศกาลนานาชาติพลอยและเครื่องประดับจันทบุรีที่จะมีขึ้นเดือน ก.พ. 2565 ไม่น่ากระทบ เพราะจะมีมาตรการควบคุมป้องกันเต็มที่ และเตรียมการผลิตรวมทั้งประสานประเทศคู่ค้าแล้ว ขอแค่รัฐบาลอย่าล็อกดาวน์ปิดประเทศ
          นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT เปิดเผยว่า การพบผู้ติดเชื้อโอไมครอนในไทย และห้ามประเทศเสี่ยงในแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศ ทำให้การนำเข้าพลอยล่าช้าหรือชะงักบ้าง แต่เฉพาะในกลุ่มพลอยเนื้ออ่อนซึ่งมีสัดส่วนนำเข้าเฉลี่ย 28-30%
        ส่วนพลอยเนื้อแข็งซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วน 60% ไม่กระทบ เพราะใช้วิธีการประมูลโดยมีตัวแทนของบริษัทอยู่แล้ว ส่วนพลอยชนิดอื่นที่เหลือ ไทยก็สามารถนำเข้าจากหลายประเทศ ไม่ได้นำเข้าเฉพาะจากแอฟริกา เชื่อว่าผลกระทบจะเป็นระยะสั้น เพราะเชื่อว่าผู้ผลิต ผู้ประกอบการไทย น่าจะปรับตัวและซื้อ-ขายผ่านระบบออนไลน์ได้
        ส่วนการจัดเทศกาล “พลอยและเครื่องประดับจันทบุรี” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง 3-7 ก.พ. 2565 ยังคงดำเนินการต่อแน่นอน เป้าหมายเพื่อกระตุ้นการซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว
        สำหรับการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยช่วง 10 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่า 8,177.09 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 51.56% เป็นสินค้าส่งออกอันดับที่ 5 คิดเป็นสัดส่วน 3.67% ของสินค้าส่งออกโดยรวมของไทย แต่หากหักทองคำที่ยังมิได้ขึ้นรูป ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความผันผวนออก การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่แท้จริง มีมูลค่า 4,931.69 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 26.87%
          สำหรับสินค้าสำคัญที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น เช่น เครื่องประดับเงิน เพิ่ม 20.51% เครื่องประดับทอง เพิ่ม 33.93% พลอยเนื้อแข็งเจียระไน เพิ่ม 35.69% เพชรเจียระไน เพิ่ม 35.26% เป็นต้น ส่วนตลาดส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น เช่น สหรัฐ เพิ่ม 54.64% อินเดีย เพิ่ม 67.76% สหราชอาณาจักร เพิ่ม 138.40% ญี่ปุ่น เพิ่ม 7.73% เบลเยียม เพิ่ม 16.41% ออสเตรเลีย เพิ่ม 20.07% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่ม 35.37% สวิตเซอร์แลนด์ เพิ่ม 77.33% แต่ฮ่องกง ลด 0.55% เยอรมนี ลด 4.24%
      สถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอน ล่าสุดหลายประเทศระบุว่าแม้จะติดเชื้อได้ง่าย แต่ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง ทำให้ทั่วโลกคลายความวิตกกังวลลง ขณะเดียวกันก็ติดตามสถานการณ์และผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะได้รับการยืนยันทางวิชาการหรือทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ สถานการณ์ขณะนี้ความไม่แน่นอนยังมีสูง และหวั่นเกรงว่าโควิดโอไมครอนจะเป็นปัจจัยเสี่ยงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้บวกเช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ-ยุโรปปรับขึ้นได้ดี

       นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ และตลาดในยุโรปที่ปรับตัวขึ้นได้ดี จากคลายกังวลเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนหลังสหรัฐฯว่าไม่รุนแรง แม้จะมีการแพร่ระบาดสูง

        ราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากคลายกังวลเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ทำให้มองเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนนี้ไม่น่าจะกระทบความต้องการใช้น้ำมัน ส่วนบ้านเราจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ลดลง ทำให้มองว่าดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวขึ้นได้ โดยคาดว่าหุ้นในกลุ่มเปิดเมืองน่าจะขึ้นนำตลาดฯ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มโรงแรม, ท่องเที่ยว เป็นต้น และกลุ่มพลังงานก็น่าจะกลับมาด้วย อีกทั้งเงินบาทขณะนี้ได้แข็งค่าขึ้นทำให้น่าจะได้เห็นแรงซื้อของนักลงทุน

        ทั้งนี้ยังต้องติดตาม FTSE Rebalance ซึ่งจะมีผลวันที่ 20 ธ.ค.64, ติดตามประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 14-15 ธ.ค., ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 16 ธ.ค., ติดตามองค์การอนามัยโลก (WHO) ที่จะประกาศสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนจะเป็นอย่างไร รวมถึงติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญ พร้อมให้แนวรับ 1,595-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620-1,624 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ราคาทองประจำวันนี้ครั้งที่ 1 ลดลง 50 บาท

         ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2564 ครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.23 น. ลดลง 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,300.00 บาท ขายออกบาทละ 28,400.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,788.28 บาท ขายออกบาทละ 28,900.00 บาท

      โดยราคาทองเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 4 ครั้ง ลดลง 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,350.00 บาท ขายออกบาทละ 28,450.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,833.76 บาท ขายออกบาทละ 28,950.00 บาท

      ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 5.2 ดอลลาร์ หรือ 0.29% ปิดที่ 1,784.7 ดอลลาร์/ออนซ์

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 7 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 7 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

     ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.ดีโอดี ไบโอเทค (DOD)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 205,000,244 หน้วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 18.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปีนับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (1 ธันวาคม 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.10 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 31 พ.ค. 2565วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 30 พ.ย. 2566

     PTTEP (กรุงศรี) ซื้อเป้า 150 บาท ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเป็นบวกโดยตรงกับ PTTEP เนื่องจากมีสูตรราคาเป็น Oil link แนวโน้มกำไรสุทธิ Q4/64 คาดสูงขึ้น qoq และ yoy ตามราคาขายที่เพิ่มขึ้นและไตรมาสนี้คาดว่าจะไม่มี Hedging loss เหมือน Q2/64 และ Q3/64

     CRC (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 36 บาท คาดยอดขายในประเทศนับตั้งแต่ Q4/64 ฟื้นตัว กำลังซื้อกลับมาหลังเปิดเมือง, การเพิ่มสัดส่วนใน Grab จะเสริมความแข็งแกร่งในช่องทางการขาย พร้อมปรับตัวสู่โลก Block chain พัฒนา Digital Token C-Coin ทดลองใช้ในกลุ่มพนักงาน 8 หมื่นราย คาดปี 65 พร้อมให้ลูกค้าใช้งาน ด้าน Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ขาดทุนที่ 1.46 พันลบ. ส่วนปี 2565 พลิกเป็นกำไรที่ 3.9 พันลบ. ตามลำดับ

     NSL (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 23 บาท แนวโน้ม Q4/64 จะฟื้นแรงตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายและทำให้ลูกค้าเข้า 7-11 มากขึ้น รวมถึงปัญหา Supply Chain ที่หมดไป ทำให้ทั้งรายได้และ Margin ฟื้นตัวอย่างมีนัยยะ พร้อมคาดกำไรปี 2564 +25% Y-Y และเร่งตัวปีหน้า +44% Y-Y โดยระยะถัดไปคาดจะเติบโตในกัมพูชาตาม 7-11 เช่นกัน โดยให้แนวรับ 19-18.50 บาท แนวต้าน 20-20.40 บาท

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 600 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,227.03 จุด เพิ่มขึ้น 646.95 จุด หรือ +1.87%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,591.67 จุด เพิ่มขึ้น 53.24 จุด หรือ +1.17% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,225.15 จุด เพิ่มขึ้น 139.68 จุด หรือ +0.93%

      นายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำทำเนียบขาวกล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ CNBC เมื่อวานนี้ว่า  แม้ดูเหมือนว่าเร็วเกินไปที่จะออกมาสรุปในเรื่องนี้ แต่นับจนถึงขณะนี้เรายังไม่มีข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่าไวรัสโอไมครอนก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรง

     สอดคล้องกับที่นายมาร์โก โคลาโนวิช และนายบราม แคปแลน นักวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกนได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า แม้ว่าโอไมครอนจะระบาดได้รวดเร็วกว่า แต่รายงานก็บ่งชี้ว่าสายพันธุ์นี้มีความรุนแรงน้อยกว่า ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบวิวัฒนาการของไวรัสในอดีตที่บ่งชี้ว่า ไวรัสที่มีการแพร่ระบาดมากกว่า แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า จะเข้ามาแทนที่ไวรัสสายพันธุ์ที่มีความรุนแรงมากกว่า ซึ่งจะทำให้โอไมครอนเป็นตัวเร่งให้การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิด-19 นั้น กลายเป็นเพียงบางสิ่งที่คล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลเท่านั้น
           การแสดงมุมมองบวกของเหล่าผู้เชี่ยวชาญได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มอุตสาหกรรม  หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นเกือบ 5% เมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคดีดตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจเช่นกัน 

         นักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพ.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยการประชุมเฟดครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 14-15 ธ.ค.นี้
          ข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดุลการค้าเดือนต.ค., ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยในไตรมาส 3/2564, ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองฟิวเจอร์ ปิดปรับตัวลง 4.40 ดอลลาร์

      สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 4.40 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,779.50 ดอลลาร์/ออนซ์

     โดยราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันท่ามกลางความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดไว้

      นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ส่งสัญญาณยุติโครงการคิวอีเร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด เฟดอาจปรับลดวงเงินคิวอีมากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดจะมีการหารือกันในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 ธ.ค. 64 

      ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมวันที่ 3 พ.ย. และเฟดจะปรับลดวงเงินคิวอีเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย.64

       โดยเฟดจะปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ และปรับลดวงเงินซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (เอ็มบีเอส) เดือนละ 5,000 ล้านดอลลาร์ การลดวงเงินคิวอีดังกล่าวจะทำให้เฟดยุติการทำคิวอีโดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565

     โกลด์แมน แซคส์ ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงินคิวอีเป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. 2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งไซด์เวย์ แม้ไทยพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรก แต่อาการไม่รุนแรง

     นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ แม้จะไทยจะพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอนรายแรก แต่เท่าที่ติดตามข่าวทั่วโลกมาปรากฏว่าอาการไม่ได้รุนแรง ทำให้ผ่อนคลายความกังวลไปได้บ้าง แม้ว่าสายพันธุ์นี้จะมีการแพร่กระจายได้เร็ว แต่อาการอ่อนกว่าสายพันธุ์เดลตา

           เมื่อวานนี้ราคาน้ำมันก็พุ่งแรงเกือบ 5% ทำให้น่าจะไปหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมีได้ อย่างไรก็ดี บรรยากาศอาจเป็นลักษณะชะลอการลงทุน เนื่องจากสัปดาห์นี้คาบเกี่ยวกับวันหยุดต่อเนื่อง

       ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้รีบาวด์ราว 0.2-0.3% หลังวานนี้ปรับตัวลงไปมาก พร้อมให้ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ และตัวเลขเศรษฐกิจของจีน อย่างตัวเลขการค้า และตัวเลขเงินเฟ้อ เป็นต้น พร้อมให้แนวรับ 1,580 จุด ส่วนแนวต้าน 1,600-1,605 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซในปี 2565

      ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ  ผู้คร่ำหวอดใน อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ของไทย ผู้ก่อตั้งและซีอีโอตลาดดอทคอม เปิดคาดการณ์ 10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซในปี 2565

      ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง  คริปโทคอมเมิร์ซ ซูเปอร์แอพ รวมไปถึงการเติบโตของ  วิธี  การในการทำอีคอมเมิร์ซ โดยเฉพาะในเรื่องของการ  ไลฟ์  ที่จะกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ ขณะที่ กลุ่มJSL อันประกอบด้วยJD Central , Shopee และ Lazada ที่ปีหน้าจะเริ่มทำกำไรได้แล้ว

สำหรับ 10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซที่จะเกิดขึ้นในปี 2565 มีดังนี้

 1.อีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นช่องทางหลักของธุรกิจปี 2564

     อาจจะยังไม่ค่อยชัดมากเท่าไหร่ แต่ปี 2565 จะชัดมากว่าอีคอมเมิร์ซจะกลายเป็นช่องทางหลักในแง่ของบางธุรกิจยอดขายต่าง ๆ บางกลุ่มอีคอมเมิร์ซอาจจะไม่เมาก แต่เมื่อดูอัตราการเติบโตผมบอกได้เลยว่าน่าจะโตขึ้นอีกมหาศาลเลยทีเดียวในเชิงของการขาย

2.JSL ปีหน้าจะเริ่มทำกำไรได้แล้ว กลุ่ม JSL ประกอบด้วย เจดีเซ็นทรัล (JD Central), ช้อปปี้ (Shopee) และลาซาด้า (Lazada)

      จะพยายามเข้าสู่โหมดการทำกำไร อย่างเมื่อกลางปี 2564 ลาซาด้า ส่งงบกลางปีต่อกระทรวงพาณิชย์ ตอนนี้รายได้ 1.4 หมื่นกว่าล้านบาท กำไรสูงถึง 226 ล้านได้ ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าสงครามยังคงมีอยู่ แต่บางเจ้าเริ่มหยุดการสาดเงิน เริ่มมาโฟกัสที่การทำให้เกิดรายได้ของธุรกิจมากขึ้นกำไรของพวกมาร์เก็ตเพลสนั้น lazada กับ shopee จะได้มาต่างกัน shopee จะมาจากค่าคอมมิชชั่นจากการขายทุกร้านที่ไปเปิดต้องเสียค่าคอมมิชชั่นและการซื้อโฆษณาภายในเว็บไซต์ แต่ลาซาด้าจะเอาโมเดลจากจีนมาซึ่งมี 2 โมเดล คือ แบบแรกแบบ Taobao ก็คือแบบลาซาด้ามาร์เก็ตเพลสทั่วไปตรงนี้รายได้มาจากโฆษณา ผู้ประกอบการรายย่อยที่ไปขายของจะไม่ต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่น แต่หากต้องการยอดขายเพิ่มอาจต้องไปซื้อโฆษณาเพิ่ม ส่วนอีกโมเดลหนึ่งคือ LazMall ตรงนี้เปิดให้เฉพาะเจ้าของแบรนด์สินค้า ซึ่งต่องจ่ายค่าคอมมิชชั่น 2-10% ขึ้นอยู่กับประเภทหมวดหมู่สินค้า เมื่อเปรียบเทียบก็ยังถือว่าต่ำการนำไปขายในช่องทางค้าปลีกทั่ว ๆ ไปที่อาจอยู่ที่ 30% เลย นอกจากนี้ยังค่าเช่าพื้นที่ ค่าพนักงานที่ไปยืนขาย ฯลฯ มเดลรูปแบบใหม่ที่เป็นออนไลน์จะทำให้เจ้าของสินค้าต่างๆ เริ่มสนใจเพราะค่ามาร์จิ้นหรือคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าของช่องทางการขายค่อนข้างต่ำกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมี บรรดามาร์เก็ตเพลสหรือ JSL จึงมุ่งไปที่แบรนด์สินค้าหรือโรงงานต่าง ๆ เพราะกลุ่มนี้เมื่อลงโฆษณาออนไลน์จะจ่ายน้อยกว่าและเห็นยอดขายเลยทันที ซึ่งตรงนี้จึงทำให้รายได้ของผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสโตขึ้น เพราะแบรนด์ต่าง ๆ เบนเข็มเบนเม็ดเงินจากที่ไปจ่ายตามสื่อต่าง ๆ มาลงบนออนไลน์เพิ่มมากขึ้น กลายเป็นว่าผู้ให้บริการมาร์เก็ตเพลสเริ่มมีรายได้มากขึ้นและเห็นแววว่าจะมีกำไรแล้ว

3.สงครามการเป็นซูเปอร์แอพ (SuperApp) แอพที่ต้องเปิดทุกวัน

      เป็นแอพพลิเคชั่นที่มีทุกบริการอยู่ภายในรายที่มีความใกล้เคียงเป็นซูเปอร์แอพมาก คือ แกร็บ สั่งอาหารได้ ส่งสินค้าได้ ปัจจุบันสั่งสินค้าจากซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ ยังมีวอลเล็ทมีให้กู้เงิน ฯลฯ หรือ “ทรูมันนี่” เริ่มเป็นซูเปอร์แอพแล้ว ปัจจุบันมีกระเป๋าเงินจ่ายเงินได้ ซื้อกองทุน จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ฯลฯ ทำได้หมดทุกอย่าง อีกรายที่น่ากลัวมาก คือ ช้อปปี้ ที่ปัจจุบันมีทุกอย่างและรุกหนักมาก และจะไปต่อ คือ ShopeeFood, Shopee Travel นี่คือแนวโน้มของการทำอีคอมเมิร์ซในปีหน้า ทุกรายพยายามจะกระโดดเข้ามาเป็นซูเปอร์แอพ ทุกรายขายของอยู่แล้วแต่พยายามจะขายของให้มีความหลากหลายมากขึ้น อาศัยฐานที่ตัวเองมี ทำให้ลูกค้าไม่ต้องออกไปไหนอยู่แต่ในแพลตฟอร์มตัวเองเท่านั้น เช่นเดียวกับ แฟลช เอ็กซ์เพรส นอกจากทำขนส่ง ยังมีแผนจะไปทำ Flash Pay, Flash Warehouse พยายามกระโดดไปทำทุกอย่างเหมือนกัน

4. ไลฟ์คอมเมิร์ซ+โออีเอ็ม (OEM) การขายของออนไลน์ผ่านการถ่ายทอดสดปีหน้า จะเป็นการขายทางออนไลน์แบบซีเรียสขึ้น เรียกว่า เป็นโปรเฟสชั่นนัล ไลฟ์ คอมเมิร์ซ และ ขายได้ในระดับหลายร้อยล้าน เช่น พิมรี่พาย live commerce + OEM คือ เมื่อก่อนเราอาจจะเอาของคนอื่นมาขาย แต่ปัจจุบันไม่ต้อง เมื่อไลฟ์บ่อย มีฐานลูกค้ามีคนติดตามแล้ว ก็หันจ้างบริษัทอื่นผลิตสินค้าเองเลย จะเริ่มเห็นหลายๆ คนเริ่มทำแบรนด์ของตัวเอง เพราะอาจได้กำไรมากกว่าเดิม 100-200%”

5.คอมบายน์ แอนด์ ออโตเมท อีคอมเมิร์ซ (Combine and automated e-commerce) 

      ต่อไปทุกช่องทางการขายจะถูกหล่อหลอมเข้าด้วยกัน อยู่ในช่องทางเดียวกัน ยอดขายจากออนไลน์ ยอดขายจากทีวี และจากทุกสื่อทุกช่องทาง จะสามารถดึงข้อมูลมารวมไว้ที่เดียว เพื่อมาวิเคราะห์ว่าช่องทางไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด ช่องทางไหนเวิร์คสุดเมื่อรวมข้อมูลทั้งหมดมาอยู่ในที่เดียวกันได้ สิ่งที่ตามมาคือ automated คือสามารถต่ออัตโนมัติ เอาพวกแชทบอทเข้ามาช่วยได้ ระบบออกบิล การเก็บข้อมูลทุกอย่าง ฯลฯ การขายของในปัจจุบันจะรวดเร็วขึ้นและจะอัตโนมัติมากขึ้นเลยทีเดียวล่าสุดพัฒนา TARAD U-Commerce 2.0 เป็นระบบที่สามารถรวบรวมยอดขายได้ทุกช่องทางไว้ที่เดียว รวมทั้งการส่งสินค้าจากหลายๆ ขนส่งที่ถูกกว่มปกติผ่าน Shippop และมีระบบชำระเงินทุกช่องทางของ PaySolutions รวมอยู่ที่เดียว

6. รีเทล ออโตเมชั่น การมาของเครื่องขายของอัจฉริยะตลอด 24 ชั่วโมงไม่ต้องใช้คนการค้าปลีกแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้คน โดยปีหน้าจะเริ่มเห็นพวกเวนดิ้ง แมชชีน พวกตู้ขายสินค้าอัตโนมัติต่างๆ ที่สามารถขายสินค้าได้ 24 ชั่วโมงมากขึ้น

7.การขายของออนไลน์ในปีหน้าจะดุมากขึ้น aggressive มากขึ้น

     งบประมาณโฆษณาที่ใช้เท่าเดิม ยอดขายจะได้น้อยลง เมื่อทุกคนกระโดดเข้ามาสู่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ เขาต้องใช้งบประมาณในการกระตุ้นต่างๆ เมื่อเริ่มใช้งบมากขึ้น งบเริ่มไม่ค่อยได้ผล การแข่งขันมากขึ้น ดังนั้น ตลาดการลงโฆษณา ตลาดการแข่งขันขายของออนไลน์จะดุเดือดมากกว่าปีที่ผ่านๆ มา

8.คริปโทคอมเมิร์ซ  เป็นคำใหม่ขอใช้คำว่า “Crypto Commerce”

    คือ ใช้สกุลเงินคริปโตมาร่วมกับการค้าอย่างจริงจัง ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีการใช้เหรียญคริปโตมาใช้ แต่เป็นการใช้ในแง่การลงทุน เก็งกำไร ปีหน้าจะเริ่มเจอว่ามีการเอาเงินคริปโตมาซื้อของ ซึ่งปีนี้เริ่มมีให้เห็นแล้ว เช่น ใช้คริปโตซื้อรถยนต์ได้

9. D2C จะเริ่มเหิมเกริมมากกว่าเดิม (Direct to Consumer)

      เพราะทุกแบรนด์สินค้าและโรงงานต่างๆ ต่างโดดเข้ามาขายออนไลน์เองกันหมด เริ่มหันมาขายในมาร์เก็ตเพลส ขายผ่านโซเชียลมีเดีย เริ่มสร้างทีมของตัวเอง และเปิดร้านขายเอง ส่งเอง ตรงสู่ผู้บริโภคมากขึ้นอนาคตของค้าปลีกตัวกลางอย่างดีเลอร์ และร้านค้าต่างๆ ที่ผมเคยเตือนไว้ เริ่มชัดแล้วว่าบทบาทความสำคัญจะเริ่มลดลงเรื่อย ๆ และปีหน้าจะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออีคอมเมิร์ซเริ่มโตขึ้นเรื่อยๆ

10.การถดถอยของธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่น (Local Business Decline)

       เมื่อ 1-9 มารวมกันจะเกิดการที่ธุรกิจท้องถิ่นที่อยู่ต่างจังหวัด ร้านโชห่วย ร้านค้าขนาดเล็ก ฯลฯ จะเริ่มเห็นการหดตัวในปี 2565 เพราะผู้บริโภคจะเริ่มคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้น จะกระทบกับธุรกิจค้าปลีกทันที ไม่ว่าจะเป็นร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า ฯลฯ ต่อไปจะมีผลกระทบมากขึ้นเลยทีเดียว ร้านเหล่านี้จะมีขนาดเล็กลง ยอดขายจะตกลงด้วยเหมือนกัน

      

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 6 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 6 ธันวาคม 2564

บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป เผย หุ้นทรุดลง 12% ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

     หุ้นบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ทรุดลง 12% แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปีวันนี้ หลังจากบริษัทยอมรับว่า ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะสามารถหาเงินได้เพียงพอเพื่อมาชำระหนี้ได้ตามกำหนดหรือไม่ ขณะทางการจีนได้เรียกตัวประธานของบริษัทเข้าประชุมเป็นการด่วน โดยหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ร่วงลงกว่า 12% แตะที่ 1.98 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2553

    โดยหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ปรับตัวลง หลังบริษัทไม่สามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้มูลค่า 82.5 ล้านดอลาร์ได้ทันกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา และนักลงทุนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า บริษัทแห่งนี้จะสามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้ทันในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน 30 วันซึ่งสิ้นสุดในวันนี้ 6 ธ.ค.) 64 

    สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เอเวอร์แกรนด์พยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อระดมเงินทุนในระหว่างที่ต้องรับมือกับภาระหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ล้มละลายก็จะส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ของจีนอย่างหนัก

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงว่า บรรดาเจ้าหนี้ได้ทวงหนี้จากบริษัทมูลค่ารวมราว 260 ล้านดอลลาร์

    ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นมณฑลกวางตุ้งได้เรียกตัวนายฮุย คา หยาน ประธานบริษัทเข้าประชุม โดยระบุในแถลงการณ์ว่า ทางการจีนจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับการควบคุมภายในบริษัท และรักษาการดำเนินงานให้เป็นปกติ

     ทั้งนี้นาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า ความเสี่ยงระยะสั้นที่เกิดจากปัญหาภายในของเอเวอร์แกรนด์นั้นจะไม่บ่อนทำลายการระดมทุนของตลาดในระยะกลางและระยะยาว พร้อมเสริมว่าการขายบ้าน การซื้อที่ดิน และการจัดหาเงินทุนในจีนได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้เพิ่มขึ้น 50 บาท

     สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 6 ธ.ค.64 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.24 น. เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,500.00 บาท ขายออกบาทละ 28,600.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,985.36 บาท ขายออกบาทละ 29,100.00 บาท

     ในขณะที่ราคาทองเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.64 2564  ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 1 ครั้ง เพิ่มขึ้น 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,450.00 บาท ขายออกบาทละ 28,550.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,939.88 บาท ขายออกบาทละ 29,050.00 บาท

     ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์3 ธ.ค.64  สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 21.2 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาทองคำ ลดลง 0.1% จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนที่ 1,785.50 ดอลลาร์

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

ธปท.ผนึกกำลัง ก.ล.ต.คุมเข้ม เหรียญคริปโท

   คริปโทเคอร์เรนซี(cryptocurrency) ที่ได้รับความสนใจจากนักเก็งกำไรคนรุ่นใหม่อย่างมาก ซึ่งข้อมูลจากสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มียอดเปิดบัญชีซื้อขายอยู่ที่ 1.64 ล้านบัญชี (สิ้น ก.ย. 2564) ขณะที่มูลค่าการซื้อขายแต่ละสัปดาห์หลายหมื่นล้าน หรือเกือบ ๆ แสนล้านบาท

     ขณะเดียวกันก็มีภาพของตลาดซื้อขายคริปโท สร้างอีโคซิสเต็ม จับมือพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ ทั้งอสังหาฯ ค้าปลีก สายการบิน ร้านกาแฟ โรงพยาบาล รถยนต์ เปิดรับชำระสินค้าและบริการด้วยคริปโทสกุลเงินต่าง ๆ ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาส่งสัญญาณเตือนถึงการยกระดับการกำกับดูแล

    เรื่องการกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงสเตเบิลคอยน์ (stablecoin) ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการหารือกับ ธปท.และ ก.ล.ต.อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะมีการยกระดับการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ทั้งในด้านของการลงทุนหรือซื้อขาย รวมถึงในส่วนของการนำมาใช้ในการรับชำระสินค้าและบริการ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการวางแผน แต่เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ตลาดคริปโทมีความร้อนแรงมากขึ้น รวมถึงมีกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดดเข้ามาร่วมในการรับชำระค่าสินค้าและบริการมากขึ้น จนทำให้ ธปท.ออกมาส่งสัญญาณเตือนไม่สนับสนุนให้ใช้ชำระสินค้าและบริการ

      สินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อใช้รองรับเรื่องการลงทุน อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็ไม่ได้เขียนห้ามเรื่องการชำระสินค้า แต่แบงก์ชาติในฐานะผู้กำกับระบบการชำระเงิน มองเห็นถึงความเสี่ยงก็ออกมาส่งสัญญาณ

    โดยขณะนี้กำลังเร่งหารือถึงแนวทางกำกับ ซึ่งต้องยอมรับว่าจากเทคโนโลยีบล็อกเชนทำให้นวัตกรรมทางการเงินมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นความท้าทายของหน่วยงานกำกับต้องมีการปรับเพื่อให้ทันการเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่การปิดกั้น แต่จะต้องมีการกำกับเพื่อดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน รวมถึงการปกป้องนักลงทุนไม่ให้ถูกเอาเปรียบ

    เนื่องจากกฎหมายที่ออกมาเมื่อปี 2561 นั้นเป็นการเขียนตามหลักการ ซึ่งตอนนี้ก็มีการพิจารณาแก้ไข สิ่งที่ผู้กำกับดูแลพยายามกำกับ คือ สร้างความเป็นธรรม และป้องกันนักลงทุน เพราะหากปล่อยไปจะมีปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ในฐานะผู้กำกับจะต้องดูว่ามีประโยชน์กับเศรษฐกิจและประเทศชาติหรือไม่ ซึ่งตอนนี้กำลังไล่เรียงดูเรื่องกฎหมายกันอยู่

    เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ติดตามการนำสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน รวมถึงการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในรูปแบบที่เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

   

ธปท.ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ทั้งยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน ที่จะส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงผู้ใช้บริการให้ได้รับความเสียหาย และหากมีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน และระบบการเงินของประเทศ และความเสียหายแก่สาธารณชนทั่วไปได้

     โดย ธปท.ร่วมกับ ก.ล.ต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณารูปแบบการกำกับ ดูแลการให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อจำกัดความเสี่ยงข้างต้น ขณะที่ยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีมาพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบการชำระเงิน รวมถึงการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินโดยรวม
    นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. เปิดเผยว่า ก.ล.ต.อยู่ระหว่างเปิดรับฟังความคิดเห็น (hearing) ร่างประกาศเกี่ยวกับการกำกับดูแลผู้ให้บริการ กระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล ที่รับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (DA custodial wallet provider) และการให้บริการกระเป๋าสินทรัพย์ดิจิทัล (wallet) ของลูกค้า
    รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์ การเก็บรักษาทรัพย์สินของลูกค้า เพื่อให้การกำกับดูแลการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นไปอย่างเหมาะสม มีมาตรฐานที่ดี และทรัพย์สินของลูกค้ามีความปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งป้องกันการถูกใช้เป็นเครื่องมือกระทำความผิด ซึ่งจะรับฟังความคิดเห็นไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 64 นี้
    ก.ล.ต.ได้เข้าหารือกับตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เพื่อหารือถึงแนวทางการประสานงานในการสืบสวนและตรวจสอบการกระทำผิดเกี่ยวกับตลาดทุนและสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่มีผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนและสังคม
    โดยจะเริ่มทำงานเชิงรุกในกรณีที่อาจเข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่การซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมากช่วงที่ผ่านมา รวมถึงการติดตามผู้ถูกกล่าวหาที่หลบหนีการกระทำผิด เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เนื่องจากที่ผ่านมามีกลุ่มนักลงทุนเข้ามาร้องเรียนเรื่องที่เกิดความเสียหายจากการซื้อขายคริปโทมากขึ้น ในลักษณะต่าง ๆ รวมถึงลักษณะปั่นราคา
    นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แผนการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2565 จะทำตัวเป็นแพลตฟอร์มมากขึ้น ขณะนี้ ตลท.กำลังขอใบอนุญาตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset exchange) จาก ก.ล.ต. เพื่อขยายขอบเขตการดำเนินงานให้ครอบคลุมขึ้น
    “สิ่งที่ ตลท.กำลังจะทำ คือ ทำให้คนที่มีสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอร์เรนซี อยากจะกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ สามารถเปลี่ยนจากคริปโทเคอร์เรนซีมาเป็นสกุลเงินต่าง ๆ และนำเงินมาซื้อหรือลงทุนในตลาดทุน เช่น ตลาดหุ้นไทยหรือตลาดอื่น ๆ ได้สะดวกขึ้น ตรงนี้มากกว่า ที่เราจะเป็นจุดเชื่อมต่อในการให้บริการของตลาดหลักทรัพย์ฯ กับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี แต่ไม่มีนโยบายจะเข้าไปเป็นตลาด
     

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ประเมินว่าหลังวิกฤตโควิด ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกจะหันไปโฟกัสในเรื่อง “ดิจิทัลทัวริซึ่ม” มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ และประเทศไทยก็ต้องไปตามทิศทางของโลก โดย ททท.มีแผนจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อก้าวสู่ดิจิทัลทัวริซึ่ม และสร้างโอกาสใหม่ ๆ

      รวมถึงได้เริ่มทำศึกษาข้อมูล ความเป็นไปได้ในการใช้สกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี มาใช้รับการชำระสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในประเทศ เนื่องจากมองว่ากลุ่มที่ใช้สกุลเงินดิจิทัลเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงมีการออกเหรียญดิจิทัลของ ททท. เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวในอนาคตด้วย
      ทุกอย่างยังอยู่ในแผนและขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ หากสามารถทำได้ตามแผน ททท.จะเปิดรับผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมลงทุน รวมถึงเปิดกว้างให้สมาคมท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย
      นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ประกาศนำคริปโทเคอร์เรนซีใช้แลกเปลี่ยนสินค้า สะท้อนว่าธุรกิจเริ่มเรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นว่าจะนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในธุรกิจอย่างไร ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีถือเป็นเครื่องมือในโลกบล็อกเชนที่ง่ายที่สุด ด้วยการนำ “โทเค็น” มาแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งกระแสบูมมาจากราคาเหรียญคริปโทแรงขึ้น และธุรกิจมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
      รามีเจฟินคอยน์ใช้ในอีโคซิสเต็มของเจมาร์ท เช่น นำไปใช้แลกส่วนลด และแลกซื้อมือถือ และในต้นปีหน้าจะไปร่วมกับกลุ่มบริษัทบีทีเอส เพื่อขยายอีโคซิสเต็มของเจฟินคอยน์ให้ใหญ่ขึ้น ไม่นับที่ไปร่วมกับเดอะมอลล์ ขณะที่บริษัทอื่น ๆ ก็เริ่มตื่นตัว เช่น แสนสิริมีสิริฮับโทเค็น หรืออนันดาฯให้ใช้คริปโทจ่ายค่าบ้าน หรืออาร์เอส ที่จะออก Popcoin Token ต้นปีหน้า บริษัทต่าง ๆ เริ่มมองเห็นโอกาสในการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสินทรัพย์ดิจิทัล ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี ทั้งเพื่อดิสรัปต์ตนเองไปสู่โลกดิจิทัล หรือเป็นกิมมิกทางการตลาดมากกว่าที่จะคาดหวังว่าจะกระตุ้นให้คนหันมาใช้คริปโทซื้อสินค้า และบริการ เพราะผู้ที่ลงทุนคริปโทส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นการลงทุนมากกว่า
          นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า เดอะมอลล์จับมือกับบิทคับ พร้อมพันธมิตรหลายวงการเพื่อรุกตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยนำคริปโท 7 สกุลเหรียญ มาแลกเป็นสินค้าหรือบัตรกำนัลในห้างและศูนย์ โดยสมาชิก M CARD ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่า 100 บาท แลกได้ 800 M POINT เพื่อไปแลกเป็นสินค้าหรือบัตรกำนัลได้ถึง 28 ก.พ. 2565 ทั้งลงทุนร่วมกับบิทคับ เปิด BITKUB M SOCIAL เป็นคอมมิวนิตี้ของผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล
        นายพงศธร จันทวิมล ผู้ก่อตั้งชุมชนคนคริปโตฯ ซีคอนศรีนครินทร์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัว The Moon Crypto & NFT Cafe Physical Space เป็นคาเฟ่ที่ใช้จ่ายผ่านสกุลเงินดิจิทัลแห่งแรก เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้สำหรับคนรุ่นใหม่ให้มาสัมผัส และเรียนรู้โลกคริปโทกับผู้รู้ และที่ผ่านมาจัดโปรโมชั่น “ซีคอน โปรดี๊ดี สำหรับผู้ถือ NFT” ร่วมกับร้านค้าภายในศูนย์จัดโปรฯสำหรับผู้ถือ NFT ให้เปลี่ยนพอยต์เป็นบิตคอยน์ใช้ในร้านค้าที่ร่วมรายการ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี
        ช่วงต้นปีโรงภาพยนตร์ซีนีเพล็กซ์ ร่วมกับแรปพิดช์ (Rapidz) ผู้ให้บริการระบบบริหารการรับแลกสินค้า และบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล และซิปแม็กซ์ (Zipmex) เปิดให้ใช้บิตคอยน์แลกรับตั๋วหนังที่เมเจอร์ รัชโยธิน เช่นเดียวกับแบรนด์รองเท้า “นันยาง” ก็ประกาศรับ 3 สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อผลิตภัณฑ์นันยาง ทั้งรองเท้าแตะและรองเท้าผ้าใบบนช่องทางออนไลน์ รวมไปถึงร้านกาแฟ “คลาส คาเฟ่” ก็ประกาศว่า ทุกสาขาจะงดรับเงินสด และเริ่มรับเงินสกุลคริปโท
        ข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า มีบริษัทจดทะเบียนไทยประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี 4 ประเภท คือ         1.บริษัทที่ทำ ICO portal (ผู้ให้บริการโทเค็น) ทำหน้าที่คล้ายที่ปรึกษาทางการเงิน ตรวจสอบข้อมูลการออก ICO ของบริษัทที่เสนอขายโทเค็นและเก็บรักษาทรัพย์สินของผู้ลงทุน ได้แก่ 1.ธนาคารกสิกรไทย (คิวบิกซ์ ดิจิทัล แอสเซท) 2.ธนาคารไทยพาณิชย์ (โทเค็น เอ็กซ์) 3.บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) 4.บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) 5.บมจ.คันทรี่ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (CGH)

        2.บริษัทที่รับคริปโทเคอร์เรนซี ใช้ชำระสินค้าบริการ อาทิ บมจ.แสนสิริ, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เอสซี แอสเสท, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป, บมจ.อาร์เอส และกลุ่มอื่น ๆ เช่น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (ร้านกาแฟอินทนิล), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.เจ มาร์ท, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์

 

3.บริษัทที่เข้าไปลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีโดยตรง อาทิ บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป และ 4.บริษัทที่เข้าไปลงทุนขุดเหรียญ bitcoin อาทิ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เป็นต้น

 

ขอบคุณ : ประชาชาธุรกิจ

จีน เผย แผน 5 ปี ลุยพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล

     ไชน่า เดลี สื่อทางการจีนรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจีน (เอ็มไอไอที) เปิดตัวแผน 5 ปี (ฉบับที่ 14) ช่วงปี 2021-2025 เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจของประเทศด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดภายในปี 2025 ด้วยมาตรการการผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการผลิต รวมถึงการออกแบบแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตในระบบอุตสาหกรรมการผลิต ภายใต้เป้าหมายทำให้ อุตสาหกรรมเป็นดิจิทัล” และทำให้ “ดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรม

     เซี่ยเส้าเฟิง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของเอ็มไอไอทีระบุว่า โดยตั้งเป้าหมายทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ขีดเส้นว่าภายในปี 2025 จะต้องมีการใช้เครื่องมือในการออกแบบวิจัยและพัฒนาดิจิทัลอย่างน้อย 85% ในระบบเศรษฐกิจ และการใช้งานแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตในระบบอุตสาหกรรมต้องไม่น้อยกว่า 45%

        โกลบอลไทมส์   สื่อทางการจีนอีกรายยังระบุเพิ่มเติมว่า จีนตั้งเป้าหมายให้การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการและการดำเนินงานภายในองค์กรต่าง ๆ เพิ่มเป็น 80% ภายในปี 2025 โดยขั้นตอนการผลิตที่สำคัญในอุตสาหกรรมต้องควบคุมด้วยระบบดิจิทัลอย่างต่ำ 68%

      เอ็มไอไอทีระบุว่า การเร่งพัฒนาเครือข่าย 5 จี (5G) ในระบบอุตสาหกรรมของจีน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการ โดยขณะนี้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตที่รองรับการทำงานของภาคอุตสาหกรรมแล้วกว่า 100 รายการ และยังมีโครงการเชื่อมต่อเครือข่าย 5 จี อีกกว่า 1,800 โครงการ ครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง เหมืองแร่ ถ่านหิน และโรงไฟฟ้า

         โดยระบบ 5 จี ในอุตสาหกรรมจะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้าง “โรงงานอัจฉริยะ” ที่ยกระดับอุตสาหกรรมหลักของประเทศตั้งแต่เครื่องจักร ยานยนต์ การบินและอวกาศ รวมถึงอิเล็กทรอนิกส์

        หนี กวงหนาน นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาแห่งชาติด้านวิศวกรรมของจีนระบุว่า ความพยายามในการเร่งพัฒนาระบบ 5 จี ในภาคอุตสาหกรรมจะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตของจีนได้อย่างมาก และยังจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของจีนในระดับโลกได้ในระยะยาว

         นอกจากนี้ แผน 5 ปียังกำหนดเป้าหมายในการขยายขนาดอุตสาหกรรม “บิ๊กดาต้า” ของประเทศ โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ให้มีมูลค่าถึง 3 ล้านล้านหยวนภายในปี 2025 จากราว 1 ล้านล้านหยวนในปี 2020

         ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนขยายตัวสูงกว่า 30% ต่อปี และยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของบริษัทวิจัยการตลาด “อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ป” ประมาณการว่า ภายในปี 2025 อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนจะมีสัดส่วนถึง 27.8% ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

          ซุนเค่อ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของจีนระบุว่า ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตสาหกรรมจำนวนมากเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าจีนมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น

      เอ็มไอไอทียังเปิดเผยว่า จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการบูรณาการระบบอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารในแผน 5 ปี (ฉบับที่ 13) ช่วงปี 2016-2020 โดยการใช้งานระบบดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 68.1% และยังมีการเปิดใช้งานสถานีฐาน 5 จี มากถึง 700,000 สถานี ในช่วงเวลาดังกล่าว ถือเป็นความสำเร็จก้าวใหม่ในการยกระดับอุตสาหกรรมของจีน

ขออบคุณ : ประชาติธุรกิจ

อดีตบอร์ดแบงก์ชาติเห็นด้วย ธปท. ไม่ควรนำคริปโทซื้อสินค้าเพราะผันผวนสูง

        รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวถึง การที่ภาคธุรกิจหลายแห่งได้ปรับตัวด้วยการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” (Cryptocurrency) ในการชำระค่าสินค้าและบริการ หรือออกเหรียญดิจิทัลเองนั้น เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเงินดิจิทัลซึ่งเป็นแนวโน้มแห่งอนาคตและสอดคล้องกับระบบการชำระเงินแบบใหม่

        ภาคการเงินกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบของบริการทางการเงินในด้านต่างๆ โดยมีผู้เล่นใหม่ที่มิใช่สถาบันการเงินอย่างบริษัทเทคโนโลยีเข้ามาแข่งขันกับสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้ามาเป็นผู้ให้บริการในระบบชำระเงินซึ่งมีรูปแบบการให้บริการที่ซับซ้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริการทางการเงินประเภทอื่น

     นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินสามารถแยกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินแบบไม่กระทบกิจการธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิม และกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินที่กระทบต่อกิจการธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิม

          ผลกระทบที่สำคัญจากนวัตกรรมทางการเงินแบบที่ไม่ไปกระทบต่อกิจการธนาคารแบบเดิมจะเพียงผลักดันระบบชำระเงินไปสู่โลกไร้เงินสด (Cashless world) ได้เร็วขึ้นและเพิ่มบทบาทของ “ผู้เล่นใหม่” ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งเข้ามาให้บริการ ณ จุดต่างๆ ของระบบชำระเงิน ทำให้ความไว้วางใจเดิมที่ลูกค้าเคยมีต่อสถาบันการเงินค่อยๆ ถูกเปลี่ยนผ่านไปยังผู้เล่นใหม่เหล่านี้            แน่นอนว่าย่อมนำไปสู่การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์และส่วนแบ่งทางการตลาดในอนาคต อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมในกลุ่มนี้ยังไม่ได้ทดแทนหรือทำให้สถาบันการเงินหายไปจากวงจรการชำระเงิน โดยสถาบันการเงินยังคงมีบทบาทอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของการชำระเงิน จึงกระทบต่อกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิมไม่รุนแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน

      ส่วนนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินอีกลุ่มหนึ่ง ถือเป็น Disruptive innovation นวัตกรรมเหล่านี้เริ่มจากการให้บริการการโอนเงินและชำระเงินระหว่างประเทศ โดยช่วยลดขั้นตอนของการโอนเงินในปัจจุบันที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลานานเนื่องจากขั้นตอนมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในระบบธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีทางการเงินแบบใหม่ทำให้ระบบชำระเงินไม่จำเป็นต้องอาศัยสถาบันการเงินเป็นตัวกลางหรือตัวกลางทางการเงินบางประเภทหายไปจากวงจรการชำระเงิน

        สิ่งนี้ได้ขยายมายังการจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการด้วย “คริปโทเคอเรนซี” ของผู้ประกอบการไทยหลายแห่งจากหลายกิจการ หากแพร่หลายแล้วจะทำให้บทบาทของ “เงิน” หรือ Fiat Money ที่กำกับดูแลโดยแบงก์ชาติลดความสำคัญอย่างรวดเร็ว และแบงก์ชาติอาจสูญเสียอำนาจในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ นโยบายการเงินของแบงก์ชาติจะมีประสิทธิภาพน้อยลง

         การออกใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (retail CBDC) จัดว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาไว้ซึ่งสมดุลระหว่าง fiat money และสกุลเงินดิจิทัลทางเลือก อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงิน คือ การเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบของ public money ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไปให้มีโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงินที่สามารถรองรับและเชื่อมโยงกับสกุลเงินทางเลือกใหม่ๆ รวมถึงผู้เล่นใหม่ๆ ในระบบเศรษฐกิจการเงินที่จะมาต่อยอดตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัลในวันข้างหน้าได้

         รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวเตือนว่า ราคาคริปโทเคอเรนซีเข้าสู่ขาลงรอบใหม่และผันผวน โดยบิทคอยน์ปรับลง 17% อิเธอเรียมปรับลง 16% ภายในวันเดียวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานใหญ่ คริปโทเคอเรนซี ไม่เหมาะสมเป็น “เงินตราดิจิดัล” เพราะมีความผันผวนสูง เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนที่ไม่มีเสถียรภาพนัก ไม่สามารถวัดมูลค่าหรือสะสมค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้แต่อาจจะไม่สามารถเป็น “เงินตรา” ในการแลกเปลี่ยนเพื่อซื้อสินค้าบริการได้ดีหรือมีประสิทธิภาพ

           แต่แบงก์ชาติควรปล่อยให้ “เอกชน” ตัดสินใจเลือกเองได้ว่า เอกชนหลายใดจะนำ “คริปโทเคอเรนซี” มาใช้ในการชำระสินค้าและบริการ เพราะขณะนี้หลายบริษัทประกาศให้ลูกค้าชำระค่าสินค้าด้วยคริปโทฯ เช่น กลุ่มอสังหาฯ ทั้งบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ยังมี กลุ่มค้าปลีก อย่างเช่น “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ร่วมมือกับ “Bitkub” “ร้านกาแฟอินทนิล” ของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีแผนออกเหรียญโทเคนเอง

             สิ่งที่แบงก์ชาติต้องดำเนินการ คือ วางระบบบริหารความเสี่ยงในการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” ชำระสินค้าและบริการ และเอกชนต้องรับความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าวเอง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้ห้ามให้ทำธุรกรรมดังกล่าว แต่ประกาศไม่สนับสนุนให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากมองว่ามีความผันผวนสูง เสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน

            รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า จากประกาศล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่สนับสนุนการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” นั้น แม้ไม่ได้เป็นการห้ามทำธุรกรรมแต่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกรรมการซื้อสินค้าและบริการผ่าน “คริปโทเคอเรนซี” อย่างแน่นอน อย่าง JMART และ BTS จะได้รับผลกระทบจากยอดขายและการใช้บริการในกลุ่มลดลง เพราะมีแผนนำเหรียญ JFin Coin ใช้ชำระสินค้าในกลุ่ม, CRC ที่เตรียมเปิดรับเหรียญในการซื้อสินค้าและบริการ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ORI, ANAN ให้ซื้อบ้านด้วย BTC, ETH และ USDT

           ประกาศของ ธปท. ส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทจดทะเบียนอยู่บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจประเภท ICO Portal เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในการออกโทเคน แต่ประกาศอาจมีความจำเป็นต่อการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนสูง เสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน ส่วนกลุ่มที่รับชำระค่าสินค้าบริการคาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากจำนวนผู้บริโภคที่จะใช้โทเคนซื้อขายสินค้าและบริการยังจำกัดมาก ด้าน SCB อาจได้รับผลกระทบจากธุรกรรมของ Bitkub ที่อาจต่ำกว่าเป้าหมาย ถ้าเป็น Stable Coin แบงก์ชาติควรสนับสนุนมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้ ทางแก้ คือ แบงก์ชาติควรเร่งออก “เงินดิจิทัล” เอง เพื่อประชาชนและธุรกิจทั่วไปได้ใช้บริการ

           ขณะที่ Mobile money ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติในสังคมแล้ว การโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ อาจเป็นการโอนเงินระหว่างผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายโทรศัพท์ด้วยกันหรือการโอนเงินไปยังผู้รับปลายทางที่อยู่นอกเครือข่ายโดยอาศัยการส่ง SMS และรหัสลับ (PIN) ให้กับผู้รับเงินเพื่อนำไปเบิกเงินกับร้านค้าที่เป็นตัวแทนหรือ ATM ซึ่งพบทั้งการโอนเงินในประเทศและการโอนเงินระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น M-Pesa ใช้ในอินเดีย หรือ Wing ของกัมพูชา เป็นต้น P2P cross-border money transfer: การโอนเงินระหว่างประเทศผ่านบัญชีผู้ใช้งานซึ่งให้บริการโดย Non-banks ระบบจะตรวจสอบความต้องการโอนเงินในแต่ละประเทศด้วย Algorithm เพื่อจับคู่ความต้องการโอนเงินที่ตรงกัน ซึ่งระบบนี้ใช้กันทั้งในละตินอเมริกา หรือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เป็นต้น

          เวลานี้เอง Distributed ledger technology (DLT) หรือ เทคโนโลยีการลงบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Blockchain การโอนเงินอาจเกิดขึ้นได้โดยอาศัยสัญญาอัจฉริยะ หรือ Smart contract ที่มีเทคโนโลยีนี้เป็นพื้นฐาน ข้อตกลงจะบันทึกไว้ด้วยรหัสคอมพิวเตอร์ให้เกิดการทำตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้อัตโนมัติเมื่อมีเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น การจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาอัตโนมัติ และไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางทางการเงินที่เป็นธนาคารตัวแทนต่างประเทศ หรือเครือข่าย SWIFT เหมือนการโอนเงินรูปแบบเดิม

        กลุ่มนวัตกรรมการเงินที่กล่าวมาข้างต้นเป็น Disruptive innovation ที่จะกระทบระบบการชำระเงินและระบบธนาคารแบบดั้งเดิมมาก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง การเสริมบริการชำระเงินของสถาบันการเงิน ปัจจุบันบริการโอนเงินผ่านมือถือ และการโอนเงินบุคคลต่อบุคคลโดยไม่ผ่านตัวกลางทางการเงินได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของบริการทางการเงินในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากและทำให้เกิดบริการทางการเงินที่ทั่วถึงมากขึ้นซึ่งช่วยเสริมบริการทางการเงินและทดแทนบริการของธนาคารพาณิชย์ในเวลาเดียวกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ อัตราการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่

            อย่างไรก็ดี สำหรับพื้นที่หรือประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินพร้อมและพัฒนาเป็นอย่างดี การชำระเงินผ่านสถาบันการเงินยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้บริโภค ระดับที่สอง การทดแทนบริการทางการเงินหลักของสถาบันการเงิน เทคโนโลยีการลงบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Distributed ledger มีศักยภาพในการทดแทนการโอนเงินระหว่างประเทศในรูปแบบเดิมจากคุณสมบัติเฉพาะหลายประการ โปร่งใส ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ ลดขั้นตอนและรวดเร็วกว่า

          อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Distributed ledger เพื่อใช้ในระบบการชำระเงินขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมจำนวนมากและเชื่อมโยงธุรกรรมระหว่างประเทศทั่วโลกทดแทนระบบชำระเงินผ่านสถาบันการเงินแบบเดิมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี ในเวลานี้ สถาบันการเงินที่มีรายได้จากการโอนเงินระหว่างประเทศต้องรีบเร่งในการปรับตัวหารายได้อย่างอื่นมาทดแทน Distributed ledger จะเพิ่มผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจบริการการเงิน

          รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรวิตกกังวลผลกระทบของเทคโนโลยีทางการเงินและ “คริปโทเคอเรนซี” มากเกินไปจนกระทั่งไปออกระเบียบหรือมาตรการใดๆ ที่ไปชะลอหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบการชำระเงินหรือระบบการเงินภายใต้เทคโนโลยีแบบใหมและเข้าใจว่าธนาคารกลางของทุกประเทศรวมทั้งแบงก์ชาตินั้นมีหน้าที่ให้เกิดระบบการเงินและระบบการชำระเงินที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ แต่ความมั่นคงและเสถียรภาพอย่างแท้จริงนั้นต้องเกิดจากการปรับตัวของระบบธนาคารและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ภายใต้พลวัตของเทคโนโลยีทางการเงินในศตวรรษที่ 21 ด้วย

          การรักษาความสมดุลระหว่างการส่งเสริมให้เกิดการใช้ระบบการเงินและระบบชำระเงินด้วยเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ รวมทั้งการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” กับการประคับประคอง “ระบบการเงินและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม” ให้สามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อไม่ให้เกิดการความเสี่ยงในเชิงระบบ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ คือ การระมัดระวังไม่ให้เกิดการลุกลามของปัญหาการล้มละลายและการขาดสภาพคล่องของธุรกิจอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยสู่ภาคการเงินอื่นๆ และรัฐบาลและธนาคารกลาง ควรประสานให้ คปภ มีแนวทางและมาตรการชัดเจนในการทำให้ผู้ประกอบการประกันภัยที่มีฐานะการเงินอ่อนแอสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องเฉพาะหน้า และปรับเปลี่ยนกฎระเบียบบางประการเพื่อให้กิจการประกันภัยสามารถประคับประคองสถานการณ์ความเสี่ยงเชิงระบบจากวิกฤติโควิด

          รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อนาคตธุรกิจการเงินการธนาคารไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จะมีการขยายพรมแดนทางธุรกิจออกไป พลวัตนี้ส่งผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินและธนาคารแบบดั้งเดิมที่ไม่ปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคย่อมมีสภาพไม่ต่างจากความล่มสลายลงของกิจการทางด้านบริการอื่นๆ แบบดั้งเดิม เช่น ธุรกิจสื่อสารมวลชนแบบดั้งเดิม ธุรกิจโทรคมนาคมดั้งเดิม เป็นต้น

         ธุรกิจการให้บริการการเงินของธนาคารแบบดั้งเดิม Traditional Banking Service จะลดบทบาทลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์หากไม่มีแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลงจากกฎระเบียบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มธนาคารแบบดั้งเดิม ขณะที่การให้บริการทางการเงินและปล่อยสินเชื่อแบบดิจิทัล (Digital Financial Service) และ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม การลงทุนและการบริการทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเป็นอนาคตของกลุ่มธุรกิจการเงิน

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 3 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 3 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

        HL (บมจ.เฮลท์ลีด) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO 9.80 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส (เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายฯ)ประเมินราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 15 บาท คาดกำไรสุทธิปี 64-66 จะเติบโตสูงถึง +36% CAGR โดย HL เป็น Chain ร้านขายยาบริษัทแรกในตลาดฯ ปัจจุบันมีเพียง 25 สาขาทำให้ยังเติบโตได้อีกมาก และยากสำหรับการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่เพราะมีกฎระเบียบเข้มงวดในทุกการดำเนินงาน และต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย จุดแข็งคือเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานมีเสถียรภาพ

     AMATA (กรุงศรี)”ซื้อ” เป้า 23.50 บาท เกาะกระแส Stagflation หรือเงินเฟ้อสูง ที่ดินเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากธีมการย้ายฐานการผลิตหลังจีนเผชิญปัญหาวิกฤติพลังงานและความเสี่ยงจาก Trade war

     AOT (เคทีบีเอสที)เป้าเชิงกลยุทธ์ 62-64 บาท ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว หลังปรับฐานจาก “โอไมครอน” ตลอดสัปดาห์ ด้านกำไรประเมิน Turnaround ที่ 6.2 พันลบ. ในปี 66 ส่วนผู้บริหารประเมินผู้โดยสารปี 65 ที่ 62 ล้านราย ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่จะมีผลต่อการเดินทางสูง คาดว่าบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนสามารถเร่งทำได้เร็ว พร้อมเตรียมโอนสนามบินใหม่ 3 แห่ง ประกอบไปด้วย สนามบินอุดร และสนามบินบุรีรัมย์ 2 แห่ง หลังโควิดซา สนามบินเหล่านี้จะกลายเป็น Hub ในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

หุ้นไทยแกว่งตัว 1,585 – 1,600 จุด ชี้ความกังวลโควิดสายพันธุ์โอไมครอน

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)

เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3ธ.ค.2564) คาดว่าดัชนี SET แกว่งตัว 1,585 – 1,600 จุด แม้ดัชนีจะได้ปัจจัยบวกคาดการณ์สหรัฐหลีกเลี่ยง Shutdown โดยผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยืดเวลาไปถึงวันที่ 18 ก.พ.2565

     ซึ่งความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน,ความผันผวนของ ฟันด์โฟลว์หลัง เฟด ส่งสัญญาณยุติ คิวอี เร็วกว่าคาด รวมถึงการลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว 3 วันจะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ทองคําวันนี้ประกาศครั้งที่ 1 ปรับขึ้น 50 บาท

     ราคาทองคําวันนี้ศุกร์ที่ 3 ธค 64 ประกาศครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.25 น. ปรับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพฤหัสบดี ที่แม้ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ แต่สรุปราคาตอนปิดตลาดไม่เพิ่มไม่ลดจากราคาซื้อขายของวันพุธ

        ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งที่ 1

      ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,000 บาท
รับซื้อบาทละ 27,894.40 บาท

     ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,500 บาท
รับซื้อบาทละ 28,400 บาท

       สำหรับราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,772 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาร่วงลง 21.6 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 สัปดาห์ สู่บริเวณ 1,762.7 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด นอกจากนี้ ความวิตกกังวลที่เริ่มลดลงเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันต่อแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้ลดลง 10 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,460 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่า ตลาดการเงินในฝั่งเอเชียและยุโรปจะสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในวันก่อนหน้า ทว่าความผันผวนในตลาดการเงินยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ และปิดตลาดย่อตัวลง (ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18% เช่นเดียวกับ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปรับตัวลงกว่า -1.83%) โดยแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ในวันนี้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ยังคงมาจากความกังวลปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” หลังสหรัฐฯ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรก และนอกจากประเด็น Omicron ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากมุมมองของประธานเฟดที่เดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเร่งลดคิวอี หลังจากที่ประธานเฟดมองว่า เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าที่เคยประเมินไว้ 

     ฝั่งของตลาดบอนด์ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ Omicron ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 6bps แตะระดับ 1.42% ซึ่งภาพดังกลา่ว สะท้อนว่าผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การระบาด และเลือกที่จะเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าในมุมนึงผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าเฟดอาจมีการประกาศเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะมั่นใจได้ว่า Omicron ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่เคยประเมินไว้ ซึ่งอาจต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น โดยทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสำคัญ อาทิ Pfizer, BioNTech และ Moderna ต่างคาดว่า อาจจะสามารถรายงานผลวิจัยประสิทธิภาพวัคซีนต่อ Omicron ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้แกว่งตัวในระดับ 96.03 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ความผันผวนในตลาดอาจปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด หลังจากที่ ดัชนีความกลัวที่วัดความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ VIX Index ได้ปรับตัวขึ้น ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 29 จุด สู่ระดับ 31 จุด

     สำหรับเงินดอลลาร์ยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เพราะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 113 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเพิ่มการถือครองเงินเยนตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าเงินดอลลาร์จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงหนัก

     เนื่องจากราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ล่าสุด ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้สู่ระดับ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเรามองว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดที่ต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ทำให้ราคาทองคำจะไม่ปรับฐานลงหนัก แต่การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจถูกจำกัดด้วยท่าทีของเฟดที่มีแนวโน้มจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ว่าจะมีข้อสรุปเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องตามที่เคยได้วางแผนไว้หรือไม่ หลังจากที่การระบาดของ Omicron อาจกดดันความต้องการใช้พลังงานได้ในระยะสั้น อีกทั้ง สหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ได้ประกาศพร้อมใช้น้ำมันดิบสำรองเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงานในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงมาพอสมควร และสมดุลตลาดน้ำมันอาจเปลี่ยนไป หากการระบาดของ Omicron ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น กลุ่ม OPEC+ อาจจะรอดูทิศทางตลาดน้ำมันและสถานการณ์การระบาดไปก่อนในระยะสั้นนี้

     สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าเงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ บอนด์ระยะสั้นตามการปรับสถานะเก็งกำไรเงินบาทของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งเรายังคงมองว่า ในระหว่างวันเงินบาทยังคงมีแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของ Omicron อีกทั้ง สัญญาณเชิงเทคนิคัลในระยะสั้นยังคงชี้ว่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า ทำให้ปัจจัยที่จะพอช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก คือ การรีบาวด์ของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน หากพิจารณาสัญญาณเทคนิคัลของเงินบาททั้งในส่วนกราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง RSI และ MACD อาจเริ่มส่งสัญญาณว่า เงินบาทอาจมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งต้องรอการเกิดสัญญาณเชิงเทคนิคัลอีกครั้ง ถึงจะยืนยันสมมติฐานดังกล่าวได้ และเราเชื่อว่า จังหวะกลับตัวมาแข็งค่าของเงินบาทอาจเกิดขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า การเร่งระดมแจกวัคซีนสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ Omicron ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ซบเซาหนัก ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางรายยังรอขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทอีกรอบได้ หากสัญญาณเชิงเทคนิคัลเงินบาทเริ่มเปลี่ยนทิศหรือเกิด Divergence ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน

     ดังนั้น ในระยะนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ในกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

ขออบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

นักลงทุนกังวลโอไมครอนกระทบเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง

        ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวผันผวนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและความรุนแรงของไวรัสโอไมครอน รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว

     หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุดในยุโรป โดยหุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ อาทิ อินฟิเนียน เทคโนโลยีส์, เอเอ็มเอส และเอเอสเอ็มแอล ร่วงลงราว 4.4-5.7% จากรายงานที่ว่า แอปเปิล อิงค์ เตือนเกี่ยวกับความต้องการที่ลดลงสำหรับ iPhone 13

      หุ้นแอร์เมสและหุ้นริชมอนท์ ร่วง 3.1% และ 2.1% ตามลำดับ แม้ได้รับการรวมในการคำนวณดัชนี Euro STOXX 50 ก็ตาม


ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

บิตคอยน์ ปรับตัวลง 0.42%

     บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.47 น.ของวันที่ 2ธ.ค. 64 ปรับตัวลง 0.42% เคลื่อนไหวที่ 57,048.7 ดอลลาร์

     การปรับตัวร่วงลงในช่วงเช้าวันนี้ของราคาบิตคอยน์มีขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวว่าบริษัทไมโครสตราติจี (MicroStrategy)ซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีกจำนวนกว่า 7,002 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า 414 ล้านดอลลาร์

      การซื้อครั้งนี้ทำให้การถือครองบิตคอยน์ของบริษัทมีจำนวนรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 121,044 BTC และบริษัทซื้อบิตคอยน์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 59,187 ดอลลาร์/เหรียญ ต่ำกว่าจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 69,000 ดอลลาร์ของช่วงต้นเดือนพ.ย.

       ไมโครสตราติจี ค่อยๆเพิ่มการถือครองบิตคอยน์ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้ใช้เงินซื้อบิตคอยน์ไปแล้วทั้งหมดมูลค่าประมาณ 3.57 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าราคาบิตคอยน์จะร่วงลดลงจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่บริษัทยังคงมีกำไรอยู่ โดยราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 29,534 ดอลลาร์/บิตคอยน์

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวนเนื่องจากสหรัฐพลิกเป็นลบหลังพบผู้ติดเชื้อโอไมครอน

     นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน โดยอาจปรับตัวลงก่อนเด้งกลับ เนื่องจากตลาดสหรัฐฯพลิกเป็นลบหลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐ วิตกอาจต้องนำมาตรการควบคุมออกมาใช้ และไทยยังต้องเร่งติดตามผู้เดินทางมาจากแอฟริกามาตรวจหาเชื้อ อีกทั้งเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าวัคซีนที่มีอยู่จะป้องกันได้หรือไม่

   ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งปรับลดโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตลาดฯรับรู้ไปล่วงหน้ามากแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นอีกปัจจัยเสี่ยง ดังน้น คาดหุ้นกลุ่มเปิดเมืองที่เด้งขึ้นเมื่อวานนี้อาจกลับมาร่วงลงอีก

      ทั้งนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาตเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยดาวโจนส์ฟิวเจอร์เช้านี้บวก และราคาน้ำมันเช้านี้ก็ปรับตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี แนะติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสวันนี้คาดไม่ปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และจับตาสถานการณ์ไวรัสโควิดโอไมครอนต่อไป พร้อมให้แนวรับ 1,580-1,570 จุด ส่วนแนวต้าน 1,593-1,600 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 4 กลุ่มหุ้น ยืนสวนกระแสโควิด

     นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความน่ากังวลของโอไมครอน (Omicron) ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเร็วกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า แม้ขณะนี้จะยังสรุปไม่ได้ว่าเชื้อจะรุนแรงแค่ไหน ต้องติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในแอฟริกาใต้ต่อเนื่อง ขณะที่ผู้พัฒนาวัคซีนกำลังปรับสูตรให้รองรับสายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะรู้ผลในอีก 1 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประเทศไทยคงจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เหมือนปีที่แล้ว เพราะอัตราการฉีดวัคซีนของประชากรอยู่ในระดับสูง กรณีเดียวที่จะกลับไปล็อกดาวน์ คือ อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนทั่วโลกสูงกว่าตัวเลขเดิมไปมาก ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกอยู่ประมาณ 2% ประเมินแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่บริเวณ 1,580 จุด มองจะไม่แย่เหมือนช่วงไตรมาส 3/2564 ที่ย่อตัวลงไปบริเวณ 1,520 จุด โดยหุ้นกลุ่มเปิดเมือง (reopening) ถูกเทขายหนัก เพราะนักลงทุนกังวลว่าการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจจะมีการปิดน่านฟ้าไปสักระยะหนึ่งในบางประเทศ ทำให้กระทบการเดินทางอย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ถ้าสถานการณ์โควิดมีความชัดเจน ทั้งวัคซีนและยารักษา หุ้นกลุ่ม reopening จะฟื้นตัว จึงเป็นจังหวะซื้อเมื่ออ่อนตัว

     ประเมินว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดกลายพันธุ์ คือ 1.หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่รักษาโควิด 2.หุ้นกลุ่มถุงมือยาง 3.หุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้ง และ 4.หุ้นกลุ่มไอซีที ซึ่งได้ประโยชน์ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม แต่แนะนำว่า รีบาวนด์รอบนี้ เป็นโอกาสในการขายทำกำไร (take profit) ในหุ้นโรงพยาบาลและหุ้นถุงมือยาง เพราะจากรายงานข่าวระบุว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนไม่ป่วยหนัก รักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ ในขณะที่ราคาหุ้นถุงมือยางลดลงต่อเนื่อง ในส่วนหุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้งลงทุนได้ เพราะจีนเป็นประเทศหลักที่มีการนำเข้าส่งออก ซึ่งจะมีการตรวจโควิดกลายพันธุ์เข้มต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นซัพพลายของเรือจะแออัด จึงแนะนำ บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 58 บาท และ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ให้ราคาเป้าหมายที่ 24.80 บาท หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด (worst case scenario) ซึ่งผิดไปจากที่กล่าวไปข้างต้น พบอัตราการเสียชีวิตที่สูง วัคซีนต้านไม่อยู่ ต้องคิดค้นวัคซีนชนิดใหม่ แนะนำนักลงทุนต้อง risk off ขายล้างพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, บิตคอยน์ เพราะราคาจะดิ่งลงหนัก

    นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตอนนี้มีความกังวลว่าโควิดสายพันธุ์โอไมครอน จะบั่นทอนประสิทธิภาพวัคซีนและจะนำไปสู่การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งกำลังติดตามอยู่ โดยจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จะทำให้ภาพตลาดหุ้นระยะสั้นอยู่ในภาวะผันผวน เพื่อรอพัฒนาการของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเม็ดเงินเริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตร เป็นต้น  หุ้นที่สามารถยืนสวนกระแสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ในช่วงเกิดโควิดในแต่ละรอบกับตลาดหุ้น มีประมาณ 3 รอบ คือ 1.สมุทรสาคร 2.ทองหล่อ และ 3.สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มัก out perform กว่าตลาด คือ 1.หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 2.แพ็กเกจจิ้ง 3.โรงพยาบาล และ 4.ถุงมือยาง (ดูตาราง) ซึ่งหุ้นเหล่านี้ผ่านการปรับฐานมามากแล้วกว่า 10% จากจุดสูงสุดของตั้งแต่ต้นปี และพบว่ารีเทิร์น 3 ช่วงที่เกิดโควิดมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่า ตลาดการเงินในฝั่งเอเชียและยุโรปจะสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในวันก่อนหน้า ทว่าความผันผวนในตลาดการเงินยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ และปิดตลาดย่อตัวลง (ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18% เช่นเดียวกับ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปรับตัวลงกว่า -1.83%) โดยแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ในวันนี้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ยังคงมาจากความกังวลปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” หลังสหรัฐฯ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรก และนอกจากประเด็น Omicron ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากมุมมองของประธานเฟดที่เดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเร่งลดคิวอี หลังจากที่ประธานเฟดมองว่า เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าที่เคยประเมินไว้ 

     ฝั่งของตลาดบอนด์ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ Omicron ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 6bps แตะระดับ 1.42% ซึ่งภาพดังกลา่ว สะท้อนว่าผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การระบาด และเลือกที่จะเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าในมุมนึงผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าเฟดอาจมีการประกาศเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะมั่นใจได้ว่า Omicron ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่เคยประเมินไว้ ซึ่งอาจต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น โดยทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสำคัญ อาทิ Pfizer, BioNTech และ Moderna ต่างคาดว่า อาจจะสามารถรายงานผลวิจัยประสิทธิภาพวัคซีนต่อ Omicron ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้แกว่งตัวในระดับ 96.03 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ความผันผวนในตลาดอาจปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด หลังจากที่ ดัชนีความกลัวที่วัดความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ VIX Index ได้ปรับตัวขึ้น ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 29 จุด สู่ระดับ 31 จุด

     สำหรับเงินดอลลาร์ยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เพราะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 113 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเพิ่มการถือครองเงินเยนตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าเงินดอลลาร์จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงหนัก

     เนื่องจากราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ล่าสุด ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้สู่ระดับ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเรามองว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดที่ต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ทำให้ราคาทองคำจะไม่ปรับฐานลงหนัก แต่การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจถูกจำกัดด้วยท่าทีของเฟดที่มีแนวโน้มจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ว่าจะมีข้อสรุปเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องตามที่เคยได้วางแผนไว้หรือไม่ หลังจากที่การระบาดของ Omicron อาจกดดันความต้องการใช้พลังงานได้ในระยะสั้น อีกทั้ง สหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ได้ประกาศพร้อมใช้น้ำมันดิบสำรองเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงานในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงมาพอสมควร และสมดุลตลาดน้ำมันอาจเปลี่ยนไป หากการระบาดของ Omicron ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น กลุ่ม OPEC+ อาจจะรอดูทิศทางตลาดน้ำมันและสถานการณ์การระบาดไปก่อนในระยะสั้นนี้

     สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าเงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ บอนด์ระยะสั้นตามการปรับสถานะเก็งกำไรเงินบาทของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งเรายังคงมองว่า ในระหว่างวันเงินบาทยังคงมีแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของ Omicron อีกทั้ง สัญญาณเชิงเทคนิคัลในระยะสั้นยังคงชี้ว่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า ทำให้ปัจจัยที่จะพอช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก คือ การรีบาวด์ของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน หากพิจารณาสัญญาณเทคนิคัลของเงินบาททั้งในส่วนกราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง RSI และ MACD อาจเริ่มส่งสัญญาณว่า เงินบาทอาจมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งต้องรอการเกิดสัญญาณเชิงเทคนิคัลอีกครั้ง ถึงจะยืนยันสมมติฐานดังกล่าวได้ และเราเชื่อว่า จังหวะกลับตัวมาแข็งค่าของเงินบาทอาจเกิดขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า การเร่งระดมแจกวัคซีนสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ Omicron ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ซบเซาหนัก ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางรายยังรอขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทอีกรอบได้ หากสัญญาณเชิงเทคนิคัลเงินบาทเริ่มเปลี่ยนทิศหรือเกิด Divergence ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน

     ดังนั้น ในระยะนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ในกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

ขออบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

CRC ลงทุนซื้อหุ้น Grab 4,500 ล้านบาท หวังเป็น Digital Retail อันดับ1ของไทย

       2 ธ.ค.64 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC)แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 OAL Holding Limited (OAL) ได้ใช้สิทธิขายคืนหุ้น Porto Worldwide Limited (Porto WW) จำนวน 133,545,740 หุ้น คิดเป็น 67% ในราคาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายหุ้น ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ให้แก่ Hillborough Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยมีมูลค่าการลงทุน ไม่เกิน 4,500 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดภายในของบริษัทและวงเงินสินเชื่อจากธนาคาร

      สำหรับ Porto WW ได้ลงทุนในบริษัท แกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัดส่วน 40% การลงทุนในธุรกิจ Grab ในประเทศไทย จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอีโคซิสเต็มและแพลตฟอร์มออมนิเชแนลของบริษัทฯให้แข็งแกร่ง เนื่องจาก Grab เป็นผู้นำแพลตฟอร์มบริการออนไลน์สู่ออฟไลน์ที่มีการเติบโตและมีการขยายให้บริการอย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย Grab มีบริการที่หลากหลายและครบถ้วนทั้งบริการส่งอาหาร บริการเดินทาง บริการระบบโลจิสติกส์ บริการจองโรงแรมและที่พัก และบริการการเงิน ที่จะส่งเสริมและผลักดันองค์กรให้เป็น Digital Retail อย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยในการต่อยอดการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต

    โดยบริษัทอาจได้รับประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หาก Porto WW ใช้สิทธิที่มีเพียงครั้งเดียวในการแลกหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไปเป็นหุ้นของ Grab Holdings Limited (GHL) ประเภท Class A Ordinary Share ที่จะทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 2 ธันวาคม 2564 (เวลาสหรัฐอเมริกา Eastern time) ในราคาที่กำหนดไว้แล้วที่ 6.1629 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น บริษัทอาจได้รับประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หาก Porto WW ใช้สิทธิที่มีเพียงครั้งเดียวในการแลกหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไปเป็นหุ้นของ Grab Holdings Limited (GHL) ประเภท Class A Ordinary Share ที่จะทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 2 ธันวาคม 2564 (เวลาสหรัฐอเมริกา Eastern time) ในราคาที่กำหนดไว้แล้วที่ 6.1629 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

    ทั้งนี้ในกรณีที่ Porto WW ใช้สิทธิในการแลกหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด จะถือหุ้น GHL Class A Ordinary Shares ประมาณ 1.06% ของจำนวนหุ้น GHL Ordinary Shares (ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ณ ราคา GHL IPO ที่ 10.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น) ทั้งนี้หาก Porto WW ประสงค์จะใช้สิทธิในการแลกหุ้น บริษัทฯจะดำเนินการขออนุมัติและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ