LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 3 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 3 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

        HL (บมจ.เฮลท์ลีด) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO 9.80 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส (เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายฯ)ประเมินราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 15 บาท คาดกำไรสุทธิปี 64-66 จะเติบโตสูงถึง +36% CAGR โดย HL เป็น Chain ร้านขายยาบริษัทแรกในตลาดฯ ปัจจุบันมีเพียง 25 สาขาทำให้ยังเติบโตได้อีกมาก และยากสำหรับการเข้ามาของผู้เล่นรายใหม่เพราะมีกฎระเบียบเข้มงวดในทุกการดำเนินงาน และต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย จุดแข็งคือเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานมีเสถียรภาพ

     AMATA (กรุงศรี)”ซื้อ” เป้า 23.50 บาท เกาะกระแส Stagflation หรือเงินเฟ้อสูง ที่ดินเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ชนะเงินเฟ้อ นอกจากนี้ยังได้ผลบวกจากธีมการย้ายฐานการผลิตหลังจีนเผชิญปัญหาวิกฤติพลังงานและความเสี่ยงจาก Trade war

     AOT (เคทีบีเอสที)เป้าเชิงกลยุทธ์ 62-64 บาท ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว หลังปรับฐานจาก “โอไมครอน” ตลอดสัปดาห์ ด้านกำไรประเมิน Turnaround ที่ 6.2 พันลบ. ในปี 66 ส่วนผู้บริหารประเมินผู้โดยสารปี 65 ที่ 62 ล้านราย ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่จะมีผลต่อการเดินทางสูง คาดว่าบริษัทผู้พัฒนาวัคซีนสามารถเร่งทำได้เร็ว พร้อมเตรียมโอนสนามบินใหม่ 3 แห่ง ประกอบไปด้วย สนามบินอุดร และสนามบินบุรีรัมย์ 2 แห่ง หลังโควิดซา สนามบินเหล่านี้จะกลายเป็น Hub ในการเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

หุ้นไทยแกว่งตัว 1,585 – 1,600 จุด ชี้ความกังวลโควิดสายพันธุ์โอไมครอน

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน)

เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3ธ.ค.2564) คาดว่าดัชนี SET แกว่งตัว 1,585 – 1,600 จุด แม้ดัชนีจะได้ปัจจัยบวกคาดการณ์สหรัฐหลีกเลี่ยง Shutdown โดยผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยืดเวลาไปถึงวันที่ 18 ก.พ.2565

     ซึ่งความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน,ความผันผวนของ ฟันด์โฟลว์หลัง เฟด ส่งสัญญาณยุติ คิวอี เร็วกว่าคาด รวมถึงการลดความเสี่ยงก่อนหยุดยาว 3 วันจะกดดันให้ดัชนีสลับอ่อนตัวลง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ทองคําวันนี้ประกาศครั้งที่ 1 ปรับขึ้น 50 บาท

     ราคาทองคําวันนี้ศุกร์ที่ 3 ธค 64 ประกาศครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.25 น. ปรับขึ้น 50 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพฤหัสบดี ที่แม้ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 4 รอบ แต่สรุปราคาตอนปิดตลาดไม่เพิ่มไม่ลดจากราคาซื้อขายของวันพุธ

        ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันศุกร์ที่ 3 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งที่ 1

      ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 29,000 บาท
รับซื้อบาทละ 27,894.40 บาท

     ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,500 บาท
รับซื้อบาทละ 28,400 บาท

       สำหรับราคาทองคำ Spot เช้านี้เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,772 ดอลลาร์ หลังจากราคาทองคำโคเม็กซ์ปิดตลาดเมื่อคืนที่ผ่านมาร่วงลง 21.6 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 7 สัปดาห์ สู่บริเวณ 1,762.7 ดอลลาร์ เนื่องมาจากได้รับแรงกดดันจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด นอกจากนี้ ความวิตกกังวลที่เริ่มลดลงเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน เป็นอีกหนึ่งแรงกดดันต่อแรงขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ซึ่งราคาทองคําฮ่องกงเปิดตลาดเช้านี้ลดลง 10 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,460 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่า ตลาดการเงินในฝั่งเอเชียและยุโรปจะสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในวันก่อนหน้า ทว่าความผันผวนในตลาดการเงินยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ และปิดตลาดย่อตัวลง (ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18% เช่นเดียวกับ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปรับตัวลงกว่า -1.83%) โดยแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ในวันนี้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ยังคงมาจากความกังวลปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” หลังสหรัฐฯ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรก และนอกจากประเด็น Omicron ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากมุมมองของประธานเฟดที่เดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเร่งลดคิวอี หลังจากที่ประธานเฟดมองว่า เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าที่เคยประเมินไว้ 

     ฝั่งของตลาดบอนด์ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ Omicron ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 6bps แตะระดับ 1.42% ซึ่งภาพดังกลา่ว สะท้อนว่าผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การระบาด และเลือกที่จะเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าในมุมนึงผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าเฟดอาจมีการประกาศเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะมั่นใจได้ว่า Omicron ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่เคยประเมินไว้ ซึ่งอาจต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น โดยทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสำคัญ อาทิ Pfizer, BioNTech และ Moderna ต่างคาดว่า อาจจะสามารถรายงานผลวิจัยประสิทธิภาพวัคซีนต่อ Omicron ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้แกว่งตัวในระดับ 96.03 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ความผันผวนในตลาดอาจปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด หลังจากที่ ดัชนีความกลัวที่วัดความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ VIX Index ได้ปรับตัวขึ้น ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 29 จุด สู่ระดับ 31 จุด

     สำหรับเงินดอลลาร์ยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เพราะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 113 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเพิ่มการถือครองเงินเยนตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าเงินดอลลาร์จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงหนัก

     เนื่องจากราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ล่าสุด ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้สู่ระดับ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเรามองว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดที่ต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ทำให้ราคาทองคำจะไม่ปรับฐานลงหนัก แต่การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจถูกจำกัดด้วยท่าทีของเฟดที่มีแนวโน้มจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ว่าจะมีข้อสรุปเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องตามที่เคยได้วางแผนไว้หรือไม่ หลังจากที่การระบาดของ Omicron อาจกดดันความต้องการใช้พลังงานได้ในระยะสั้น อีกทั้ง สหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ได้ประกาศพร้อมใช้น้ำมันดิบสำรองเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงานในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงมาพอสมควร และสมดุลตลาดน้ำมันอาจเปลี่ยนไป หากการระบาดของ Omicron ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น กลุ่ม OPEC+ อาจจะรอดูทิศทางตลาดน้ำมันและสถานการณ์การระบาดไปก่อนในระยะสั้นนี้

     สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าเงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ บอนด์ระยะสั้นตามการปรับสถานะเก็งกำไรเงินบาทของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งเรายังคงมองว่า ในระหว่างวันเงินบาทยังคงมีแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของ Omicron อีกทั้ง สัญญาณเชิงเทคนิคัลในระยะสั้นยังคงชี้ว่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า ทำให้ปัจจัยที่จะพอช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก คือ การรีบาวด์ของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน หากพิจารณาสัญญาณเทคนิคัลของเงินบาททั้งในส่วนกราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง RSI และ MACD อาจเริ่มส่งสัญญาณว่า เงินบาทอาจมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งต้องรอการเกิดสัญญาณเชิงเทคนิคัลอีกครั้ง ถึงจะยืนยันสมมติฐานดังกล่าวได้ และเราเชื่อว่า จังหวะกลับตัวมาแข็งค่าของเงินบาทอาจเกิดขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า การเร่งระดมแจกวัคซีนสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ Omicron ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ซบเซาหนัก ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางรายยังรอขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทอีกรอบได้ หากสัญญาณเชิงเทคนิคัลเงินบาทเริ่มเปลี่ยนทิศหรือเกิด Divergence ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน

     ดังนั้น ในระยะนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ในกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

ขออบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

นักลงทุนกังวลโอไมครอนกระทบเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง

        ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวผันผวนอย่างหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เนื่องจากยังคงมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดและความรุนแรงของไวรัสโอไมครอน รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว

     หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงมากที่สุดในยุโรป โดยหุ้นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ อาทิ อินฟิเนียน เทคโนโลยีส์, เอเอ็มเอส และเอเอสเอ็มแอล ร่วงลงราว 4.4-5.7% จากรายงานที่ว่า แอปเปิล อิงค์ เตือนเกี่ยวกับความต้องการที่ลดลงสำหรับ iPhone 13

      หุ้นแอร์เมสและหุ้นริชมอนท์ ร่วง 3.1% และ 2.1% ตามลำดับ แม้ได้รับการรวมในการคำนวณดัชนี Euro STOXX 50 ก็ตาม


ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 2 ธันวาคม 2564

บิตคอยน์ ปรับตัวลง 0.42%

     บิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม เมื่อเวลา 05.47 น.ของวันที่ 2ธ.ค. 64 ปรับตัวลง 0.42% เคลื่อนไหวที่ 57,048.7 ดอลลาร์

     การปรับตัวร่วงลงในช่วงเช้าวันนี้ของราคาบิตคอยน์มีขึ้นหลังจากมีรายงานข่าวว่าบริษัทไมโครสตราติจี (MicroStrategy)ซื้อบิตคอยน์เพิ่มอีกจำนวนกว่า 7,002 BTC คิดเป็นมูลค่ากว่า 414 ล้านดอลลาร์

      การซื้อครั้งนี้ทำให้การถือครองบิตคอยน์ของบริษัทมีจำนวนรวมทั้งสิ้นอยู่ที่ 121,044 BTC และบริษัทซื้อบิตคอยน์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 59,187 ดอลลาร์/เหรียญ ต่ำกว่าจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 69,000 ดอลลาร์ของช่วงต้นเดือนพ.ย.

       ไมโครสตราติจี ค่อยๆเพิ่มการถือครองบิตคอยน์ซึ่งจนถึงขณะนี้ได้ใช้เงินซื้อบิตคอยน์ไปแล้วทั้งหมดมูลค่าประมาณ 3.57 พันล้านดอลลาร์ แม้ว่าราคาบิตคอยน์จะร่วงลดลงจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่บริษัทยังคงมีกำไรอยู่ โดยราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 29,534 ดอลลาร์/บิตคอยน์

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวนเนื่องจากสหรัฐพลิกเป็นลบหลังพบผู้ติดเชื้อโอไมครอน

     นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน โดยอาจปรับตัวลงก่อนเด้งกลับ เนื่องจากตลาดสหรัฐฯพลิกเป็นลบหลังจากพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐ วิตกอาจต้องนำมาตรการควบคุมออกมาใช้ และไทยยังต้องเร่งติดตามผู้เดินทางมาจากแอฟริกามาตรวจหาเชื้อ อีกทั้งเวลานี้ก็ยังไม่รู้ว่าวัคซีนที่มีอยู่จะป้องกันได้หรือไม่

   ด้านธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งปรับลดโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตลาดฯรับรู้ไปล่วงหน้ามากแล้ว แต่ก็ยังถือเป็นอีกปัจจัยเสี่ยง ดังน้น คาดหุ้นกลุ่มเปิดเมืองที่เด้งขึ้นเมื่อวานนี้อาจกลับมาร่วงลงอีก

      ทั้งนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาตเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยดาวโจนส์ฟิวเจอร์เช้านี้บวก และราคาน้ำมันเช้านี้ก็ปรับตัวขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี แนะติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสวันนี้คาดไม่ปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน และจับตาสถานการณ์ไวรัสโควิดโอไมครอนต่อไป พร้อมให้แนวรับ 1,580-1,570 จุด ส่วนแนวต้าน 1,593-1,600 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 4 กลุ่มหุ้น ยืนสวนกระแสโควิด

     นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ความน่ากังวลของโอไมครอน (Omicron) ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่แพร่ระบาดเร็วกว่า 5 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า แม้ขณะนี้จะยังสรุปไม่ได้ว่าเชื้อจะรุนแรงแค่ไหน ต้องติดตามตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตในแอฟริกาใต้ต่อเนื่อง ขณะที่ผู้พัฒนาวัคซีนกำลังปรับสูตรให้รองรับสายพันธุ์ใหม่ซึ่งจะรู้ผลในอีก 1 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี เชื่อว่าประเทศไทยคงจะไม่กลับไปล็อกดาวน์เหมือนปีที่แล้ว เพราะอัตราการฉีดวัคซีนของประชากรอยู่ในระดับสูง กรณีเดียวที่จะกลับไปล็อกดาวน์ คือ อัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนทั่วโลกสูงกว่าตัวเลขเดิมไปมาก ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลกอยู่ประมาณ 2% ประเมินแนวรับของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่บริเวณ 1,580 จุด มองจะไม่แย่เหมือนช่วงไตรมาส 3/2564 ที่ย่อตัวลงไปบริเวณ 1,520 จุด โดยหุ้นกลุ่มเปิดเมือง (reopening) ถูกเทขายหนัก เพราะนักลงทุนกังวลว่าการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจจะมีการปิดน่านฟ้าไปสักระยะหนึ่งในบางประเทศ ทำให้กระทบการเดินทางอย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ถ้าสถานการณ์โควิดมีความชัดเจน ทั้งวัคซีนและยารักษา หุ้นกลุ่ม reopening จะฟื้นตัว จึงเป็นจังหวะซื้อเมื่ออ่อนตัว

     ประเมินว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์โควิดกลายพันธุ์ คือ 1.หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่รักษาโควิด 2.หุ้นกลุ่มถุงมือยาง 3.หุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้ง และ 4.หุ้นกลุ่มไอซีที ซึ่งได้ประโยชน์ไม่ว่าจะทางตรงและทางอ้อม แต่แนะนำว่า รีบาวนด์รอบนี้ เป็นโอกาสในการขายทำกำไร (take profit) ในหุ้นโรงพยาบาลและหุ้นถุงมือยาง เพราะจากรายงานข่าวระบุว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนไม่ป่วยหนัก รักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ ในขณะที่ราคาหุ้นถุงมือยางลดลงต่อเนื่อง ในส่วนหุ้นกลุ่มเรือและชิปปิ้งลงทุนได้ เพราะจีนเป็นประเทศหลักที่มีการนำเข้าส่งออก ซึ่งจะมีการตรวจโควิดกลายพันธุ์เข้มต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นซัพพลายของเรือจะแออัด จึงแนะนำ บมจ.อาร์ ซี แอล (RCL) ให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 58 บาท และ บมจ.พรีเชียส ชิพปิ้ง (PSL) ให้ราคาเป้าหมายที่ 24.80 บาท หากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุด (worst case scenario) ซึ่งผิดไปจากที่กล่าวไปข้างต้น พบอัตราการเสียชีวิตที่สูง วัคซีนต้านไม่อยู่ ต้องคิดค้นวัคซีนชนิดใหม่ แนะนำนักลงทุนต้อง risk off ขายล้างพอร์ตสินทรัพย์เสี่ยงทิ้งให้หมด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, บิตคอยน์ เพราะราคาจะดิ่งลงหนัก

    นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตอนนี้มีความกังวลว่าโควิดสายพันธุ์โอไมครอน จะบั่นทอนประสิทธิภาพวัคซีนและจะนำไปสู่การจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งกำลังติดตามอยู่ โดยจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น จะทำให้ภาพตลาดหุ้นระยะสั้นอยู่ในภาวะผันผวน เพื่อรอพัฒนาการของเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเม็ดเงินเริ่มเคลื่อนย้ายไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น เช่น พันธบัตร เป็นต้น  หุ้นที่สามารถยืนสวนกระแสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนได้ จากการศึกษาความสัมพันธ์ในช่วงเกิดโควิดในแต่ละรอบกับตลาดหุ้น มีประมาณ 3 รอบ คือ 1.สมุทรสาคร 2.ทองหล่อ และ 3.สายพันธุ์เดลต้า ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้มัก out perform กว่าตลาด คือ 1.หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 2.แพ็กเกจจิ้ง 3.โรงพยาบาล และ 4.ถุงมือยาง (ดูตาราง) ซึ่งหุ้นเหล่านี้ผ่านการปรับฐานมามากแล้วกว่า 10% จากจุดสูงสุดของตั้งแต่ต้นปี และพบว่ารีเทิร์น 3 ช่วงที่เกิดโควิดมักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.74 บาทต่อดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแม้ว่า ตลาดการเงินในฝั่งเอเชียและยุโรปจะสามารถรีบาวด์ขึ้นมาได้บ้างในวันก่อนหน้า ทว่าความผันผวนในตลาดการเงินยังคงอยู่ในระดับที่สูงอยู่ ดังจะเห็นได้จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่สามารถรีบาวด์กลับขึ้นมาได้เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นๆ และปิดตลาดย่อตัวลง (ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.18% เช่นเดียวกับ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ที่ปรับตัวลงกว่า -1.83%) โดยแรงกดดันต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ในวันนี้บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ยังคงมาจากความกังวลปัญหาการแพร่ระบาด COVID-19 สายพันธุ์ “Omicron” หลังสหรัฐฯ มีรายงานพบผู้ติดเชื้อ Omicron เป็นรายแรก และนอกจากประเด็น Omicron ตลาดยังเผชิญแรงกดดันจากมุมมองของประธานเฟดที่เดินหน้าสนับสนุนแนวโน้มการเร่งลดคิวอี หลังจากที่ประธานเฟดมองว่า เงินเฟ้ออาจเร่งตัวขึ้นและอยู่ในระดับสูงได้นานกว่าที่เคยประเมินไว้ 

     ฝั่งของตลาดบอนด์ ความกังวลสถานการณ์การระบาดของ Omicron ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงราว 6bps แตะระดับ 1.42% ซึ่งภาพดังกลา่ว สะท้อนว่าผู้เล่นบางส่วนยังคงมีความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์การระบาด และเลือกที่จะเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยไว้ก่อน แม้ว่าในมุมนึงผู้เล่นในตลาดเริ่มประเมินว่าเฟดอาจมีการประกาศเร่งลดคิวอีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อนึ่ง เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ทั่วโลกยังมีแนวโน้มแกว่งตัว sideways ในระยะสั้น จนกว่าตลาดจะมั่นใจได้ว่า Omicron ไม่ได้มีความน่ากลัวอย่างที่เคยประเมินไว้ ซึ่งอาจต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่มากขึ้น โดยทางบริษัทผู้ผลิตวัคซีนสำคัญ อาทิ Pfizer, BioNTech และ Moderna ต่างคาดว่า อาจจะสามารถรายงานผลวิจัยประสิทธิภาพวัคซีนต่อ Omicron ได้ภายใน 2 สัปดาห์ ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์ขึ้นมาเล็กน้อย โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ได้แกว่งตัวในระดับ 96.03 จุด หนุนโดยความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า ความผันผวนในตลาดอาจปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าคาด หลังจากที่ ดัชนีความกลัวที่วัดความผันผวนตลาดหุ้นสหรัฐฯ หรือ VIX Index ได้ปรับตัวขึ้น ทะลุแนวต้านสำคัญที่ 29 จุด สู่ระดับ 31 จุด

     สำหรับเงินดอลลาร์ยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นไปมาก เพราะถูกกดดันจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 113 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเพิ่มการถือครองเงินเยนตามความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน แม้ว่าเงินดอลลาร์จะรีบาวด์กลับขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงหนัก

     เนื่องจากราคาทองคำยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ส่งผลให้ล่าสุด ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้สู่ระดับ 1,780 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเรามองว่า ราคาทองคำยังคงได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดที่ต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ ทำให้ราคาทองคำจะไม่ปรับฐานลงหนัก แต่การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำก็อาจถูกจำกัดด้วยท่าทีของเฟดที่มีแนวโน้มจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ว่าจะมีข้อสรุปเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องตามที่เคยได้วางแผนไว้หรือไม่ หลังจากที่การระบาดของ Omicron อาจกดดันความต้องการใช้พลังงานได้ในระยะสั้น อีกทั้ง สหรัฐฯ รวมถึงชาติพันธมิตรกลุ่มผู้ใช้น้ำมัน อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ได้ประกาศพร้อมใช้น้ำมันดิบสำรองเพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนพลังงานในระยะสั้น ซึ่งเรามองว่า กลุ่ม OPEC+ จะยังไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในการประชุมครั้งนี้อย่างแน่นอน หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบปรับฐานลงมาพอสมควร และสมดุลตลาดน้ำมันอาจเปลี่ยนไป หากการระบาดของ Omicron ทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น กลุ่ม OPEC+ อาจจะรอดูทิศทางตลาดน้ำมันและสถานการณ์การระบาดไปก่อนในระยะสั้นนี้

     สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท จะเห็นได้ว่าเงินบาทยังคงเผชิญความผันผวนในฝั่งอ่อนค่าอย่างต่อเนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น หรือ บอนด์ระยะสั้นตามการปรับสถานะเก็งกำไรเงินบาทของผู้เล่นต่างชาติ ซึ่งเรายังคงมองว่า ในระหว่างวันเงินบาทยังคงมีแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าอยู่ จากความกังวลปัญหาการระบาดของ Omicron อีกทั้ง สัญญาณเชิงเทคนิคัลในระยะสั้นยังคงชี้ว่าเงินบาทยังมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า ทำให้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า ทำให้ปัจจัยที่จะพอช่วยหนุนให้เงินบาทไม่อ่อนค่าไปมาก คือ การรีบาวด์ของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้ส่งออกบางส่วน หากพิจารณาสัญญาณเทคนิคัลของเงินบาททั้งในส่วนกราฟรายวันหรือกราฟรายสัปดาห์ จะเริ่มเห็นว่าอินดิเคเตอร์ทั้ง RSI และ MACD อาจเริ่มส่งสัญญาณว่า เงินบาทอาจมีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นได้ ซึ่งต้องรอการเกิดสัญญาณเชิงเทคนิคัลอีกครั้ง ถึงจะยืนยันสมมติฐานดังกล่าวได้ และเราเชื่อว่า จังหวะกลับตัวมาแข็งค่าของเงินบาทอาจเกิดขึ้นในอีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า หากข้อมูลวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่า การเร่งระดมแจกวัคซีนสามารถยับยั้งการแพร่ระบาดของ Omicron ได้ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจไม่ซบเซาหนัก ทั้งนี้ เงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญในโซน 33.80-34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ส่งออกบางรายยังรอขายเงินดอลลาร์ รวมถึงผู้เล่นต่างชาติอาจรอจังหวะกลับเข้ามาเก็งกำไรเงินบาทอีกรอบได้ หากสัญญาณเชิงเทคนิคัลเงินบาทเริ่มเปลี่ยนทิศหรือเกิด Divergence ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ จากแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน

     ดังนั้น ในระยะนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ผู้ประกอบการควรเพิ่มความระมัดระวังในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนและควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ในกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.60-33.80 บาท/ดอลลาร์

 

ขออบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

CRC ลงทุนซื้อหุ้น Grab 4,500 ล้านบาท หวังเป็น Digital Retail อันดับ1ของไทย

       2 ธ.ค.64 นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (CRC)แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่าเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2564 OAL Holding Limited (OAL) ได้ใช้สิทธิขายคืนหุ้น Porto Worldwide Limited (Porto WW) จำนวน 133,545,740 หุ้น คิดเป็น 67% ในราคาที่ตกลงกันไว้ตามสัญญาซื้อขายหุ้น ลงวันที่ 11 ธันวาคม 2562 ให้แก่ Hillborough Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ โดยมีมูลค่าการลงทุน ไม่เกิน 4,500 ล้านบาท ซึ่งแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดภายในของบริษัทและวงเงินสินเชื่อจากธนาคาร

      สำหรับ Porto WW ได้ลงทุนในบริษัท แกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สัดส่วน 40% การลงทุนในธุรกิจ Grab ในประเทศไทย จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอีโคซิสเต็มและแพลตฟอร์มออมนิเชแนลของบริษัทฯให้แข็งแกร่ง เนื่องจาก Grab เป็นผู้นำแพลตฟอร์มบริการออนไลน์สู่ออฟไลน์ที่มีการเติบโตและมีการขยายให้บริการอย่างรวดเร็วทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย Grab มีบริการที่หลากหลายและครบถ้วนทั้งบริการส่งอาหาร บริการเดินทาง บริการระบบโลจิสติกส์ บริการจองโรงแรมและที่พัก และบริการการเงิน ที่จะส่งเสริมและผลักดันองค์กรให้เป็น Digital Retail อย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยในการต่อยอดการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอนาคต

    โดยบริษัทอาจได้รับประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หาก Porto WW ใช้สิทธิที่มีเพียงครั้งเดียวในการแลกหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไปเป็นหุ้นของ Grab Holdings Limited (GHL) ประเภท Class A Ordinary Share ที่จะทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 2 ธันวาคม 2564 (เวลาสหรัฐอเมริกา Eastern time) ในราคาที่กำหนดไว้แล้วที่ 6.1629 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น บริษัทอาจได้รับประโยชน์อีกด้านหนึ่ง หาก Porto WW ใช้สิทธิที่มีเพียงครั้งเดียวในการแลกหุ้นแกร็บแท็กซี่ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) ที่มีอยู่ทั้งหมดหรือบางส่วนไปเป็นหุ้นของ Grab Holdings Limited (GHL) ประเภท Class A Ordinary Share ที่จะทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ประเทศสหรัฐอเมริกา วันที่ 2 ธันวาคม 2564 (เวลาสหรัฐอเมริกา Eastern time) ในราคาที่กำหนดไว้แล้วที่ 6.1629 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น

    ทั้งนี้ในกรณีที่ Porto WW ใช้สิทธิในการแลกหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมด จะถือหุ้น GHL Class A Ordinary Shares ประมาณ 1.06% ของจำนวนหุ้น GHL Ordinary Shares (ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 14,000 ล้านบาท ณ ราคา GHL IPO ที่ 10.0 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้น) ทั้งนี้หาก Porto WW ประสงค์จะใช้สิทธิในการแลกหุ้น บริษัทฯจะดำเนินการขออนุมัติและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

     

    

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 1 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 1 ธันวาคม 2564

หุ้นเด่นวันนี้

     – BTS-W8 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 2,632,536,229 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 14.90 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 5 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (22 พ.ย. 2564)ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 ธ.ค. 2564 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 20 พ.ย. 2569


     – PLANET-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย(PLANET)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 124,998,821 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 2.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ (19 พ.ย. 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 30 ธ.ค. 2564 ส่วนวันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 18 พ.ย. 2566


     – HANA (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้าสูงสุด IAA Consensus 111 บาท คาดกำไรสุทธิ Q4/63 เติบโต qoq และ yoy จากการผลิตที่เพิ่มขึ้นเต็มกำลังการผลิต ค่าเงินบาทอ่อนค่าหนุนยอดขายและมาร์จิ้นเพิ่ม


     – CHG (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ”เป้า 4.70 บาท เป็นหลุมหลบภัยที่ดีหากเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เป็นวงกว้าง ซึ่งจะหนุนให้รายได้จากการรักษาและตรวจเชื้อยังคงอยู่ในระดับสูง และระยะสั้นกำไร Q4/64 คาดยังโตแรง +160% Y-Y จากรายได้เกี่ยวเนื่องโควิด-19 ที่สูงกว่าปีก่อน และรายได้ผู้ป่วยเงินสดและประกันสังคมที่กลับมาดีขึ้น โรงพยาบาล RPC และ 304 เข้าสู่ช่วงเติบโต และระยะยาวรองรับด้วยการลงทุนโรงพยาบาลใหม่ทั้งแม่สอด แพรกษา และศูนย์มะเร็ง พร้อมแนวรับ 3.78-3.80 บาท แนวต้าน 3.94-4.0 บาท

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ราคาทองวันนี้ ประกาศครั้งที่ 1 ลดลง 250 บาท

     สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 1 ธ.ค. 64 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.22 น. ลดลง 250 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,300.00 บาท ขายออกบาทละ 28,400.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,788.28 บาท ขายออกบาทละ 28,900.00 บาท

     ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 1 ธ.ค. 64  ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.22 น. ลดลง 250 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,300.00 บาท ขายออกบาทละ 28,400.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,788.28 บาท ขายออกบาทละ 28,900.00 บาท


     สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ 30 พ.ย. 64 สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange)  ส่งมอบเดือนก.พ.64 ลดลง 8.7 ดอลลาร์ หรือ 0.49% ปิดที่ 1,776.5 ดอลลาร์/ออนซ์

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

กังวลเฟดยุติ QE ดาวโจนส์ปิดร่วง 652.22 จุด ดาวโจนส์ปิดร่วง 652.22 จุด

    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,483.72 จุด ลดลง 652.22 จุด หรือ -1.86%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,567.00 จุด ลดลง 88.27 จุด หรือ -1.90% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,537.69 จุด ลดลง 245.14 จุด หรือ -1.55%

    นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)แถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาเมื่อคืนนี้ว่า เฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการ QE มากกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดจะหารือกันในการประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 14-15 ธ.ค. 64 ขณะนี้เศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งมาก และแรงกดดันจากเงินเฟ้อได้เพิ่มสูงขึ้น ผมจึงเห็นว่าถึงเวลาเหมาะสมแล้วที่เฟดจะพิจารณายุติโครงการซื้อพันธบัตรให้เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเดือน โดยเราจะหารือกันในการประชุมครั้งต่อไป

    ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลงหนักสุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยปรับตัวลง 3% ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลง 2.5% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ทรุดตัวลงกว่า 5% เมื่อคืนนี้ หุ้นกลุ่มโรงแรม, กลุ่มเรือสำราญ และกลุ่มธุรกิจบริการด้านการเดินทาง ต่างก็ร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน  หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ร่วงลงเช่นกัน

     ทั้งนี้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ เอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์เปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 19.5% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าระดับ 19.8% ในเดือนส.ค. และเป็นครั้งแรกที่ราคาบ้านได้ชะลอตัวลงเมื่อเทียบรายปีนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 63  โดยนักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.64 ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะพุ่งขึ้น 581,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. 64

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

โควิดสายพันธุ์โอไมครอน ทำตลาดหุ้นไทยเช้านี้ผันผวน-อิงลบ

     นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนหลักทรัพย์ บล.เคทีบีเอสที กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะผันผวน แต่ก็อิงไปทางแดนลบ เนื่องจากคาดว่านักลงทุนยังคงจะขายหุ้นไทยจากความไม่มั่นใจเกี่ยวกับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอน และนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เร็วกว่าที่คาดไว้ด้วย ทำให้นักลงทุนคงจะเลือกที่จะถอยออกมาก่อน

     โดยราคาน้ำมันในช่วงเช้านี้ได้ปรับตัวขึ้น แต่เชื่อว่าคนก็ยังเลือกที่จะขายอยู่ดี แต่ตลาดฯอาจจะไม่ติดลบมาก ซึ่งในระหว่างเทรดก็มีโอกาสที่จะรีบาวด์ได้ เนื่องจากเช้านี้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์สได้ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนบวกกัน

   

ทั้งนี้ ให้ติดตามดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนพ.ยของจีน และสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอไมครอน รวมถึงติดตามการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรมาก เพราะดีมานต์น้ำมันได้เริ่มถอยลงมาแล้ว พร้อมให้แนวรับ 1,560 จุด ส่วนแนวต้าน 1,575 จุด

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เงินบาทวันนี้ 33.68 บาทต่อดอลลาร์

   

     วันนี้ 1 ธ.ค.64 นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ เปิดตลาดทรงตัวที่ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนวันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.60 บาท แนวต้านที่ 33.80 บาท

    โดยปัจจัยมาจากนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณสนับสนุนการเร่งลดคิวอีในการประชุมครั้งหน้า และประเมินว่าเงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัจจัยชั่วคราวขณะที่เงินเฟ้อยูโรโซนเดือนพฤศจิกายนพุ่งสู่ระดับ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.9% ต่อปี ด้านปัจจัยในประเทศ รัฐบาลไทยประกาศพร้อมปิดเมืองหากพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ขณะที่ตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดไทยเดือนตุลาคมขาดดุลลดลงเป็น 1.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

     ทั้งนี้โดยช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตสหรัฐ และยุโรปที่จะออกมาวันนี้ จากนั้นวันพฤหัสบดีติดตามรายงานเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และวันศุกร์ติดตาม เงินเฟ้อไทย กับการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานสหรัฐ

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นวันนี้

 

  • SECURE (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 32.50 บาท หุ้นใน Mega Trend ของปี 65 คาดงานแน่น ลุ้น M&A โดยคาดรายได้ปี 65 โตเด่น Trend ความปลอดภัยในระบบทั้ง Online และ Offline เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกองค์กรกำลังลงทุน หนุน Backlog โตต่อ และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรเพื่อทำ M&A ขยายสรรพกำลังในการรับงาน ส่วน Q4/64-Q1/65 รายได้จะโตเด่นหลังบริษัทต้องเลื่อนการส่งมอบเพราะโควิด
  • SYNEX (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 34 บาท แนวโน้ม Q4/64 จะเติบโตแข็งแกร่งทั้ง Q-Q และ Y-Y มีลุ้นทำ Record High จากการเข้า High Season รวมถึงได้อานิสงส์จาก iPhone13 ที่เริ่มขายในไทยเร็วกว่าปีก่อนถึงเกือบ 2 เดือน และเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์หากเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่จาก WFH และ LFM แต่หากไม่มีการระบาดทิศทางกำไรก็ยังเป็นขาขึ้นและได้ประโยชน์ระยะยาวจากเทรนด์ Digital และ Metaverse พร้อมให้แนวรับ 27.25-27.75 บาท แนวต้าน 29-30 บาท
  • PTTGC (กรุงศรี) ซื้อเป้า 64 บาท วันนี้ได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันดิบฟื้นตัว ราคาร่วงรับข่าวการระบาดของไวรัสโอไมครอนไปบ้างแล้ว และอยู่ใกล้โซนแนวรับเดิมจึงเป็นโอกาสเข้าซื้อดักเล่นเก็งกำไรจาก Technical Rebound

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

บิตคอยน์ ปรับตัวขึ้น 3.77%

     ราคาบิตคอยน์ช่วงเช้าวันนี้ สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดทุนโลก โดยดัชนีดาวโจนส์ ปิดเมื่อวันจันทร์ 29 พ.ย.64 ที่ผ่านมา พบว่าปรับตัวสูงขึ้น 236 จุด หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐไม่มีแผนล็อกดาวน์เศรษฐกิจเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน

     ส่วนสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าเวสต์เท็กซัส ปิดวันจันทร์ 29พ.ย.64 ปรับตัวขึ้น 1.80 ดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อเก็งกำไร หลังราคาดิ่งลงอย่างหนักในสัปดาห์ที่แล้ว

     รวมถึงการทำเหมืองคริปโตที่กำลังเป็นที่เฟื่องฟูในคาซัคสถาน และมีทั้งเหมืองถูกกฎหมายและผิดกฎหมายที่ผุดขึ้นทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้ และทำให้ไฟดับในหลายพื้นที่ ในขณะที่คาซัคสถาน กำลังเจอปัญหาผลิตไฟฟ้าไม่เพียงต่อการใช้งานทั่วประเทศ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการขุดเหมืองคริปโต ซึ่งต้องใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวนมหาศาล และด้วยผลตอบแทนที่คุ้มค่า จึงทำให้มีคนมาลงทุนทำเหมืองคริปโตกันมากขึ้น จนทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้ในหลายพื้นที่

     ทั้งนี้กระทรวงพลังงานของคาซัคสถานเปิดเผยว่า ในปีนี้ มีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นถึง 8% จากเดิมที่จะเพิ่มแค่ปีละ 1-2% ซึ่งการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดปัญหาไฟฟ้าดับในหกภูมิภาคตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่ง KEGOIC ผู้ผลิตไฟฟ้าของคาซัคสถาน บอกว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยการลดสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ส่งไปยังเหมืองคริปโต และหากเกิดปัญหาไฟฟ้าไม่พอใช้อีก จะตัดไฟในส่วนที่ส่งไปให้เหมืองคริปโตก่อน ในขณะที่คาซัคสถานมีเหมืองขุดคริปโตทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมายจำนวนมาก จึงทำให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าที่ทางการคาดไว้ ซึ่งรัฐบาลของคาซัคสถานกำลังขอให้ทางรัสเซียช่วยผลิตไฟฟ้าและส่งเข้ามายังคาซัคสถานเพิ่มเติม

ขอบคุณ :  กรุงเทพธุรกิจ

ไบเดนไม่ล็อกดาวน์สหรัฐ หลังการระบาดโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ทำให้ดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 236.60 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,135.94 จุด เพิ่มขึ้น 236.60 จุด หรือ +0.68%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,655.27 จุด เพิ่มขึ้น 60.65 จุด หรือ +1.32% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,782.83 จุด เพิ่มขึ้น 291.18 จุด หรือ +1.88% ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐไม่มีนโยบายที่จะประกาศล็อกดาวน์เศรษฐกิจ อันเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน  ยืนยันว่า หากประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากอนามัย ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องล็อกดาวน์ และจะไม่มีการประกาศห้ามการเดินทางครั้งใหม่

     สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์กพุ่งขึ้นหลังจากปธน.ไบเดนออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้นแข็งแกร่งสุดในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 โดยปรับตัวขึ้น 2.6%

     โดยนักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ย.ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะพุ่งขึ้น 581,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 531,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.

      ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือนก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนต.ค. , จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

สมาคมค้าทองคำประกาศ ราคาทองปรับลง 200 บาท

 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 (ครั้งที่1) เมื่อเวลา 09.28 น. ลดลง 200 บาท

     – ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,400.00 บาท ขายออกบาทละ 28,500.00 บาท
     – ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,894.40 บาท ขายออกบาทละ 29,000.00 บาท
     – ราคาทองคำต่างประเทศ 1,789.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.63 บาท

     โดยสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงในวันจันทร์ 29 พ.ย.64 ที่ผ่านมา เนื่องจากลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ดัชนี SET อยู่ที่ 1,610.95 จุด เพิ่มขึ้น 21.26 จุด

     นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวขึ้นกว่า 20 จุด ตอบรับ Sentiment ทั่วโลกที่มีการฟื้นตัว และตลาดบ้านเราก็ปรับตัวลงมา 2 วันเกือบ 60 จุดแล้ว ดังนั้นจึงเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์

     ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวก ยกเว้นตลาดหุ้นฮ่องกงและเกาหลีที่ยังติดลบ โดยต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนว่าจะรุนแรงแค่ไหน ส่วนการที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ยืนยันว่า สหรัฐไม่มีแผนล็อกดาวน์เศรษฐกิจเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนก็ช่วยให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวลไปได้ในระดับหนึ่ง พร้อมให้แนวรับ 1,600-1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610 จุด

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 29 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นวันนี้

      EKH (ฟินันเซีย ไซรัส) ซื้อเป้า 9.40 บาท แนวโน้ม Q4/64 แม้จะอ่อนตัว Q-Q ตามโควิด-19 ที่คลี่คลาย แต่คาดยังเติบโตโดดเด่น Y-Y โดยเบื้องต้นคาดใกล้เคียง Q2/64 หนุนกำไรทั้งปี 64 ที่คาด +289% Y-Y มี Upside ราว 14% โดยประเมิน EKH จะเป็นหลุมหลบภัยที่ดีกรณีเกิดการระบาดระลอกใหม่หลังเชื้อสายพันธุ์ “โอไมครอน” เริ่มพบในยุโรป แต่หากควบคุมได้ประเมินธุรกิจ IVF ของ EKH จะฟื้นตัวหนุนการเติบโตระยะถัดไป พร้อมให้แนวรับ 7.80-7.60 บาท แนวต้าน 8-8.20 ถัดไป 8.50 บาท

 

      EPG (คิงส์ฟอร์ด)ซื้อเก็งกำไรเป้า IAA Consensus 15.30 บาท ผลประกอบการ Q2/64-65 (ก.ค.-ก.ย.) รายงานกำไรสุทธิ 412 ล้านบาท ยังเติบโตต่อเนื่อง YoY แต่อ่อนตัวลง QoQ รายได้รวมยังปรับตัวเพิ่ม QoQ ได้หนุนจากกลุ่มชิ้นยานยนต์ยานยนต์ Aeroklas ที่ส่งออกไปยังออสเตรเลียและยุโรป และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ EPP ทีมีการเร่งระบายสินค้าเก่าในสต๊อก ช่วงชดเชยรายได้กลุ่มฉนวน Aeroflex ที่ถูกกระทบจากการ Lockdown ขณะที่ GPM ถูกกดดันจากต้นทุนวัตุดิบและการทำโปรโมชั่น แนวโน้ม Q3/64-65 (ต.ค.-ธ.ค.) คาดฟื้นตัว QoQ ทุกธุรกิจจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่คลี่คลาย รวมถึงจะมีการทยอยปรับเพิ่มราคาสินค้าเพื่อชดเชยต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น

      RS (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22 บาท ทุกหน่วยธุรกิจฟื้นตัว ผู้บริหารเตรียมสร้าง Digital Eco System พร้อม Transform คาดโควิด-19 ไม่ทำแผนสะดุด ราคาที่พักฐานระยะสั้นเป็นโอกาสสะสม ด้านบริษัทย่อย “โฟร์ท แอปเปิ้ล” เตรียมสร้าง Platform สำหรับ Popcoin- Digital Token ของกลุ่มที่เตรียมไว้สำหรับลูกค้าและ Partner พร้อมเข้าเทรดต้นปี 65 พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 225 ลบ. และ 576 ลบ. -57.4%YoY, +155.9%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ปรับตัวลงราว 0.5-0.8% ส่งผลให้ ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลง

        นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ต่างปรับตัวลงราว 0.5-0.8% จากความกังวลไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ซึ่งขณะนี้ได้มีการระบาดในยุโรปหลายประเทศมากขึ้น ทั้งนี้ในยุโรปก็มีการระบาดโควิดหนักอยู่แล้ว มาเจอสายพันธุ์ใหม่อีก ทำให้กังวลการเติบโตเศรษฐกิจ จึงมีการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา

      ตลาดบ้านเราก็เผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ขายออกมาทั้งในตลาดหุ้น และตลาดซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการขายเพื่อลดความเสี่ยง และตลาดฯวันนี้คงจะเผชิญแรงกดดันจากกลุ่มพลังงานด้วยหลังจากที่ราคาน้ำมันร่วงแรง

      ทั้งนี้สัปดาห์นี้ให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจไทย, MSCI Rebalance ในวันที่ 30 พ.ย.นี้, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต และภาคบริการของทั่วโลกที่จะทยอยออกมา, ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐฯ และการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค.นี้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์

วิกฤตโอไมครอน ส่งผลให้ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดขึ้นกว่า 200 จุด

 

     ณ เวลา 07.35 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ดีดตัวขึ้น 204 จุด หรือ +0.59% แตะที่ 35,062 จุด ในส่วนของราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้น 3.25 ดอลลาร์ หรือ +4.77% แตะที่ 71.42 ดอลลาร์/บาร์เรลในช่วงเช้านี้ หลังจากที่ดิ่งลง 10.24 ดอลลาร์ หรือ 13.1% ปิดที่ 68.15 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

    นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนที่พบในแอฟริกาใต้ โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่าไวรัสโอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่น่าวิตก และอาจแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์อื่น  โดยโอไมครอนเป็นไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ที่ 5 ที่ WHO ประกาศให้เป็น สายพันธุ์ที่น่าวิตก ซึ่งแคนาดาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนจำนวน 2 รายในเมืองออตตาวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 2 รายเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศไนจีเรียเมื่อเร็ว ๆ นี้

     ทั้งนี้นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค., ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดดัลลัส, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ย.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายภาคการก่อสร้างเดือนต.ค. , จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมาร์กิต, ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

หุ้นค้าปลีกไอทีโตแรง สวนโควิด

     กำลังซื้อกลุ่มสินค้าไอทียอดพุ่ง สวนกระแส การระบาดของโควิด-19 ซึ่งการแพร่ระบาดดังกล่าว ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้าน (Work From Home) เรียนหนังสือที่บ้าน (Learn From Home) กันมากขึ้น สินค้าไอทีจึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็น

     โดยโปรดักส์สุดฮิต ที่ยังมาแรงเห็นจะเป็น iPhone 13 เดินหน้าโกยยอดขายได้ต่อเนื่อง หลังเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 8 ต.ค. ที่ผ่านมา แถมตอนนี้หลายรุ่น สินค้าขาดตลาดด้วยซ้ำ สาวกไอโฟนต้องอดใจรอกันหน่อย

     ความร้อนแรงของ iPhone 13 เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายร้านค้าปลีกสินค้าไอทีปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้า หลายบริษัทน่าจะได้เห็นยอดขายทำนิวไฮ เติบโตสวนวิกฤตโควิด ขณะเดียวกันกระแสโลกเสมือนจริง หรือ Metaverse ที่กำลังมาแรงจะเป็นอีกแรงหนุนสำคัญให้ตลาดสินค้าไอทีในระยะถัดไป

     สำหรับผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าไอทีที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นไทยมีอยู่หลายบริษัท นำโดยบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 ด้วยขนาดมาร์เก็ตแคป 96,600 ล้านบาท มีร้านค้ามากมายหลายแบรนด์รวมกว่า 900 สาขา เช่น BaNANA, Studio7, BaNANA Mobile, KingKong Phone ฯลฯ และยังให้บริการหลังการขายสินค้า Apple ภายใต้ชื่อ “iCare” รวมทั้งร้าน “TRUE by Com7” โดยปี 2563 มีรายได้รวม 37,352.90 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ปี 2564 จะเติบโต 20%

     อีกหนึ่งบริษัทที่น่าจะคุ้นเคยกันดี บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART มีหน้าร้านของตัวเองมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอื่นๆ ในเครืออีกหลายธุรกิจ จนเข้าตากลุ่มทุนยักษ์ใหญ่บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ โดดเข้ามาถือหุ้น

     ส่วนบริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เน้นตลาดขายส่งเป็นหลัก โดยได้รับเลือกเป็นผู้แทนจําหน่ายสินค้าจากแบรนด์ชั้นนําระดับโลกมากกว่า 60 แบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 เติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้ 32,244.44 ล้านบาท

     บริษัท คอปเปอร์ ไวร์ด จำกัด (มหาชน) หรือ CPW เป็นตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ของแบรนด์ Xiaomi ปัจจุบันมีทั้งหมด 8 สาขา รวมทั้งยังขายสินค้าของ Apple ผ่านร้าน iStudio by copperwired และ Ai ตั้งเป้ารายได้ปี 2564 โตมากกว่า 20%

     บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI อีกหนึ่งตัวแทนจำหน่ายสินค้า Apple ผ่านช่องทางร้าน iStudio by SPVi, iBeat by SPVi, U Store by SPVi, Mobi และศูนย์บริการลูกค้า iCenter ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 โต 10-15% โดยเตรียมเปิดสาขาเพิ่มอีก 10 สาขา

     บริษัท ไอที ซิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ IT เป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการขายสินค้าไอทีครบวงจร ที่ตั้งเป้ารายได้ปี 2565 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เช่นเดียวกับปีนี้ พร้อมวางแผนเปิดสาขาเพิ่มอีก 43 สาขา รวมเป็น 440 สาขา

    ทั้งนี้การเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ๆ ในฝั่งของผู้ประกอบการอัดแคมเปญโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย ลด แลก แจก แถม กันอย่างเต็มที่เพื่อปิดตัวเลขปลายปี ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภค

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ตลาดหุ้นไทยต้นภาคเช้าร่วง หลุดระดับ 1,600 จุด

  เมื่อเวลา 10.12 น. วันที่ 29 ธ.ค.64 ดัชนี SET อยู่ที่ 1,608.83 จุด ลดลง 1.78 จุด (-0.11%)

   นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงกว่า 10 จุด หลุดแนว 1,600 จุด ซึ่งตลาดบ้านเราปรับตัวลงเช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ต่างติดลบกันทั่วหน้า จากความกังวลการแพร่ระบาดไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่”โอไมครอน” ทำให้สถานการณ์มีความไม่แน่นอน เนื่องจากยังมีข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่นี้ไม่มากนัก

   นอกจากนี้ ราคาน้ำมันก็ปรับตัวลงมาก ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดฯในเช้านี้ด้วย และยังเผชิญแรงกดดันจากหุ้น AOT และหุ้นในกลุ่มแบงก์ด้วย พร้อมให้แนวรับ 1,590 จุด ส่วนแนวต้าน 1,610-1,615 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2564

บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย งวดไตรมาส 3/64 ลดลง 23.7ิ

    นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนไทยบริษัท จำนวน 744 บริษัท คิดเป็น 96.2% จากทั้งหมด 773 บริษัท (ไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน บจ. ในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC) นำส่งผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปีนี้(ม.ค.-ก.ย.2564) พบว่ามี บจ.รายงานกำไรสุทธิ 563 บริษัท คิดเป็น 75.7% ของ บจ.ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด

     โดยมียอดขายรวม 9,266,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.4% มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core profit) จำนวน 1,198,198 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.3% มีกำไรสุทธิ 741,769 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.3% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

     บริษัทมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 12.93% และ 8.0% (ตามลำดับ) ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และอยู่ระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนการระบาดโควิด-19 โดยผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นมาเนื่องจาก บจ.ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากครึ่งแรกของปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบการระบาดโควิด-19 รอบแรก อีกทั้งราคาน้ำมันและค่าการกลั่นได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2564 สำหรับฐานะการเงินของกิจการสิ้นเดือน ก.ย.64 บจ.ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E) ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน อยู่ระดับคงที่ที่ 1.50 เท่า

  ในส่วนของผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/64 เปรียบเทียบงวดไตรมาส 2/64 บจ.มียอดขายรวม 3,184,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.04% อย่างไรก็ดีมีกำไรจากการดำเนินงาน 383,576 ล้านบาท ลดลง 8.3% และมีกำไรสุทธิ 203,809 ล้านบาท ลดลง 23.7% เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นและมาตรการควบคุมเข้มงวดของภาครัฐ อย่างไรก็ตามหมวดธุรกิจที่ยังคงเติบโตได้ดีคือ หมวดธุรกิจการแพทย์ เนื่องจากความต้องการด้านการรักษาพยาบาลมีสูงมากขึ้น

    นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนใน mai จำนวน 173 บริษัท คิดเป็น 96% จากทั้งหมด 181 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 พ.ย.2564 ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด) นำส่งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.2564 พบ บจ.ที่รายงานผลกำไรสุทธิจำนวน 118 บริษัท คิดเป็น 68% ของบริษัทที่นำส่งผลการดำเนินงานทั้งหมด

    ผลประกอบการ บจ. mai ไตรมาส 3/64 เทียบกับไตรมาส 2/64 มียอดขายรวม 42,483 ล้านบาท ลดลง 1.6% ต้นทุนรวม 32,903 ล้านบาท ลดลง 1.5% ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อยจาก 22.6% เป็น 22.5% มีกำไรจากการดำเนินงาน (operating profit) จำนวน 2,759 ล้านบาท ลดลง 2.5% ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อยจาก 6.6% เป็น 6.5%

    ขณะที่กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2,804 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.3% และมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 3.8% เป็น 6.4% ซึ่งมีผลจากรายการพิเศษของบางบริษัท อย่างไรก็ตามผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2564 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน พบว่ามียอดขายรวม 121,966 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงาน 7,765 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,430 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12.0%, 50.6% และ 463.5% ตามลำดับ

    ไตรมาส 3 ปีนี้ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดที่รุนแรง และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวด ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังลดลง แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาสจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ประกอบกับ บจ.สามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้งวด 9 เดือนแรกปีนี้ ภาพรวม บจ.ใน mai มียอดขายและกำไรสุทธิเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรกคือ สินค้าอุปโภคบริโภค จากกลุ่มธุรกิจเครื่องมือแพทย์ รองลงมาคือ ธุรกิจการเงินและทรัพยากร

       ในส่วนของฐานะทางการเงิน บจ. mai มีสินทรัพย์รวม 273,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4% จากสิ้นปี 2563 และโครงสร้างเงินทุนรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งแรง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.08 เท่า ลดลงจากสิ้นปี 2563 ที่เท่ากับ 1.11 เท่า

      ปัจจุบันมี บริษัทใน mai 181 บริษัท ชนี mai ปิดที่ระดับ 561.94 จุด มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมอยู่ที่ 447,372.01 ล้านบาท มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 5,345.90 ล้านบาทต่อวัน

 

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูง คาดปี65 อยู่ที่ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

    นางสาวกฤติกา บุญสร้าง ผู้ชำนาญการงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ห้องค้ากสิกรไทยคาดการณ์ว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนสูงในทิศทางแข็งค่าในปี 2565 ที่ระดับ 32.00-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี โดยการกลับมาเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจากการทยอยฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และค่าระวางเรือที่ชะลอลง ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เป็นปัจจัยหลักในการสนับสนุนค่าเงินบาทให้กลับมาแข็งค่า

      ความไม่แน่นอนจากโควิด-19 ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญ ประกอบกับการดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และแนวโน้มการคงดอกเบี้ยของ ธปท.อาจทำให้ค่าเงินบาทผันผวนในปีหน้า

      ภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดผ่อนคลายลง และภาครัฐประกาศเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ และผ่อนคลายมาตรการที่เข้มงวด ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ในขณะที่นักลงทุนมีแนวโน้มลดสถานะขายเงินบาท จากที่ในปีนี้นักลงทุนถือครองสถานะซื้อเงินดอลลาร์ในระดับสูง เพื่อเก็งกำไร

    ปีนี้โดนแรงเก็งกำไร short บาท long ดอลล่าร์ เยอะ โดยเราประเมินว่าในปีหน้านักลงทุนจะทยอยปิดสถานะขายเงินบาทต่อเนื่อง ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีในปีหน้า ในขณะที่อัตราการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอลงหลังจากฟื้นตัวดีในช่วงที่ผ่านมา

    นายนริศ สถาผลเดชา หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) กล่าวว่า ช่วงต้นปี 2565 ค่าเงินบาทน่าจะยังมีทิศทางอ่อนค่าอยู่ในช่วง 33.00-34.00 บาท เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าจากการลดมาตรการคิวอี ขณะเดียวกัน ทิศทางการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยยังมีอยู่ต่อเนื่อง ทั้งจากการนำเข้าที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานโลก

    ดุลบัญชีเดินสะพัดปีหน้า จะเกินดุลได้ก็น่าจะเข้าสู่ช่วงกลางปีแล้ว แต่ก็ขึ้นกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาด้วย ถ้าไม่ถึง 4 ล้านคนก็อาจจะปิดขาดดุลไม่ได้

      นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า กรุงไทยประเมินค่าเงินบาทปีหน้ามีแนวโน้มเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นราว 2% จากที่เงินบาทโดยเฉลี่ยในปีนี้อ่อนค่าลงกว่า 3% โดยกรุงไทยประเมินกรอบค่าเงินบาทปีหน้าอยู่ที่ 31.25-32.75 บาท

    ช่วงครึ่งแรกของปีน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.00-32.75 บาท และในช่วงครึ่งหลังของปีจะเริ่มขยับแข็งค่าในกรอบ 31.25-32.00 บาท จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากขึ้น และปัญหาซัพพลายเชนต่าง ๆ เริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ สิ้นปีเงินบาทน่าจะอยู่ที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์

    ปีหน้าเงินบาทจะขยับแข็งค่าเร็วมากน้อยระดับใด จะอยู่ที่ปัจจัยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตลาดคาดว่าจะเข้ามาได้ 5-6 ล้านคน และปัญหาซัพพลายเชนที่มีผลต่อต้นทุนค่าระวางเรือและค่าขนส่ง ซึ่งจะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลได้ ซึ่งระหว่างทางจะมีความผันผวนโดยจะเห็นกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าตลาดหุ้นและเก็งกำไรค่าเงิน

    ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มค่าเงินบาทปีหน้า (2565) อาจจะไม่ได้แข็งค่าได้เร็ว เนื่องจากคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตลอดปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าเฟด และทั่วโลกอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็ตาม

    ปี 2564 การที่เศรษฐกิจไทยไม่ติดลบเนื่องจากค่าเงินบาทมีส่วนช่วยภาคการส่งออก ช่วยภาคเกษตรได้ค่อนข้างมาก เพราะเงินบาทอ่อนค่าแทบจะแรงที่สุดในภูมิภาค แต่ก็ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าสูงขึ้นและนำไปสู่เงินเฟ้อด้วย ซึ่งต้องจับตานโยบายการเงินในระยะต่อไป

    โดยหากในปีหน้าเฟดขึ้นดอกเบี้ย 2-3 ครั้ง และทั่วโลกพร้อมที่จะขึ้น ธปท.จะตัดสินใจอย่างไร ซึ่งผมมั่นใจว่า ธปท.ไม่ขึ้นดอกเบี้ย แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ความน่าสนใจในสินทรัพย์ไทยจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อเนื่องไปด้วยปัจจัยแบบนี้ ค่าเงินบาทเองก็ไม่น่าจะกลับมาแข็งค่าได้เร็ว

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ราคาทองคำปรับขึ้น 100 บาท

     ราคาทองคําประจำวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 1  เมื่อเวลา 09.25 น. ปรับเพิ่มขึ้น 100 บาท เมื่อเทียบกับประกาศราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายของวันพฤหัสบดี ที่ตลอดทั้งวันมีการประกาศราคาทองทั้งหมด 2 รอบ รวมราคาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 50 บาท

      – ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 1

     – ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,950 บาท รับซื้อบาทละ 27,833.76 บาท

     – ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,450 บาท รับซื้อบาทละ 28,350 บาท

     – ราคาซื้อขายทองคำในประเทศชนิด 96.5% วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564 ประกาศครั้งที่ 2 ครั้งสุดท้าย

     – ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 28,850 บาท รับซื้อบาทละ 27,742.80 บาท

     – ราคาทองแท่ง ขายออกบาทละ 28,350 บาท รับซื้อบาทละ 28,250 บาท

     – ราคาทองคำ Spot เคลื่อนไหวที่บริเวณ 1,792 ดอลลาร์ ในขณะที่เมื่อวานนี้ ตลาดทองคำโคเม็กซ์ของสหรัฐปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้า(Thanksgiving Day)

     – ราคาทองคําฮ่องกง เปิดตลาดเช้านี้ลดลง 20 ดอลลาร์ฮ่องกง สู่ระดับ 16,680 ดอลลาร์ฮ่องกง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 415 จุด

ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ ร่วงลง 415 จุด หรือ -1.16% แตะที่ 35,334 จุด ด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันที่ 26 พ.ย. 64  เพื่อหารือเกี่ยวกับการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยไวรัสดังกล่าวมีชื่อว่า B.1.1.529 และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

        รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศระงับเที่ยวบินจาก 6 ประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นการชั่วคราว หลังมีรายงานการพบเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 6 ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี และแอฟริกาใต้ ทางด้านรัฐบาลอิสราเอลประกาศระงับเที่ยวบินจาก 7 ประเทศในทวีปแอฟริกา หลังมีรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ B.1.1.529 ในแอฟริกาใต้ โดยประเทศทั้ง 7 ที่ถูกระงับเที่ยวบินในครั้งนี้ได้แก่ นามิเบีย, เลโซโท, ซิมบับเว, บอตสวานา, เอสวาตีนี, โมซัมบิก และแอฟริกาใต้

     ทั้งนี้ นับจนถึงวันที่ 24 พ.ย. 64  ได้มีการตรวจพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวในบอตสวานา, แอฟริกาใต้ และฮ่องกง ส่วนข้อมูลการจัดลำดับทางพันธุกรรมของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าวนั้น ยังไม่ปรากฏบนแพลตฟอร์มที่ติดตามสายพันธุ์ไวรัส เช่น GISAID หรือ Outbreak.info

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

 

ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 828.38 จุด

    ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวร่วงลง 828.38 จุด หรือ -2.81% แตะที่ 28,670.90 จุด ณ เวลา 13.00 น.ตามเวลาญี่ปุ่นในวันนี้ หลังจากที่ปิดภาคเช้าดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดของวันในรอบ 1 เดือน เนื่องจากนักลงทุนพากันเทขายหุ้น ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับรายงานการพบไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้

    องค์การอนามัยโลก (WHO) เตรียมจัดการประชุมวาระพิเศษในวันนี้ (26 พ.ย.) เพื่อหารือเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า B.1.1.529 โดยไวรัสดังกล่าวถูกพบในแอฟริกาใต้ และสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันได้

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

 

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่ง Sideway ถึง Sideway up หลังเฟดมีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว

      นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up หลังคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.เมื่อคืนที่ผ่านมาระบุว่า เฟดมีความพร้อมที่จะเร่งเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว และตัวเลขการจ้างงานก็ดีขึ้นเป็นตัวสนับสนุนด้วย โดยตลาดคาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.65

        ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปรับตัวลงหลังจากที่ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ช่วงหลังมานี้ได้เห็น Fund Flow ไหลเข้ามาในตลาดในกลุ่ม TIP เป็นผลจากการมองเศรษฐกิจในปี 65 จะฟื้นตัว พร้อมให้ติดตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) จะเป็นอย่างไร และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในยุโรป รวมถึงในเอเชียด้วย

      สำหรับบ้านเรายังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ในวันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับการเปิดสถานบันเทิง จะออกมาอย่างไร เนื่องจากมีผลต่อการสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 และติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในช่วงปีใหม่จะมีอะไรบ้าง พร้อมให้แนวรับ 1,643-1,636 จุด ส่วนแนวต้าน 1,658-1,666 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสาร

     ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันพุธ  24 พ.ย. 64 ที่ผ่านมาโดยฟื้นตัวขึ้นหลังติดลบ 4 วันติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่พุ่งขึ้น แต่ตลาดปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ย่ำแย่ลงในยุโรป และแนวโน้มที่จะมีการดำเนินมาตรการจำกัดอย่างรุนแรงเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด
     – ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 479.69 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด หรือ +0.09%
     – ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,042.23 จุด ลดลง 2.39 จุด หรือ -0.03%,
     – ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,878.39 จุด ลดลง 58.61 จุด หรือ -0.37% และ
     – ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,286.32 จุด เพิ่มขึ้น 19.63 จุด หรือ +0.27%

      ตลาดหุ้นยุโรปได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคมที่พุ่งขึ้น 1.2% หลังจากหุ้นเทเลคอม อิตาเลีย ทะยานขึ้น 15.6% ขานรับข่าวที่ว่า กองทุนเคเคอาร์ของสหรัฐกำลังพิจารณาเพิ่มข้อเสนอซื้อหุ้นของบริษัท หลังจากที่วิวองดิซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ระบุว่า ข้อเสนอเริ่มแรกนั้นต่ำเกินไป

       หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มพลังงานบวกขึ้นด้วย เนื่องจากราคาทองแดงและราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น

       ท้้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นไม่มากนัก และมีแนวโน้มติดลบในสัปดาห์นี้ เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโควิด, การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาวะเงินเฟ้อ หุ้นกลุ่มเดินทางร่วงลงกว่า 1.0% โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันแล้ว

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

นักลงทุนแห่ช้อนซื้อ หลังราคาทองคำตลาดนิวยอร์กร่วงหนัก

      ราคาทองคำตลาดนิวยอร์ก เมื่อวานนี้ 24 พ.ย. 64 ปิดบวกเล็กน้อย  ได้ปัจจัยหนุนจากแรงช้อนซื้อเก็งกำไรหลังสัญญาทองคำร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยสัญญาทองคำขยับขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่เทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยหลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

      สัญญาทองคำตลาด COMEX  ได้ส่งมอบเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 50 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 1,784.3 ดอลลาร์/ออนซ์

  • สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 6.1 เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 23.496 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. เพิ่มขึ้น 11.1 ดอลลาร์ หรือ 1.15% ปิดที่ 975.3 ดอลลาร์/ออนซ์
  • สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 2.40 ดอลลาร์ หรือ 0.1% ปิดที่ 1,847.90 ดอลลาร์/ออนซ์         
         ทั้งนี้สัญญาทองคำปิดตลาดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ที่ขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ซึ่งขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 71,000 ราย สู่ระดับ 199,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2512 ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2533
 
 
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 9.42 จุด

      ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 9.42 จุด หรือ – 0.03% ปิดที่ 35,804.38 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 10.76 จุด หรือ 0.23% ปิดที่ 4,710.46 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 70.09 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 15,845.23 จุด

     นักวิเคราะห์จากบริษัท AXS Investments ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งความวิตกเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ที่แพร่ระบาดรอบใหม่ในยุโรป และกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมครั้งล่าสุด

     โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำเดือนพ.ย.เมื่อคืนนี้ โดยระบุว่า เฟดมีความพร้อมที่จะเร่งเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หากตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง

     สำหรับหุ้นนอร์ดสตรอม ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 29.03% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 39 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 56 เซนต์ นอกจากนี้ นอร์ดสตรอมระบุว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาห่วงโซ่อุปทานในช่วงก่อนเทศกาลชอปปิงในวันหยุด รวมถึงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่

     โดยหุ้นแก๊ป อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องแต่งกายรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 24.05% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ที่ระดับ 27 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 50 เซนต์ ขณะที่รายได้อยู่ที่ระดับ 3.94 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 4.44 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ พุ่งขึ้น 1.64% หุ้นซีบีอาร์อี กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 0.39% หุ้นซีทีโอ เรียลตี้ โกร้ธ บวก 0.11%

        ส่วนหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.92% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ดีดขึ้น 1.13% หุ้นอินเทล เพิ่มขึ้น 1.34% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ปรับตัวขึ้น 0.94%  หุ้นเอชพี อิงค์ พุ่งขึ้น 10.10% และหุ้นเดล เทคโนโลยีส์ พุ่งขึ้น 4.81% หลังจากทั้งสองบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 3 ขานรับความต้องการคอมพิวเตอร์พีซีที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
          หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 0.63% แม้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) ระบุว่า นายอีลอน มัสก์ ได้เทขายหุ้นเทสลาอีก 934,000 หุ้นในวันอังคาร (23 พ.ย.) คิดเป็นมูลค่าราว 1.05 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดรวมการขายหุ้นในเดือนนี้ของนายมัสก์อยู่ที่ระดับ 9.85 พันล้านดอลลาร์

         ทั้งนี้ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2564 ที่ขยายตัว 2.1% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 2.0% ในขณะที่ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 71,000 ราย สู่ระดับ 199,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. 2512 ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ทั่วไป ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 5.0% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี

      ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2533 ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.5% ในเดือนต.ค. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนก.ย. สำหรับตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันนี้ (25 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 26 พ.ย. 

 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

 

เดอะมอลล์รวมมือกับบิทคับ เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคชำระเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซี เริ่ม  30 พ.ย.64 นี้

     กลุ่มเดอะมอลล์กรุ๊ป เตรียมประกาศความร่วมมือกับ บิทคับ (BITKRUB) แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลของประเทศไทย ภายใต้ความร่วมมือ “BITKUB X The Mall Group Partnership Announcement” โดยทางเดอะมอลล์จะเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคด้วยการรับชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ภายใต้ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ซึ่งมีศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เช่น เดอะมอลล์, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มดิสทริค, สยาม พารากอน, บลูพอร์ต โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ 30 พ.ย.64 นี้

    นายสกลกรย์ สระกวี หนึ่งในผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้แบรนด์บิทคับ (Bitkub) กล่าว ว่า  ในเดือนนี้จะได้เห็นความร่วมมือระหว่างบิทคับกับพันธมิตรรายใหญ่ในประเทศไทยจากหลากหลายวงการ เพื่อช่วยกันสร้างอีโคซิสเท็มสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย 

ทั้งนี้สิ่งที่บิทคับพยายามทำ คือ การทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลใหญ่ขึ้น ด้วยการพยายามทำให้การเทรดคริปโทเคอร์เรนซีเป็นแมส แต่เน้นการขยายฐานไปยังกลุ่มคนทั่วไป เพราะเมื่อตลาดใหญ่ขึ้น มูลค่าตลาดก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 24 พฤศจิกายน 2564

ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสผันผวนทางขึ้นจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ

          นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะมีโอกาสผันผวนทางขึ้น จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ เนื่องจากความขัดแย้งเกี่ยวกับปริมาณการผลิตระหว่างสหรัฐฯกับกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน(โอเปก) เป็นปัจจัยบวกระยะสั้น ที่รัฐบาลสหรัฐจะระบายน้ำมันดิบขณะที่กลุ่มโอเปกก็พร้อมชะลอหรือระงับแผนเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน

     ทำให้วันนี้จะมีบรรยากาศเก็งกำไร ได้ sentiment กลุ่มพลังงาน หนุนตลาดขึ้นมา แต่มองว่า 6 เดือนข้างหน้าก็ควรระวังการเก็งกำไรกลุ่มพลังงาน เพราะปีหน้าเศรษฐกิจไม่ได้ฟื้นตัวจากภายนอก แต่เป็นฟื้นตัวจากเศรษฐกิจภายในประเทศ น้ำหนักการเก็งกำไรหมุนมาเป็นกลุ่มโรงกลั่น สถานีบริการน้ำมัน ส่วนถ่านหิน หลังจากที่นโยายรัฐบาลจีนเริ่มนิ่ง น่าจะเป็นปัจจัยบวกถ่านหินฟื้นตัว

      ส่วนกลุ่มไอซีที นักลงทุนต้องเริ่มระมัดระวังการลงทุนด้วยความไม่แน่นอน ในแง่ดีลควบรวมกิจการของบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) และบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ต้องใช้ระยะเวลา ขณะที่ราคาของบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ใกล้ราคาแนวต้านที่ 216 บาท ฉะนั้นกลุ่มไอซีทีมีการเคลื่อนไหวชะลอตัวให้แนวต้านที่ 1,650-1,660 จุด แนวรับที่ 1,635 จุด

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 194.55 จุด แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 194.55 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 35,813.80 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 7.76 จุด หรือ 0.17% ปิดที่ 4,690.70 จุด และดัชนีแนสแด็กปรับตัว ลง 79.62 จุด หรือ 0.50% ปิดที่ 15,775.14 จุด ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นกว่า 2% ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้นตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อย่างไรก็ดี การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้สร้างแรงกดดันต่อกลุ่มเทคโนโลยี และเป็นปัจจัยฉุดดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ

       หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.63% หุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 2.10% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 6.36% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 3.05% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.63% หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ดีดตัวสู่ระดับ 1.648% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.64% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.51% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.39% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ บวก 2.56% ซึ่งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรได้ฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง โดยหุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ร่วงลง 1.1% หุ้นเทสลา ดิ่งลง 4.14% หุ้นอินเทล ร่วงลง 1.46% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.63% หุ้นอัลฟาเบท ลดลง 0.36%  หุ้น Zoom Video Communications ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วงลง 14.71% หลังจาก Zoom คาดการณ์ว่า รายได้ของบริษัทอาจชะลอตัวลงในวันข้างหน้า สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิตรายงานว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนพ.ย.ของสหรัฐอยู่ที่ระดับ 59.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 58.4 ในเดือนต.ค. แต่ดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้นเดือนพ.ย.อยู่ที่ 57.0 และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 58.7 ในเดือนต.ค. ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนต.ค., ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564 (ประมาณการครั้งที่ 2), ยอดขายบ้านใหม่เดือนต.ค. รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนต.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนต.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 2-3 พ.ย.

      ทั้งนี้ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันพฤหัสบดีที่ 25 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ที่ 26 พ.ย.

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

เอลซัลวาดอร์มีแผนสร้าง "เมืองบิตคอยน์"

         เว็บไซต์ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีรายงานว่า การประกาศของนายนายิบ บูเคเล ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ มีขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 21 พ.ย.64  โดยเมืองบิตคอยน์ของเอลซัลวาดอร์จะมีทั้งย่านที่พักอาศัย ย่านการค้า สถานบันเทิง ร้านอาหาร และสนามบิน โดยเมืองจะเริ่มการก่อสร้างในปี 2565 ใกล้ภูเขาไฟคอนชากัวทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ นอกจากนี้ ภายในเมืองดังกล่าวยังจะไม่เรียกเก็บภาษีใด ๆ นอกจากภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย

      ขณะเดียวกัน รัฐบาลเอลซัลวาดอร์มีแผนร่วมมือกับบริษัทบล็อกสตรีม ซึ่งเป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้านสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อระดมทุนเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ผ่านพันธบัตรบิตคอยน์ โดยครึ่งหนึ่งของเงินทุนระดับพันล้านนี้จะนำไปใช้ซื้อบิตคอยน์ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนำไปใช้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขุดเหมืองบิตคอยน์

    ทั้งนี้ ราคาบิตคอยน์ร่วงลงราว 16% จากสถิติสูงสุดที่ทำได้เมื่อต้นเดือนนี้ที่ 68,990.90 ดอลลาร์ แต่หากเทียบกับช่วงต้นปีแล้ว ราคายังคงพุ่งสูงมากกว่า 90%

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองวันนี้ 24 พ.ย.64 เพิ่มขึ้น 50 บาท

       ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 (ครั้งที่ 1) เมื่อเวลา 09.28 น. เพิ่มขึ้น 50  บาท

     ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 24 พฤศจิกายน 2564 (ครั้งที่ 1) เมื่อเวลา 09.28 น. เพิ่มขึ้น 50  บาท

  • ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,150.00 บาท ขายออกบาทละ 28,250.00 บาท
  • ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,636.68  บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท
  • ราคาทองต่างประเทศอยู่ระดับ 1,793.50ดอลลาร์/ออนซ์  ณ อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดอยู่ที่ 33.25 บาท/ดอลลาร์

     ราคาทอง ประจำวันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 8 ครั้ง ราคาลดลง 550 บาท โดยเมื่อเวลา 16.43 น. 

  • ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,100 บาท ขายออกบาทละ 28,200.00 บาท
  • ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,591.20 ขายออกบาทละ 28,700.00 บาท
  • ราคาทองต่างประเทศอยู่ที่ 1,797.50 ดอลลาร์/ออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดที่ 33.10 บาท/ดอลลาร์

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

วิตกโควิด-ล็อกดาวน์ฉุดเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง

      ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงในวันอังคาร ที่ 23 พ.ย. 64  สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และเป็นวันที่ตลาดร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 479.25 จุด ร่วงลง 6.21 จุด หรือ -1.28%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,044.62 จุด ลดลง 60.38 จุด หรือ -0.85%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,937.00 จุด ลดลง 178.69 จุดหรือ -1.11% และ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,266.69 จุด เพิ่มขึ้น 11.23 จุด หรือ +0.15%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลง แต่หุ้นกลุ่มพลังงานและก๊าซ และกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยหุ้นกลุ่มพลังงานได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการที่นักวิเคราะห์บ่งชี้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในเอเชีย

     โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในยุโรป ดิ่งลง 3.4% และปรับตัวลงวันเดียวมากที่สุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซนต์ในรอบ 2 เดือน เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดใจของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

   ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้เลือกนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อไป ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 ขณะที่บรรดาเทรดเดอร์ในตลาดเงินได้ปรับตัวรับโอกาส 100% ที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.10% ในเดือนธ.ค. 2565 บรรดานักลงทุนได้เทขายหุ้นจากความวิตกว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 4 นั้น จะสกัดกั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของยุโรปในช่วงเวลาที่ธนาคารกลางต่าง ๆ กำลังวางแผนที่จะถอนมาตรการสนับสนุนด้านการเงิน หุ้นกลุ่มเดินทาง ร่วงลง 1.8% หลังสหรัฐออกคำเตือนการเดินทางไปยังเยอรมนีและเดนมาร์ก เนื่องจากยอดติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น

    ไอเอชเอส มาร์กิตเปิดเผยผลสำรวจบ่งชี้ว่า ธุรกิจของยูโรโซนขยายตัวเกินคาดในเดือนพ.ย. แต่โรคโควิด-19 ที่ระบาดรอบใหม่และการกำหนดข้อจำกัดครั้งใหม่ รวมถึงแรงกดดันด้านราคา มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางธุรกิจในเดือนธ.ค.

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันนี้

     1. GFPT หรือ กรุงศรี  “ซื้อ”เป้าสูงสุด IAA Consensus 15 บาท ราคาหุ้นลดลงสะท้อนผลการดำเนินงานที่ขาดทุน 87 ล้านบาทใน Q3/64 ไปแล้ว แนะดักซื้อเก็งกำไรหลังจากราคาไก่ในประเทศเริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 35 บาท/ก.ก. จากเฉลี่ย 30 บาท/กก. ในเดือน ต.ค. และบางพื้นที่ปรับขึ้นเป็น 43 บาท/ ก.ก.

     2. EA หรือ ฟินันเซีย ไซรัส “ซื้อ”เป้า 88 บาท แนวโน้มกำไร Q4/64 เติบโตต่อเนื่องจากการส่งมอบรถ E-Bus และการ COD โรงงานแบตเตอรี่ต้นเดือน ธ.ค.เฟสแรก 1 GWh ที่อยู่ใน Free zone การเปิดตลาดก่อนใครจะทำให้บริษัทสร้างฐานลูกค้าได้ก่อนใคร ขณะเดียวกันสถานีชาร์จทั้งรถและเรือไฟฟ้ามีมากสุดในประเทศ 427 สถานี กว่า 1.7 พันหัวจ่าย เป็นการสร้าง Eco system ที่ครบทั้ง R&D ระบบ Fast charge รองรับรถ EV ทุกค่าย ด้วยต้นทุนที่ต่ำ โดยยังคาดกำไรปี 64-66 +57%, +19%, +14% ตามลำดับ

     3. SAT หรือ เคทีบีเอสที เป้าเชิงกลยุทธ์ 24 บาท ยอดขาย Q4/64 โอกาสเร่งตัวขึ้น ตาม Demand กลุ่ม Auto เพิ่มขึ้นหลังโควิด-19 คลี่คลาย และ Line การผลิตกลับมา และยอดผลิตรถยนต์นับตั้งแต่ ก.ย.-ต.ค. เร่งตัวขึ้น ปลายปีมีงาน Motor Show ปี 2565 คาดกลุ่ม Auto จะเติบโตโดดเด่น EV จะเข้าหนุน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 1 พันลบ. และ 1.1 พันลบ. +176%YoY, +10.5%YoY ตามลำดับ

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

เล็งกลุ่มพลังงานหนุนหลังราคาน้ำมัน-ถ่านหินฟื้น หุ้นไทยแนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์

     นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งไซด์เวย์ หลังจากที่กองทุนและนักลงทุนต่างชาติได้กลับมาซื้ออีกครั้ง และราคาน้ำมันก็ปรับตัวขึ้นได้แม้จะยังไม่มาก หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจปรับแผนการผลิต หากสหรัฐและพันธมิตรทำการระบายน้ำมันออกจากคลังสำรอง ส่งผลให้ราคาน้ำมันฟื้นตัวขึ้น และน่าจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานในวันนี้

      ประธานาธิบดีโจ ไบเดนตัดสินใจเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวล ให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 ทำให้ตลาดสหรัฐฯตอบรับในเชิงบวก และอัตราผตตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) ก็ปรับขึ้นมาที่ 1.63% แสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินมีการย้ายไปสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และกลุ่มเทคโนโลยีก็ปรับตัวลง ส่งผลให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงไปด้วย ส่วนบ้านเราเงินบาทอ่อนค่ามาที่ 33 บาท/ดอลลาร์ฯ

       ตลาดฯยังมีโมเมนตัมบวกอยู่ แต่อาจจะเป็นลักษณะของการสลับกลุ่มเล่น โดยล่าสุดราคาถ่านหินพุ่งขึ้น 6.6% สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ อาจจะมาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มถ่านหินได้ ซึ่งมองหุ้น BANPU น่าจะกลับมาปรับตัวขึ้นได้ ส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็ลดลงทำให้ไม่น่าเป็นกังวล อย่างไรก็ดีให้ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศสำคัญที่จะทยอยออกมา พร้อมให้แนวรับ 1,645-1,640 จุด ส่วนแนวต้าน 1,656-1,660 จุด

         ประเด็นในการพิจารณาหุ้น 

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (22 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,619.25 จุด เพิ่มขึ้น 17.27 จุด (+0.05%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,682.94 จุด ลดลง 15.02 จุด (-0.32%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,854.76 จุด ลดลง 202.68 จุด (-1.26%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 262.35 จุด หรือ -1.05% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 1.57 จุด หรือ -0.04%
    ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้ (23 พ.ย.) เนื่องในวันขอบคุณแรงงาน
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (22 พ.ย.)1,649.54 จุด เพิ่มขึ้น 4.48 จุด (+0.27%)
  • นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,722.49 ล้านบาท เมื่อวันที่ 22 พ.ย.64
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (22 พ.ย.) ปิดที่ระดับ 76.75 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ หรือ 1%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (22 พ.ย.) อยู่ที่ 3.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 33.02 ดอลล์แข็ง หลังปธ.เฟดได้ต่อวาระ คาดกรอบ 32.90-33.10
  • ธปท.เปิดมาตรการช่วยลูกหนี้เพิ่มเติม เปิดให้ “รวมหนี้” ข้ามแบงก์ โดยใช้หลักประกันจากสินเชื่อบ้าน ช่วยลดภาระดอกเบี้ยเหลือไม่เกิน 10% จากเดิม 25% หวังช่วยลูกหนี้รอดวิกฤติ พร้อมสั่งห้ามแบงก์คิดค่าธรรมเนียมโปะหนี้เอื้อรีไฟแนนซ์
  • สภาพัฒน์ชี้ไตรมาส 3 คนไทยว่างงาน 8.7 แสนคน คิดเป็น 2.25% มากกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเด็กจบใหม่ 10% หนี้ครัวเรือนยังสูง 89% กังวลหากไม่มีมาตรการรัฐเข้ามาอีกอาจมีคนจนเพิ่ม ความเหลื่อมล้ำถอยหลัง 7 ปี ขณะที่แบงก์ชาติหนุนรวมหนี้ใช้บ้านค้ำ
  • รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ยอดการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ต.ค.64 มีการส่งออก 22,738 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.4% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.63 ส่วนการนำเข้า 23,108.9 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 34.6% คิดเป็นเงินบาท 772,540 ล้านบาท เพิ่ม 43.3% ขาดดุลการค้า 370.2 ล้านดอลลาร์ฯ หรือ 22,524.01 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ปี 64 การส่งออกมีมูลค่า 222,736.4 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 15.7% การนำเข้ามูลค่า 221,089.8 ล้านดอลลาร์ฯ เพิ่ม 31.3% เกินดุลการค้า 1,646.6 ล้านดอลลาร์ฯ
  • บอร์ดทรู-ดีแทคเคาะแผนควบรวมแลกหุ้นตั้งบริษัทใหม่เปิดสูตรแลกหุ้น 1 หุ้นดีแทคแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 24.53 หุ้น ราคาหุ้นละ 47.76 บาท ส่วนทรู 1 หุ้นแลกหุ้นบริษัทใหม่ได้ 2.40 หุ้น ราคาหุ้นละ 5.09 บาท “ศุภชัย-ซิคเว่” เปิดวิสัยทัศน์ควบรวมสู่บริษัทเทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดในอีก 20 ปีข้างหน้า โชว์รายได้รวมกัน 2.1 แสนล้านบาท กำไร 8 หมื่นล้านบาท

 

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ดาวโจนส์ปรับขึ้น 17 จุด

     ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในกรอบแคบ 17.27 จุด ปิดที่ 35,691.25 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลง 0.32% ปิดที่ 4,682.94  จุดและดัชนีแนสแด็ก ร่วงลง 1.26% ปิดที่ราคา 15,854.76 จุด

     โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปิดทำการในวันพฤหัสบดี ที่ 25พ.ย.64 เนื่องในเทศกาลขอบคุณพระเจ้า และจะเปิดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันศุกร์ ที่  26 พ.ย. 64 หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ขานรับการเสนอชื่อนายพาวเวลล์ให้ดำรงตำแหน่งประธานเฟดอีกสมัย เนื่องจาก นางเบรนาร์ด เป็นผู้ที่สนับสนุนการออกกฎระเบียบควบคุมภาคธนาคารอย่างเข้มงวด นักลงทุนหวังว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางนโยบายสำคัญๆใดๆ

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ได้ประกาศเสนอชื่อนายเจอโรม พาวเวลล์ ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เป็นสมัยที่ 2 นอกจากนี้ยังได้เสนอชื่อให้นางลาเอล เบรนาร์ด ตัวเต็งอีกคน ดำรงตำแหน่งรองประธานเฟด 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

   

โบรกแห่อัพราคาหุ้นสื่อสาร

      ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า  ราคาหุ้นบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เปิดที่ 4.74 บาท ลดลง 0.02 บาท หรือ -0.42%  มูลค่าซื้อขายประมาณ 438.57  ล้านบาท ล่าสุดเมื่อเวลา 10.18 น. ราคาจะปรับขึ้นมา 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท หรือ +0.84%  จากราคาปิดเมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 4.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.44 บาท หรือบวกเพิ่ม 10.19%

    หุ้น บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) เปิดตลาดยืนที่ 45.00 บาท ทรงตัวจากเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ก่อนที่จะปรับมาอยู่ที่ 45.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ +0.56%  จากเมื่อวานนี้ ( 22 พ.ย. ) ปิดที่ 45.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.75 บาท หรือบวก 9.09%  มูลค่าการซื้อขาย 4,054.40 ล้านบาท
        หุ้น บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เปิดตลาดที่ 209.00 บาท เท่ากับราคาปิดเมื่อวัที่ 22 พ.ย. 64 ล่าสุด ราคาปรับขึ้นมาอยู่ที่ 210.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +0.48%

        นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์  บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจับมือระหว่าง TRUE กับ DTAC ควบรวมจะทำให้เงินลงทุนลดลง จากการประหยัดต่อขนาด การแชร์โครงข่ายกัน ในส่วนกำไรสุทธินั้นมองว่ามีโอกาสที่จะเป็นบวกได้แต่อาจจะต้องใช้เวลา สาเหตุมาจากภาระดอกเบี้ยของ TRUE ที่สูงถึงปีละ 1.4 หมื่นล้านบาท DTAC มีภาระดอกเบี้ย 4,000 ล้านบาท ขณะที่ ADVANC จ่ายดอกเบี้ย 2,000 ล้านบาท ดังนั้นด้วยขนาดที่ใหญ่หลังรวมกันก็จะทำให้มีเครดิตที่มากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินถูกลง สามารถออกตราสารหนี้ใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์รับดอกเบี้ยต้นทุนต่ำลงได้ ขณะที่การแข่งขันอาจจะไม่ได้รุนแรงมาก

กลยุทธ์การลงทุนในเชิงเก็งกำไร นายกิจพณ มองว่า ทั้ง TRUE และ DTAC ราคาจะขึ้นไปเกินเทนเดอร์ ที่ระดับ 5.09 บาท และ 47.76 บาท ตามลำดับ เนื่องจากหากประเมินมาร์เก็ตแคปของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน ที่ราคาเทนเดอร์จะมีมาร์เก็ตแคป 2.8 แสนล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่ามาร์เก็ตแคปของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) เบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม ที่อยู่ระดับ 6 แสนล้านบาทค่อนข้างมาก มองว่า บริษัทใหม่ของ TRUE และ DTAC ไม่น่าที่จะต่ำกว่า ADVANC จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น จึงมองว่าราคาในที่สุดน่าจะเกินกว่าราคาเทนเดอร์ ขณะที่ ADVANC จะได้ประโยชน์ในด้านของการแข่งขันที่ไม่รุนแรง แม้ว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่ขึ้น แต่เนื่องจากคู่แข่งมีเพียงแค่  2 ราย การเจรจาต่างๆ จึงไม่ได้ยากเหมือนอดีตที่มี 3 ราย การประมูลใบอนุญาตต่างๆ ก็จะไม่สูงมาก และมองว่ากลุ่มสื่อสารจะต่อยอด ไปยังธุรกิจอื่นมากขึ้น เช่น ธุรกิจการเงิน

บล.กสิกรไทย  ( KS )  เผยผ่านบทวิเคราะห์ว่า ICT Sector จุดเริ่มต้นของการเติบ โตของอุตสาหกรรม หลัง DTAC และ TRUE ยืนยันถึงการหารือเบื้องต้นในการควบรวมกิจการและเปิดเผยข้อเสนอสิทธิการเป็นเจ้าของในบริษัทใหม่ที่ 27.3%/29% ดังนั้นจึงเพิ่มอัตราความเป็นไปได้ของดีลรายการนี้จาก 25% เป็น 80% และจัดสรรมูลค่ารวมที่คาดจะเกิดขึ้นต่อราคาเป้าหมายของคู่แข่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด

        นอกจากนี้ได้ปรับเพิ่มมุมมองต่อกลุ่มจากกลางเป็นบวกเพราะเราปรับเพิ่มคำแนะนำ DTAC/TRUE จาก “ขาย”/”*ถือ” เป็น “ซื้อ”/”ซื้อ” โดยมูลค่าจากการผนึกกำลัง เมื่อข้อตกลงใกล้จะได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เราคาดว่าราคาหุ้นของผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือทั้งหมดจะเริ่มปรับตัวขึ้น จากการคำนวณของเรา แสดงให้เห็นถึง upside ของมูลค่าหุ้น ADVANC ซึ่งน่าจะอยู่ที่ประมาณ 13% ของมูลค่ายุติธรรมจากธุรกิจปัจจุบัน และ 23% จากกิจการที่ควบรวมกัน ซึ่งหักด้วยต้นทุนการลงทุนที่คาดการณ์ไว้

     กำหนด 4 ด้านของการสร้างมูลค่ารวม

     1.  การเพิ่มรายได้

     2.  การลดต้นทุน

     3. การลด capex

     4. มูลค่าที่เพิ่มสูงขึ้น

     ทั้งนี้ KS ได้เพิ่มมุมมองต่อทั้งกลุ่มจากกลางเป็นบวกเพื่อสะท้อนอัตราความเป็นไปได้ที่ 80% ที่คาดว่าดีลรายการนี้จะเกิดขึ้น เราเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ ADVANC ขึ้น 8.5% หรือจาก 207.24 บาท เป็น 224.94 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ”  เพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ DTAC ขึ้น 20.5% หรือจาก 36.47 บาท เป็น 43 97 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” เราเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2565 ของ TRUE ขึ้น 23% หรือจาก 4.23 บาท เป็น 5.20 บาท และเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” โดยมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ 1. สงครามราคา 2. ไม่มีดีล M&A และ 3. การประมูลคลื่นความถี่ 3.5 GHz

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

เคาะราคาหุ้นเฮลท์ลีด 9.80 บาท

     บมจ.เฮลท์ลีด (HL) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ที่ 9.80 บาท จำนวนเสนอขาย 72 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.50 บาท คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมด โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อได้ในวันที่ 25-26 และ 29 พ.ย.นี้ และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ในวันที่ 3 ธ.ค.64 ใช้ชื่อย่อ HL ในหมวดธุรกิจบริการ วัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทฯจะนำเงินไปขยายสาขาและปรับปรุงสาขา รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยได้ตั้งเป้าหมายที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่ง เน้นทำเลแหล่งชุมชนและที่อยู่อาศัย

   

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ HL เปิดเผยว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ HL ที่หุ้นละ 9.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 37.57 เท่า ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

พร้อมกันนี้มีผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย บล.โกลเบล็ก บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.ทรีนีตี้ บล. โนมูระ พัฒนสิน บล.บียอนด์ และ บล.เอเซีย พลัส

“การกำหนดราคาไอพีโอที่ระดับ 9.80 บาท/หุ้น ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน HL ถือเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมาก เนื่องจากเป็นร้านขายยาค้าปลีกในรูปแบบ Chain Drug Store รายแรกที่มีความพร้อมสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น มีความสามารถในการทำกำไร และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง โดยอัตรากำไรขั้นต้นในระดับสูงถึง 22% ขณะที่ยอดขายเติบโตทุกปี

ปัจจุบันมีหนี้สินต่อทุนระดับ 1.6 เท่า ส่วนมากเป็นหนี้ที่ไม่มีภาระดอกเบี้ย ทำให้มีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่ง และเมื่อเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนแล้ว จะทำให้มีแหล่งเงินทุนซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการต่อยอดธุรกิจผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง ทำให้ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะยาว” นายสมภพ กล่าว

       ภก.ธัชพล ชลวัฒนสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HL กล่าวว่าภาพรวมผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 3/64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 25.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 126.82% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 11.13 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 355.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.08% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 255.95 ล้านบาท

ส่วนงวด 9 เดือนของปี 64 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 57.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.85% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 38.65 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 912.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น14.57% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 796.67 ล้านบาท

ปัจจัยที่สนับสนุนให้กำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากมียอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง ยอดขายต่อสาขาเดิมมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งแนวโน้มการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญมากขึ้น ตลอดจนเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องมียอดขายที่เติบโตมากขึ้นอีกด้วย ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มสูงขึ้นจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้มีอำนาจต่อรองกับ Supplier มากขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น

     ทั้งนี้การเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของ HL ได้อีกมาก เพราะทำให้มีแหล่งทุนเพิ่มศักยภาพในการขยายสาขาได้ต่อเนื่องในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทฯตั้งเป้าที่จะขยายสาขาปีละ 4-5 แห่งในพื้นที่ของกทม.เป็นหลัก จากนั้นก็จะกระจายให้ครอบคลุมไปทั่วเขตปริมณฑลตามหัวเมืองที่สำคัญ ส่วนใหญ่ขนาดพื้นที่ต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 80-150 ตารางเมตร และเมื่อมีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมี 26 สาขา ก็จะผลักดันยอดขายเติบโต ทำให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้น 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์