LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 17 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 17 ตุลาคม 2564

ROH ลดพาร์จาก 10 ต่อ หุ้น เหลือ 1 บาทต่อหุ้น

บริษัท โรงแรมรอยัล ออคิด (ประเทศไทย) จำกัด  (มหาชน) หรือ ROH   ประชุมคณะกรรมการ(บอร์ด) โดยบริษัท มีมติอนุมัติ เปลี่ยนแปลงมูลค่าโดย ลดมูลค่าพาร์ จาก 10 บาทต่อหุ้น เหลือ 1 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทมีจำนวนหุ้นเพิ่มเป็น 937.5 ล้านหุ้น  รวมถึงมีมติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 937.50 ล้านบาท เป็น  1,117.50 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 180 ล้านหุ้น เพื่อรองรับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP)  คือ Advanc Opportunities Fund ( AO Fund)และAdvanc Opportunities Fund 1( AO Fund 1)  ซึ่งประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจการเงินในประเทศสิงคโปร์

ในการเพิ่มทุนครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องมากขึ้นเนื่องจากเงินทุนหมุนเวียนที่ได้รับจากเงินเพิ่มทุน จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน ในการประกอบธุรกิจของบริษัท เพื่อให้มีเงินเพียงพอในการดําเนินธุรกิจและการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต  รวมถึงสามารถเพิ่มฐานะทางการเงินเพิ่มความแข็งแกร่งและเสถียรภาพฐานะทางการเงินจากการดําเนินงานปกติในธุรกิจหลักปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งจะสร้างรายได้และกําไร เพิ่มเติมให้แก่บริษัท รวมถึงเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยเรื่องการแก้ไขคุณสมบัติการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัท (Free Float) ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ โดยนักลงทุนแต่ละรายเป็นบุคคลที่มีลักษณะความสัมพันธ์ และมีความเกี่ยวข้องกัน จึงนับรวมหุ้นของนักลงทุน2 รายเป็นกลุ่มเดียวกัน ซึ่งนักลงทุนดังกล่าวจะไม่ส่งบุคคลใดๆ เข้ามาเป็นกรรมการในบริษัท  ทำให้นักลงทุนดังกล่าวถือหุ้นบริษัทในสัดส่วน16.11% ของจำนวนหุ้นที่ออกชำระแล้วหลังจากการเพิ่มทุนจดทะเบียน ซึ่งจะกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 พ.ย.2564 และรายย่อยของบริษัท (Free Float) ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

 

ทั้งนี้บริษัทมีแผนใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทและเป็นเงินทุนเพื่อเตรียมตัวขยายธุรกิจหลักและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19  เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อเตรียมพร้อมสําหรับโอกาสทางธุรกิจอื่น ๆ ในอนาคตที่จะมาถึง นอกจากนี้การเพิ่มทุนยังเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเรื่องการแก้ไขคุณสมบัติการกระจายการถือหุ้นของผู้ถือหุ้น

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

 

ธนชาต เปิดขายหุ้นกู้แปรสภาพ18-25 ต.ค.นี้

วันที่ 18-25 ต.ค. 64 Thanachart Fund Eastspring เปิดขายไอพีโอ (IPO) กองทุน Thanachart Eastspring Global Convertible Bond Fund กองทุนมีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ ( Convertible Bond) ไม่ต่ำกว่า 80% ของพอร์ตลงทุนในรอบปีบัญชี พิเศษเฉพาะช่วงไอพีโอ (IPO) ลดค่าธรรมเนียมขาเข้า 0.5% สำหรับเงินลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาท หากลงทุนตามเงื่อนไข

โดยมีทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพบริหารกองทุนในลักษณะ Fund of Funds คาดว่าจะมุ่งลงทุนเฉพาะในสองกองทุนหลักคือ Calamos และ Lazard Asset Management ซึ่งเป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญด้านการลงทุนระดับโลกในด้านหุ้นกู้แปลงสภาพ

สำหรับกองทุน Calamos Global Convertible Fund เน้นสร้างผลตอบแทนเทียบความเสี่ยงที่น่าพอใจตลอดวัฎจักรตลาด กองทุนใช้ประโยชน์จากทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญที่มีมายาวนานหลายทศวรรษ และโครงสร้างการวิจัยเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าตลาดอย่างสม่ำเสมอ (Alpha) และบริหารความผันผวนให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

ส่วนกองทุน Lazard Global Convertibles Investment Grade Fund จะสร้างผลตอบแทนให้เหนือกว่าดัชนี Refinitiv Global Focus Investment Grade Convertible โดยเน้นลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพทั่วโลก ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับลงทุน (Investment Grade) ที่ออกโดยบริษัทเอกชน รัฐบาล หน่วยงานราชการ องค์กรภาครัฐ หรือองค์กรกลางที่เป็นอิสระจากรัฐบาลของประเทศ

 

นายพงศ์สรร ยอดเมืองเจริญ ผู้อำนวยการส่วนบริหารผลิตภัณฑ์ TMBAM Eastspring กล่าวว่า หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bonds) เป็นทางเลือกการลงทุนที่สร้างพอร์ตเติบโตภายใต้สภาวะตลาดผันผวน เพราะลักษณะของสินทรัพย์ประเภทนี้มีความเสี่ยงจำกัดแบบตราสารหนี้ แต่ก็มีโอกาสรับผลตอบแทนขาขึ้นในแบบของหุ้นด้วยความนิยมของหุ้นกู้แปลงสภาพ ทั่วโลกมีมาได้ระยะหนึ่งแล้ว สะท้อนผ่านขนาดตลาดที่สูงถึง 5.1 แสนล้านดอลลาร์ ที่กระจายอยู่ในสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย และกระจายอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี สินค้าฟุ่มเฟือย การแพทย์ และการเงิน รวมถึงเชื่อมั่นว่าการลงทุนในหุ้นกู้แปลงสภาพ เหมาะสำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ด้วยความคืบหน้าในการปูพรมเร่งฉีดวัคซีน ส่งผลดีต่อการเปิดประเทศและช่วยให้ผลประกอบการของบริษัทต่างๆ ดีขึ้น ในแง่หนึ่งการลงทุนยังสามารถสร้างความยืดหยุ่นของพอร์ตต่อสภาวะผันผวนจากแนวโน้มการปรับลดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินและการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร และด้วยประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนหลักที่มีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์ประเภทนี้ มาอย่างยาวนาน ดังนั้นเมื่อผสม Convertible bonds เข้ากับพอร์ตลงทุน จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่เหนือกว่า

 

ทั้งนี้การผสมผสานระหว่างกองทุนหลัก Calamos และ Lazard ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้แปลงสภาพในหลายหลายกลุ่มประเทศโดยเฉาะสหรัฐฯและยุโรปที่เป็นหัวหอกของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ หลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และผสมผสานโอกาสสร้างผลตอบขาขึ้นจากตราสารพันธบัตรอัตราผลตอบแทนสูง (High Yield) จากบริษัทขนาดกลางที่มีศักยภาพ และลดทอนความผันผวนของพอร์ตลงทุนจากตราสารที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับ Investment Grade

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

 

3 หุ้นเด่น รับฟื้นตัวเศรษฐกิจ แข็งแกร่งไตรมาส 3

บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ 3 หุ้นเด่น KBANK รับอนิสงส์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ NER และ JMT เก็งงบฯ ไตรมาส 3 ปี 2564 โตแกร่ง

  1. หุ้น KBANK  โดยราคาเป้าหมาย 160 บาท คาดว่าได้รับอานิสงส์บวกจากเศรษฐกิจฟื้นตัว และการฉีดวัคซีนที่สูงขึ้นใน 4Q64 รวมถึงมีฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งผสาน Valuation Gap ต่างจาก SCB มากเกินไป โดยปัจจุบัน KBANK เทรดที่ 0.7x 2021 P/BV และ 7.3% ROE ในขณะที่ SCB เทรดที่ 1.0x 2021 P/BV และ 8.0% ROE
  2.  หุ้น NER โดยราคาเป้าหมาย 9 บาท คาดว่ากำไรปกติ 3Q64 แข็งแกร่งที่ระดับ 521 ล้านบาท (+159.6%YoY) ทำสถิติใหม่เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน และมีโอกาสในการ rerating ด้วยการยก P/E ratio สูงขึ้น จากการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ โดยได้เริ่มทยอยติดตั้งเครื่องจักรแล้ว ซึ่งตั้งเป้าผลิตและจำหน่ายในช่วง 1Q65
  3. หุ้นJMT โดยราคาเป้าหมาย 58 บาท คาดว่ากำไร3Q-4Q64 แข็งแกร่งกว่าตลาด และประเมินการเติบโตของกำไรสุทธิในปี 65 ที่ +67%YoY จะสามารถชดเชย Dilution 18% จากการเพิ่มทุนได้ และรักษาการเติบโตของ EPS เฉลี่ย (CAGR) 43% ในอีกสามปีข้างหน้า เราปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 58 บาท (PEG 75x)

ทั้งนี้คาดจากตลาดหุ้นไทยระหว่างวันที่ 18-21 ต.ค.64 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,625-1,650 จุด มีปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐฯ ความคืบหน้าแผนการเปิดประเทศ และการรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม อาจมีแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และสถานการณ์น้ำท่วมในประเทศ

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

4. กระทรวงพาณิชย์ ประชุมทางไกลร่วมสภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน พร้อมเปิดประเทศ

ดร.สรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์  เป็นผู้แทนกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมการหารือผ่านระบบการประชุมทางไกล กับคณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S. – ASEAN Business Council: USABC) นายไมเคิล มิคาลัค รองประธานกรรมการอาวุโสและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคของ USABC พร้อมด้วยผู้แทนจาก 12 บริษัทชั้นนำของสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมสุขภาพ เทคโนโลยีสารสนเทศ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ขนส่ง การผลิต การเงิน ประกอบด้วย Abbott, Adobe, Amazon, Citi, Facebook, FedEx, Ford, Google, Johnson & Johnson, MSD, UL และ Visa

ดร.สรรเสริญ กล่าวว่า ไทยและสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิดกันมาอย่างยาวนาน โดยไทยได้ให้ความมั่นใจแก่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการดำเนินมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ตลอดจนดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาวบนฐานเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model และการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

รวมถึงให้ความสำคัญกับกติกาการค้าโลกที่โปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่สร้างภาระแก่ภาคธุรกิจในการทำการค้า การขยายตลาดการค้าใหม่ๆ ผ่านการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) การค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมด้านทรัพย์สินทางปัญญา และการส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัลในทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคต

ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมหารือสภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน USABC พร้อม 12 บริษัทสหรัฐฯ ย้ำไทยเตรียมพร้อมเปิดประเทศ มีมาตราการรับมือโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เร่งฟื้นฟูและยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ ด้านสหรัฐฯ ย้ำจุดยืนเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่เหนียวแน่น พร้อมสนับสนุนด้านเทคโนโลยีไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

สิ้นปี64 แนวโน้มการใช้พลังงานพุ่งสูงตามเศรษฐกิจ

วัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า พยากรณ์อ้างอิงสมมุติฐานจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ไว้ว่า แนวโน้มการใช้พลังงานปี 2564 จะพุ่งสูงขึ้นตามเศรษฐกิจไทยสิ้นปีนี้โดยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 0.7–1.5% จากปัจจัยหลัก คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก แรงขับเคลื่อนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การปรับตัวตามฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ซึ่งจะส่งผลให้การใช้พลังงานขั้นต้นปี 2564 เพิ่มขึ้น 0.1% ตามภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาการผลิตเพื่อการส่งออกจากเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่เริ่มฟื้นตัว คาดการณ์ว่าการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภทยกเว้นการใช้น้ำมัน

สำหรับปี 2564 การใช้ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน/ลิกไนต์ คาดว่ามีการใช้เพิ่มขึ้น 3.5% และ 1.8% ตามลำดับ ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าเพิ่มขึ้น 11.7% ในขณะที่การใช้ LPG ในภาคครัวเรือน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.9% ภาคอุตสาหกรรมและการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.3% และ 11.5% ตามลำดับ ขณะที่ภาคขนส่งคาดว่ามีการใช้ลดลง24.0% ก๊าซธรรมชาติ คาดว่าการใช้จะเพิ่มขึ้น 3.5% ส่วนการใช้ไฟฟ้า จะมีการใช้ไฟฟ้าลดลงเล็กน้อยที่ 0.4%

ในปัจจุบันราคา LPG คาร์โก้ถือว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยกระทรวงพลังงานมีนโยบายจะตรึงราคาก๊าซ LPG ให้ได้ 318 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม ดังนั้น คงต้องจับตาดูว่าราคา LPG ตลาดโลกจะเป็นอย่างไร รวมทั้งอาจมีการขยายกรอบวงเงินดูแลราคา LPG ประมาณ 2.1–2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากเดิมในกรอบ 1.8 หมื่นล้านบาท เพื่อลดผลกระทบผู้บริโภคจากราคา LPG ปรับสูงขึ้น เพราะปัจจุบันใช้เงินชดเชยราคา LPG ไปแล้วกว่า 17,431 ล้านบาท เหลือเงินเพียง 569 ล้านบาท ซึ่งไม่อาจดูแลราคา LPG ได้จนถึงสิ้นเดือนธ.ค.2564 ซึ่งตามมติเดิมของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2564 ที่กำหนดให้ตรึงราคา LPG ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปจนถึง 31 ธ.ค.2564 โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ที่มี “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน ได้ขยายกรอบวงเงินบัญชี LPG เพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท จากกรอบเดิม 1.8 หมื่นล้านบาท ทำให้ปัจจุบันมีกรอบวงเงินที่สามารถใช้ชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) ได้รวมไม่เกิน 20,000 ล้านบาท โดยจะสามารถใช้ตรึงราคา LPG ที่ 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม เพื่ออุ้มราคาไปถึงเดือนม.ค.2565

โดยกระทรวงพลังงานพิจารณาแนวทางปรับขึ้นราคา LPG แบบขั้นบันได ไตรมาสละ 1 บาทต่อกิโลกรัม จาก 318 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม ไปเป็น 363 บาทต่อถังขนาด 15 กิโลกรัม จากการตรึงราคา LPG ตั้งแต่เดือนมี.ค.2563 เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ที่แต่เดิมกำหนดจะดำเนินการแค่ระยะสั้น แต่เมื่อโควิด-19 ระบาดรุนแรงขึ้นจึงตรึงราคามาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งถือว่าช่วยเหลือมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว

ด้านบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) หรือ PTT  นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า จะช่วยผู้ที่มีรายได้น้อยอย่างต่อเนื่อง จากการขยายระยะเวลาช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม (LPG) แก่ผู้มีรายได้น้อย อาทิ กลุ่มร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงิน 100 บาท/คน/เดือน ถึงวันที่ 31 ธ.ค.2564 จากที่ได้ช่วยเหลือตั้งแต่เดือนตุลาคม2562 โดยคิดเป็นมูลค่าการช่วยเหลือแล้วกว่า 10 ล้านบาทแล้ว

ทั้งนี้ต้นปีหน้าราคาน้ำมันโลกจะปรับลดลงหรือไม่ หากราคาปรับลดลง กระทรวงพลังงาน อาจมีการพิจารณาเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ จากผู้ใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ โดยจะต้องดูสถานการณ์ที่เหมาะสมและไม่กระทบต่อประชาชน ซึ่งฐบาลควรเตรียมมาตรการรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อไม่ให้กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งประเทศที่จำนวนประชากรผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงการคลังราว 13.65 ล้านคน และอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 16 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ธปท. เตือนประชาชน ระวังชักถูกชวนลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ให้ผลตอบแทนสูง

นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การชักชวนให้ลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (FOREX) ได้ผลตอบแทนที่ดี มักเป็นการหลอกลวง มีลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ที่ไม่มีการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศจริง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าว เพราะนอกจากธุรกิจดังกล่าวจะผิดกฎหมายแล้ว ประชาชนยังมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินคืนด้วย

 ตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ประชาชนจะต้องทำกับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น รวมถึงปัจจุบันยังไม่เคยให้ใบอนุญาตแก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อการลงทุนแต่อย่างใด แต่การประกอบธุรกิจหรือมีส่วนร่วมกับการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ FOREX ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การให้บริการรับ-ส่งเงินเพื่อให้ประชาชนทำธุรกรรมหรือเพื่อชำระเงินในธุรกรรม FOREX บนเว็บไซต์ ทั้งในและต่างประเทศ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน

 ทั้งนี้บุคคลที่โฆษณาหรือเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือ FOREX กับตนโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย  หากมีข้อสงสัย โปรดสอบถาม ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธปท. โทร 02 3567799 หรือ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร 1213

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ราคาบิตคอยปรับตัวเป็นบวก61,350ดอลลาร์

วันที่ 16 ต.ค.64 เวลา 05.42 น. ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม  การเคลื่อนไหวที่ 61,350.0 ดอลลาร์ปรับตัวในช่วงขาขึ้นของราคาบิตคอยน์เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเมื่อวันที่15ต.ค.ที่ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 61,000 ดอลลาร์ และอยู่เหนือระดับ 2,000,000 บาท ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ จะอนุมัติจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์เพื่อทำการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า

โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.64 เวลา 00.33 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์ได้ทะยานขึ้น 5.98% สู่ระดับ 61,333.62 ดอลลาร์ หรือราว 2,042,400 บาท ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มคอยน์เบส ซึ่งก่อนหน้านี้ บิตคอยน์ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 64,889 ดอลลาร์ในขณะที่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา “เบน เคสลิน” หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทเอเอเอ็กซ์  คาดการณ์ว่า การจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์ในสหรัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 4

ซึ่งสถิติที่ผ่านมาชี้ว่า สกุลเงินดิจิทัลมักปรับตัวได้ดีในเดือนต.ค. สามารถฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย. ในรูปแบบการปรับตัวของบิตคอยน์ปีนี้สอดคล้องกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะบิตคอยน์ดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย.ปีนี้ ใกล้หลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ หลังจีนสั่งกวาดล้างการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์

สำหรับธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์กล่าวว่า การทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งรวมถึงบิตคอยน์ ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และจะถูกกวาดล้างอย่างหนัก นอกจากนี้ แพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่ให้บริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแก่ลูกค้าในจีน ก็ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายเช่นกัน และพนักงานที่ทำงานให้แก่แพลตฟอร์มดังกล่าวจะถูกดำเนินการสอบสวน

ในเดือนก.ค. ธนาคารกลางจีนมีคำสั่งห้ามสถาบันการเงิน รวมทั้งอาลีเพย์ ซึ่งเป็นบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในเครือของบริษัทแอนท์กรุ๊ปของอาลีบาบา ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต ขณะที่รัฐบาลจีนสั่งกวาดล้างเหมืองขุดบิตคอยน์

 ทั้งนี้บิตคอยน์ยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า กองทุนของ”จอร์จ โซรอส” เจ้าของฉายาพ่อมดการเงิน ได้เข้าลงทุนในบิตคอยน์

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจจีนขยายตัว 5%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจพบว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 5% ในไตรมาส 3 จากระดับ 7.9% ในไตรมาส 2 ในขณะที่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จากวิกฤตหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ รวมทั้งการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า, ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอของผู้บริโภค และต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นในภาคการผลิต

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการลงทุนที่ซบเซา การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอในเดือนก.ย.ที่ผ่านมายอดค้าปลีกอาจฟื้นตัวขึ้น หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) รายงานว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7.9% ในไตรมาส 2 ทำสถิติขยายตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ด้านจีดีพีประจำไตรมาส 2 ของจีนชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวเป็นประวัติการณ์ถึง 18.3% นอกจากนี้จีดีพีในไตรมาส 2 ยังขยายตัวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวราว 8.0-8.1%ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัว 12.7%

 

ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

เฮิร์บ เทรเชอร์ จับมือสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปลูกกัญชงตั้งเป้าปีละพันล้าน

นางสาวรมย์ชลี จันทร์ประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ บริษัท เฮิร์บ เทรเซอร์  ได้เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ทดสอบสายพันธุ์กัญชงเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตั้งแต่การเพาะปลูก การบำรุงรักษา ตลอดจนเก็บเกี่ยวผลผลิต และการแปรรูปจำหน่ายในเชิงพาณิชย์  โดยที่ผ่านมาร่วมลงนามความร่วมมือกับ การยาสูบแห่งประเทศไทย  ว่าด้วยความร่วมมือโครงการส่งเสริมการปลูกกัญชงเพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร และ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงราย-พะเยา เพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ  ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ที่สนใจเข้าร่วมโครงการประสานมายังบริษัทฯได้ รวมถึงผู้ที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและถูกต้องตามกฏหมาย

ซึ่งในปัจจุบันบริษัท มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร อาหารเสริม เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ในประเทศทั้งฝั่งเอเชีย และ ยุโรป ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสารสกัด CBD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่บริษัทฯ มีพันธมิตรที่แข็งแรง จะสามารถขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าผลผลิตแรกจะเริ่มออกในช่วงปลายปีนี้ และจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายภาคิณ ปุณณเกษมกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ  ROJNA กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด ด้วยการเข้าซื้อเงินลงทุนในหุ้นสามัญเป็น จำนวนหุ้น 255,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 51% ในระยะแรกให้ความสำคัญและการเติบโตของธุรกิจกัญชงแบบครบวงจรที่เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องผลิตสายพันธุ์ การปลูก สกัด จากการปลูกใน 300 โรงเรือนอัจฉริยะ บนพื้นที่ 100 ไร่ ซึ่งสามารถผลิตสาร CBD Isolateได้ประมาณ 9 ตันต่อปี  เพื่อตอบสนองความการเติบโตของตลาดของสาร CBD เชิงพาณิชย์หลายด้านในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมอาหารเสริม เป็นต้น  โดยในระยะแรกบอร์ดอนุมัติลงทุน 250 ล้านบาท สำหรับเดินหน้าก่อสร้างโรงงานสกัดสาร CBD ระยะที่หนึ่ง และมีแผนเพิ่มทุนระยะที่2 ในระยะเวลาอันใกล้เพื่อให้เสร็จภายในปี 2565 

สำหรับการลงทุนแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 250 ล้านบาทเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของกลุ่มลูกค้าที่ได้ส่งเอกสารแสดงความต้องการจะซื้อผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเตรียมการเพื่อขยายกำลังการผลิตและรองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกในระยะเวลา 2 ปี  โดยเฮิร์บ เทรเชอร์ ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตส่งออก และคาดการณ์ว่าการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชงแบบครบวงจรครั้งนี้ จะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชงตั้งแต่ปี 2565  ตั้งเป้าปีละ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เหตุผลหลักในการตัดสินใจเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชงครบวงจร เนื่องจากผู้บริหาร ROJNA จำเป็นต้องมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งมูลค่าผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาวเพื่อพิจารณาถึงธุรกิจที่มีความเป็นไปได้จริงและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งเฮิร์บ เทรเชอร์  เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์จริง ที่สำคัญมีผู้บริหารที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีนโยบายและหลักการในการบริหารธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาด

 

 ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

ลูกค้า เอเชียประกันภัย เตรียมโอมกรมธรรม์ไปบริษัทในเครือ คปภ.13 บริษัท หลัง บริษัทเอเชียประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต

จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 จำกัด(มหาชน)โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564เป็นต้นไป

ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2564 ตามความเห็นคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ให้บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 จำกัดหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่23ก.ย.2564เพิ่มทุนหรือแก้ไขสถานะให้มีค่าCAR ตามที่กฎหมายกำหนดตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 30 วัน และแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายโดยประจำการที่ทำการของบริษัทพร้อมได้เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยคืบหน้ากว่า 13,000 รายวงเงินกว่า 800 ล้านบาท

 ในขณะที่สินไหมค้างจ่ายทดแทนคงเหลือ 29,560 กรมธรรม์จำนวนเงิน 1,792.78 ล้านบาท โดยทรัพย์สินของบริษัทยังไม่เพียงพอที่จะดูแลค่าเคลมที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่บริษัทไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะทางการเงินและมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน-327.40%

จาก ข้อมูลจากการตรวจสอบ “บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 โดยข้อมูลทางการเงินของบริษัทที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ณเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,713.48 ล้านบาทหนี้สินรวม 5,256.54ล้านบาท หนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน -1,543.06ล้านบาท สินทรัพย์สภาพคล่อง 1,366.05 ล้านบาท จึงเป็นเหตุต้องเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยเข้าดูแลโดยใช้เงินกองทุนเยียวยาผู้เอาประกันภัย  

ต่อมาทาง คปภ.ได้ร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัยและบริษัทประกันวินาศภัยรวม 13 บริษัทเพื่อรับโอนกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่หมดอายุความคุ้มครองแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1.กรมธรรม์ประกันโควิด 8 แสนฉบับ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ 2แสนบาทและประกันรถยนต์ภาคบังคับและอื่นๆมากกว่า 1 ล้านฉบับ  สำหรับผู้เอาประกันภัยโควิคที่ต้องการความคุ้มครองอยู่ คปภ.ร่วมกับบมจ.ทิพยประกันภัยเสนอแพ็คเกจกรมธรรม์คุ้มครองโควิชกรณีภาวะโคม่าด้วยทุนประกันภัย 300,000 บาทเบี้ยประกันภัย 300 บาท

ทั้งนี้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งถอนใบอนุญาติประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เช่น บมจ.เจ้าพระยาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 7กันยายน 2561 ซึ่งคปภ.ได้รับความร่วมมือจากบริษัทประกันวินาศภัย 26บริษัทรับโอนกรรมสิทธิกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ยังมีผลผูกพันของผู้เอาประกันภัยทั้งภาคสมัครใจและประเภทอื่น ๆและมีกองทุนประกันวินาศภัยเพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้กรณีบริษัทถูกถอนใบอนุญาต

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

Categories
การลงทุน ข่าวหุ้น ธุรกิจ ลับ เศรษฐี นอกตำรา

เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ

เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ?

         เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ อย่าโทษแต่สิ่งรอบข้างจนลืมมองตัวเอง คนเรามักโทษสิ่งอื่นเสมอแต่ไม่เคยมองตัวเอง โควิด19- ทำให้ทำงานไม่ได้ ต่อให้เจอวิกฤตอะไรคุณก็โทษได้ทั้งนั้น ที่ผ่านมาเห็นแต่คนโทษเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเมื่อไหร่ 20 หรือ 30 ปีก็มีแต่คนบอกเศรษฐกิจไม่ดี ไม่เคยเห็นเลยที่บอกเศรษฐกิจดี แต่ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ได้เห็นคนประสบความสำเร็จหน้าใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาแม้จะในช่วงโควิด

เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมานานเป็นปี ส่งผลกระทบรุนแรงไม่ใช่แค่ เศรษฐกิจภายในประเทศ แต่ยังรวมไปถึง ภาคธุรกิจ ร้านค้า กิจการ มนุษย์เดือน ฟรีแลนซ์ ที่โดนปรับลดค่าจ้าง ลดค่าใช้จ่าย ภายใน หรือแม้กระทั่ง นักเรียน นักศึกษา ที่ได้รับผลกระทบ จากวิกฤติครั้งนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป และเพื่อให้ทุกอาชีพสามารถผ่านพ้นวิกฤติการเงินครั้งนี้ไปได้ เราจะมาดูวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอด จากวิกฤติการเงินนี้ได้กัน

1. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่ลดรายจ่ายของความบันเทิง

       ช่วงวิกฤติการเงินสาหัสเช่นนี้ จะใช้จ่ายตามใจชอบเหมือนที่ผ่านมาคงไม่ได้ รายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น รายจ่ายเพื่อความบันเทิงคงจะต้องตัดออกไปก่อน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับสถานะการเงินในช่วงวิกฤติให้ผ่านพ้นไปด้วยดี

2. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่จัดระเบียบกระเป๋าเงินของตนเอง

    กระเป๋าการเงินก็เปรียบเสมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานะการเงินของเราในแต่ละช่วงเวลา ยิ่งในช่วงที่มีวิกฤติเรื่องโรคระบาดหนักเช่นนี้ วิธีที่จะสามารถเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดีคือหันมาให้ความสำคัญ จัดระเบียบการเงินในกระเป๋าของเราเอง เตรียมพร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์ โดยแบ่งสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่จำเป็น และเงินออมสำรองยามฉุกเฉินไว้ใช้ในอนาคต

3. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ สร้างหนี้สินที่ไม่จำเป็น

      เราไม่รู้ว่าโควิด-19 จะไปจากเราเมื่อไหร่ และสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติได้ตอนไหน หนทางการเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้คือ หยุดก่อหนี้ และเคลียร์หนี้สินคงค้างให้เสร็จสิ้น เมื่อหมดหนี้แล้ว เราก็อาจจะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการใช้ยอดขั้นต่ำการชำระหนี้มาแปลเปลี่ยนเป็นจำนวนเงินที่เราต้องออมในแต่ละเดือนก็ได้เช่นกันนะคะ นอกจากไม่มีหนี้แล้วยังช่วยให้มีเงินออมเพิ่มขึ้นอีกด้วย

4. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่เคยทำอาชีพเสริม

        สถานการณ์แบบนี้มีรายได้ทางเดียวคงไม่เพียงพอ และเพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติก็คงต้องหาอาชีพเสริม หรือช่องทางเพิ่มรายได้ขึ้นมา เพื่ออย่างน้อย ๆ จะได้ลดปัญหาเรื่องการขาดรายได้จากอาชีพหลักของเรา โดยอาจจะเลือกทำจากสิ่งที่เราชอบ หรือถนัดมาต่อยอดไอเดียหารายได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะเปลี่ยนจากอาชีพเสริมมาเป็นอาชีพหลักเลยก็ได้ค่ะ

5. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่ระวังเรื่องการลงทุน

      เศรษฐกิจตอนนี้มีความผันผวนสูง หากใครที่คิดว่าการลงทุนอาจจะช่วยให้เราได้ผลตอบแทนมาใช้ชีวิตรอดในช่วงนี้ได้อาจเป็นความคิดที่ไม่ถูกเสมอไป  เพราะเราอาจเสียเงินต้นไปจำนวนมากภายในพริบตา แต่ถ้าสำหรับใครที่ต้องการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง และเป็นระดับความเสี่ยงที่รับได้ แนะนำว่าให้ศึกษาการลงทุนแต่ละรูปแบบ และเงินที่จะนำไปลงทุนควรจะต้องเป็น “เงินเย็น” เท่านั้น

6. เศรษฐกิจไม่ดี เพราะโควิด หรือเพราะคุณ ไม่ติดตามข่าวสารมาตรการจากรัฐบาลและสถาบันการเงิน

        ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมาตรการเยียวยา ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ หรือขาดรายได้ให้แก่ประชาชน การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ช่วยเหลือแก่ผู้มีหนี้สิน นับเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะสามารถเอาตัวรอดให้ผ่านพ้นวิกฤติในช่วงนี้ไปได้

       วิธีการเอาตัวรอดทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่ง ที่อาจะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นจากวิกฤติการเงินในช่วงโควิด-19 ไปได้ไม่มากก็น้อย แต่สุดท้ายแล้วเราต้องหาวิธีการปรับตัว และวิธีการจัดการเงินให้เหมาะสมกับตนเอง แล้วเราก็จะสามาระเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้