LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 23 ตุลาคม 2564

เพิ่มเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอีก 6 แห่ง อนิงสงค์หุ้นนิคม

ครม.เห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มอีก 6  แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษจำนวน 1 แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่รองรับการประกอบอุตสาหกรรมและการค้า 15,836 ไร่ มีการรองรับการลงทุน ได้เพียง 5 ปีเท่านั้น จึงมีการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่ม 6 แห่ง พื้นที่ EEC

1. จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการอุตสาหกรรมรูปแบบนิคมอุตสาหกรรม มีจำนวน 5 แห่ง โดยรองรับการประกอบกิจการได้ 5,098 ไร่ มีพื้นที่รวม 6,884 ไร่ สามารถรองรับการประกอบกิจการได้ 5,098 ไร่ ประกอบด้วย นิคมอุตสากรรมโรจนะแหลมฉบัง, นิมคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อันดัสเตรียล เอสเตท ระยอง, นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง,นิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่

รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบิน โลจิสติก และดิจิทัล รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมเอเชียคลีน รองรับอุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ภายใน 10 ปี เป้าหมายการลง 3 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2564-2573

2. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษ จำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง จ.ระยอง ภายใน 10 ปี ตั้งเป้าหมายการลงทุน20,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2564-2573

3. เปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่ออกิจการพิเศษ 1 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ พัทยา โดยเปลี่ยนแปลผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน ให้พื้นที่รวมของศูนย์585 ไร่ จากเดิม 566 ไร่ โดยเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ 6 แห่งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท สวนสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) , บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)

 สำหรับบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ได้ประโยชน์ 2 ใน 6 นิคม อุตสาหกรรม ได้แก่ โรจนะแหลมฉบัง 698 ไร่ โรจนะหนองใหญ่ 1,501 ไร่ ซึ่งแนวโน้มการขายที่ดินนิคมในไตรมาส 2 ปี 2564 ลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนมาเซ็นสัญญากว่า 100 ไร่ ไตรมาส 3 ถึงปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 มาก ซึ่งงในไตรมาส 4 ยังคงดีอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศในอนาคต โดยตั้งเป้าขายที่ดิน 400-500 ไร่ต่อปี ประมาณรายได้และกำไรระหว่างปี 2564-2566 รายได้หลัก80% มาจากการขายไฟให้กับบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และโรงงานในนิคม ซึ่งมองว่ารายได้จากการขายที่ดินเป็นปัจจัยหนุน สอดคล้องกับ บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนิคมมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จ.ระยอง พื้นที่ 1,498 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ หุ่นยนต์ การบิน โลจิสติก วึ่งขั้นตอนแรกต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เดิมก่อน ซึ่งรายได้จะเกิดขึ้นหลังจากที่พัฒนาแล้ว แนวโน้มรายได้ปี 2565 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพื้นที่เตรียมไว้สำหรับนิคมใหม่ที่เพิ่งอนุมัติจะต้องรอการพัฒนาก่อน ขณะที่แนวโน้มรายได้ปีนี้เติบโตขึ้น 30% สูงสุดในประวัติการณ์ เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดคือไตรมาส 3 ปี 2564

ทั้งนี้ปัจจุบันมีบริษัท 10 นิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC รวมถึงมีพื้นที่พัฒนาและสร้างใหม่ทุกปี พร้อมเปิดขายได้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์ 10,000 ไร่ พัฒนา infrastructure รองรับการขายพร้อมทั้งหมด 5,000ไร่ อี 5,000 ไร่ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขออนุมัติทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม

 

ขอบคุณ : ข่าวหุ้น

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะติดตาม 5ปัจจัยชี้ทิศค่าเงินบาทและดัชนีหุ้นไทย

ธนาคารกสิกรไทยประเมินสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 25-29ตุลาคม 2564 กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.80-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตัวเลขการส่งออกและเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือนก.ย. ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.  ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core Price Index เดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. และจีดีพีไตรมาส 3 ประจำปี 2564  

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม ECB และ BOJ ข้อมูลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.จีน และจีดีพีไตรมาส 3/64 ของยูโรโซน โดยในวันพฤหัสบดี 21 ต.ค. เงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.38 เทียบกับระดับ 33.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า 5 ต.ค.

ทั้งนี้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนก.ย.รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ประจำปี2564 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BoJ และ ECB ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/64 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนต.ค.ของยูโรโซน ตลอดจนกำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.ของจีน   โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,643.42 จุด เพิ่มขึ้น 0.31% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 79,001.31 ล้านบาท ลดลง 8.61% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.94% มาปิดที่ 559.65 จุด

 

ขอบคุณ : ฐานเศษฐกิจ

แบงก์ยันคุ้มครองลูกค้าทุกบัญชี ลุยจับ เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสกัดยับยั้งสะสางปัญหาโดยเร็ว ล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกำหนด 5 แนวทาง ในการเยียวยา แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการติดตามลงโทษผู้กระทำความผิด ได้แก่

 แนวทางที่1 ธนาคารและบริษัทเจ้าของบัตรฯ คืนเงินลูกค้าภายใน 5 วันนับจากได้รับแจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

แนวทางที่2 เปิดศูนย์ Hotline 1710 ประสานตำรวจ-ธนาคารรอายัดบัญชีคนร้าย ป้องกันการถ่ายเทเงินในบัญชี

แนวทางที่ 3  สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประสานข้อมูลกับผู้ให้บริการเครือข่าย ช่วยสืบหาข้อมูลของคนร้าย

แนวทางที่ 4 กระทรวงดิจิทัล ให้ความรู้ สร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับประชาชนเท่าทันพฤติกรรมคนร้าย และการแก้ไขกฎเกณฑ์ให้ทันกับรูปแบบอาชญากรรม

 แนวทางที่ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศูนย์ PCT  บูรณาการร่วมกับ บช.สอท., และ ศูนย์ PCT นครบาล, ภูธร 1-9 ในการรวบรวม ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินคดีจากทุกพื้นที่ ตั้งชุดสืบสวนสอบสวน Online รายจังหวัด

 ซึ่งขณะนี้เร่งประสานผู้ให้บริการเครือข่ายร้านค้าต่างประเทศ  ให้ไปไล่เบี้ยตรวจสอบร้านค้าในต่างประเทศ เป็นไปได้ว่า ร้านค้าเหล่านั้นก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ

 ดร.ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ภัยไซเบอร์จะกลายเป็น New Normal สำหรับผู้ใช้บริการดิจิทัลเซอร์วิส ที่เกิดขึ้นทุกวัน ใน 3 ภัยหลัก ได้แก่

 1. การส่งอีเมล์ หรือ SMS หลอกโอนเงิน หรือหลอกให้ส่งหมายเลขบัตรเครดิต ซึ่งเกิดขึ้นมาเป็นเวลานับ 10 ปี แต่เปลี่ยนเทคนิคไป

2. แรนซัมแวร์ ที่มุ่งการโจมตีเพื่อดูดข้อมูลไปขายในเว็บตลาดมืด 

3. การโจมตีเพื่อทำให้ระบบบริการล่ม หรือการโจมตี DDoS ยิ่งวันจะมีปริมาณและความถี่เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบสร้างความเสียหายในวงกว้างมากขึ้น

ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) กล่าวว่า  ที่ผ่านมา TB-CERT ร่วมกับธปท.และค่ายมือถือ บล็อกข้อความ SMS ที่แปลกปลอมเข้ามา ทำให้ช่วงหลังมีแนวโน้มลดลง ส่วนรูปแบบภัยไซเบอร์มีหลากหลาย หลักๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการหลอกลวงบนโซเชียล การปล่อยมัลแวร์ขู่เรียกค่าไถ่รวมถึงการส่งอีเมล์หลอกลวงหรือพวกฟิชชิ่ง โดย แฮกเกอร์ต้องการเงินเป็นหลัก แต่จะไม่ใช้วิธีขโมยเงินโดยตรง แนวโน้มข้อมูลและชื่อเสี่ยงของหน่วยงานหรือองค์กร มีความสำคัญมากขึ้น จึงถูกใช้เป็นตัวประกันในการเร่งให้หน่วยงานจ่ายเงินเรียกค่าไถ่ ส่วนใหญ่เทคนิคส่วนใหญ่จะทำควบคู่กันระหว่างการขโมยข้อมูลและสร้างมัลแวร์ เว็บไซด์หรือฟิชชิ่ง ซึ่งภัยไซเบอร์ทั่วโลกจะมีลักษณะนี้ แต่จะมีบริษัทเทคโนโลยีเป็นเป้าหมาย และกลุ่มธุรกิจเฮลธ์แคร์”

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

ธนาคารไทยกำไรพุ่งรวมกันกว่า 4.3 ล้านบาท

ธนาคารพาณิชย์ 10 ธนาคาร คือ  ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) และ บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ไตรมาส 3 ปี 2564 มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่  43,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

   ซึ่งทั้งปีคาดการณ์ว่ากำไรแบงก์ทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และอาจมีโอกาสไปแตะ 1.72-1.73 แสนล้านบาท หรือโตราว 20% สะท้อนว่ากลุ่มแบงก์ผลการดำเนินงานดีขึ้น และพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ส่วนสำรองทั้งปีคาดอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 3.38 แสนล้านบาท และคาดลดต่อเนื่องเหลือ 1.9 แสนล้านบาทในปีหน้า ตามกลุ่มแบงก์ยังคงมีความท้าทายอยู่ หลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน แบงก์อาจจะต้องมาดูใกล้ชิด เกี่ยวกับหนี้เสีย ในกลุ่มเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยที่ยังเปราะบาง ดังนั้นความเสี่ยงยังมีอยู่

 อย่างไรก็ตาม ธนาคารต้องความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ พิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตในระดับสูง และบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ข้าวไทย รับอนิสงค์จากเงินบาทอ่อนตัวลง

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 32 – 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวขาวและข้าวนึ่งของไทยที่ราคาได้ปรับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับข้าวจากอินเดียและเวียดนาม

ซึ่งแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ว่ามียอดคำสั่งซื้อเริ่มกลับมาอย่างต่อเนื่อง จากสถิติกรมศุลกากรการส่งออกข้าวไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่เดือนมิ.ย. – ส.ค. อัตราการขยายตัว 25.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตลาดหลักที่ไทยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น คือ จีน ฟิลิปปินส์ แคเมอรูน มาเลเซีย โมซัมบิก และสิงคโปร์

คาดว่าการส่งออกข้าวไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะยังขยายตัวดีต่อเนื่อง เห็นได้จากสถิติการขอใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศในเดือน ก.ย. ที่มีปริมาณสูงถึง 877,555 ตัน ขยายตัว 124.87% ล่าสุดเดือนต .ค.ระหว่างวันที่ 1 – 18 ต.ค. ปริมาณ 380,234 ตัน เพิ่มขึ้น 47.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งตั้งแต่เดือนม.ค. – ส.ค. 2564 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 3.18 ล้านตันคิดเป็นมูลค่า 58,685 ล้านบาท โดยข้าวไทยยังคงได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ดังนั้น คาดว่าในปีนี้ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าที่ปริมาณ 6 ล้านตัน

 สำหรับการส่งออกข้าวไทยที่กลับมาฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากความสำเร็จจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาคเอกชนของไทยและกระทรวงพาณิชย์ และทูตพาณิชย์ในฐานะเซลส์แมนประเทศเร่งการเจรจาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยกับคู่ค้าสำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ซึ่งทำให้คู่ค้าเชื่อมั่นในศักยภาพในการส่งออกข้าวคุณภาพของไทยแม้ในช่วงสถานการณ์โควิดฯ และหันมาสนใจนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ คาดการณ์ว่าจากปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลาย ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อในคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทย ประกอบกับราคาข้าวไทยที่สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน จะทำให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โตต่อเนื่องจะสามารถส่งออกข้าวได้เดือนละกว่า 7 แสนตัน และการส่งออกข้าวไทยทั้งปีจะได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 6 ล้านตัน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 15 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 15 ตุลาคม 2564

ONEE ขายหุ้นไอพีโอ 7.50-8.50 บาท ให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก

 

หุ้น ONEE กำหนดราคาเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) ช่วงราคาที่ 7.50-8.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งต้องจองซื้อราคา 8.50 บาทต่อหุ้น โดยช่วงราคาที่นำมาใช้ทำการสำรวจความต้องการซื้อหุ้น(Book Building) จากนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศ คิดเป็นราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(P/E Ratio) ที่ 20.5-23.2 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง(ตั้งแต่ 1 ก.ค.63-30 มิ.ย.64) อย่างไรก็ตามได้เทียบเคียงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์พบว่ามีจำนวน 2 บริษัทที่มีลักษณะประกอบธุรกิจใกล้เคียงกัน ซึ่งมีระดับ P/E อยู่ที่ 32.9-75.1 เท่า

โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการประกาศราคาเสนอขายสุดท้าย เร็วภายในเวลา 12.00 น.ของวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ผ่านเว็บไซต์ของช่องวัน และเว็บไซต์ของสำนักงานคุณกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรกช่วงต้นเดือน พ.ย.64

ซึ่งการจองซื้อหุ้น ONEE สำหรับบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์, ผู้มีอุปการคุณของบริษัท, บุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัท และพนักงานบริษัท ช่วงวันที่ 20-21 ต.ค.และวันที่ 25-26 ต.ค.64และสำหรับนักลงทุนสถาบัน และนิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ช่วงวันที่ 28-29 ต.ค.64 และวันที่ 1 พ.ย.64

 นายอนุวัฒน์ ร่วมสุข กรรมการผู้จัดการ ประธานสายตลาดทุน กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นไอพีโอ บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ONEE จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(SET) หมวดธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ มีแผนเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 496,252,500 หุ้น ประกอบด้วย

1.หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดย ONEE ไม่เกิน 476,250,000 หุ้น

2.หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บริษัท ซีเนริโอ จำกัด ไม่เกิน 20,002,500 หุ้น

รวมทั้งหมดคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 20.84% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO) คิดเป็นมูลค่าเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,722-4,128 ล้านบาท และคิดเป็นมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) ที่ 17,859.4-20,240.6 ล้านบาท

แยกสัดส่วนการเสนอขายหุ้นทั้งหมดออกเป็น

  • บุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ประมาณ 108,500,000 หุ้น สัดส่วน 21.9% 2.นักลงทุนสถาบันและ/หรือนิติบุคคลที่สามารถเข้าร่วมการสำรวจความต้องการซื้อ(Book Building) ประมาณ 297,752,500 หุ้น สัดส่วน 60%
  • ผู้อุปการคุณของบริษัทไม่เกิน 36,500,000 หุ้น สัดส่วน 7.4% 4.บุคคลที่มีความสัมพันธ์ของบริษัทไม่เกิน 25,000,000 หุ้น สัดส่วน 5% และ 5.พนักงานของบริษัทประมาณไม่เกิน 28,500,000 หุ้น สัดส่วน 5.7%

โดยบริษัทมีแผนที่จะเรียกจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติการโอนทุนสำรองตามกฎหมายและส่วนเกินมูลค่าหุ้นเพื่อล้างผลขาดทุนสะสมภายหลังขายหุ้นไอพีโอทันที หรือสามารถจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติเรื่องดังกล่าวภายในไตรมาส 4/64 สำหรับราคาหุ้น ONEE ปรับตัวต่ำกว่าราคาจองคงคาดเดายาก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในอนาคตจะเกิดเกิดเหตุการณ์รุนแรงกระทบต่อตลาดหุ้นไทยหรือไม่ ดังนั้นอยากให้นักลงทุนต้องมองโอกาสการเติบโตของ ONEE ในการสร้างรายได้ในอนาคต และมองที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

ทั้งนี้สำหรับรายได้ 6 เดือนแรกปีนี้ 2,782.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.78% เทียบจากช่วงเดี่ยวกันปีก่อนโดยเป้าหมายรายได้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีอัตราเพิ่มขึ้น 10% ต่อปี โดยช่องทางโทรทัศน์(TV) จะมีสัดส่วนที่ 40-45% จากเดิม 48% ช่องทางออนไลน์จะมีสัดส่วนที่ 25-28% จากเดิม 21% ช่องทางตลาดต่างประเทศ จะมีสัดส่วนที่ 7-10% จากเดิม 5% และช่องอื่นๆ จะมีสัดส่วนที่ 27% จากเดิม 12-25%

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

โลตัสลุยขาย “ใบกระท่อมสด” สนองเทรน หลังปลอดล็อค

“โลตัส”  สนองเทรนใบกระท่อมสด หลังภาครัฐปลดล็อกออกจากบัญชีสารเสพติดประเภท 5 วางเป็น “สินค้าใหม่” บนเชลลฟท์ผักแปรรูป ให้ประชาชนเลือกซื้อได้อย่างสะดวกในราคาที่ย่อมเยา

“โลตัส” ห้างค้าปลีกขนาดใหญี่ที่ครองใจคนไทยในเรื่องของสินค้าที่ถูก ภายใต้การบริหารของบริษัทสยามแม็คโคร ได้นำใบกระท่อมสด มาวางจำหน่ายในบางสาขาแล้ว บนเชลฟท์ผักและผลไม้แปรรูป เป็นแบรนด์ ของ”ทอมส์ ท่อม” (TOM’S TOM) ซึ่งเป็นการจัดจำหน่ายโดย บริษัท บลูเจย์ จำกัด วางจำหน่ายบนเชลฟท์ผักและผลไม้แปรรูป โดยมีป้ายกำกับสินค้าระบุว่าเป็น “สินค้าใหม่” จำหน่ายราคาชิ้นละ 99 บาท จากราคาปกติ 120 บาท/แพ็ก (80 กรัม)

สำหรับใบกระท่อมสด นอกจากปกติจะนิยมนำมาเคี้ยวกินน้ำแล้ว ยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น นำไปปั่นผสมกับเครื่องดื่มหรือน้ำปั่น  ต้มน้ำดื่ม รวมถึงการทำเป็นเมนูชุบแป้งทอด ซึ่งเมนูนี้จะได้รับความนิยมมากในประเทศมาเลเซีย โดยรับประทานคู่กับกาแฟหรือชา เนื่องจากพืชกระท่อมเป็นสมุนไพรที่มีการนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์มาตั้งแต่โบราณ เนื่องจากมีสรรพคุณทางยา สามารถลดอาการปวด ทำให้รู้สึกชา กดความรู้สึกเมื่อยล้า และช่วยให้กระปรี้กระเปร่า

ทั้งนี้หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ประกาศ ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติด ประเภทที่ 5 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.2564ที่ผ่านมา สามารถปลูก ซื้อ ขาย ได้อย่างเสรี รวมถึงมีกระแสการนำใบกระท่อมมาทำเป็นอาหารเริ่มที่หลากหลายเมนู แต่ก็ยังมีข้อกำหนด เช่น ห้ามจำหน่ายให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือสตรีมีครรภ์ ห้ามจำหน่ายในวัด และโรงเรียน เป็นต้น

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรเผย "กระท่อม" สร้างรายได้ 12,000 ต่อไร่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เกษตรกรที่สนใจลงทุนปลูกต้นกระท่อมใหม่ คงต้องมีการวางแผนเพื่อตัดสินใจในการปลูกอย่างรอบคอบ เพราะยังขึ้นอยู่กับการตอบรับของอุปสงค์ในระยะแรก ซึ่งคงต้องมีการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้า ร่วมกับเงื่อนไขหลายประการ ที่สำคัญคือ เงินลงทุนในการเริ่มปลูก เงินทุนหมุนเวียนระหว่างรอเก็บเกี่ยวผลผลิต ระยะเวลาคืนทุน และความเสี่ยงของราคาขายที่จะได้รับ

ซึ่งระยะแรกภาพรวมธุรกิจกระท่อมต้องขึ้นอยู่กับอุปสงค์เป็นสำคัญภายใต้อุปทานที่มีจำกัด จึงถือว่าเป็นช่วงทดสอบตลาดผู้บริโภคว่าจะให้การตอบรับกับสินค้ากระท่อมได้ในระดับใด ซึ่งคงต้องรอดูผลตอบรับไปอีกสักระยะหนึ่ง

โดยผู้มีผลผลิตกระท่อมในมือจะได้รับประโยชน์ผ่านการขายใบกระท่อมสดที่มีราคาค่อนข้างสูงราว 250-350 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2564 (ก.ย.-ธ.ค.) รายได้เกษตรกรอาจอยู่ที่ราว 9,000-12,000 บาทต่อไร่ต่อเดือน ซึ่งเป็นเพียงการประเมินตัวเลขปัจจุบันในเบื้องต้น

ทั้งนี้ระยะข้างหน้าไม่สามารถใช้ตัวเลขดังกล่าวเป็นเครื่องชี้วัดอ้างอิงได้ เพราะรายได้เกษตรกรจะขึ้นอยู่กับการตอบรับของอุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำที่ใช้กระท่อมเป็นวัตถุดิบเป็นสำคัญ

 

ขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจ

 

 

 

 

กระแสไม้ด่างฟีเวอร์ ปลุกกระแสบอนสี สร้างรายได้ 20ล้านบาทต่อเดือน

จากกระแสที่กำลังได้รับความนิยมของไม้ด่างจำนวนมาก หนึ่งในนั้นก็คือบอนสี เพราะ มองว่าเป็นศิลปะ ทำให้ราคาของบอนสีมีราคาที่สูงทำให้ออเดอร์การสั่งดอกไม้ลดลงไปอย่างมาก จึงได้มองหาธุรกิจเสริมที่จะเข้ามาช่วยทดแทนรายได้ที่หายไปจากการจำหน่ายดอกไม้

จังหวัดเชียงใหม่ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งผลิตบอนสีที่เพาะพันธุ์ภายในประเทศส่งขายทั่วไทย ล่าสุดมีผู้ประกอบการนำเข้าดอกไม้ ได้ทดลองสั่งบอนสีจากจีนเข้ามาสร้างสีสัน และเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่นิยมเลี้ยงบอนสีในประเทศไทย  ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จนทำให้ตลาดบอนสีคึกคักเป็นอย่างมาก

               ปัจจุบันกระแสบอนสีกำลังได้รับความนิยมมาก ทำให้ราคาบอนสีในไทยปรับราคาขึ้นตามกระแสความนิยม ลักษณะของบอนสีเหมือนงานศิลปะ มีลวดลายสีสันที่ไม่ซ้ำกัน สีที่กำลังได้รับความนิยม เน้นไปทางสีแดง สีสันสดใสจะจำหน่ายได้ง่าย ส่วนต้นที่มีใบสีขาว จะโตช้า เนื่องจากการสังเคราะห์แสงทำได้ไม่ดีนัก

สำหรับราคาบอนสีถ้าเป็นพันธุ์พื้นเมืองที่หายาก ราคาสูงถึง 100,000 – 200,000 บาท บางต้นถ้าฟอร์มสวยราคาจะสูงไปมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับพึงพอใจของผู้ซื้อ

ผู้ประกอบการนำเข้าไม้ดอกและไม้ใบ ต.เหมืองแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ณวิสาร์ มูลทา บอกว่า ก่อนหน้านี้คนให้ความสนใจเกี่ยวกับไม้ด่าง ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นไปสูง ขณะนี้ก็ยังมีกลุ่มที่สนใจไม้ด่างทำการซื้อขายกันอยู่ และในช่วงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้ออเดอร์การสั่งดอกไม้ลดลงไปอย่างมาก จึงได้มองหาธุรกิจเสริมที่จะเข้ามาช่วยทดแทนรายได้ที่หายไปจากการจำหน่ายดอกไม้  จึงได้วางแผนที่จะนำบอนสีจากจีนและ ฮอล์แลนด์เข้ามา ทำตลาดในประเทศไทย โดยเน้นจำหน่ายแบบยกกล่อง ราคาประมาณ 3,500-5,500 บาท มีประมาณ 20 ต้น ส่งจำหน่ายให้กับผู้รับซื้อที่ อ.ภูเรือ จ.เลย และ ตลาดไม้ดอกไม้ประดับคลอง 15 อ.องครักษ์ จ.นครนายก ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายไม้ดอก ไม้ใบขนาดใหญ่

นอกจากนั้นยังเปิดขายให้กับรายย่อยที่ต้องการนำไปจำหน่าย หรือนำไปเลี้ยง แบบยกกล่อง ในเพจเฟซบุ๊ก “In Love Caladium” ทั้งนี้ในแต่ละเดือน ได้นำเข้าบอนสีมาประมาณ 10 ตู้คอนเทนเนอร์ มูลค่าประมาณ 20 ล้านบาท

ทั้งนี้บอนสีมีความนิยมแพร่หลาย ไม่ได้นิยมเฉพาะในประเทศไทย แต่นิยมไปทั่วตลาดในประเทศเอเชีย โดยเฉพาะที่ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ กัมพูชา ซึ่งการนำเข้าบอนสีจะเริ่มหยุดเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว และจะเริ่มกลับมานำเข้าได้ให้ในช่วงฤดูฝนของปีหน้า

 

ขอบคุณ เนชั่น

 

 

 

5. ผู้ว่าภูเก็ต เดินหน้ายุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่ ทดแทนรายได้ท่องเที่ยว

นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตพยายามควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัดและฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกันใช้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเป็นบอร์ดในการจัดการออกมาตรการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ภูเก็ต ต้องเดินต่อไปข้างหน้ามีเป้าหมายพัฒนาจังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2565 ในวิสัยทัศน์ ศูนย์กลางการท่องเที่ยว การศึกษา นวัตกรรมบริการในระดับนานาชาติ และการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนมุ่งสู่จังหวัดที่พัฒนาแล้วภายในปี 2579

สำหรับการเตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวในไฮซีซั่นนี้ เมื่อระดับประเทศได้ผ่อนคลายลง มั่นใจว่าจะมีคนเข้ามามากขึ้นกว่าปัจจุบันเครื่องบินมามากขึ้น คนมามากขึ้นในประเทศจะเป็นผลบวกการฟื้นเศรษฐกิจ ในฐานะต้องรับผิดชอบตรงนี้ ต้องเตรียมการอย่างไม่ประมาท สถานการณ์ รอบข้างยังมี

ซึ่งภูเก็ตมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 มากขึ้น ไม่แพร่เชื้อ ถ้ารักษาความเชื่อมั่นไปได้ตลอดเป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ได้เน้นกลุ่ม 608เป็นวาระจังหวัดบูรณาการดูแลให้มากขึ้น เอาหมู่บ้านชุมชนเป็นตัวตั้งกลุ่มอสม.ที่เข้าถึงต้องเข้าไปดูแลค้นหากลุ่ม608 เป็นจุดแตกหักในระบบสาธารณสุขของภูเก็ต ทางรพ.สต.ต้องยกระดับมาตรฐานดูแลประชาชนมากขึ้นถ้ารพ.สต.ดูแลได้จะดูแลนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น

สำหรับสมาร์ทซิตี้ ภูเก็ต มีระบบการฉีดวัคซีนที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับที่อื่นสามารถวางระบบการฉีดได้วันละ 15,000คน นำระบบเทคโนโลยีของกระทรวงดีอีเอสที่เข้ามาทำให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลจากที่ต่างๆไปยังศูนย์ควบคุมอย่างเป็นระบบมากขึ้น ในด้านเมดิคอลฮับ จะเดินหน้าอย่างเต็มที่ เสนอเป็นเจ้าภาพจัดงานEXPO ในปี 2028 อยู่ในขั้นตอนหารือกับทีเส็บถ้าจัดได้เป็นธีมสุขภาพต้องเตรียมการพอสมควรจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาในแบบสุขภาพหรือwellness เชื่อมโยงเรื่องไมซ์ ( Mice )ถ้า จัดงานEXPOได้ มาเพื่อกิจกรรมเสริมรายได้ให้ภูเก็ตต่อไปนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจะพูดว่า Work from Phuket และจะส่งเสริมมารีน่าฮับให้เป็นจุดเด่นมากขึ้น นำความมั่งคั่งมาสู่ภูเก็ต เรื่องทูน่าฮับ ภาคการประมงกับธุรกิจกำลังหารือกัน อยากให้มาช่วยกันคิดเราต้องอยู่กับโควิดให้ได้และเดินหน้าต่อไปได้ มีผู้รู้ได้คาดการณ์ว่าประมาณกลางปีหน้าปัญหาโควิดน่าจะเป็นปกติไปแต่กว่าจะถึงในช่วงนั้นเราจะต้องเดินต่อไปข้างหน้าให้ภูเก็ตกลับมาแข็งแรงสดใสยั่งยืน

โดยผ่านภูเก็ตรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยวเพียงเสาเดียว เมื่อเสาพังลงมา จึงต้องเพิ่มให้มีหลายเสา หลายประเด็นอยู่ในยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัด เศรษฐกิจฐานรากและการเกษตร เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้นให้มีรายได้เพิ่มขึ้น อาทิ ประมงมีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่สำคัญ ใหัประมงพื้นบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น การทำเกษตรในพื้นที่แคบ ปลูกผักคอนโด ปลูกเห็ดทำแบบฟิวชั่นฟาร์ม พืชเศรษฐกิจ เช่น มะพร้าว ทุเรียน เป็นต้น จะแปรรูปได้มาก ให้หน่วยงานไปคิดวางแผนขึ้นมาภูเก็ตยังมีโรงเรียนนานาชาติ ระดับประถมและมัธยม จะต่อยอดให้คนมาอยู่นานขึ้นเศรษฐกิจขยายตัวได้มากขึ้นและไม่ทอดทิ้งเด็กที่ลำบาก ในเรื่องกีฬาจะทำสปอร์ตทัวริสซึ่ม นำการแข่งขันระดับโลกประเภทวอลเล่ย์บอล รักบี้ มวย เข้ามาจัดที่ภูเก็ตจะทำให้เป็นเมืองการกีฬาที่สำคัญ

รวมถึงเชื่อมั่นว่าถ้าทำอย่างเป็นระบบเราจะทำการตลาดท่องเที่ยวในอนาคตเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญสร้างความมั่นใจว่าวิกฤตที่ตั้งรับจะเป็นเชิงรุกสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวภูเก็ตอยู่ในวิสัยดูแลกันได้จะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดเชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น ทุกภาคส่วนร่วมกันเชื่อมั่นว่าเราเดินไปได้

ในส่วนการทำหนังสือขอเรื่องเงินเยียวยาประกันสังคม ไปยังส่วนกลาง สภาพัฒน์ กำลังพิจารณา และทางจังหวัดไดัทำหนังสือขอทราบคำตอบตามไปแล้วรวมทั้งทำหนังสือถึงส.ส.ภูเก็ต ให้ช่วยติดตามเรื่องนี้ให้ด้วย เพื่อจะได้มีการเยียวยาผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่เดือดร้อนกันต่อไป

ทั้งนี้จากข้อมูล ปี 2562 ภูเก็ตมีรายได้การท่องเที่ยว 442,891 ล้านบาท นักท่องเที่ยวกว่า 14 ล้านคน ในปี 2563 เริ่มมีการติดเชื้อในประเทศไทย นักท่องเที่ยวเข้ามาภูเก็ตลดลง เหลือ 4 ล้านคน รายได้การท่องเที่ยว ประมาณ 2แสนล้านบาท ปี 2564 เดือนมกราคมถึงมิถุนายน นักท่องเที่ยว กว่า4แสนคน รายได้ 4,905 ล้านบาท จากนั้นเปิดภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน นักท่องเที่ยว จำนวน 70,229 คน แยกเป็นนักท่องเที่ยวแซนด์บอกซ์ 46,423 คน รายได้ 2,147 ล้านบาท ยังไม่ถึงสิ้นปี 2564 มีรายได้รวมประมาณ 7,000 ล้านบาท”

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ