LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564

หุ้นเด่นประจำวันที่ 22 พ.ย.64

TRUE- DTAC เปิดตลาด หุ้นพุ่งเกิน 10%

      รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ราคาหุ้น  บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) เปิดที่ 4.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.48 บาท หรือบวก 11.11% มูลค่าซื้อขายประมาณ 1,420 ล้านบาท 

       โดยปรับขึ้นสูงสุดที่ 4.84  บาท เพิ่มขึ้น 12.04% และต่ำสุดที่ 4.74 บาท เพิ่มขึ้น 9.72% จากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 4.32 บาท ราคาปรับสูงสุดที่ 4.44 บาท ต่ำสุดที่ 4.26 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,065.56 บาท

        ด้านบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) (DTAC) เปิดที่ 45.50 บาท เพิ่มขึ้น 4.25 บาท หรือเพิ่ม 10.30% มูลค่าซื้อขาย 1,213 ล้านบาท ราคาปรับขึ้นสูงสุดที่ 46.00  บาท เพิ่มขึ้น 4.75  บาท หรือบวก 11.51% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 44.75 บาท เพิ่ม 3.50  บาทหรือบวก 8.48% จากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ปิดที่ 41.25 บาท ราคาสูงสุดที่ 42.50 บาท และต่ำสุดที่ 40.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2,115.58 ล้านบาท

       ในวันนี้  นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานกรรมการ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะแถลงข่าวร่วมกับ นายซิคเว่ เบรกเก้ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มเทเลนอร์ กรณีการควบรวมกิจการระหว่างทรูกับดีแทค

      ตั้งแต่ต้นปี 2564   ราคาหุ้น TRUE ปรับเพิ่มขึ้น 0.88 บาท หรือ 25.58% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 3.00 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 4.44 บาท ส่วน DTAC ปรับเพิ่มขึ้น 8.00 บาท หรือ 24.06% ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 28.75 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 43.50 บาท  

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองคำวันนี้ทรงตัว

       ราคาทองวันนี้ สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.28 น. ทรงตัว ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,650.00 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,136.96 บาท ขายออกบาทละ 29,250.00 บาท

    ขณะที่ราคาทอง ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 1 ครั้ง ลดลง 100 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,650.00 บาท ขายออกบาทละ 28,750.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,136.96 บาท ขายออกบาทละ 29,250.00 บาท

      รวมถึงราคาทองเมื่อวันที่  19 พฤศจิกายน 2564 สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 4 ครั้ง เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,750.00 บาท ขายออกบาทละ 28,850.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 28,227.92 บาท ขายออกบาทละ 29,350.00 บาท

       สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 9.8 ดอลลาร์ หรือ 0.53% ปิดที่ 1,851.6 ดอลลาร์/ออนซ์ และปรับตัวลงราว 0.9% ในรอบสัปดาห์นี้

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

5 ธนาคาร ไปต่อไม่ไหว ลดสาขาเซ่นโควิด 

       ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 จนถึง ก.ย. 2564 จำนวนสาขาและจุดให้บริการในประเทศของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการปรับลดลงจำนวน 664 สาขา จากรวม 6,809 สาขา เหลือ 6,145 สาขา โดย 5 ธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดสาขามากสุดในช่วงโควิด-19 ระบาด คือ 

        1. ธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาที่ปรับลดลงมากสุดที่ 201 สาขา จาก 1,034 สาขา เหลือ 833 สาขา

       2. ธนาคารกรุงไทยลดลง 79 สาขา จาก 1,105 สาขา เหลือ 1,026 สาขา 

       3 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับลดลง 37 สาขา จาก 703 สาขา เหลือ 666 สาขา

       4.  ธนาคารกสิกรไทยลดลง 31 สาขา จาก 894 สาขา เป็น 863 สาขา 

       5. ธนาคารกรุงเทพลดลง 30 สาขา จาก 1,148 สาขา เหลือ 1,118 สาขา ขณะที่ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี มีจำนวนสาขาปรับเพิ่มขึ้น 252 สาขา จาก 401 สาขา เป็น 653

    นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัย  ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัยพฤติกรรมการผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคารที่เปลี่ยนไปใช้ออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธนาคารลดน้ำหนักเรื่องของสาขาลง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มตัวแทนธนาคาร (banking agent) จุดให้บริการและช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้งมีสูงกว่าจำนวนประชากรแล้วโดยธรรมชาติเมื่อสาขาปรับลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องปรับลดลง หรือถูกหมุนไปทำงานด้านอื่น ๆ แทน รวมถึงจะเห็นภาพธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ หันไปใช้วิธีจ้างพนักงานเอาต์ซอร์ซแทนพนักงานประจำมากขึ้นเพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวและลดต้นทุน แต่ยังคงเห็นธนาคารคุมเข้มเรื่องเกณฑ์บริหารความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (market conduct) เป็นต้น  การแข่งขันของแบงก์ต่อไปจะต้องรวดเร็ว สะดวกยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าสาขาจะไม่หายไป แต่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธุรกรรมที่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นธุรกรรมแบบเดย์ทูเดย์ ฝากถอนโอนจ่ายจะไปอยู่บนแอปออนไลน์หมด สำหรับสาขาที่ลดลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่มีสาขาที่ความหนาแน่นมากเกินไป และเชื่อว่าแบงก์มีการรีวิวสม่ำเสมอ หากพื้นที่ไหนกลับมาเป็นพื้นที่ธุรกิจแบงก์ก็คงพิจารณากลับมาเปิดได้

      นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

โดยช่องทางสาขาก็ยังมีความสำคัญในการให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและธุรกิจ เช่น บริการสินเชื่อ การขอรับคำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าแก้ปัญหา ซึ่งการมีสาขาที่ครอบคลุมยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการช่องอื่น ๆ สาขาจึงยังมีบทบาท ทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และธนาคารก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในสาขาด้วย

      ทั้งนี้การปรับลดสาขา อีกด้านหนึ่งธนาคารก็มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาขาธนาคารมากขึ้น นอกจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท เอช เซม มอเตอร์ โดยนำร่องใช้พื้นที่สาขาธนาคาร 12 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ “H SEM Power Station” สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นการใช้สาขาธนาคารมากกว่าการทำธุรกรรมการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งประกอบด้วยสาขาสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน สาขาถนนรางน้ำ สาขาสี่แยกวังหิน สาขาสุขุมวิท 101 สาขาคลองจั่น สาขาบางปะกอก สาขาท่าพระ สาขาถนนอโศก-ดินแดง สาขาสมุทรปราการ สาขาบางเมฆขาว สาขาโพธิ์สามต้น และสาขาถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์ธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในระยะต่อไปอาจจะเป็นการเพิ่มธุรกิจใหม่ของธนาคาร

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

       ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. พบว่า ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2562 จนถึง ก.ย. 2564 จำนวนสาขาและจุดให้บริการในประเทศของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีการปรับลดลงจำนวน 664 สาขา จากรวม 6,809 สาขา เหลือ 6,145 สาขา โดย 5 ธนาคารพาณิชย์ที่มีการปรับลดสาขามากสุดในช่วงโควิด-19 ระบาด คือ 

        1. ธนาคารไทยพาณิชย์มีจำนวนสาขาที่ปรับลดลงมากสุดที่ 201 สาขา จาก 1,034 สาขา เหลือ 833 สาขา

       2. ธนาคารกรุงไทยลดลง 79 สาขา จาก 1,105 สาขา เหลือ 1,026 สาขา 

       3 ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปรับลดลง 37 สาขา จาก 703 สาขา เหลือ 666 สาขา

       4.  ธนาคารกสิกรไทยลดลง 31 สาขา จาก 894 สาขา เป็น 863 สาขา 

       5. ธนาคารกรุงเทพลดลง 30 สาขา จาก 1,148 สาขา เหลือ 1,118 สาขา ขณะที่ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ทีทีบี มีจำนวนสาขาปรับเพิ่มขึ้น 252 สาขา จาก 401 สาขา เป็น 653

    นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัย  ธนาคารพาณิชย์ของไทยมีการปรับลดสาขาลงอย่างต่อเนื่องและเร็วขึ้น จากเดิมแต่ละปีจะลดลงราว 200 แห่ง แต่ปัจจุบันทะลุ 300 แห่งต่อปีแล้ว ซึ่งมาจากหลายปัจจัยพฤติกรรมการผู้บริโภคและลูกค้าของธนาคารที่เปลี่ยนไปใช้ออนไลน์มากขึ้น ทำให้ธนาคารลดน้ำหนักเรื่องของสาขาลง เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มตัวแทนธนาคาร (banking agent) จุดให้บริการและช่องทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนบัญชีโมบายแบงกิ้งมีสูงกว่าจำนวนประชากรแล้วโดยธรรมชาติเมื่อสาขาปรับลดลงและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทมากขึ้น จำนวนพนักงานก็ต้องปรับลดลง หรือถูกหมุนไปทำงานด้านอื่น ๆ แทน รวมถึงจะเห็นภาพธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ หันไปใช้วิธีจ้างพนักงานเอาต์ซอร์ซแทนพนักงานประจำมากขึ้นเพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวและลดต้นทุน แต่ยังคงเห็นธนาคารคุมเข้มเรื่องเกณฑ์บริหารความเสี่ยงตามหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เช่น การให้บริการอย่างมีธรรมาภิบาล (market conduct) เป็นต้น  การแข่งขันของแบงก์ต่อไปจะต้องรวดเร็ว สะดวกยิ่งขึ้น แต่เชื่อว่าสาขาจะไม่หายไป แต่จะไปตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธุรกรรมที่ซับซ้อน แต่ถ้าเป็นธุรกรรมแบบเดย์ทูเดย์ ฝากถอนโอนจ่ายจะไปอยู่บนแอปออนไลน์หมด สำหรับสาขาที่ลดลง ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่มีสาขาที่ความหนาแน่นมากเกินไป และเชื่อว่าแบงก์มีการรีวิวสม่ำเสมอ หากพื้นที่ไหนกลับมาเป็นพื้นที่ธุรกิจแบงก์ก็คงพิจารณากลับมาเปิดได้

      นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การพิจารณาควบรวมสาขาเป็นไปตามแผนการปรับตัวของธนาคาร เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเติบโตของดิจิทัล ซึ่งการระบาดของโควิด-19 ในช่วง 2 ปีนี้เป็นแรงผลักดันให้เห็นการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น โดยช่องทางดิจิทัลสามารถเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น

โดยช่องทางสาขาก็ยังมีความสำคัญในการให้บริการลูกค้าทั้งรายย่อยและธุรกิจ เช่น บริการสินเชื่อ การขอรับคำแนะนำ และช่วยเหลือลูกค้าแก้ปัญหา ซึ่งการมีสาขาที่ครอบคลุมยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้บริการช่องอื่น ๆ สาขาจึงยังมีบทบาท ทั้งในแง่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริการ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า และธนาคารก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรในสาขาด้วย

      ทั้งนี้การปรับลดสาขา อีกด้านหนึ่งธนาคารก็มีการสร้างมูลค่าเพิ่มจากสาขาธนาคารมากขึ้น นอกจากการทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น ล่าสุด ธนาคารกสิกรไทยได้ร่วมมือกับพันธมิตรบริษัท เอช เซม มอเตอร์ โดยนำร่องใช้พื้นที่สาขาธนาคาร 12 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ “H SEM Power Station” สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ถือเป็นการใช้สาขาธนาคารมากกว่าการทำธุรกรรมการเงินเพียงอย่างเดียว ซึ่งประกอบด้วยสาขาสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน สาขาถนนรางน้ำ สาขาสี่แยกวังหิน สาขาสุขุมวิท 101 สาขาคลองจั่น สาขาบางปะกอก สาขาท่าพระ สาขาถนนอโศก-ดินแดง สาขาสมุทรปราการ สาขาบางเมฆขาว สาขาโพธิ์สามต้น และสาขาถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์ธนาคารกสิกรไทยที่มุ่งสนับสนุนลูกค้าก้าวสู่เศรษฐกิจการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในระยะต่อไปอาจจะเป็นการเพิ่มธุรกิจใหม่ของธนาคาร

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

มูลค่ามหาศาลชิงตลาดน้ำวิตามินคึกคัก

       ดร.ปพนธ์ รัตนชัยกานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจอาหาร และคอฟฟี่ เฮาส์ บริษัท ทรู ไลฟ์สไตล์ รีเทล จำกัด และบริษัท เบคเฮาส์ จำกัด ผู้บริหารร้าน “ทรู คอฟฟี่” เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทต่อยอดธุรกิจ FMCG ในกลุ่มเครื่องดื่ม ด้วยการเปิดตัว True Vitamin Water น้ำผสมวิตามินและแร่ธาตุ 2 รสชาติ ได้แก่ น้ำวิตามินกลิ่นเอ็กโซติก ฟรุต และน้ำวิตามินกลิ่นส้มหอมสดชื่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่จะมาคืนความสดชื่นให้ร่างกาย มีนักเตะชื่อดังจากสโมสรฟุตบอล ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด “มิก้า ชูนวลศรี” เป็นพรีเซ็นเตอร์

        เพื่อเจาะเทรนด์ไลฟ์สไตล์ครอบคลุมเซ็กเมนต์ ทั้งแอ็กทีฟ บิวตี้ แทรเวล เกมเมอร์ และสตาร์ตอัพ ที่รักสุขภาพ โดยเบื้องต้นเน้นวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น และทรู คอฟฟี่ ทุกสาขาทั่วประเทศ

      เรานำเข้าวิตามินและแร่ธาตุจากแหล่งวัตถุดิบจากสวิตเซอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์ ผ่านกระบวนการผลิตมาตรฐานคุณภาพ กับเทคโนโลยีระบบเติมไนโตรเจน ทำให้สามารถเก็บรักษาคุณค่าของวิตามินและแร่ธาตุได้คงที่ และมั่นใจว่าจะตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของทุกกลุ่มเป้าหมายได้

      นอกจากการเปิดตัวน้ำดื่มผสมวิตามินของผู้ประกอบการรายใหม่ดังกล่าวแล้ว ที่ผ่านมายังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนที่หันมารุกตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินด้วยเช่นกัน เริ่มจากบริษัท บางกอก เชน เมเนจเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ที่ได้เปิดตัวน้ำดื่ม “เกษมราษฎร์ วิตามิน แอนด์ มิเนอรัล วอเตอร์” เมื่อช่วงต้นไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โดยชูจุดขายของการเป็นน้ำดื่มวิตามินบี ซี และดี รวม 9 ชนิด และแร่ธาตุ 2 ชนิด พร้อมด้วยพรีไบโอติก โดยวางจำหน่ายผ่านเวนดิ้งแมชชีนตามสาขาต่าง ๆ รวมทั้งมีทำการตลาดผ่านมาร์เก็ตเพลซรายใหญ่ อาทิ ช้อปปี้ ด้วย

ปิยะเวท วิตามินดี วอเตอร์” เพื่้อรองรับความตื่นตัวเรื่องกระแสสุขภาพของผู้บริโภคที่มีมากขึ้น เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ชูจุดขายของการเป็นน้ำดื่มผสมวิตามินดี 300 IU ที่จะช่วยเสริมให้ร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานได้ดีขึ้น เน้นวางขายผ่านตู้แช่ในโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและปิยะเวท และมีแผนจะขยายช่องทางจำหน่ายเพิ่มขึ้น

          จากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัท มัลติพลาย บาย เอท จำกัด ในเครือบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เปิดตัวน้ำดื่มวิตามินภายใต้แบรนด์ “วิตมอรส์” ออกมาทำตลาด 2 รสชาติ เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค พร้อมมี “อิ๊งค์” วรันธร เปานิล นักร้องสาวรุ่นใหม่ เป็นพรีเซ็นเตอร์

     แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายชาพร้อมดื่มและน้ำดื่มวิตามินรายใหญ่สะท้อนภาพรวมที่เกิดขึ้นว่า ที่ผ่านมา ตลาดน้ำดื่มวิตามินที่เติบโตและบูมมากเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ปัจจัยสนับสนุนส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใส่ใจสุขภาพและมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการมากขึ้น โดยหนึ่งในตัวเลือกแรก ๆ คือ น้ำดื่มวิตามิน และส่งผลให้น้ำดื่มวิตามินเป็นเซ็กเมนต์เดียวที่เติบโตสวนกระแสกับสินค้าอื่น ๆ และทำให้มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ กระโดดเข้ามาในตลาดเป็นระยะ ๆ ทั้งกลุ่มผู้ประกอบการเครื่องดื่มและผู้ประกอบการจากหลากหลายธุรกิจที่สนใจและหันมาพัฒนาสูตรน้ำดื่มวิตามินและสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อรองรับกระแสที่เกิดขึ้น

       จากการกลับมาระบาดรอบใหม่ของโควิด เมื่อช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมา และทางการมีมาตรการล็อกดาวน์ ลดเวลาการเปิดให้บริการช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางร้านสะดวกซื้อที่เป็นช่องทางหลัก จึงทำให้ตลาดได้รับผลกระทบโดยตรง แต่หลังสถานการณ์โควิดเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และมีเล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ตลาดน้ำดื่มวิตามินอาจจะกลับมาคึกคักมากขึ้น โดยแต่ละค่ายอาจจะมีความเคลื่อนไหวในการสร้างแบรนด์ การขยายฐานกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และอาจทำให้ตลาดกลับมาเติบโตอีกครั้ง แต่อาจจะไม่หวือหวาเหมือนปีที่ผ่านมา อย่างน้อยที่สุดการเริ่มเปิดตัวในช่วงนี้ก็จะเป็นการเริ่มปูทางเพื่อสร้างแบรนด์ในช่วงแรกก่อนจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ซึ่งคาดว่าตลาดอาจจะมีความคึกคักมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนที่เป็นหน้าขายสำคัญของตลาดเครื่องดื่ม เช่นเดียวกับ นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำดื่มวิตามิน AQUA-VITZ by Jele แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ที่ผ่านมาตลาดน้ำดื่มผสมวิตามินเติบโตมากในช่วงปลายปี 2563 มีการเติบโตกว่า 100%

จากกระแสรักสุขภาพและการแพร่ระบาดของโควิด แต่การระบาดของโควิดในระลอก 3-4 ที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมตลาดเริ่มชะลอตัวลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ประกอบกับราคาน้ำวิตามินที่แพงกว่าเมื่อเทียบกับราคาน้ำดื่มทั่วไป

ประเมินว่าภาพรวมปีนี้ตลาดน้ำดื่มวิตามินจะทรงตัวจากปีที่ผ่านมา แม้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น โดยจะสังเกตได้จากร้านสะดวกซื้อที่เป็นช่องทางหลักของสินค้าเริ่มมีการปรับลดชั้นวางสินค้ากลุ่มนี้ลงเหลือเพียง 1-2 ชั้น จากเดิมจะมี 3-4 ชั้น

ขณะที่ตลาดในต่างจังหวัด ทั้งเทรดิชันนอลเทรดและโมเดิร์นเทรด ยอดขายก็ลดลงมาก ตอนนี้แต่ละแบรนด์ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางการตลาดมากนัก และเน้นเพียงการรักษาฐานและช่องทางเดิมไว้เท่านั้น ปัจจุบันตลาดน้ำดื่มวิตามินมีผู้เล่นในตลาดจำนวนมาก อาทิ ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ของโรงพยาบาลยันฮี ที่ถือเป็นรายแรก ๆ ของตลาด นอกจากนี้ยังมีแบรนด์วิตอะเดย์ของ บริษัท เจนเนอรัล เบฟเวอร์เรจ จำกัด, อควาวิทซ์ บาย เจเล่ จากบริษัท ศรีนานาพรฯ, น้ำ PH PLUS 8.5 เครื่องดื่มน้ำ PH ผสมวิตามินบีรวม จากอิชิตัน กรุ๊ป

 

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

 

 

องค์การเภสัชฯ เปิดขาย ATK ออนไลน์ วันแรก 40 บาท

      องค์การเภสัชกรรม เปิดขาย ATK ออนไลน์ ยี่ห้อ Singclean แบบเก็บสารคัดหลั่งทางโพรงจมูก กล่องละ 800 บาท เฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท เริ่ม 22 พ.ย. เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

        องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เปิดขายชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง ATK ผ่านทางช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ www.gpoplanet.com วันนี้ (22 พ.ย.) ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

        เปิดจำหน่าย ราคา 800 บาทต่อกล่อง มีทั้งหมด 20 ชิ้น หรือเฉลี่ยชิ้นละ 40 บาท โดยราคาดังกล่าวยังไม่ร่วมค่าจัดส่ง

        สำหรับช่องทางการจัดซื้อ ATK ออนไลน์

 

1. เข้าสู่เว็บไซต์ www.gpoplanet.com กดเลือกปุ่ม “สั่งซื้อชุดตรวจ ATK ที่นี่”
2. ระบบจะให้กรอกข้อมูลของผู้สั่งซื้อ ได้แก่ ชื่อ-สกุล หมายเลขโทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่

ขั้นตอนการชำระเงิน

1. เมื่อสั่งซื้อเสร็จ ให้กดปุ่ม “ชำระเงิน”
2. สแกนจ่ายด้วยแอปธนาคารไหนก็ได้
3. เมื่อชำระเงินสำเร็จ สถานะจะขึ้นเป็น “รอจัดส่ง” เพื่อรอรับของ

       ทั้งนี้ ชุดตรวจโควิด ATK ที่องค์การเภสัชกรรมจำหน่าย ได้แก่ ยี่ห้อ Singclean เป็นการตรวจในรูปแบบการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากภายในจมูกแบบตื้น ใช้เวลาอ่านผลราว 5-10 นาที และไม่เกิน 15 นาที   โดยสินค้า 1 ชุดประกอบด้วย ไม้ Swap จำนวน 20 ก้าน, หลอดน้ำยาสกัด จำนวน 20 หลอด, จุก dropper สำหรับหยดน้ำยาสกัด 20 อัน, น้ำยาสกัด จำนวน 20 หลอด และแผ่นตรวจแอนติเจนสำหรับอ่านผล จำนวน 20 แผ่น ส่วนการเก็บรักษาควรอยู่ในอุณหภูมิระหว่าง 4-30 องศา ด้านประสิทธิภาพชุดตรวจ Singclean แบ่งเป็น 3 ด้าน ดังนี้ 1.Sensitivity (ความไว) 92.15% – 99.05% 2.Specifity (ความจำเพาะ) 97.47% – 99.61% และ 3.Accuracy (ความถูกต้อง) 97.19% – 99.33%

 

ขอบคุณ : ประชาขาติธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 15 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 15 ตุลาคม 2564

ONEE ขายหุ้นไอพีโอ 7.50-8.50 บาท ให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก

 

หุ้น ONEE กำหนดราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ช่วงราคาที่ 7.50-8.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งต้องจองซื้อราคา 8.50 บาทต่อหุ้น โดยช่วงราคาที่นำมาใช้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น(Book Building) จากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ คิดเป็นราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(P/E Ratio) ที่ 20.5-23.2 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง(ตั้งแต่ 1 ก.ค.63-30 มิ.ย.64) อย่างไรก็ตามได้เทียบเคียงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีจำนวน 2 บริษัทที่มีลักษณะประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน ซึ่งมีระดับ P/E อยู่ที่ 32.9-75.1 เท่า

โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย เร็วภายในเวลา 12.00 น.ของวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ผ่านเว็บไซต์ของช่องวัน และเว็บไซต์ของสำนักงานคุณกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรกช่วงต้นเดือน พ.ย.64

ซึ่งการจองซื้อหุ้น ONEE สำหรับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์, ผู้มีอุปการคุณของบริษัท, บุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท และพนักงานบริษัท ช่วงวันที่ 20-21 ต.ค.และวันที่ 25-26 ต.ค.64และสำหรับนักลงทุนสถาบัน และนิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ช่วงวันที่ 28-29 ต.ค.64 และวันที่ 1 พ.ย.64

 นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายตลาดทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอ บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ONEE จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(SET) หมวดธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 496,252,500 หุ้น ประกอบด้วย

1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย ONEE ไม่เกิน 476,250,000 หุ้น

2.หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท ซีเนริโอ จำกัด ไม่เกิน 20,002,500 หุ้น

รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.84% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,722-4,128 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ที่ 17,859.4-20,240.6 ล้านบาท

แยกสัดส่วนการเสนอขายหุ้นทั้งหมดออกเป็น

  • บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประมาณ 108,500,000 หุ้น สัดส่วน 21.9% 2.นักลงทุนสถาบันและ/หรือนิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อ(Book Building) ประมาณ 297,752,500 หุ้น สัดส่วน 60%
  • ผู้อุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 36,500,000 หุ้น สัดส่วน 7.4% 4.บุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัทไม่เกิน 25,000,000 หุ้น สัดส่วน 5% และ 5.พนักงานของบริษัทประมาณไม่เกิน 28,500,000 หุ้น สัดส่วน 5.7%

โดยบริษัทมีแผนที่จะเรียกจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นเพื่อล้างผลขาดทุนสะสมภายหลังขายหุ้นไอพีโอทันที หรือสามารถจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติเรื่องดังกล่าวภายในไตรมาส 4/64 สำหรับราคาหุ้น ONEE ปรับตัวต่ำกว่าราคาจองคงคาดเดายาก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคตจะเกิดเกิดเหตุการณ์รุนแรงกระทบต่อตลาดหุ้นไทยหรือไม่ ดังนั้นอยากให้นักลงทุนต้องมองโอกาสการเติบโตของ ONEE ในการสร้างรายได้ในอนาคต และมองที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ทั้งนี้สำหรับรายได้ 6 เดือนแรกปีนี้ 2,782.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.78% เทียบจากช่วงเดี่ยวกันปีก่อนโดยเป้าหมายรายได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีอัตราเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี โดยช่องทางโทรทัศน์(TV) จะมีสัดส่วนที่ 40-45% จากเดิม 48% ช่องทางออนไลน์จะมีสัดส่วนที่ 25-28% จากเดิม 21% ช่องทางตลาดต่างประเทศ จะมีสัดส่วนที่ 7-10% จากเดิม 5% และช่องอื่นๆ จะมีสัดส่วนที่ 27% จากเดิม 12-25%

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

โลตัสลุยขาย “ใบกระท่อมสด” สนองเทรน หลังปลอดล็อค

“โลตัส”  สนองเทรนใบกระท่อมสด หลังภาครัฐปลดล็อกออกจากบัญชีสารเสพติดประเภท 5 วางเป็น “สินค้าใหม่” บนเชลลฟท์ผักแปรรูป ให้ประชาชนเลือกซื้อได้อย่างสะดวกในราคาที่ย่อมเยา

“โลตัส” ห้างค้าปลีกขนาดใหญี่ที่ครองใจคนไทยในเรื่องของสินค้าที่ถูก ภายใต้การบริหารของบริษัทสยามแม็คโคร ได้นำใบกระท่อมสด มาวางจำหน่ายในบางสาขาแล้ว บนเชลฟท์ผักและผลไม้แปรรูป เป็นแบรนด์ ของ”ทอมส์ ท่อม” (TOM’S TOM) ซึ่งเป็นการจัดจำหน่ายโดย บริษัท บลูเจย์ จำกัด วางจำหน่ายบนเชลฟท์ผักและผลไม้แปรรูป โดยมีป้ายกำกับสินค้าระบุว่าเป็น “สินค้าใหม่” จำหน่ายราคาชิ้นละ 99 บาท จากราคาปกติ 120 บาท/แพ็ก (80 กรัม)

สำหรับใบกระท่อมสด นอกจากปกติจะนิยมนำมาเคี้ยวกินน้ำแล้ว ยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น นำไปปั่นผสมกับเครื่องดื่มหรือน้ำปั่น  ต้มน้ำดื่ม รวมถึงการทำเป็นเมนูชุบแป้งทอด ซึ่งเมนูนี้จะได้รับความนิยมมากในประเทศมาเลเซีย โดยรับประทานคู่กับกาแฟหรือชา เนื่องจากพืชกระท่อมเป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์มาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากมีสรรพคุณทางยา สามารถลดอาการปวด ทำให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเมื่อยล้า และช่วยให้กระปรี้กระเปร่า

ทั้งนี้หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ประกาศ ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภทที่ 5 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2564ที่ผ่านมา สามารถปลูก ซื้อ ขาย ได้อย่างเสรี รวมถึงมีกระแสการนำใบกระท่อมมาทำเป็นอาหารเริ่มที่หลากหลายเมนู แต่ก็ยังมีข้อกำหนด เช่น ห้ามจำหน่ายให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือสตรีมีครรภ์ ห้ามจำหน่ายในวัด และโรงเรียน เป็นต้น

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรเผย "กระท่อม" สร้างรายได้ 12,000 ต่อไร่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เกษตรกรที่สนใจลงทุนปลูกต้นกระท่อมใหม่ คงต้องมีการวางแผนเพื่อตัดสินใจในการปลูกอย่างรอบคอบ เพราะยังขึ้นอยู่กับการตอบรับของอุปสงค์ในระยะแรก ซึ่งคงต้องมีการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ร่วมกับเงื่อนไขหลายประการ ที่สำคัญคือ เงินลงทุนในการเริ่มปลูก เงินทุนหมุนเวียนระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลผลิต ระยะเวลาคืนทุน และความเสี่ยงของราคาขายที่จะได้รับ

ซึ่งระยะแรกภาพรวมธุรกิจกระท่อมต้องขึ้นอยู่กับอุปสงค์เป็นสำคัญภายใต้อุปทานที่มีจำกัด จึงถือว่าเป็นช่วงทดสอบตลาดผู้บริโภคว่าจะให้การตอบรับกับสินค้ากระท่อมได้ในระดับใด ซึ่งคงต้องรอดูผลตอบรับไปอีกสักระยะหนึ่ง

โดยผู้มีผลผลิตกระท่อมในมือจะได้รับประโยชน์ผ่านการขายใบกระท่อมสดที่มีราคาค่อนข้างสูงราว 250-350 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2564 (ก.ย.-ธ.ค.) รายได้เกษตรกรอาจอยู่ที่ราว 9,000-12,000 บาทต่อไร่ต่อเดือน ซึ่งเป็นเพียงการประเมินตัวเลขปัจจุบันในเบื้องต้น

ทั้งนี้ระยะข้างหน้าไม่สามารถใช้ตัวเลขดังกล่าวเป็นเครื่องชี้วัดอ้างอิงได้ เพราะรายได้เกษตรกรจะขึ้นอยู่กับการตอบรับของอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำที่ใช้กระท่อมเป็นวัตถุดิบเป็นสำคัญ

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

 

 

 

 

กระแสไม้ด่างฟีเวอร์ ปลุกกระแสบอนสี สร้างรายได้ 20ล้านบาทต่อเดือน

จากกระแสที่กำลังได้รับความนิยมของไม้ด่างจำนวนมาก หนึ่งในนั้นก็คือบอนสี เพราะ มองว่าเป็นศิลปะ ทำให้ราคาของบอนสีมีราคาที่สูงทำให้ออเดอร์การสั่งดอกไม้ลดลงไปอย่างมาก จึงได้มองหาธุรกิจเสริมที่จะเข้ามาช่วยทดแทนรายได้ที่หายไปจากการจำหน่ายดอกไม้

จังหวัดเชียงใหม่ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งผลิตบอนสีที่เพาะพันธุ์ภายในประเทศส่งขายทั่วไทย ล่าสุดมีผู้ประกอบการนำเข้าดอกไม้ ได้ทดลองสั่งบอนสีจากจีนเข้ามาสร้างสีสัน และเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่นิยมเลี้ยงบอนสีในประเทศไทย  ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จนทำให้ตลาดบอนสีคึกคักเป็นอย่างมาก

               ปัจจุบันกระแสบอนสีกำลังได้รับความนิยมมาก ทำให้ราคาบอนสีในไทยปรับราคาขึ้นตามกระแสความนิยม ลักษณะของบอนสีเหมือนงานศิลปะ มีลวดลายสีสันที่ไม่ซ้ำกัน สีที่กำลังได้รับความนิยม เน้นไปทางสีแดง สีสันสดใสจะจำหน่ายได้ง่าย ส่วนต้นที่มีใบสีขาว จะโตช้า เนื่องจากการสังเคราะห์แสงทำได้ไม่ดีนัก

สำหรับราคาบอนสีถ้าเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่หายาก ราคาสูงถึง 100,000 – 200,000 บาท บางต้นถ้าฟอร์มสวยราคาจะสูงไปมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับพึงพอใจของผู้ซื้อ

ผู้ประกอบการนำเข้าไม้ดอกและไม้ใบ ต.เหมืองแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ณวิสาร์ มูลทา บอกว่า ก่อนหน้านี้คนให้ความสนใจเกี่ยวกับไม้ด่าง ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปสูง ขณะนี้ก็ยังมีกลุ่มที่สนใจไม้ด่างทำการซื้อขายกันอยู่ และในช่วงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้ออเดอร์การสั่งดอกไม้ลดลงไปอย่างมาก จึงได้มองหาธุรกิจเสริมที่จะเข้ามาช่วยทดแทนรายได้ที่หายไปจากการจำหน่ายดอกไม้  จึงได้วางแผนที่จะนำบอนสีจากจีนและ ฮอล์แลนด์เข้ามา ทำตลาดในประเทศไทย โดยเน้นจำหน่ายแบบยกกล่อง ราคาประมาณ 3,500-5,500 บาท มีประมาณ 20 ต้น ส่งจำหน่ายให้กับผู้รับซื้อที่ อ.ภูเรือ จ.เลย และ ตลาดไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 อ.องครักษ์ จ.นครนายก ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายไม้ดอก ไม้ใบขนาดใหญ่

นอกจากนั้นยังเปิดขายให้กับรายย่อยที่ต้องการนำไปจำหน่าย หรือนำไปเลี้ยง แบบยกกล่อง ในเพจเฟซบุ๊ก “In Love Caladium” ทั้งนี้ในแต่ละเดือน ได้นำเข้าบอนสีมาประมาณ 10 ตู้คอนเทนเนอร์ มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท

ทั้งนี้บอนสีมีความนิยมแพร่หลาย ไม่ได้นิยมเฉพาะในประเทศไทย แต่นิยมไปทั่วตลาดในประเทศเอเชีย โดยเฉพาะที่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ กัมพูชา ซึ่งการนำเข้าบอนสีจะเริ่มหยุดเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว และจะเริ่มกลับมานำเข้าได้ให้ในช่วงฤดูฝนของปีหน้า

 

ขอบคุณ เนชั่น

 

 

 

5. ผู้ว่าภูเก็ต เดินหน้ายุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ ทดแทนรายได้ท่องเที่ยว

นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตพยายามควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกันใช้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเป็นบอร์ดในการจัดการออกมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภูเก็ต ต้องเดินต่อไปข้างหน้ามีเป้าหมายพัฒนาจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2565 ในวิสัยทัศน์ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว การศึกษา นวัตกรรมบริการในระดับนานาชาติ และการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมุ่งสู่จังหวัดที่พัฒนาแล้วภายในปี 2579

สำหรับการเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวในไฮซีซั่นนี้ เมื่อระดับประเทศได้ผ่อนคลายลง มั่นใจว่าจะมีคนเข้ามามากขึ้นกว่าปัจจุบันเครื่องบินมามากขึ้น คนมามากขึ้นในประเทศจะเป็นผลบวกการฟื้นเศรษฐกิจ ในฐานะต้องรับผิดชอบตรงนี้ ต้องเตรียมการอย่างไม่ประมาท สถานการณ์ รอบข้างยังมี

ซึ่งภูเก็ตมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 มากขึ้น ไม่แพร่เชื้อ ถ้ารักษาความเชื่อมั่นไปได้ตลอดเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ได้เน้นกลุ่ม 608เป็นวาระจังหวัดบูรณาการดูแลให้มากขึ้น เอาหมู่บ้านชุมชนเป็นตัวตั้งกลุ่มอสม.ที่เข้าถึงต้องเข้าไปดูแลค้นหากลุ่ม608 เป็นจุดแตกหักในระบบสาธารณสุขของภูเก็ต ทางรพ.สต.ต้องยกระดับมาตรฐานดูแลประชาชนมากขึ้นถ้ารพ.สต.ดูแลได้จะดูแลนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

สำหรับสมาร์ทซิตี้ ภูเก็ต มีระบบการฉีดวัคซีนที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับที่อื่นสามารถวางระบบการฉีดได้วันละ 15,000คน นำระบบเทคโนโลยีของกระทรวงดีอีเอสที่เข้ามาทำให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลจากที่ต่างๆไปยังศูนย์ควบคุมอย่างเป็นระบบมากขึ้น ในด้านเมดิคอลฮับ จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ เสนอเป็นเจ้าภาพจัดงานEXPO ในปี 2028 อยู่ในขั้นตอนหารือกับทีเส็บถ้าจัดได้เป็นธีมสุขภาพต้องเตรียมการพอสมควรจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในแบบสุขภาพหรือwellness เชื่อมโยงเรื่องไมซ์ ( Mice )ถ้า จัดงานEXPOได้ มาเพื่อกิจกรรมเสริมรายได้ให้ภูเก็ตต่อไปนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะพูดว่า Work from Phuket และจะส่งเสริมมารีน่าฮับให้เป็นจุดเด่นมากขึ้น นำความมั่งคั่งมาสู่ภูเก็ต เรื่องทูน่าฮับ ภาคการประมงกับธุรกิจกำลังหารือกัน อยากให้มาช่วยกันคิดเราต้องอยู่กับโควิดให้ได้และเดินหน้าต่อไปได้ มีผู้รู้ได้คาดการณ์ว่าประมาณกลางปีหน้าปัญหาโควิดน่าจะเป็นปกติไปแต่กว่าจะถึงในช่วงนั้นเราจะต้องเดินต่อไปข้างหน้าให้ภูเก็ตกลับมาแข็งแรงสดใสยั่งยืน

โดยผ่านภูเก็ตรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวเพียงเสาเดียว เมื่อเสาพังลงมา จึงต้องเพิ่มให้มีหลายเสา หลายประเด็นอยู่ในยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด เศรษฐกิจฐานรากและการเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้นให้มีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ ประมงมีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญ ใหัประมงพื้นบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น การทำเกษตรในพื้นที่แคบ ปลูกผักคอนโด ปลูกเห็ดทำแบบฟิวชั่นฟาร์ม พืชเศรษฐกิจ เช่น มะพร้าว ทุเรียน เป็นต้น จะแปรรูปได้มาก ให้หน่วยงานไปคิดวางแผนขึ้นมาภูเก็ตยังมีโรงเรียนนานาชาติ ระดับประถมและมัธยม จะต่อยอดให้คนมาอยู่นานขึ้นเศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้นและไม่ทอดทิ้งเด็กที่ลำบาก ในเรื่องกีฬาจะทำสปอร์ตทัวริสซึ่ม นำการแข่งขันระดับโลกประเภทวอลเล่ย์บอล รักบี้ มวย เข้ามาจัดที่ภูเก็ตจะทำให้เป็นเมืองการกีฬาที่สำคัญ

รวมถึงเชื่อมั่นว่าถ้าทำอย่างเป็นระบบเราจะทำการตลาดท่องเที่ยวในอนาคตเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญสร้างความมั่นใจว่าวิกฤตที่ตั้งรับจะเป็นเชิงรุกสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวภูเก็ตอยู่ในวิสัยดูแลกันได้จะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดเชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ทุกภาคส่วนร่วมกันเชื่อมั่นว่าเราเดินไปได้

ในส่วนการทำหนังสือขอเรื่องเงินเยียวยาประกันสังคม ไปยังส่วนกลาง สภาพัฒน์ กำลังพิจารณา และทางจังหวัดไดัทำหนังสือขอทราบคำตอบตามไปแล้วรวมทั้งทำหนังสือถึงส.ส.ภูเก็ต ให้ช่วยติดตามเรื่องนี้ให้ด้วย เพื่อจะได้มีการเยียวยาผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่เดือดร้อนกันต่อไป

ทั้งนี้จากข้อมูล ปี 2562 ภูเก็ตมีรายได้การท่องเที่ยว 442,891 ล้านบาท นักท่องเที่ยวกว่า 14 ล้านคน ในปี 2563 เริ่มมีการติดเชื้อในประเทศไทย นักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตลดลง เหลือ 4 ล้านคน รายได้การท่องเที่ยว ประมาณ 2แสนล้านบาท ปี 2564 เดือนมกราคมถึงมิถุนายน นักท่องเที่ยว กว่า4แสนคน รายได้ 4,905 ล้านบาท จากนั้นเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน นักท่องเที่ยว จำนวน 70,229 คน แยกเป็นนักท่องเที่ยวแซนด์บอกซ์ 46,423 คน รายได้ 2,147 ล้านบาท ยังไม่ถึงสิ้นปี 2564 มีรายได้รวมประมาณ 7,000 ล้านบาท”

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 13 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 13 ตุลาคม 2564

SUNVENDING จับมือ Rabbit Card ซื้อสินค้าผ่านบัตร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุค New Normal

นายคเณศร์ อรรถไพศาลกุล รองผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการ ( SUNVENDING)  และนายเคลวิน เหลียง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ผู้ให้บริการ (Rabbit Card) จับมือ เพิ่มช่องทางการชำระค่าสินค้า ผ่านบัตรแรบบิท ที่เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของ SUN Vending เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ยุค New Normal ในจุดบริการต่างๆ เช่น สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส, ห้างสรรพสินค้าและตามแหล่งชุมชน

พร้อมตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ความรวดเร็วและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินสด โดยเฉพาะช่วงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 การใช้บัตรแรบบิทแทนเงินสด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยง เลี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19

นายคเณศร์ กล่าวว่า การใช้ Rabbit Card เพื่อชำระสินค้าผ่านเครื่อง SUN Vending  ไม่เพียงเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ให้กับผู้บริโภค แต่ยังเป็นการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันแบบไร้สัมผัส เพื่อรองรับการใช้จ่ายในยุค New Normal ได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดแก่ผู้บริโภค โดย SVT ขอยืนหยัดในการคัดสรรนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้าตลอดไป

สำหรับ SUNVENDING   เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ทั้งหมด 4 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.เครื่องจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่ม (Can & Bottle) 2.เครื่องจำหน่ายสินค้าแบบบานกระจก (Glass Front) 3.เครื่องจำหน่ายสินค้าประเภทถ้วยแบบร้อนเย็น (Cup Hot and Cold) 4.เครื่องสำหรับขายอาหารกึ่งสำเร็จรูป (Noodle) สินค้าที่จำหน่ายผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องดื่ม, ขนมขบเคี้ยว, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ขนมปังเบอเกอรี, อุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือ และหน้ากากอนามัย เป็นต้น

ในการร่วมมือทางธุรกิจช่วยตอกย้ำกลยุทธ์มุ่งผสานศักยภาพความร่วมมือระหว่างกัน และเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ เนื่องจากฐานลูกค้าผู้ใช้บริการบัตรแรบบิทในปัจจุบัน มีมากกว่า 15.5 ล้านใบ ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 มีผู้บริโภคชำระค่าสินค้าผ่านเครื่อง SUN Vending ด้วยบัตรแรบบิท เติบโตขึ้นจากปี 2563 ถึง 400% และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะเติบโต 600%

ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตทางบริษัทวางเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ที่สามารถรองรับการชำระเงินและจุดเติมเงินผ่าน Rabbit Card  มากกว่า 1,000 ตู้ภายใน 5 ปี ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และตามหัวเมืองใหญ่จังหวัดต่างๆ โดยวางเป้าเพิ่มจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ รองรับจุดชำระเงินและเติมเงินผ่าน Rabbit Card มากกว่า 1,000 ตู้ ภายใน 5 ปี

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

UNIQ แผนเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านธนาคารกรุงไทย 1-3 พ.ย. นี้

นายเติมพงษ์  เหมาะสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ กล่าวว่า บริษัทกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ สำหรับหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 8 เดือน ไว้ที่ 4.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน หุ้นกู้ชุดนี้มีแผนเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 64

สำหรับนักลงทุนแสวงหาการลงทุนในตราสารหนี้ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนน่าพอใจ รวมถึงมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ ‘ลงทุนได้’ (Investment grade)  สำหรับหุ้นกู้  UNIQ  จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ BBB และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ที่ BBB+ แนวโน้ม Negative จัดอันดับโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 20 กันยายน 64 พิจารณาถึงโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่บริษัทสามารถชนะการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจได้อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น

UNIQ เป็นผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เน้นงานสาธารณูปโภคขนาดกลางและขนาดใหญ่ เช่น งานโยธาสถานีกลางบางซื่อของการรถไฟแห่งประเทศไทย  และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างสะพานโครงสร้างเหล็กและสะพานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก งานก่อสร้างอุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ทางแยก งานก่อสร้างทางพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กและแอลฟัลท์ติกคอนกรีต งานระบบสาธารณูปโภคใต้ดินทั้งไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์รวมถึงงานในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มูลค่าโครงการสูง หรือเป็นโครงการที่ต้องอาศัยความชำนาญหรือเทคโนโลยีเฉพาะด้าน 

ล่าสุด กิจการร่วมค้า ยูเอ็น-ซีซี  ชนะการประมูลก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่ 1  จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย มูลค่า 7,350 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนของ UNIQ 70% หรือมูลค่า 5,145 ล้านบาท และสัดส่วนของ “CCSP” 30% คิดเป็นมูลค่า 2,205 ล้านบาท โดยได้ลงนามสัญญาในวันที่ 11 ตุลาคม 64 เรียบร้อยแล้ว ทำให้บริษัทมีรายได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ลูกค้าของบริษัทจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น กรมทางหลวง การไฟฟ้านครหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

จี้รัฐบาลแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ขยายมาตรการพักชำระหนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ระดับ 79.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.8 ในเดือนสิงหาคม 64 โดยค่าดัชนี ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 64

โดยมีปัจจัยที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนี ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายและจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลง ส่งผลให้ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พร้อมทั้งอนุญาตให้กิจการบางประเภทรวมถึงห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไข ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางดีขึ้น นอกจากนี้จำนวนผู้ติดเชื้อในโรงงานอุตสาหกรรมลดลงจากการใช้มาตรการ Bubble and Seal ขณะที่ภาคการผลิตขยายตัวจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีมีปัจจัยลบจากต้นทุนประกอบการปรับตัวสูงขึ้นทั้งราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมันและ ค่าขนส่ง รวมถึงปัญหาน้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและทำให้การขนส่งล่าช้า

นอกจากนี้ ปัญหาความล่าช้าของเรือสินค้าทำให้การส่งออกสินค้าไม่ได้ตามกำหนด ขณะที่ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือที่ทรงตัวในระดับสูง รวมถึงปัญหาขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฯ ยังไม่คลี่คลาย

สำหรับดัชนี คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 93.0 จากระดับ 90.9 ในเดือนสิงหาคม 64 โดยมีผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน รวมถึงมีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ทั้งนโยบายการเปิดประเทศจะช่วยให้เศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัว นอกจากนี้ผู้ประกอบการเห็นว่าภาครัฐควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด19

โดยมีข้อเสนอให้ภาครัฐคือ ให้ภาครัฐขยายมาตรการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี ให้กับสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ รวมถึงสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อ เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงเร่งออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศและ เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ โดยดำเนินนโยบายที่มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้นและบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ ซึ่ง ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรวมทั้งประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าและวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงให้ภาครัฐดูแลราคาพลังงาน และราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ

ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรม ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปีดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของสภาอุตสาหกรรม

ขอบคุณ: เนชั่น

แกะเศรษฐกิจเกาหลี จากกระแสนิยม Squid Game

 แกะเศรษฐกิจเกาหลี จากกระแสนิยม Squid Game

“ Squid Game “ เล่นเกมส์ลุ้นตาย ซีรีส์เกาหลีที่กำลังฉายผ่าน Netflix ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในปัจจุบัน มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการลงเล่นเกมเด็กๆ ที่กติกาง่ายสุดๆ แถมมีรางวัลมูลค่ามหาศาลรออยู่ ทว่าต้องแลกด้วยชีวิต หากว่าผู้เล่นรายนั้นๆ ตกรอบ

ซี่รี่ย์เรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมในหลายประเทศ และถูกพูดถึงเป็นกระแสสังคมในหลายๆ มิติ โดยเนื้อหาที่มีการสอดแทรกเกมพื้นบ้านของคนเกาหลีซึ่งวง BTS และ Blackpink รวมถึงภาพยนตร์ Parasite ได้สร้างประวัติศาสตร์ในสังคมโลกในช่วงรอบปีที่ผ่านมา เพราะผู้คนที่รับชมคอนเทนท์เหล่านี้ต่างก็ต้องซึบซับกับวัฒนธรรมเกาหลีอย่างเลี่ยงไม่ได้

 โดยเมื่อเร็วนี้ๆ ทาง Netflix ประเทศฝรั่งเศส ได้จัดคาเฟ่ Squid Game ที่กรุงปารีส โดยแฟนซีรีส์สามารถเข้ามาเล่นเกมแกะน้ำตาล ซึ่งเป็นเกมในซีรีส์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีใต้ในกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ตอบสนองกระแสด้วยการจัดการแข่งขัน Squid Game ของจริง แต่ไม่มีเงินรางวัลและไม่มีการเสี่ยงอันตรายแต่อย่างใด ซึ่งมีการเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจัดงานขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา

นอกจากการทำให้คนจำนวนมากรู้จักเกาหลีใต้ในแผนที่โลก แต่ Soft Power ในนามคลื่นเกาหลี ยังสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่น่าพึงพอใจให้กับเกาหลีใต้ แม้จะต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ความนิยม “คลื่นเกาหลี” ที่เพิ่มขึ้นในสังคมโลก   เกิดจากการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปยังต่างประเทศ ผ่านคอนเทนท์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ เพลง ซีรี่ส์ หนัง หรือรูปแบบอื่นที่มีการสอดแทรกวัฒนธรรมเกาหลี ซึ่งถูกเรียกรวมเป็นอุตสาหกรรมคอนเทนท์

ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก “คลื่นเกาหลี”   แม้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้ก็ต้องพบเจอกับการหดตัวทางเศรษฐกิจจากการวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ต่างจากประเทศอื่นทั่วโลก แต่จากข้อมูลในเว็บไซต์ The Straits Times พบว่า ในปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้มีการส่งออกคอนเทนต์ มูลค่าทั้งหมดรวม 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 กว่า 610 ล้านดอลาร์ หรือประมาณ 6% โดยทาง Netflix มีส่วนสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจเกาหลีใต้ได้ถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นอุตสาหกรรมคอนเทนท์ของเกาหลีใต้สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติฯ ครั้งนี้ไปได้

นอกจากนั้น ผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจจากการส่งออกคอนเทนท์ ยังมาในรูปของสินค้าและบริการที่มีอยู่หรือแฝงมาในคอนเทนท์ ซึ่งสร้างผลประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น

การส่งออกสินค้า ข้อมูลจาก Yonhap News Agency ระบุว่า ในปี 2019 เกาหลีใต้ส่งออกสินค้าวัฒนธรรม อาทิ เกมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมทัวร์ และเครื่องสำอาง มูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงขึ้นกว่า 22.4% จากปีก่อนหน้า  

ด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยข้อมูลก่อนช่วงวิกฤติฯ มีการประเมินว่า 13% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดของเกาหลีใต้ในปี 2019 เข้ามาด้วยจุดประสงค์เพื่อสัมผัสประสบการณ์ Pop culture และเข้าร่วมงานที่จัดขึ้นสำหรับแฟนคลับเหล่านักแสดงหรือศิลปินเกาหลี โดยมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ รวมแล้วสูงถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์

 การสร้างงาน สร้างสรรค์ผลงานนั้นเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากปี 2009 ถึง 2019 จำนวนคนทำงานด้าน Creative และ Artist service เพิ่มขึ้น 27% และจากการเปิดเผยโดย Netflix ระบุว่า ช่วงปี 2016 ถึง 2020 มีการจ้างพนังงานประจำถึง 16,000 ตำแหน่ง โดยคาดว่าได้สร้างรายได้ให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้ มูลค่า 4.7 พันล้านดอลลาร์ แม้อุตสาหกรรมคอนเทนท์จะเติบโตและสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้ได้ในมูลค่ามหาศาล

ทั้งนี้ช่วงวิกฤติฯ ที่เกิดขึ้นก็ได้ส่งผลกระทบให้การเติบโตของมูลค่าไม่สามารถทำได้ในลักษณะเช่นเดิม อาทิ รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จะหายไป การจัดคอนเสิร์ตหรืองาน Fan Meeting ที่ต้องจัดการเปลี่ยนรูปแบบ  ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้ทำให้มูลค่าของคลื่นเกาหลีลดลงไป แต่การมีกระแสความนิยมที่เกิดขึ้นจากซีรีส์ Squid Game หรือคอนเทนท์อื่นๆ ก็จะเป็นตัวช่วยหล่อเลี้ยงให้ความนิยมและมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบนี้ยังคงอยู่ต่อไปได้  

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

เผย รายชื่อหุ้นได้รับอนิสงค์ เปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกแถลงการณ์ ประกาศเตรียมพร้อม เปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 64 คาดจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โดยกลุ่มโรงแรมที่ได้ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW)  คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด จากสัดส่วนพอร์ตโรงแรม 90% ที่อยู่ในไทย รองลงมา บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ตามลำดับ

สำหรับส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มขนส่ง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) กลุ่มค้าปลีก บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL ) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ เลือกหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็นหุ้นเด่น จากที่มีพอร์ตลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวมากที่สุด โดยแนะ 5 หุ้นเด่นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ และราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า ประกอบด้วย

  1. AOT (ซื้อ/เป้ า 75.00 บาท) ได้ประโยชน์มากสุดจากแผนเปิดประเทศ ส่งผลให้การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นช่วยหนุนผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 1QFY22E
  2. ERW (ถือ/เป้ า 3.00 บาท) คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้ ช่วยให้ผลการดำเนินงานฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดตั้งแต่ 4Q21E เป็นต้นไป ซึ่ง ERW ได้ประโยชน์มากที่สุดจากสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยสูงที่สุดในกลุ่มที่ 88%
  3. AMATA (ถือ/เป้ า 19.00 บาท) นักลงทุนสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ง่ายขึ้นทำให้ยอด presale และ transfer จะดีขึ้น ถึงแม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นจีนที่ยังไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ แต่คาดว่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกของยอด transfer ที่จะเพิ่มขึ้น จากฐานที่ต่ำในช่วงปี 2020-21E
  4. CPALL (ซื้อ/เป้ า 67.00 บาท) คาดรัฐบาลเริ่มคลายเคอร์ฟิวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับมาซึ่งจะทำให้ trafficในร้านสะดวกซื้อสูงขึ้น
  5. BH (Non coverage) เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติสูงที่สุดในกลุ่มรองลงมาเป็ น BDMS (ซื้อ/เป้ า 26.50 บาท)ซึ่งจะได้ประโยชน์จากผู้ป่วยต่างชาติ fly-in เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม medical tourism ที่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา (5% ของรายได้รวม) และตะวันออกกลาง (5% ของรายได้รวม)

   ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 13 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 13 ตุลาคม 2564

SUNVENDING จับมือ Rabbit Card ซื้อสินค้าผ่านบัตร ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุค New Normal

นายคเณศร์ อรรถไพศาลกุล รองผู้อำนวยการสายงานการตลาด บริษัท ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการ ( SUNVENDING)  และนายเคลวิน เหลียง กรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด ผู้ให้บริการ (Rabbit Card) จับมือ เพิ่มช่องทางการชำระค่าสินค้า ผ่านบัตรแรบบิท ที่เครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติของ SUN Vending เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ยุค New Normal ในจุดบริการต่างๆ เช่น สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส, ห้างสรรพสินค้าและตามแหล่งชุมชน

พร้อมตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ความรวดเร็วและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินสด โดยเฉพาะช่วงที่ทั่วโลกให้ความสำคัญเรื่องการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 การใช้บัตรแรบบิทแทนเงินสด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถลดความเสี่ยง เลี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19

นายคเณศร์ กล่าวว่า การใช้ Rabbit Card เพื่อชำระสินค้าผ่านเครื่อง SUN Vending  ไม่เพียงเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ให้กับผู้บริโภค แต่ยังเป็นการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันแบบไร้สัมผัส เพื่อรองรับการใช้จ่ายในยุค New Normal ได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้เกิดแก่ผู้บริโภค โดย SVT ขอยืนหยัดในการคัดสรรนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้าตลอดไป

สำหรับ SUNVENDING   เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ทั้งหมด 4 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.เครื่องจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่ม (Can & Bottle) 2.เครื่องจำหน่ายสินค้าแบบบานกระจก (Glass Front) 3.เครื่องจำหน่ายสินค้าประเภทถ้วยแบบร้อนเย็น (Cup Hot and Cold) 4.เครื่องสำหรับขายอาหารกึ่งสำเร็จรูป (Noodle) สินค้าที่จำหน่ายผ่านเครื่องจำหน่ายสินค้าอัตโนมัติเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น เครื่องดื่ม, ขนมขบเคี้ยว, บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป, ขนมปังเบอเกอรี, อุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือ และหน้ากากอนามัย เป็นต้น

ในการร่วมมือทางธุรกิจช่วยตอกย้ำกลยุทธ์มุ่งผสานศักยภาพความร่วมมือระหว่างกัน และเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ เนื่องจากฐานลูกค้าผู้ใช้บริการบัตรแรบบิทในปัจจุบัน มีมากกว่า 15.5 ล้านใบ ซึ่งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2564 มีผู้บริโภคชำระค่าสินค้าผ่านเครื่อง SUN Vending ด้วยบัตรแรบบิท เติบโตขึ้นจากปี 2563 ถึง 400% และคาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะเติบโต 600%

ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตทางบริษัทวางเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ที่สามารถรองรับการชำระเงินและจุดเติมเงินผ่าน Rabbit Card  มากกว่า 1,000 ตู้ภายใน 5 ปี ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และตามหัวเมืองใหญ่จังหวัดต่างๆ โดยวางเป้าเพิ่มจำนวนตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ รองรับจุดชำระเงินและเติมเงินผ่าน Rabbit Card มากกว่า 1,000 ตู้ ภายใน 5 ป

 

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

UNIQ แผนเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านธนาคารกรุงไทย 1-3 พ.ย. นี้

นายเติมพงษ์  เหมาะสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส กลุ่มงานบัญชีและการเงิน บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ กล่าวว่า บริษัทกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ สำหรับหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 3 ปี 8 เดือน ไว้ที่ 4.00% ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน หุ้นกู้ชุดนี้มีแผนเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 64

สำหรับนักลงทุนแสวงหาการลงทุนในตราสารหนี้ที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนน่าพอใจ รวมถึงมีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ ‘ลงทุนได้’ (Investment grade)  สำหรับหุ้นกู้  UNIQ  จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยหุ้นกู้ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในระดับ BBB และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทอยู่ที่ BBB+ แนวโน้ม Negative จัดอันดับโดยบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 20 กันยายน 64 พิจารณาถึงโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการที่บริษัทสามารถชนะการประมูลงานโครงการขนาดใหญ่จากภาครัฐและรัฐวิสาหกิจได้อย่างสม่ำเสมอ ยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนมากยิ่งขึ้น

UNIQ เป็นผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่เน้นงานสาธารณูปโภคขนาดกลางและขนาดใหญ่ เช่น งานโยธาสถานีกลางบางซื่อของการรถไฟแห่งประเทศไทย  และยังเป็นผู้เชี่ยวชาญงานก่อสร้างสะพานโครงสร้างเหล็กและสะพานโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก งานก่อสร้างอุโมงค์รถยนต์ลอดใต้ทางแยก งานก่อสร้างทางพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กและแอลฟัลท์ติกคอนกรีต งานระบบสาธารณูปโภคใต้ดินทั้งไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์รวมถึงงานในโครงการรับเหมาก่อสร้างที่มีขนาดใหญ่มูลค่าโครงการสูง หรือเป็นโครงการที่ต้องอาศัยความชำนาญหรือเทคโนโลยีเฉพาะด้าน 

ล่าสุด กิจการร่วมค้า ยูเอ็น-ซีซี  ชนะการประมูลก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก สัญญาที่ 1  จากการทางพิเศษแห่งประเทศไทย มูลค่า 7,350 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนของ UNIQ 70% หรือมูลค่า 5,145 ล้านบาท และสัดส่วนของ “CCSP” 30% คิดเป็นมูลค่า 2,205 ล้านบาท โดยได้ลงนามสัญญาในวันที่ 11 ตุลาคม 64 เรียบร้อยแล้ว ทำให้บริษัทมีรายได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ลูกค้าของบริษัทจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือรัฐวิสาหกิจ เช่น กรมทางหลวง การไฟฟ้านครหลวง การทางพิเศษแห่งประเทศไทย การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) การรถไฟแห่งประเทศไทย 

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

จี้รัฐบาลแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ขยายมาตรการพักชำระหนี้ กระตุ้นเศรษฐกิจ

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 64 อยู่ที่ระดับ 79.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 76.8 ในเดือนสิงหาคม 64 โดยค่าดัชนี ปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่เดือนเมษายน 64

โดยมีปัจจัยที่ส่งผลด้านบวกต่อค่าดัชนี ได้แก่ สถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายและจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันเริ่มลดลง ส่งผลให้ภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พร้อมทั้งอนุญาตให้กิจการบางประเภทรวมถึงห้างสรรพสินค้าสามารถเปิดดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไข ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศมีทิศทางดีขึ้น นอกจากนี้จำนวนผู้ติดเชื้อในโรงงานอุตสาหกรรมลดลงจากการใช้มาตรการ Bubble and Seal ขณะที่ภาคการผลิตขยายตัวจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีมีปัจจัยลบจากต้นทุนประกอบการปรับตัวสูงขึ้นทั้งราคาวัตถุดิบ ราคาน้ำมันและ ค่าขนส่ง รวมถึงปัญหาน้ำท่วมที่ส่งผลกระทบต่อวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและทำให้การขนส่งล่าช้า

นอกจากนี้ ปัญหาความล่าช้าของเรือสินค้าทำให้การส่งออกสินค้าไม่ได้ตามกำหนด ขณะที่ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือที่ทรงตัวในระดับสูง รวมถึงปัญหาขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ฯ ยังไม่คลี่คลาย

สำหรับดัชนี คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 93.0 จากระดับ 90.9 ในเดือนสิงหาคม 64 โดยมีผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน รวมถึงมีการพิจารณาผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องของภาครัฐ ทั้งนโยบายการเปิดประเทศจะช่วยให้เศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัว นอกจากนี้ผู้ประกอบการเห็นว่าภาครัฐควรเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด19

โดยมีข้อเสนอให้ภาครัฐคือ ให้ภาครัฐขยายมาตรการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยออกไปอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี ให้กับสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ รวมถึงสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อ เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงเร่งออกมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศและ เสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ โดยดำเนินนโยบายที่มีการผ่อนคลายกิจกรรมทางธุรกิจมากขึ้นและบังคับใช้มาตรการควบคุมโรคเท่าที่จำเป็นเพื่อให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ ซึ่ง ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมรวมทั้งประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าและวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงให้ภาครัฐดูแลราคาพลังงาน และราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อลดภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ

ทั้งนี้สภาอุตสาหกรรม ได้ทำการรวบรวมข้อมูลผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม และข้อมูลตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมจากหน่วยงานต่างๆ ย้อนหลัง 3 ปีดทำเป็น Dashboard เผยแพร่ในเว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลภาคเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม Industry Data Space (iDS) ของสภาอุตสาหกรรม

ขอบคุณ: เนชั่น

แกะเศรษฐกิจเกาหลี จากกระแสนิยม Squid Game

 แกะเศรษฐกิจเกาหลี จากกระแสนิยม Squid Game

“ Squid Game “ เล่นเกมส์ลุ้นตาย ซีรีส์เกาหลีที่กำลังฉายผ่าน Netflix ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในปัจจุบัน มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการลงเล่นเกมเด็กๆ ที่กติกาง่ายสุดๆ แถมมีรางวัลมูลค่ามหาศาลรออยู่ ทว่าต้องแลกด้วยชีวิต หากว่าผู้เล่นรายนั้นๆ ตกรอบ

ซี่รี่ย์เรื่องดังกล่าวได้รับความนิยมในหลายประเทศ และถูกพูดถึงเป็นกระแสสังคมในหลายๆ มิติ โดยเนื้อหาที่มีการสอดแทรกเกมพื้นบ้านของคนเกาหลีซึ่งวง BTS และ Blackpink รวมถึงภาพยนตร์ Parasite ได้สร้างประวัติศาสตร์ในสังคมโลกในช่วงรอบปีที่ผ่านมา เพราะผู้คนที่รับชมคอนเทนท์เหล่านี้ต่างก็ต้องซึบซับกับวัฒนธรรมเกาหลีอย่างเลี่ยงไม่ได้

 โดยเมื่อเร็วนี้ๆ ทาง Netflix ประเทศฝรั่งเศส ได้จัดคาเฟ่ Squid Game ที่กรุงปารีส โดยแฟนซีรีส์สามารถเข้ามาเล่นเกมแกะน้ำตาล ซึ่งเป็นเกมในซีรีส์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก รวมถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ศูนย์วัฒนธรรมเกาหลีใต้ในกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ตอบสนองกระแสด้วยการจัดการแข่งขัน Squid Game ของจริง แต่ไม่มีเงินรางวัลและไม่มีการเสี่ยงอันตรายแต่อย่างใด ซึ่งมีการเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันจัดงานขึ้นเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา

นอกจากการทำให้คนจำนวนมากรู้จักเกาหลีใต้ในแผนที่โลก แต่ Soft Power ในนามคลื่นเกาหลี ยังสร้างผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจที่น่าพึงพอใจให้กับเกาหลีใต้ แม้จะต้องเผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ความนิยม “คลื่นเกาหลี” ที่เพิ่มขึ้นในสังคมโลก   เกิดจากการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปยังต่างประเทศ ผ่านคอนเทนท์ในรูปแบบต่างๆ อาทิ เพลง ซีรี่ส์ หนัง หรือรูปแบบอื่นที่มีการสอดแทรกวัฒนธรรมเกาหลี ซึ่งถูกเรียกรวมเป็นอุตสาหกรรมคอนเทนท์

ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจาก “คลื่นเกาหลี”   แม้ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้ก็ต้องพบเจอกับการหดตัวทางเศรษฐกิจจากการวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่ต่างจากประเทศอื่นทั่วโลก แต่จากข้อมูลในเว็บไซต์ The Straits Times พบว่า ในปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้มีการส่งออกคอนเทนต์ มูลค่าทั้งหมดรวม 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากปี 2019 กว่า 610 ล้านดอลาร์ หรือประมาณ 6% โดยทาง Netflix มีส่วนสร้างมูลค่าให้กับเศรษฐกิจเกาหลีใต้ได้ถึง 1.9 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นอุตสาหกรรมคอนเทนท์ของเกาหลีใต้สามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติฯ ครั้งนี้ไปได้

นอกจากนั้น ผลพลอยได้ทางเศรษฐกิจจากการส่งออกคอนเทนท์ ยังมาในรูปของสินค้าและบริการที่มีอยู่หรือแฝงมาในคอนเทนท์ ซึ่งสร้างผลประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น

การส่งออกสินค้า ข้อมูลจาก Yonhap News Agency ระบุว่า ในปี 2019 เกาหลีใต้ส่งออกสินค้าวัฒนธรรม อาทิ เกมคอมพิวเตอร์ โปรแกรมทัวร์ และเครื่องสำอาง มูลค่ารวม 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงขึ้นกว่า 22.4% จากปีก่อนหน้า  

ด้านการท่องเที่ยว เปิดเผยข้อมูลก่อนช่วงวิกฤติฯ มีการประเมินว่า 13% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดของเกาหลีใต้ในปี 2019 เข้ามาด้วยจุดประสงค์เพื่อสัมผัสประสบการณ์ Pop culture และเข้าร่วมงานที่จัดขึ้นสำหรับแฟนคลับเหล่านักแสดงหรือศิลปินเกาหลี โดยมูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ รวมแล้วสูงถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์

 การสร้างงาน สร้างสรรค์ผลงานนั้นเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากปี 2009 ถึง 2019 จำนวนคนทำงานด้าน Creative และ Artist service เพิ่มขึ้น 27% และจากการเปิดเผยโดย Netflix ระบุว่า ช่วงปี 2016 ถึง 2020 มีการจ้างพนังงานประจำถึง 16,000 ตำแหน่ง โดยคาดว่าได้สร้างรายได้ให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้ มูลค่า 4.7 พันล้านดอลลาร์ แม้อุตสาหกรรมคอนเทนท์จะเติบโตและสร้างมูลค่าให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้ได้ในมูลค่ามหาศาล

ทั้งนี้ช่วงวิกฤติฯ ที่เกิดขึ้นก็ได้ส่งผลกระทบให้การเติบโตของมูลค่าไม่สามารถทำได้ในลักษณะเช่นเดิม อาทิ รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่จะหายไป การจัดคอนเสิร์ตหรืองาน Fan Meeting ที่ต้องจัดการเปลี่ยนรูปแบบ  ความยุ่งยากที่เกิดขึ้นแม้จะไม่ได้ทำให้มูลค่าของคลื่นเกาหลีลดลงไป แต่การมีกระแสความนิยมที่เกิดขึ้นจากซีรีส์ Squid Game หรือคอนเทนท์อื่นๆ ก็จะเป็นตัวช่วยหล่อเลี้ยงให้ความนิยมและมูลค่าทางเศรษฐกิจแบบนี้ยังคงอยู่ต่อไปได้  

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

เผย รายชื่อหุ้นได้รับอนิสงค์ เปิดประเทศ 1 พ.ย. นี้

นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ออกแถลงการณ์ ประกาศเตรียมพร้อม เปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน 64 คาดจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว โดยกลุ่มโรงแรมที่ได้ประโยชน์ทางตรง ได้แก่ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW)  คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากที่สุด จากสัดส่วนพอร์ตโรงแรม 90% ที่อยู่ในไทย รองลงมา บมจ.โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา (CENTEL) และ บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) ตามลำดับ

สำหรับส่วนหุ้นกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและน่าสนใจลงทุน ได้แก่ กลุ่มขนส่ง บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) กลุ่มค้าปลีก บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL ) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์ เลือกหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เป็นหุ้นเด่น จากที่มีพอร์ตลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวมากที่สุด โดยแนะ 5 หุ้นเด่นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ และราคาหุ้นยังฟื้นตัวช้า ประกอบด้วย

  1. AOT (ซื้อ/เป้ า 75.00 บาท) ได้ประโยชน์มากสุดจากแผนเปิดประเทศ ส่งผลให้การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นช่วยหนุนผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 1QFY22E
  2. ERW (ถือ/เป้ า 3.00 บาท) คาดจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวได้ ช่วยให้ผลการดำเนินงานฟื้นตัวได้ดีกว่าคาดตั้งแต่ 4Q21E เป็นต้นไป ซึ่ง ERW ได้ประโยชน์มากที่สุดจากสัดส่วนรายได้ในประเทศไทยสูงที่สุดในกลุ่มที่ 88%
  3. AMATA (ถือ/เป้ า 19.00 บาท) นักลงทุนสามารถเดินทางเข้าประเทศได้ง่ายขึ้นทำให้ยอด presale และ transfer จะดีขึ้น ถึงแม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นจีนที่ยังไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ แต่คาดว่าจะได้รับ Sentiment เชิงบวกของยอด transfer ที่จะเพิ่มขึ้น จากฐานที่ต่ำในช่วงปี 2020-21E
  4. CPALL (ซื้อ/เป้ า 67.00 บาท) คาดรัฐบาลเริ่มคลายเคอร์ฟิวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว และได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มกลับมาซึ่งจะทำให้ trafficในร้านสะดวกซื้อสูงขึ้น
  5. BH (Non coverage) เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ผู้ป่วยต่างชาติสูงที่สุดในกลุ่มรองลงมาเป็ น BDMS (ซื้อ/เป้ า 26.50 บาท)ซึ่งจะได้ประโยชน์จากผู้ป่วยต่างชาติ fly-in เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม medical tourism ที่อยู่ในกลุ่มประเทศยุโรปและสหรัฐอเมริกา (5% ของรายได้รวม) และตะวันออกกลาง (5% ของรายได้รวม)

   ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ