LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นวันนี้

 

  • SECURE (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 32.50 บาท หุ้นใน Mega Trend ของปี 65 คาดงานแน่น ลุ้น M&A โดยคาดรายได้ปี 65 โตเด่น Trend ความปลอดภัยในระบบทั้ง Online และ Offline เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกองค์กรกำลังลงทุน หนุน Backlog โตต่อ และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรเพื่อทำ M&A ขยายสรรพกำลังในการรับงาน ส่วน Q4/64-Q1/65 รายได้จะโตเด่นหลังบริษัทต้องเลื่อนการส่งมอบเพราะโควิด
  • SYNEX (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 34 บาท แนวโน้ม Q4/64 จะเติบโตแข็งแกร่งทั้ง Q-Q และ Y-Y มีลุ้นทำ Record High จากการเข้า High Season รวมถึงได้อานิสงส์จาก iPhone13 ที่เริ่มขายในไทยเร็วกว่าปีก่อนถึงเกือบ 2 เดือน และเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์หากเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่จาก WFH และ LFM แต่หากไม่มีการระบาดทิศทางกำไรก็ยังเป็นขาขึ้นและได้ประโยชน์ระยะยาวจากเทรนด์ Digital และ Metaverse พร้อมให้แนวรับ 27.25-27.75 บาท แนวต้าน 29-30 บาท
  • PTTGC (กรุงศรี) ซื้อเป้า 64 บาท วันนี้ได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว ราคาร่วงรับข่าวการระบาดของไวรัสโอไมครอนไปบ้างแล้ว และอยู่ใกล้โซนแนวรับเดิมจึงเป็นโอกาสเข้าซื้อดักเล่นเก็งกำไรจาก Technical Rebound

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

บิตคอยน์ ปรับตัวขึ้น 3.77%

     ราคาบิตคอยน์ช่วงเช้าวันนี้ สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดทุนโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อวันจันทร์ 29 พ.ย.64 ที่ผ่านมา พบว่าปรับตัวสูงขึ้น 236 จุด หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐไม่มีแผนล็อกดาวน์เศรษฐกิจเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน

     ส่วนสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์ 29พ.ย.64 ปรับตัวขึ้น 1.80 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อเก็งกำไร หลังราคาดิ่งลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว

     รวมถึงการทำเหมืองคริปโตที่กำลังเป็นที่เฟื่องฟูในคาซัคสถาน และมีทั้งเหมืองถูกกฎหมายและผิดกฎหมายที่ผุดขึ้นทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้ และทำให้ไฟดับในหลายพื้นที่ ในขณะที่คาซัคสถาน กำลังเจอปัญหาผลิตไฟฟ้าไม่เพียงต่อการใช้งานทั่วประเทศ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขุดเหมืองคริปโต ซึ่งต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล และด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า จึงทำให้มีคนมาลงทุนทำเหมืองคริปโตกันมากขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้ในหลายพื้นที่

     ทั้งนี้กระทรวงพลังงานของคาซัคสถานเปิดเผยว่า ในปีนี้ มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นถึง 8% จากเดิมที่จะเพิ่มแค่ปีละ 1-2% ซึ่งการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับในหกภูมิภาคตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่ง KEGOIC ผู้ผลิตไฟฟ้าของคาซัคสถาน บอกว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยการลดสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ส่งไปยังเหมืองคริปโต และหากเกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้อีก จะตัดไฟในส่วนที่ส่งไปให้เหมืองคริปโตก่อน ในขณะที่คาซัคสถานมีเหมืองขุดคริปโตทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมายจำนวนมาก จึงทำให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าที่ทางการคาดไว้ ซึ่งรัฐบาลของคาซัคสถานกำลังขอให้ทางรัสเซียช่วยผลิตไฟฟ้าและส่งเข้ามายังคาซัคสถานเพิ่มเติม

ขอบคุณ :  กรุงเทพธุรกิจ

ไบเดนไม่ล็อกดาวน์สหรัฐ หลังการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ทำให้ดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 236.60 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,135.94 จุด เพิ่มขึ้น 236.60 จุด หรือ +0.68%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,655.27 จุด เพิ่มขึ้น 60.65 จุด หรือ +1.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,782.83 จุด เพิ่มขึ้น 291.18 จุด หรือ +1.88% ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐไม่มีนโยบายที่จะประกาศล็อกดาวน์เศรษฐกิจ อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน  ยืนยันว่า หากประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากอนามัย ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล็อกดาวน์ และจะไม่มีการประกาศห้ามการเดินทางครั้งใหม่

     สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากปธน.ไบเดนออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยปรับตัวขึ้น 2.6%

     โดยนักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะพุ่งขึ้น 581,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.

      ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือนก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนต.ค. , จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

สมาคมค้าทองคำประกาศ ราคาทองปรับลง 200 บาท

 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 (ครั้งที่1) เมื่อเวลา 09.28 น. ลดลง 200 บาท

     – ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,400.00 บาท ขายออกบาทละ 28,500.00 บาท
     – ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,894.40 บาท ขายออกบาทละ 29,000.00 บาท
     – ราคาทองคำต่างประเทศ 1,789.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.63 บาท

     โดยสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงในวันจันทร์ 29 พ.ย.64 ที่ผ่านมา เนื่องจากลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ดัชนี SET อยู่ที่ 1,610.95 จุด เพิ่มขึ้น 21.26 จุด

     นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นกว่า 20 จุด ตอบรับ Sentiment ทั่วโลกที่มีการฟื้นตัว และตลาดบ้านเราก็ปรับตัวลงมา 2 วันเกือบ 60 จุดแล้ว ดังนั้นจึงเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์

     ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก ยกเว้นตลาดหุ้นฮ่องกงและเกาหลีที่ยังติดลบ โดยต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนว่าจะรุนแรงแค่ไหน ส่วนการที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ยืนยันว่า สหรัฐไม่มีแผนล็อกดาวน์เศรษฐกิจเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนก็ช่วยให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวลไปได้ในระดับหนึ่ง พร้อมให้แนวรับ 1,600-1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นวันนี้

      EKH (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 9.40 บาท แนวโน้ม Q4/64 แม้จะอ่อนตัว Q-Q ตามโควิด-19 ที่คลี่คลาย แต่คาดยังเติบโตโดดเด่น Y-Y โดยเบื้องต้นคาดใกล้เคียง Q2/64 หนุนกำไรทั้งปี 64 ที่คาด +289% Y-Y มี Upside ราว 14% โดยประเมิน EKH จะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีกรณีเกิดการระบาดระลอกใหม่หลังเชื้อสายพันธุ์ “โอไมครอน” เริ่มพบในยุโรป แต่หากควบคุมได้ประเมินธุรกิจ IVF ของ EKH จะฟื้นตัวหนุนการเติบโตระยะถัดไป พร้อมให้แนวรับ 7.80-7.60 บาท แนวต้าน 8-8.20 ถัดไป 8.50 บาท

 

      EPG (คิงส์ฟอร์ด)ซื้อเก็งกำไรเป้า IAA Consensus 15.30 บาท ผลประกอบการ Q2/64-65 (ก.ค.-ก.ย.) รายงานกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท ยังเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ รายได้รวมยังปรับตัวเพิ่ม QoQ ได้หนุนจากกลุ่มชิ้นยานยนต์ยานยนต์ Aeroklas ที่ส่งออกไปยังออสเตรเลียและยุโรป และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ EPP ทีมีการเร่งระบายสินค้าเก่าในสต๊อก ช่วงชดเชยรายได้กลุ่มฉนวน Aeroflex ที่ถูกกระทบจากการ Lockdown ขณะที่ GPM ถูกกดดันจากต้นทุนวัตุดิบและการทำโปรโมชั่น แนวโน้ม Q3/64-65 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดฟื้นตัว QoQ ทุกธุรกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงจะมีการทยอยปรับเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

      RS (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22 บาท ทุกหน่วยธุรกิจฟื้นตัว ผู้บริหารเตรียมสร้าง Digital Eco System พร้อม Transform คาดโควิด-19 ไม่ทำแผนสะดุด ราคาที่พักฐานระยะสั้นเป็นโอกาสสะสม ด้านบริษัทย่อย “โฟร์ท แอปเปิ้ล” เตรียมสร้าง Platform สำหรับ Popcoin- Digital Token ของกลุ่มที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าและ Partner พร้อมเข้าเทรดต้นปี 65 พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 225 ลบ. และ 576 ลบ. -57.4%YoY, +155.9%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ปรับตัวลงราว 0.5-0.8% ส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลง

        นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างปรับตัวลงราว 0.5-0.8% จากความกังวลไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ซึ่งขณะนี้ได้มีการระบาดในยุโรปหลายประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ในยุโรปก็มีการระบาดโควิดหนักอยู่แล้ว มาเจอสายพันธุ์ใหม่อีก ทำให้กังวลการเติบโตเศรษฐกิจ จึงมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา

      ตลาดบ้านเราก็เผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมาทั้งในตลาดหุ้น และตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยง และตลาดฯวันนี้คงจะเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานด้วยหลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงแรง

      ทั้งนี้สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจไทย, MSCI Rebalance ในวันที่ 30 พ.ย.นี้, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการของทั่วโลกที่จะทยอยออกมา, ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค.นี้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

วิกฤตโอไมครอน ส่งผลให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดขึ้นกว่า 200 จุด

 

     ณ เวลา 07.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้น 204 จุด หรือ +0.59% แตะที่ 35,062 จุด ในส่วนของราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้น 3.25 ดอลลาร์ หรือ +4.77% แตะที่ 71.42 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ หลังจากที่ดิ่งลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% ปิดที่ 68.15 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

    นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนที่พบในแอฟริกาใต้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าไวรัสโอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตก และอาจแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่น  โดยโอไมครอนเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ที่ 5 ที่ WHO ประกาศให้เป็น สายพันธุ์ที่น่าวิตก ซึ่งแคนาดาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจำนวน 2 รายในเมืองออตตาวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 รายเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศไนจีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้

     ทั้งนี้นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค., ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดดัลลัส, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนต.ค. , จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นค้าปลีกไอทีโตแรง สวนโควิด

     กำลังซื้อกลุ่มสินค้าไอทียอดพุ่ง สวนกระแส การระบาดของโควิด-19 ซึ่งการแพร่ระบาดดังกล่าว ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home) เรียนหนังสือที่บ้าน (Learn From Home) กันมากขึ้น สินค้าไอทีจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น

     โดยโปรดักส์สุดฮิต ที่ยังมาแรงเห็นจะเป็น iPhone 13 เดินหน้าโกยยอดขายได้ต่อเนื่อง หลังเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา แถมตอนนี้หลายรุ่น สินค้าขาดตลาดด้วยซ้ำ สาวกไอโฟนต้องอดใจรอกันหน่อย

     ความร้อนแรงของ iPhone 13 เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายร้านค้าปลีกสินค้าไอทีปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หลายบริษัทน่าจะได้เห็นยอดขายทำนิวไฮ เติบโตสวนวิกฤตโควิด ขณะเดียวกันกระแสโลกเสมือนจริง หรือ Metaverse ที่กำลังมาแรงจะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญให้ตลาดสินค้าไอทีในระยะถัดไป

     สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าไอทีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทยมีอยู่หลายบริษัท นำโดยบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ด้วยขนาดมาร์เก็ตแคป 96,600 ล้านบาท มีร้านค้ามากมายหลายแบรนด์รวมกว่า 900 สาขา เช่น BaNANA, Studio7, BaNANA Mobile, KingKong Phone ฯลฯ และยังให้บริการหลังการขายสินค้า Apple ภายใต้ชื่อ “iCare” รวมทั้งร้าน “TRUE by Com7” โดยปี 2563 มีรายได้รวม 37,352.90 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จะเติบโต 20%

     อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจะคุ้นเคยกันดี บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART มีหน้าร้านของตัวเองมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆ ในเครืออีกหลายธุรกิจ จนเข้าตากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ โดดเข้ามาถือหุ้น

     ส่วนบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เน้นตลาดขายส่งเป็นหลัก โดยได้รับเลือกเป็นผู้แทนจําหน่ายสินค้าจากแบรนด์ชั้นนําระดับโลกมากกว่า 60 แบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 32,244.44 ล้านบาท

     บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของแบรนด์ Xiaomi ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขา รวมทั้งยังขายสินค้าของ Apple ผ่านร้าน iStudio by copperwired และ Ai ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 โตมากกว่า 20%

     บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI อีกหนึ่งตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ผ่านช่องทางร้าน iStudio by SPVi, iBeat by SPVi, U Store by SPVi, Mobi และศูนย์บริการลูกค้า iCenter ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 โต 10-15% โดยเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา

     บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการขายสินค้าไอทีครบวงจร ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เช่นเดียวกับปีนี้ พร้อมวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 43 สาขา รวมเป็น 440 สาขา

    ทั้งนี้การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ในฝั่งของผู้ประกอบการอัดแคมเปญโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ลด แลก แจก แถม กันอย่างเต็มที่เพื่อปิดตัวเลขปลายปี ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภค

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าร่วง หลุดระดับ 1,600 จุด

  เมื่อเวลา 10.12 น. วันที่ 29 ธ.ค.64 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,608.83 จุด ลดลง 1.78 จุด (-0.11%)

   นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด หลุดแนว 1,600 จุด ซึ่งตลาดบ้านเราปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบกันทั่วหน้า จากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ทำให้สถานการณ์มีความไม่แน่นอน เนื่องจากยังมีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่มากนัก

   นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงมาก ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดฯในเช้านี้ด้วย และยังเผชิญแรงกดดันจากหุ้น AOT และหุ้นในกลุ่มแบงก์ด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610-1,615 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย งวดไตรมาส 3/64 ลดลง 23.7ิ

    นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทยบริษัท จำนวน 744 บริษัท คิดเป็น 96.2% จากทั้งหมด 773 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) พบว่ามี บจ.รายงานกำไรสุทธิ 563 บริษัท คิดเป็น 75.7% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

     โดยมียอดขายรวม 9,266,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) จำนวน 1,198,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.3% มีกำไรสุทธิ 741,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

     บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12.93% และ 8.0% (ตามลำดับ) ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และอยู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด-19 โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมาเนื่องจาก บจ.ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากครึ่งแรกของปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบการระบาดโควิด-19 รอบแรก อีกทั้งราคาน้ำมันและค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2564 สำหรับฐานะการเงินของกิจการสิ้นเดือน ก.ย.64 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน อยู่ระดับคงที่ที่ 1.50 เท่า

  ในส่วนของผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 เปรียบเทียบงวดไตรมาส 2/64 บจ.มียอดขายรวม 3,184,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.04% อย่างไรก็ดีมีกำไรจากการดำเนินงาน 383,576 ล้านบาท ลดลง 8.3% และมีกำไรสุทธิ 203,809 ล้านบาท ลดลง 23.7% เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นและมาตรการควบคุมเข้มงวดของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหมวดธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีคือ หมวดธุรกิจการแพทย์ เนื่องจากความต้องการด้านการรักษาพยาบาลมีสูงมากขึ้น

    นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 173 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 181 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พ.ย.2564 ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2564 พบ บจ.ที่รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 118 บริษัท คิดเป็น 68% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด

    ผลประกอบการ บจ. mai ไตรมาส 3/64 เทียบกับไตรมาส 2/64 มียอดขายรวม 42,483 ล้านบาท ลดลง 1.6% ต้นทุนรวม 32,903 ล้านบาท ลดลง 1.5% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.6% เป็น 22.5% มีกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) จำนวน 2,759 ล้านบาท ลดลง 2.5% ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจาก 6.6% เป็น 6.5%

    ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2,804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.3% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 3.8% เป็น 6.4% ซึ่งมีผลจากรายการพิเศษของบางบริษัท อย่างไรก็ตามผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน พบว่ามียอดขายรวม 121,966 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 7,765 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,430 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12.0%, 50.6% และ 463.5% ตามลำดับ

    ไตรมาส 3 ปีนี้ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดที่รุนแรง และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังลดลง แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาสจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ประกอบกับ บจ.สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้งวด 9 เดือนแรกปีนี้ ภาพรวม บจ.ใน mai มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกคือ สินค้าอุปโภคบริโภค จากกลุ่มธุรกิจเครื่องมือแพทย์ รองลงมาคือ ธุรกิจการเงินและทรัพยากร

       ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 273,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากสิ้นปี 2563 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.08 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2563 ที่เท่ากับ 1.11 เท่า

      ปัจจุบันมี บริษัทใน mai 181 บริษัท ชนี mai ปิดที่ระดับ 561.94 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 447,372.01 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,345.90 ล้านบาทต่อวัน

 

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูง คาดปี65 อยู่ที่ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

    นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ห้องค้ากสิกรไทยคาดการณ์ว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูงในทิศทางแข็งค่าในปี 2565 ที่ระดับ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี โดยการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากการทยอยฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และค่าระวางเรือที่ชะลอลง ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนค่าเงินบาทให้กลับมาแข็งค่า

      ความไม่แน่นอนจากโควิด-19 ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแนวโน้มการคงดอกเบี้ยของ ธปท.อาจทำให้ค่าเงินบาทผันผวนในปีหน้า

      ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดผ่อนคลายลง และภาครัฐประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ และผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่นักลงทุนมีแนวโน้มลดสถานะขายเงินบาท จากที่ในปีนี้นักลงทุนถือครองสถานะซื้อเงินดอลลาร์ในระดับสูง เพื่อเก็งกำไร

    ปีนี้โดนแรงเก็งกำไร short บาท long ดอลล่าร์ เยอะ โดยเราประเมินว่าในปีหน้านักลงทุนจะทยอยปิดสถานะขายเงินบาทต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีในปีหน้า ในขณะที่อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอลงหลังจากฟื้นตัวดีในช่วงที่ผ่านมา

    นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2565 ค่าเงินบาทน่าจะยังมีทิศทางอ่อนค่าอยู่ในช่วง 33.00-34.00 บาท เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าจากการลดมาตรการคิวอี ขณะเดียวกัน ทิศทางการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังมีอยู่ต่อเนื่อง ทั้งจากการนำเข้าที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานโลก

    ดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้า จะเกินดุลได้ก็น่าจะเข้าสู่ช่วงกลางปีแล้ว แต่ก็ขึ้นกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาด้วย ถ้าไม่ถึง 4 ล้านคนก็อาจจะปิดขาดดุลไม่ได้

      นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทยประเมินค่าเงินบาทปีหน้ามีแนวโน้มเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นราว 2% จากที่เงินบาทโดยเฉลี่ยในปีนี้อ่อนค่าลงกว่า 3% โดยกรุงไทยประเมินกรอบค่าเงินบาทปีหน้าอยู่ที่ 31.25-32.75 บาท

    ช่วงครึ่งแรกของปีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.00-32.75 บาท และในช่วงครึ่งหลังของปีจะเริ่มขยับแข็งค่าในกรอบ 31.25-32.00 บาท จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น และปัญหาซัพพลายเชนต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ สิ้นปีเงินบาทน่าจะอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์

    ปีหน้าเงินบาทจะขยับแข็งค่าเร็วมากน้อยระดับใด จะอยู่ที่ปัจจัยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตลาดคาดว่าจะเข้ามาได้ 5-6 ล้านคน และปัญหาซัพพลายเชนที่มีผลต่อต้นทุนค่าระวางเรือและค่าขนส่ง ซึ่งจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลได้ ซึ่งระหว่างทางจะมีความผันผวนโดยจะเห็นกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าตลาดหุ้นและเก็งกำไรค่าเงิน

    ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทปีหน้า (2565) อาจจะไม่ได้แข็งค่าได้เร็ว เนื่องจากคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าเฟด และทั่วโลกอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม

    ปี 2564 การที่เศรษฐกิจไทยไม่ติดลบเนื่องจากค่าเงินบาทมีส่วนช่วยภาคการส่งออก ช่วยภาคเกษตรได้ค่อนข้างมาก เพราะเงินบาทอ่อนค่าแทบจะแรงที่สุดในภูมิภาค แต่ก็ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้นและนำไปสู่เงินเฟ้อด้วย ซึ่งต้องจับตานโยบายการเงินในระยะต่อไป

    โดยหากในปีหน้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง และทั่วโลกพร้อมที่จะขึ้น ธปท.จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งผมมั่นใจว่า ธปท.ไม่ขึ้นดอกเบี้ย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ความน่าสนใจในสินทรัพย์ไทยจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปด้วยปัจจัยแบบนี้ ค่าเงินบาทเองก็ไม่น่าจะกลับมาแข็งค่าได้เร็ว

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ราคาทองคำปรับขึ้น 100 บาท

     ราคาทองคําประจำวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.25 น. ปรับเพิ่มขึ้น 100 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพฤหัสบดี ที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 2 รอบ รวมราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 50 บาท

      – ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 1

     – ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,950 บาท รับซื้อบาทละ 27,833.76 บาท

     – ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,450 บาท รับซื้อบาทละ 28,350 บาท

     – ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 2 ครั้งสุดท้าย

     – ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,850 บาท รับซื้อบาทละ 27,742.80 บาท

     – ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,350 บาท รับซื้อบาทละ 28,250 บาท

     – ราคาทองคำ Spot เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,792 ดอลลาร์ ในขณะที่เมื่อวานนี้ ตลาดทองคำโคเม็กซ์ของสหรัฐปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้า(Thanksgiving Day)

     – ราคาทองคําฮ่องกง เปิดตลาดเช้านี้ลดลง 20 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,680 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 415 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 415 จุด หรือ -1.16% แตะที่ 35,334 จุด ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันที่ 26 พ.ย. 64  เพื่อหารือเกี่ยวกับการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยไวรัสดังกล่าวมีชื่อว่า B.1.1.529 และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

        รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นการชั่วคราว หลังมีรายงานการพบเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 6 ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี และแอฟริกาใต้ ทางด้านรัฐบาลอิสราเอลประกาศระงับเที่ยวบินจาก 7 ประเทศในทวีปแอฟริกา หลังมีรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529 ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 7 ที่ถูกระงับเที่ยวบินในครั้งนี้ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี, โมซัมบิก และแอฟริกาใต้

     ทั้งนี้ นับจนถึงวันที่ 24 พ.ย. 64  ได้มีการตรวจพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวในบอตสวานา, แอฟริกาใต้ และฮ่องกง ส่วนข้อมูลการจัดลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนั้น ยังไม่ปรากฏบนแพลตฟอร์มที่ติดตามสายพันธุ์ไวรัส เช่น GISAID หรือ Outbreak.info

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 828.38 จุด

    ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 828.38 จุด หรือ -2.81% แตะที่ 28,670.90 จุด ณ เวลา 13.00 น.ตามเวลาญี่ปุ่นในวันนี้ หลังจากที่ปิดภาคเช้าดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดของวันในรอบ 1 เดือน เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้

    องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันนี้ (26 พ.ย.) เพื่อหารือเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า B.1.1.529 โดยไวรัสดังกล่าวถูกพบในแอฟริกาใต้ และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway ถึง Sideway up หลังเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว

      นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.เมื่อคืนที่ผ่านมาระบุว่า เฟดมีความพร้อมที่จะเร่งเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว และตัวเลขการจ้างงานก็ดีขึ้นเป็นตัวสนับสนุนด้วย โดยตลาดคาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.65

        ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวลงหลังจากที่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ช่วงหลังมานี้ได้เห็น Fund Flow ไหลเข้ามาในตลาดในกลุ่ม TIP เป็นผลจากการมองเศรษฐกิจในปี 65 จะฟื้นตัว พร้อมให้ติดตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) จะเป็นอย่างไร และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในยุโรป รวมถึงในเอเชียด้วย

      สำหรับบ้านเรายังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ในวันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิง จะออกมาอย่างไร เนื่องจากมีผลต่อการสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในช่วงปีใหม่จะมีอะไรบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,643-1,636 จุด ส่วนแนวต้าน 1,658-1,666 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสาร

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันพุธ  24 พ.ย. 64 ที่ผ่านมาโดยฟื้นตัวขึ้นหลังติดลบ 4 วันติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่พุ่งขึ้น แต่ตลาดปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ย่ำแย่ลงในยุโรป และแนวโน้มที่จะมีการดำเนินมาตรการจำกัดอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
     – ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 479.69 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ +0.09%
     – ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,042.23 จุด ลดลง 2.39 จุด หรือ -0.03%,
     – ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,878.39 จุด ลดลง 58.61 จุด หรือ -0.37% และ
     – ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,286.32 จุด เพิ่มขึ้น 19.63 จุด หรือ +0.27%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่พุ่งขึ้น 1.2% หลังจากหุ้นเทเลคอม อิตาเลีย ทะยานขึ้น 15.6% ขานรับข่าวที่ว่า กองทุนเคเคอาร์ของสหรัฐกำลังพิจารณาเพิ่มข้อเสนอซื้อหุ้นของบริษัท หลังจากที่วิวองดิซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระบุว่า ข้อเสนอเริ่มแรกนั้นต่ำเกินไป

       หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานบวกขึ้นด้วย เนื่องจากราคาทองแดงและราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น

       ท้้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นไม่มากนัก และมีแนวโน้มติดลบในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโควิด, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาวะเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มเดินทางร่วงลงกว่า 1.0% โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันแล้ว

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

นักลงทุนแห่ช้อนซื้อ หลังราคาทองคำตลาดนิวยอร์กร่วงหนัก

      ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ 24 พ.ย. 64 ปิดบวกเล็กน้อย  ได้ปัจจัยหนุนจากแรงช้อนซื้อเก็งกำไรหลังสัญญาทองคำร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยสัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

      สัญญาทองคำตลาด COMEX  ได้ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,784.3 ดอลลาร์/ออนซ์

  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 6.1 เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 23.496 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 11.1 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 975.3 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.40 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ 1,847.90 ดอลลาร์/ออนซ์         
         ทั้งนี้สัญญาทองคำปิดตลาดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ที่ขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ซึ่งขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 71,000 ราย สู่ระดับ 199,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2512 ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2533
 
 
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 9.42 จุด

      ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 9.42 จุด หรือ – 0.03% ปิดที่ 35,804.38 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 10.76 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 4,710.46 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 70.09 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 15,845.23 จุด

     นักวิเคราะห์จากบริษัท AXS Investments ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความวิตกเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดรอบใหม่ในยุโรป และกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุด

     โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.เมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า เฟดมีความพร้อมที่จะเร่งเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง

     สำหรับหุ้นนอร์ดสตรอม ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 29.03% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 39 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56 เซนต์ นอกจากนี้ นอร์ดสตรอมระบุว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานในช่วงก่อนเทศกาลชอปปิงในวันหยุด รวมถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

     โดยหุ้นแก๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องแต่งกายรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 24.05% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 27 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 50 เซนต์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 3.94 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 4.44 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ พุ่งขึ้น 1.64% หุ้นซีบีอาร์อี กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.39% หุ้นซีทีโอ เรียลตี้ โกร้ธ บวก 0.11%

        ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.92% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ดีดขึ้น 1.13% หุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 1.34% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ปรับตัวขึ้น 0.94%  หุ้นเอชพี อิงค์ พุ่งขึ้น 10.10% และหุ้นเดล เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 4.81% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 3 ขานรับความต้องการคอมพิวเตอร์พีซีที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
          หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 0.63% แม้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ระบุว่า นายอีลอน มัสก์ ได้เทขายหุ้นเทสลาอีก 934,000 หุ้นในวันอังคาร (23 พ.ย.) คิดเป็นมูลค่าราว 1.05 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมการขายหุ้นในเดือนนี้ของนายมัสก์อยู่ที่ระดับ 9.85 พันล้านดอลลาร์

         ทั้งนี้ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ที่ขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ในขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 71,000 ราย สู่ระดับ 199,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2512 ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี

      ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2533 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.5% ในเดือนต.ค. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนก.ย. สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันนี้ (25 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 26 พ.ย. 

 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

 

เดอะมอลล์รวมมือกับบิทคับ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคชำระเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี เริ่ม  30 พ.ย.64 นี้

     กลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป เตรียมประกาศความร่วมมือกับ บิทคับ (BITKRUB) แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือ “BITKUB X The Mall Group Partnership Announcement” โดยทางเดอะมอลล์จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วยการรับชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ภายใต้ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ซึ่งมีศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น เดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มดิสทริค, สยาม พารากอน, บลูพอร์ต โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ 30 พ.ย.64 นี้

    นายสกลกรย์ สระกวี หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์บิทคับ (Bitkub) กล่าว ว่า  ในเดือนนี้จะได้เห็นความร่วมมือระหว่างบิทคับกับพันธมิตรรายใหญ่ในประเทศไทยจากหลากหลายวงการ เพื่อช่วยกันสร้างอีโคซิสเท็มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย 

ทั้งนี้สิ่งที่บิทคับพยายามทำ คือ การทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลใหญ่ขึ้น ด้วยการพยายามทำให้การเทรดคริปโทเคอร์เรนซีเป็นแมส แต่เน้นการขยายฐานไปยังกลุ่มคนทั่วไป เพราะเมื่อตลาดใหญ่ขึ้น มูลค่าตลาดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ