LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 14 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • KTC (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 65.00 บาท ตั้งเป้ารายได้ปี 22 โต 10% ยอดสินเชื่อและยอดการใช้จ่ายจะโตตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว สาขาจะทำงานได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการ Lockdown มองเป้าโต 10% Conservative เกินไป การตั้งสำรองและ NPL ปี 65 มีแนวโน้มลดลง หนุนกำไร และอีกหนึ่งจุดแข็งคือการบริหารลูกหนี้ทำได้ดีกว่ากลุ่ม ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 5.79 พัน ลบ. และ 6.55 พัน ลบ. +8.7%YoY, +13%YoY ตามลำดับ
  • TTB (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าหมาย 1.80 บาท คาดกำไรสุทธิปี 65 จะเติบโตสูงสุดในกลุ่มธนาคาร +32% Y-Y จากประโยชน์หลังการควบรวมเต็มปีทั้งการ Cross Selling รวมถึงลดค่าใช้จ่ายซ้ำซ้อน และเป็นธนาคารเดียวที่ ROE จะสูงเหนือระดับก่อน COVID-19 ฐานลูกค้าที่เป็นรายย่อยมากขึ้นทำให้ Loan Yield สูงและมีโอกาสเกิดการ Rerate Valuation ขึ้น ขณะที่ปัจจุบัน TTB ซื้อขายที่ระดับ PBV เพียง 0.6 เท่า ซึ่งเรามองว่าต่ำเกินไป
  • TNP (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้าหมาย Consensus 6.7 บาท คาดการณ์กำไรสุทธิ Q4/64 ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งตามผลบวกของฤดูกาล (High season) ขณะที่ปีนี้ทิศทางกำไรยังโตเด่นจากแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้น 6-7 สาขาต่อปีทำให้มี Growth อย่างน้อย 20-30% จากจำนวนสาขาในปัจจุบันที่ 30 สาขา
  • AQ-W5 เริ่มเทรดวันแรกวันนี้ (14 ม.ค.) จำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 42,660,889,866 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ (ใบสำคัญแสดงสิทธิ:หุ้นสามัญใหม่ 1:1) ราคาการใช้สิทธิ 0.028 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 21วัน นับแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ วันใช้สิทธิครั้งแรก 31 มี.ค.65 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 6 ธ.ค.67

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ลดลง 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ ปรับลง 3.17% 

         ราคาบิตคอยน์วันนี้ 14 ม.ค. 65 ปรับลง -3.17% ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ราคาอยู่ที่ 42,508.70 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,412,564.10 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 48.20 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 6.58 น.

         ราคาเหรียญดิจิทัลคริปโตฯ อื่นๆ Ethereum ปรับลง 4.03% Binance Coin ปรับลง 2.61% และ Dogecoin ร่วงลง 5.8% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

           สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

  • Bitcoin (BTC) ราคา 42,508.70 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.17%
  •  Ethereum (ETH) ราคา 3,235.04 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -4.03%
  •  BNB (BNB) ราคา 474.31 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.61%
  • Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
  • . Solana (SOL) ราคา 145.59 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.86%

  •  Dogecoin (DOGE) ราคา 0.17 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +5.46%
  •  Cardano (ADA) ราคา 1.23 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.89%
  •  XRP (XRP) ราคา0.77 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.94%
  •  Terra (LUNA) ราคา 77.97 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -4.86%
  •  Polkadot (DOT) ราคา 25.71 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.80%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.23 บาท/ดอลลาร์

      นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ในกรอบต่อ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา โดยปัจจัยด้านแข็งค่ายังคงเป็น การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ ขณะที่ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าที่มองข้ามไม่ได้

          นอกจากนี้ หากเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจนหลุดระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น ต้องอาศัยฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติพอสมควร ซึ่งเราเริ่มเห็นสัญญาณการทยอยขายทำกำไรการเก็งเงินบาทฝั่งแข็งค่าจากผู้เล่นต่างชาติ โดยในวันก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติเริ่มขายสุทธิบอนด์ระยะสั้นกว่า -6.3 พันล้านบาท ซึ่งอาจสะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่รีบเข้ามาเก็งกำไรการแข็งค่าของเงินบาทและพร้อมที่จะขายทำกำไร หากเงินบาทแข็งค่าถึงระดับเป้าราคาที่ต้องการ

           นอกจากนี้ หากเงินบาทแข็งค่าใกล้ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปมากได้

         มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.35 บาท/ดอลลาร์

        ตลาดการเงินเผชิญความผันผวนจากแรงเทขายหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อีกครั้ง หลังถ้อยแถลงของว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ต่างส่งสัญญาณว่าเฟดพร้อมที่จะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมและเฟดจะใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

         นอกจากนี้ แรงเทขายหุ้นเทคฯ ยังมาจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มเทคฯ อาจจะไม่ได้เติบโตโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะ หุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่จะได้รับอานิสงส์ของการฟื้นตัวเศรษฐกิจ

          ซึ่งภาพดังกล่าวยังคงหนุนให้การเปลี่ยนกลุ่มลงทุนของผู้เล่นในตลาด (Sector & Style Rotation) ยังดำเนินต่อไป ดังจะเห็นได้จากการที่ ดัชนี Dowjones ของสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนหุ้น Cyclical สูง ย่อตัวลงเพียง -0.49% ในขณะที่ดัชนี S&P500 และดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงกว่า -1.42% และ -2.51% ตามลำดับ

          ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ทรงตัวจากระดับปิดวันก่อนหน้า เพราะถึงแม้ว่า ตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ นำโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคฯ Adyen -6.0%, SAP -1.4% แต่โดยรวม ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มยานยนต์และกลุ่มการเงิน Daimler +2.7%, BNP Paribas +2.5%, BMW +1.6% ทั้งนี้ เราคงมองว่า การลงทุนในหุ้นยุโรปยังมีความน่าสนใจ จากสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Cyclical ที่สูงและมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการระบาดของโอมิครอนสงบลง

         ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทว่า ภาพดังกล่าวกลับไม่ได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว

         อย่างไรก็ดี ภาวะตลาดการเงินไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงและอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวกลับหนุนให้ ผู้เล่นบางส่วนทยอยเข้ามาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย 3bps สู่ระดับ 1.71% สอดคล้องกับมุมมองของเราที่มองว่า ปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว

               ดังนั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์จะเกิดขึ้นได้ หากตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หรือ เฟดมีการสื่อสารถึงการลดงบดุลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาจเป็นการลดงบดุลในอัตราที่สูงกว่าในอดีตที่ผ่านมาในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทรงตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) แกว่งตัวใกล้ระดับ 94.79 จุด โดยเรามองว่า เงินดอลลาร์ยังมีแรงกดดันจากแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของประเทศเศรษฐกิจหลัก

            โดยเฉพาะฝั่งยุโรป หลังสถานการณ์การระบาดในยุโรปใกล้ถึงจุดเลวร้ายสุด ซึ่งภาพดังกล่าวสะท้อนผ่านการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) รวมถึง เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ทำให้ผู้เล่นบางส่วนเลือกที่จะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย อย่าง เงินดอลลาร์

           สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาผลกระทบของการระบาดของโอมิครอนต่อการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยสัญญาณผลกระทบเบื้องต้นอาจสะท้อนผ่าน ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนธันวาคม ที่อาจหดตัว -0.1%m/m แม้ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลที่ปกติแล้วยอดค้าปลีกควรขยายตัวได้ดี

         รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนมกราคมที่อาจชะลอลงสู่ระดับ 70 จุด นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงิน Wells Fargo, Citigroup, JP Morgan เป็นต้น

              ส่วนในฝั่งเอเชีย เราคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.00% ก่อน จนกว่า BOK จะมั่นใจว่าการระบาดของโอมิครอนจะไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น BOK จะสามารถกลับมาขึ้นดอกเบี้ยต่อได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 หรือ ในไตรมาสที่ 2

            อย่างไรก็ดีในระยะสั้น ยอดการส่งออกของจีนอาจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโอมิครอนบ้าง แต่คาดว่าความต้องการสินค้าจากทั่วโลกจะกลับมาขยายตัวดีขึ้น หลังการระบาดเริ่มสงบลง ซึ่งจะช่วยให้การส่งออกของจีนยังคงขยายตัวได้ดีและช่วยหนุนให้เศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้ดีขึ้น

           ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 33.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 33.18 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น โดยอาจจะมีอานิสงส์ต่อเนื่องจากสัญญาณเงินทุนไหลเข้าในตลาดพันธบัตรไทย

            อย่างไรก็ดีอาจต้องติดตามแรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ในระหว่างวันจากการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังข้อมูล PPI สหรัฐฯ ยังคงขยับขึ้น และเจ้าหน้าที่เฟดมีท่าทีสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. นี้

            สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทพรุ่งนี้ คาดไว้ที่ 33.10-33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีราคานำเข้า/ส่งออกเดือนธ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นสำหรับเดือนม.ค.

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ประกันสังคม แจ้งขายหุ้น TU จำนวน 3 ล้านหุ้น และหุ้น BCH อีก 10 ล้านหุ้น

          ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้รับแจ้งจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ก.ล.ต.ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ได้เป็นรายงานการจำหน่าย หุ้นของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ( TU )โดย สำนักงานประกันสังคม ซึ่งเป็นการจำหน่ายเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย 3 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.0644% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 230,438,108 หุ้น หรือสัดส่วน 4.9501% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

          นอกจากนี้ยังได้รับแบบรายงานการจำหน่ายหุ้น บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) โดยสำนักงานประกันสังคม เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2565 จำนวน 10 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 0.401% ล่าสุดถืออยู่ 123,826,940 หุ้น คิดเป็น 4.9654%

         สำนักงานประกันสังคม รายงานสถานะกองทุนประกันสังคม ล่าสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 มีมูลค่าพอร์ต 2,274,718 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่รับรู้แล้วในปี 2564 ( ม.ค.- ก.ย.2564 ) จำนวน 45,951 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 3.61%

         โดยเป็นการลงทุนในประเทศ 1,892,867 ล้านบาท คิดเป็น 83.21% ลงทุนต่างประเทศ 381,851 ล้านบาท คิดเป็น 16.79% และแยกมูลค่าการลงทุนตามความเสี่ยง เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยง 557,874 ล้านบาท สัดส่วน 24.52% หลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูง 1,716,844 ล้านบาท สัดส่วน 75.48%

        ปัจจุบัน ประกันสังคม มีการลงทุนโดยถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียน (บจ.)และกองทุนรวมอสังหา/สิทธิการเช่าอสังหา รวมทั้งสิ้น 80 แห่ง มูลค่าการลงทุน ณ วันที่ 13 ม.ค.65 ประมาณ 2.94 แสนล้านบาท

5 อันดับหลักทรัพย์ที่ประกันสังคมถือหุ้นและมีมูลค่าสูงสุดได้แก่

– PTT ถือหุ้น 2.14% มูลค่าราว 23,978 ล้านบาท
– ADVANC ถือหุ้น 3.36% มูลค่าราว 22,188 ล้านบาท
– SCC ถือหุ้น 4.01% มูลค่าราว 18,777 ล้านบาท
– SCB ถือหุ้น 3.54% มูลค่าราว 15,163 ล้านบาท
– BDMS ถือหุ้น 4.08% มูลค่าราว 14,652 ล้านบาท

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 13 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 13 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • WICE (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 25.50 บาท คาดกำไรผลักดันราคาหุ้น, Outlook ปี 65 สดใส แนวโน้มราคาหุ้นปรับตัวขึ้นด้วยกำไร พื้นฐานแข็งแกร่ง Outlook สวย การขนส่งทางบก,ราง,เรือ,อากาศ เติบโตต่อรับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ธุรกิจขนส่งข้ามพรมแดนจะเด่น เสริมด้วยธุรกิจขนส่งทางรางที่กำลังจะเริ่มต้น H2/65 เตรียมนำ ETL (ขนส่งข้ามพรมแดน) เข้าตลาดหุ้น ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 524 ลบ. และ 682 ลบ. +161%YoY, +30%YoY ตามลำดับ
  • BANPU (เอเชียเวลท์) “ซื้อ” เป้า 14 บาท แนวโน้มกำไร Q4/64 ยังเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งจาก Q3/64 อิงตามราคาถ่านหินในตลาดโลกที่สูงขึ้น และแนวโน้ม Q1/65 เติบโตต่อเนื่องหลังราคาถ่านหินพลิกกลับมาฟื้นตัว และล่าสุดปรับขึ้นสู่ระดับ 203$/ton เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับราคา ณ สิ้นปี 64 ที่ 170$/ton
  • WINMED (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าห 7.80 บาท คาดกำไรปกติ Q4/64 ทยอยฟื้นตัวตามการ Reopening ในส่วนของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเลือดและสุขภาพสตรี และคาดหนุนทั้งปี 2021 +16% Y-Y โมเมนตัมกำไรจะเร่งตัวโดยระยะสั้นได้แรงหนุนจากการเปิดแล็บตรวจ RT-PCR และขาย ATK COVID-19 ส่วนธุรกิจหลักกลับมาเติบโตเร่งตัว ส่วนการเปิดแล็บตรวจเชื้อ HPV และ STD รวมถึงแล็บสำหรับการผลิตยาหนุนการเติบโตระยะยาว เราคาดกำไรปี 65-66 +91% Y-Y และ +52% Y-Y
  • APURE-W3 เข้าซื้อขายวันแรกวันนี้ (13 ม.ค.)จำนวนหน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน 479,131,206 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 : 1 ราคาการใช้สิทธิ 7.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 3 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (28 ธ.ค.64) วันใช้สิทธิครั้งแรก 31 มี.ค.65 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 27 ธ.ค.67

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ปรับขึ้น 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ ขยับขึ้น 2.73%

           ราคาบิตคอยน์วันนี้ 13 ม.ค. 65 ขยับขึ้น +2.73% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ราคาอยู่ที่ 43,900.30 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,460,519.08 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 32.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อเวลา 6.58 น. ที่ผ่านมา

           สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาเหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ขยับขึ้น 4.06% Binance Coin ดีดขึ้น 5.1% และ Dogecoin ดีดขึ้น 6.89% ในช่วง 24 ชั่วโมง

        สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

  • Bitcoin (BTC) ราคา 43,900.30 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.73%
  •  Ethereum (ETH) ราคา 3,369.32 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.06%
  • BNB (BNB) ราคา 487.10 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +5.10%
  • Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01%
  • Solana (SOL) ราคา 151.50 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +8.05%
    6. Avalanche (AVAX) ราคา 96.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.26%
  •  Cardano (ADA) ราคา 1.31 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +10.03%
  • XRP (XRP) ราคา 0.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.69%
  • Terra (LUNA) ราคา 82.06 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +11.62%
  •  Polkadot (DOT) ราคา 27.31 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +6.89%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.26บาท/ดอลลาร์

        นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แม้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้น แต่จะไม่แข็งค่าไปมากนัก เพราะถึงแม้ว่า เงินบาทจะได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าจากการย่อตัวลงของเงินดอลลาร์และโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ แต่ แรงกดดันฝั่งอ่อนค่ายังคงเป็นปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

       โดยเฉพาะการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้ การแข็งค่าขึ้นจนหลุดระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์นั้น ต้องอาศัยฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติพอสมควร อีกทั้ง ช่วง 2 วันที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นว่า โฟลว์ซื้อสุทธิบอนด์ระยะสั้นจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มลดลง ซึ่งอาจสะท้อนมุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่ยังไม่รีบเข้ามาเก็งกำไรการแข็งค่าของเงินบาท และผู้เล่นต่างชาติบางส่วนอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่า เพื่อเพิ่มสถานะการถือครอง ขณะที่หากเงินบาทแข็งค่าถึงระดับเป้าราคาที่ต้องการ ก็อาจเห็นการทยอยขายทำกำไรของผู้เล่นต่างชาติได้

           นอกจากนี้ หากเงินบาทแข็งค่าใกล้ระดับ 33.10-33.20 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจมีแรงซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้าช่วยพยุงเงินบาทไม่ให้แข็งค่าไปมากได้

    กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.20-33.40 บาท/ดอลลาร์

     ผู้เล่นในตลาดการเงินเดินหน้าทยอยเปิดรับความเสี่ยงต่อ หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคมเร่งตัวขึ้นแตะระดับ 7.0% ตามคาด และยิ่งหนุนให้เฟดสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่การประชุมในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปแล้วพอสมควร

        ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดจึงไม่ได้กังวลต่อแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของเงินเฟ้อแต่อย่างใด นอกจากนี้ ถ้อยแถลงของว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard และเจ้าหน้าที่เฟดท่านอื่นๆ ยังคงออกมาสอดคล้องกับประธานเฟดที่ได้ระบุก่อนหน้าว่า เฟดพร้อมจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมปัญหาเงินเฟ้อ

          การทยอยเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดจะเห็นได้ชัดจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคฯและหุ้นสไตล์ Growth ที่ย่อตัวลงหนักในช่วงที่ผ่านมา หนุนให้ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.28% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถปรับตัวขึ้นราว +0.23%

       ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้นเกือบ +0.8% นำโดยการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ ASML +3.1%, Adyen +1.4% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical

        อาทิ กลุ่มพลังงานและกลุ่มการเงิน Total Energies +3.1%, Intesa Sanpaolo +2.6% ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มประเมินว่า ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในยุโรปอาจใกล้ถึงจุดเลวร้ายสุดและเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี

            ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ ผู้เล่นในตลาดยังไม่มีการปรับสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวที่ชัดเจน หลังจากที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ ล่าสุดยังคงย้ำโอกาสที่เฟดจะสามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ในเดือนมีนาคม ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงทรงตัวที่ระดับ 1.75%

         ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจัยการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปพอสมควรแล้ว ดังนั้น การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์จะเกิดขึ้นได้ หากตลาดกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หรือ เฟดมีการสื่อสารถึงการลดงบดุลที่ชัดเจนมากขึ้น โดยอาจเป็นการลดงบดุลในอัตราที่สูงกว่าในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งเราคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ รวมถึงทั่วโลก ทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้

        ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลงมาใกล้ระดับ 94.92 จุด กดดันโดยภาวะตลาดเปิดรับความเสี่ยงและรายงานเงินเฟ้อทั่วไปสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ออกมาผิดจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้และไม่ได้ส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ได้ประเมินว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ราว 3-4 ครั้ง อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ได้หนุนให้สกุลเงินหลักต่างแข็งค่าขึ้น อาทิ เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.144 ดอลลาร์ต่อยูโร ส่วนเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ก็แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.37 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ซึ่งทั้งสองสกุลเงินยังได้แรงหนุนจากความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ หลังสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนใกล้ถึงจุดเลวร้ายที่สุด

        นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ทรงตัว ณ ระดับเดิมต่อ ได้หนุนให้ ราคาทองคำสามารถปรับตัวขึ้นมาแตะระดับ 1,825 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำอาจหนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเข้ามาทยอยขายทำกำไรได้ ซึ่งโฟลว์ขายทำกำไรทองคำดังกล่าวจะสามารถช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้

          สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Thomas Barkin, Patrick Harker, Charles Evans และที่สำคัญตลาดจะจับตาการแถลงต่อคณะกรรมาธิการ Senate Banking ในกระบวนการสรรหาประธานและรองประธานเฟด (Confirmation Hearing) ของว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard ว่าจะมีมุมมองต่อภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างไร รวมถึงมุมมองต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟดในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ

         ส่วนในฝั่งไทย เราคงมองว่า ผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่จะไม่กดดันให้เศรษฐกิจซบเซาหนัก เนื่องจากรัฐบาลจะพยายามเลี่ยงการใช้มาตรการ Lockdown ที่เข้มงวด โดยอาศัยการเร่งแจกจ่ายวัคซีนเพื่อลดความเสี่ยงต่อระบบสาธารณสุข อย่างไรก็ดี แม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจอาจไม่มากนัก แต่การระบาดของโอมิครอนอาจกดดันความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence) ในระยะสั้นได้ ซึ่งอาจสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมที่อาจย่อตัวลงเล็กน้อยและอาจปรับตัวลดลงมากขึ้น จนกว่าสถานการณ์การระบาดจะมีแนวโน้มดีขึ้น

         ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.27-33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ (9.45 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายหลังจากที่ข้อมูล CPI เดือน ธ.ค. 64 ของสหรัฐฯ ออกมาใกล้เคียงกับตัวเลขคาดการณ์ของตลาด โดยเพิ่มขึ้นแตะ 7% YoY สูงสุดในรอบ 39 ปีครึ่ง ซึ่งทำให้ตลาดประเมินว่า แม้เฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเข้มนโยบายการเงินในปีนี้ แต่ก็จะสอดคล้องกับที่เคยให้สัญญาณไว้ก่อนหน้านี้

            สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ฮ่องกงเตรียมออกกฎคุมเข้มเทรดคริปโท

           วันที่ 13 ม.ค. 65 บลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางฮ่องกงเปิดเผยว่ากำลังอยู่ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนเกี่ยวกับการจำแนกธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับคริปโทเคอร์เรนซี เพื่อออกข้อกำหนดกฎระเบียบสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลโดยเฉพาะเหรียญในกลุ่ม stablecoins

         รายงานระบุว่า ธนาคารกลางโดยพฤตินัยของฮ่องกงมีแผนเผยความชัดเจนเกี่ยวกับข้อบังคับด้านสินทรัพย์คริปโทฯ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อให้ทันการแข่งขันกับสิงคโปร์ซึ่งมีแผนเป็นศูนย์กลางการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียเช่นกัน

        บลูมเบิร์กอ้างแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องในธนาคารกลางฮ่องกงว่า บรรดาเจ้าหน้าที่อาวุโสในหน่วยงานด้านการเงินของฮ่องกงต่างกังวลเกี่ยวกับการเติบโตที่รวดเร็วของการลงทุนคริปโทฯ ที่เพิ่มมากขึ้นทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเชื่อว่าในอนาคตอาจกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อระบบการเงินในปัจจุบัน หากอุตสาหกรรมนี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีข้อบังคับใด ๆ

          ดังนั้นเป้าหมายในตอนนี้คือการเตรียมแผนกำกับดูแลสำหรับใช้งานในปี 67 โดยกฎระเบียบดังกล่าวยังคลอบคลุมถึงถึงผลประโยชน์ของนักลงทุนอีกด้วย อาทิ ป้องกันการหลอกลวง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ล่าสุดที่ผู้ใช้งานไม่สามารถถอนเงินออกจากกระดานเทรดได้

         โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 7 ม.ค. 65 มีบรรดานักเทรดหลายรายแจ้งต่อทางการฮ่องกงว่า Coinsupe กระดานเทรดคริปโตฯ ที่มีฐานอยู่ที่ฮ่องกงและได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบันจำนวนมากเกิดปัญหาไม่สามารถย้ายเงินทุนออกจากแพลตฟอร์มได้ตั้งพฤศจิกายนปีทีผ่านมา โดยผู้ใช้งานอย่างน้อย 7 รายได้ไปยื่นเรื่องเพื่อดำเนินการติดตามเงินจำนวนดังกล่าวของพวกเขาจากตำรวจ แต่ก็ไม่ได้รับความคืบหน้าใด ๆ

อบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 11 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • TFG (ฟินันเซีย ไซรัส)”ซื้อ” ปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 6 บาท เริ่มเห็นผลบวกราคาหมูปรับขึ้นแรงตั้งแต่ Q4/64 คาดจะพลิกมีกำไรได้อีกครั้ง หลังขาดทุนใน Q3/64 และจะได้ผลบวกเต็มที่ใน Q1/65 รวมถึงราคาไก่ที่ปรับขึ้นตาม และหากรัฐลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จะยิ่งเป็นบวกต่อต้นทุน ปรับสมมติฐานราคาขายหมูหน้าฟาร์มปี 65 จาก 79 บาท/กก.เป็น 95 บาท/กก.มองว่าโรคระบาดจะทำให้ราคาหมูยืนสูงนานจากปัจจุบันราคาเฉลี่ย 104 บาท/กก.จึงปรับเพิ่มกำไรปีนี้ขึ้นเป็น 2.27 พันลบ. +300% Y-Y
  • PSL (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 21.50 บาท โควิดระลอกใหม่ใหม่-จีนคุมท่าเรืออาจทำให้ค่าระวางกลับมาสูงอีกครั้ง ค่าระวางเรือปี 65 มีโอกาสกลับมาสูงหลังการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยจีนมีโอกาสใช้นโยบายคุมโควิดและเข้มงวดกับท่าเรือ ปริมาณการขนส่งทั่วโลกปีนี้เพิ่มขึ้นรับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว สถานการณ์ท่าเรือยังไม่ปกติคงอยู่ในภาวะ Congestion เรือขาด ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 3.83 พัน ลบ. และ 2.64 พัน ลบ.พลิกจากขาดทุนในปี 63 ชะลอตัว -31%YoY ในปี 65 ตามลำดับ
  • ASIAN (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 22.60 บาท ธุรกิจหลักอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นหนึ่งในธุรกิจที่รับความผันผวนได้ดีจากปัจจัยโควิด โดยกำไรสุทธิ Q3/64 ที่ 271 ลบ. +34.0%YoY,-7.6%QoQ ยังเติบโตได้ดีจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ช่วง Q4/64 ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากเงินบาทอ่อน (รายได้ส่งออกราว 70%) ส่วนช่วงถัดๆไปยังมีความน่าสนใจจากภาพรวมธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงแผนนำ เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เข้าตลาดหุ้นปีนี้ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และ EPS ปี 65 จะขยับขึ้นมาที่ 1.42 บาท/หุ้น

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้คงที่

บิตคอยน์วันนี้ปรับลง 0.04% 

            ราคาบิตคอยน์วันนี้ 11  ม.ค.65 ปรับลง -0.04% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 41,833.60 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,406,780.30 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 32.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลอัพเดต เมื่อเวลา 6.59 น. ของวันนี้

         ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ปรับลง 2.11% Binance Coin ขยับขึ้น .01% และ Dogecoin ปรับลง 3.33% ในช่วง 24 ชั่วโมง

       สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

1. Bitcoin (BTC) ราคา 41,833.60 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.04%
2. Ethereum (ETH) ราคา 3,083.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.11%
3. Tether (USDT) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01%
4. BNB (BNB) ราคา 424.90 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.12%
5. USD Coin (USDC) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
6. Avalanche (AVAX) ราคา 84.48 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.46%
7. Cardano (ADA) ราคา 1.12 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.86%
8. XRP (XRP) ราคา .74 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.72%
9. Terra (LUNA) ราคา 69.46 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -6.69%
10. Polkadot (DOT) ราคา 23.78 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.33%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

 

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ทรงตัว 33.62 บาท/ดอลลาร์

               อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า

                นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้มผันผวนในระหว่างวัน โดยแรงกดดันด้านอ่อนค่ายังคงเป็นการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็ว และปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

                    อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดมาก ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิอย่างต่อเนื่อง

             ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อบอนด์ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งอาจสะท้อนภาพการเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า โดยอาจมองได้ว่า นักลงทุนต่างชาติได้รอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อรอเข้าเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า

               อนึ่ง ผู้ส่งออกเริ่มมีการขยับออเดอร์และทำให้โซนแนวต้านขยับมาอยู่ที่โซนใกล้ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับสำคัญ ยังอยู่ในช่วง 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.70 บาท/ดอลลาร์

              ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนักจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็วขึ้นกว่าคาด ซึ่งล่าสุดเริ่มมีนักวิเคราะห์ของทาง Goldman Sachs มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 4 ครั้งในปีนี้และอาจเริ่มลดงบดุลได้เร็วกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทั้งนี้ แม้ว่าความกังวลแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น จะกดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นสไตล์ Growth หรือ หุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับฐานหนัก ทว่ายังมีผู้เล่นบางส่วนรอซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวตอนย่อตัว (Buy on Dip) หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถปิดตลาด +0.05% (จากที่ลงลึกมากกว่า -2% ในระหว่างวัน) ส่วนดัชนี S&P 500 ย่อตัวลง -0.14%

              ทั้งนี้ เราคงมองว่า ในระยะสั้น ตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงและมีโอกาสย่อตัวลงต่อได้ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง เงินเฟ้อทั่วไป รวมถึง ถ้อยแถลงของประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดได้สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟดได้เร็ว ซึ่งในภาวะดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้ หุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงิน, กลุ่มพลังงาน หรือ หุ้นสไตล์ Value สามารถปรับตัวขึ้นได้ดีกว่า หุ้นในกลุ่มเทคฯ หรือ หุ้นสไตล์ Growth

              ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวลงกว่า -1.54% ตาม sentiment ของตลาดโลกที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงนอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากปรับตัวลงหนักของหุ้นกลุ่มเทคฯ ซึ่งอ่อนไหวต่อแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ Adyen -8.4%, ASML -6.4%, Infineon Tech. -4.0% ทั้งนี้ เราคงมองว่า จังหวะการปรับฐานของหุ้นยุโรปอาจเปิดโอกาสในการเข้าสะสม หรือ Buy on Dip

                    เนื่องจากหุ้นยุโรปยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Cyclical หรือ หุ้นในธีม Reopening เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ดี หากสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนเริ่มสงบลง อีกทั้ง นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ยังมีความผ่อนคลายมากกว่าเฟด

                   ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยและปรับลดงบดุลได้เร็วกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เดินหน้าปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1.80% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดสู่ระดับ 1.77% นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี ทั่วโลก ต่างปรับตัวขึ้นเช่นกัน

                     ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจัยที่จะหนุนให้บอนด์ยีลด์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวขึ้นต่อได้จะเป็นประเด็นการปรับลดงบดุลของเฟด ว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไหนและแผนการลดงบดุลเป็นอย่างไร (เฟดจะลดงบดุลโดยการปล่อยให้ตราสารครบกำหนดแบบในอดีต หรือ เฟดเลือกที่จะขายตราสารที่ถือครองอยู่) ซึ่งต้องติดตามความชัดเจนของประเด็นดังกล่าวผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้

                      ในฝั่งตลาดค่าเงิน แนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วขึ้น และสภาวะตลาดที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นมาใกล้ระดับ 96 จุด อย่างไรก็ดี ราคาทองคำยังสามารถรีบาวด์ขึ้นมาแตะระดับ 1,804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ราคาทองคำย่อตัวต่อเนื่องสู่แนวรับสำคัญ จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา

                   อย่างไรก็ดี เรามองว่า โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปมากนัก คงเป็นไปได้ยาก เพราะเฟดมีแนวโน้มเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ ซึ่งผู้เล่นอาจต้องรอจังหวะการย่อตัว เพื่อเข้าซื้อรอการรีบาวด์

                     สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและที่สำคัญตลาดจะจับตาการแถลงต่อคณะกรรมาธิการ Senate Banking ในกระบวนการสรรหาประธานและรองประธานเฟด (Confirmation Hearing) ของว่าที่ประธานเฟดสมัยที่ 2 Jerome Powell และ ว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard ว่าทั้งสองท่านจะมีมุมมองต่อภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างไร

                      รวมถึงมุมมองต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟดในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งนี้ เรามองว่า ทั้งสองท่าน รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาจรอประเมินผลกระทบของการระบาดของโอมิครอนต่อการเติบโตเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งมีความเป็นไปได้ว่าทั้ง Jerome Powell และ Lael Brainard อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดอาจจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทว่า มุมมองของว่าที่ประธานเฟดและว่าที่รองประธานที่อาจเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือ มุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนมี.ค.นี้

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ยันเก็บภาษีปีนี้แน่ ขาขายหุ้น 0.1% รมว.คลัง มั่นใจไม่กระทบตลาดหุ้นไทย

         นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง หลังจากที่ได้ยกเว้นการจัดเก็บมานาน 30 ปี แต่คงต้องพิจารณาแนวทางการจัดเก็บให้มีความเหมาะสมที่สุด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยทำการศึกษาแนวทางเพื่อให้มีรูปแบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

         ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีหุ้นในต่างประเทศมี 2 รูปแบบ คือ

        1. เก็บจากส่วนต่างของกำไร (Capital Gain) ซึ่งมีข้อดี แต่การดำเนินการยุ่งยาก เป็นภาระกับผู้เสียภาษีมากกว่า หากกรมสรรพากรดำเนินการรูปแบบนี้จะต้องออกระเบียบและแก้กฎหมายใหม่ 

         2.เก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนใหญ่จัดเก็บวิธีการนี้

         สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นน่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด โดยในต่างประเทศจัดเก็บทั้ง 2 ขา ทั้งขาขายและขาซื้อ แต่ในส่วนของไทยศึกษาการจัดเก็บจากการขายหุ้นฝั่งเดียวเท่านั้น ซึ่งภาระไม่ได้มาก อัตราจัดเก็บที่ 0.1% เท่ากับหากมีการขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1,000 บาทเท่านั้น

      กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางการศึกษาทั้งหมดให้ รมว.คลัง พิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการจะเริ่มเก็บภาษีต้องดูสภาพตลาดหุ้นด้วย ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นไทยก็มีดัชนีเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นมองว่าหากมีการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก

        การเก็บภาษีหุ้นไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีด้วย เพราะเป็นการเสียในรูปแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกัน การซื้อขายอสังหาริมทรัยพ์ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด ซึ่งภาษีหุ้นก็อยู่ในหมวดธุรกิจเฉพาะที่จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% เพียงแต่ที่ผ่านมาได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปี

        นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการ FETCO จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction tax) เพื่อหาข้อสรุปในการทำหนังสือในนาม FETCO ไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงมุมมองให้รับทราบ

      เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว  และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เนื่องจากช่วงเวลาเก็บภาษีจากการขายหุ้นยังไม่เหมาะสม แม้จะเห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองมาตรการดังกล่าวในระยะยาวอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุน ซึ่งเป็นจุดขายหลักของตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องโดดเด่นสุดในอาเซียน จึงไม่อยากเห็นการออกมาตรการที่จะส่งกระทบต่อสภาพคล่องและไม่เห็นด้วยที่จะออกมาในปีนี้

      หากมีการเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้จริง เบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบโดยรวมจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายตลาดจะหายไปราว 20-30% โดยกลุ่มนักลงทุนที่จะกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากต้นทุนในการซื้อขายหุ้นปกติก็สูงกว่า 1 เท่าตัวของนักลงทุนในประเทศอยู่แล้ว

        หากมีการจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกไปเทรดในตลาดอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งจะทำให้ยอดเทรดลดลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนกว่า 40% ของปริมาณการซื้อขายรวม และกลุ่มถัดไปที่จะโดนผลกระทบคือกลุ่มเทรดเดอร์และ Prop Trade 

      ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่  กล่าวว่าเบื้องต้นประเมินการเก็บภาษีจากธุรกรรมซื้อขายหุ้น จะส่งผลกระทบต่อวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์แน่นอน เพราะไม่ต่างกับการถูกเรียกเก็บค่านายหน้าซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น) เพิ่ม  นอกจากนี้การเก็บภาษีขายหุ้นคาดว่าจะกระทบต่อการซื้อขายของหุ่นยนต์ (โรบอทเทรด) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 30% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งหมด โดยคาดว่าวอลุ่มของกลุ่มนี้จะลดน้อยลง หรือหายไปชั่วขณะ เพราะต้องปรับระบบ หรือปรับสูตรใหม่ ภายหลังต้นทุนการขายต่อครั้งเพิ่มขึ้น 

      แต่หากมองในมุมบวก การเก็บภาษีขายหุ้นอาจส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ถือหุ้นยาว เพราะที่ผ่านมาต้นทุนค่าคอมมิชชั่นถูก ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสามารถซื้อขายหุ้นระยะสั้นได้ แต่หากเก็บภาษีขายหุ้น คาดว่าการเก็บกำไรอาจลดลง เพราะนักลงทุนอาจหันมาถือยาวเพื่อเก็บกำไรยาวขึ้น 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 7 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 7 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • OCEAN (เมย์แบงก์)เป้าเชิงกลยุทธ์ 2.89 บาท คาดกำไรปกติปี 65 จะขยายตัวสู่ระดับ 221 ล้านบาท เติบโตเด่นจากปี 64 ที่มีกำไรเพียง 40 ล้านบาท แรงหนุนจากการรับรู้โครงการอสังหาฯ ผสานกับการต่อยอดในธุรกิจกัญชง ที่เป็น New S-Curveใหม่ที่คาดจะสร้างรายได้ตั้งแต่ 1Q65 และจะเร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังปี 65
  • PSL (คันทรี่ กรุ๊ป) “ซื้อ” เป้าหมาย 21.20 บาท คาดอัตราค่าระวางเรือเฉลี่ย (TCE) สำหรับเรือขนาดเล็ก-กลาง (Handysize และ Supramax) จะยังมีระดับที่ทำกำไรได้สูงตลอดทั้งปี 2022-23 จากประเด็นอุปทานล้นเกินที่หมดไป
  • SMD (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร” เป้าหมาย IAA Consensus 20.20 บาท การเร่งตัวของจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนในประเทศหลังปีใหม่ ทำให้การตรวจคัดกรองเชื้อ COVID-19 ด้วยตัวเองผ่านชุดเครื่องตรวจ ATK กลายเป็นสินค้าจำเป็นมากขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่เดินทางเป็นประจำ รวมถึงบางสถานที่ยังเพิ่มความเข้มงวดตรวจคัดกรองด้วย ATK ก่อนเข้ารับบริการ ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 65 เพิ่มขึ้นเป็น 1.8 พันล้านบาท จากแนวโน้มปี 64 คาดว่าจะทำรายได้ที่ราว 1.55 พันล้านบาท เนื่องจากความต้องการเครื่องมือทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรายได้จากการขายจากการขายชุดตรวจ ATK ให้กับหน่วยงานราชการและร้านสะดวกซื้อ 7-11

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ลดลง 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ปรับตัวร่วงลง  0.64%

     บิตคอยน์เคลื่อนไหวในแดนลบเช้าวันนี้ หลังจากดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพฤหัสบดี(6ม.ค.)ร่วงลง 170 จุดหลังปรับตัวขึ้นในช่วงแรก ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวร่วงลง 170.64 จุด หรือ 0.4% ปิดที่ 36,236.47 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 0.1% ปิดที่ 4,696.05 จุด ดัชนีแนสแด็กร่วง 0.1%  ปิดที่ 15,080.86 จุด

       ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดี ที่ 6 ม.ค. 65  ดิ่งลง 35.90 ดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมเดือนธ.ค. ซึ่งระบุว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุล

       สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. ร่วงลง 35.90 ปิดที่ราคา 1,789.20 ดอลลาร์/ออนซ์

 

ขอบคุณ :  กรุงเทพธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท อ่อนค่าที่ 33.57 บาท

        วันที่ 7 ม.ค. 65 รายงานจากห้องค้าเงิน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ อ่อนค่าที่ 33.57 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.45 บาท แนวต้านที่ 33.70 บาท

    โดยปัจจัยขับเคลื่อนตลาดช่วงนี้มาจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์ระบุว่าการขึ้นดอกเบี้ย สามารถเริ่มต้นได้เร็วที่สุดในเดือนมีนาคม และควรลดขนาดงบดุลหลังจากนั้น เพื่อจัดการกับเงินเฟ้อ

      ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตสหรัฐ โดยไอเอสเอ็มในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 62.0  ส่วนปัจจัยในประเทศ ไทยประกาศยกระดับการเตือนภัยโควิด-19 จากระดับ 3 ปรับขึ้นเป็นระดับ 4 

      สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ เงินเฟ้อยูโรโซน และตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราว่างงานสหรัฐ

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ยันเก็บภาษีปีนี้แน่ ขาขายหุ้น 0.1% รมว.คลัง มั่นใจไม่กระทบตลาดหุ้นไทย

         นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง หลังจากที่ได้ยกเว้นการจัดเก็บมานาน 30 ปี แต่คงต้องพิจารณาแนวทางการจัดเก็บให้มีความเหมาะสมที่สุด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยทำการศึกษาแนวทางเพื่อให้มีรูปแบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล

         ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีหุ้นในต่างประเทศมี 2 รูปแบบ คือ

        1. เก็บจากส่วนต่างของกำไร (Capital Gain) ซึ่งมีข้อดี แต่การดำเนินการยุ่งยาก เป็นภาระกับผู้เสียภาษีมากกว่า หากกรมสรรพากรดำเนินการรูปแบบนี้จะต้องออกระเบียบและแก้กฎหมายใหม่ 

         2.เก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนใหญ่จัดเก็บวิธีการนี้

         สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นน่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด โดยในต่างประเทศจัดเก็บทั้ง 2 ขา ทั้งขาขายและขาซื้อ แต่ในส่วนของไทยศึกษาการจัดเก็บจากการขายหุ้นฝั่งเดียวเท่านั้น ซึ่งภาระไม่ได้มาก อัตราจัดเก็บที่ 0.1% เท่ากับหากมีการขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1,000 บาทเท่านั้น

      กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางการศึกษาทั้งหมดให้ รมว.คลัง พิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการจะเริ่มเก็บภาษีต้องดูสภาพตลาดหุ้นด้วย ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นไทยก็มีดัชนีเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นมองว่าหากมีการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก

        การเก็บภาษีหุ้นไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีด้วย เพราะเป็นการเสียในรูปแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกัน การซื้อขายอสังหาริมทรัยพ์ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด ซึ่งภาษีหุ้นก็อยู่ในหมวดธุรกิจเฉพาะที่จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% เพียงแต่ที่ผ่านมาได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปี

        นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการ FETCO จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction tax) เพื่อหาข้อสรุปในการทำหนังสือในนาม FETCO ไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงมุมมองให้รับทราบ

      เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว  และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เนื่องจากช่วงเวลาเก็บภาษีจากการขายหุ้นยังไม่เหมาะสม แม้จะเห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองมาตรการดังกล่าวในระยะยาวอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุน ซึ่งเป็นจุดขายหลักของตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องโดดเด่นสุดในอาเซียน จึงไม่อยากเห็นการออกมาตรการที่จะส่งกระทบต่อสภาพคล่องและไม่เห็นด้วยที่จะออกมาในปีนี้

      หากมีการเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้จริง เบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบโดยรวมจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายตลาดจะหายไปราว 20-30% โดยกลุ่มนักลงทุนที่จะกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากต้นทุนในการซื้อขายหุ้นปกติก็สูงกว่า 1 เท่าตัวของนักลงทุนในประเทศอยู่แล้ว

        หากมีการจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกไปเทรดในตลาดอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งจะทำให้ยอดเทรดลดลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนกว่า 40% ของปริมาณการซื้อขายรวม และกลุ่มถัดไปที่จะโดนผลกระทบคือกลุ่มเทรดเดอร์และ Prop Trade 

      ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่  กล่าวว่าเบื้องต้นประเมินการเก็บภาษีจากธุรกรรมซื้อขายหุ้น จะส่งผลกระทบต่อวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์แน่นอน เพราะไม่ต่างกับการถูกเรียกเก็บค่านายหน้าซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น) เพิ่ม  นอกจากนี้การเก็บภาษีขายหุ้นคาดว่าจะกระทบต่อการซื้อขายของหุ่นยนต์ (โรบอทเทรด) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 30% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งหมด โดยคาดว่าวอลุ่มของกลุ่มนี้จะลดน้อยลง หรือหายไปชั่วขณะ เพราะต้องปรับระบบ หรือปรับสูตรใหม่ ภายหลังต้นทุนการขายต่อครั้งเพิ่มขึ้น 

      แต่หากมองในมุมบวก การเก็บภาษีขายหุ้นอาจส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ถือหุ้นยาว เพราะที่ผ่านมาต้นทุนค่าคอมมิชชั่นถูก ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสามารถซื้อขายหุ้นระยะสั้นได้ แต่หากเก็บภาษีขายหุ้น คาดว่าการเก็บกำไรอาจลดลง เพราะนักลงทุนอาจหันมาถือยาวเพื่อเก็บกำไรยาวขึ้น 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 6 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 6 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • PTTEP (เอเชีย เวลท์) “ซื้อ” เป้าหมาย 140 บาท คาดกำไรสุทธิ Q4/64 แข็งแกร่ง ราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยหนุน – คาด Q4/64 กำไรสุทธิเติบโต ทั้ง QoQ และ YoY ยอดขายและราคาขายยังคงเป็นปัจจัยหนุน ภาพรวมปี 64 เติบโตกว่า 67%YoY และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องถึงปี 65 ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล ขณะที่แผนลงทุน 5 ปี จะทำให้บริษัทมียอดขายเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ระยะสั้นมีแรงหนุนราคาหุ้น จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม
  • TU (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าหมาย 30 บาท กำไร Q4/64 ดูดีกว่าที่เคยคาดอาจ Flat Q-Q ได้ทั้งที่เป็น Low Season และต้นทุนยังสูงขึ้นทั้งวัตถุดิบและค่าขนส่ง แต่ชดเชยได้ด้วยการเริ่มปรับขึ้นราคากับลูกค้าซึ่งปรับขึ้นทั้งอุตสาหกรรมจึงไม่กระทบต่อการแข่งขัน ยังคาดกำไรสุทธิปี 64-65 +19% Y-Y และ +3% Y-Y นอกจากนี้ยังมี Catalyst จากการ Spin-Off ธุรกิจ Pet Care เพื่อปลดล็อก Value แฝง
  • BLA (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 42.00 บาท ประเมินรายได้จากเบี้ยประกันเติบโตต่อ หลังวิกฤติยอดจะไม่แผ่วอีกทั้งค่าเฉลี่ยของเบี้ยประกันสุขภาพมีโอกาสเพิ่มขึ้น YoY จากการปรับรูปแบบความคุ้มครอง มองปี 65 จะเป็นปีทองของการสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอายุโดยเฉลี่ยน้อยลงจากการตะหนักถึงความคุ้มครอง ที่มีประโยชน์เมื่อถึงเวลาจำเป็น Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 4.2 พัน ลบ. และ 4.68 พัน ลบ. +168%YoY, +11%YoY ตามลำดับ

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ลดลง 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ปรับตัวร่วงลง 6.43% 

        การเคลื่อนไหวในแดนลบของบิตคอยน์มีขึ้นหลังจากดาวโจนส์ดิ่ง 392 จุดหลังรายงานเผยเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น

       ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันพุธที่ 5 ม.ค. 65 ปรับตัวร่วงลง 392 จุด หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)เผยแพร่รายงานการประชุม บงชี้ว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินพร้อมปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดหมายไว้ท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ดีดตัว

        ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ร่วงลง 392.54 จุด หรือ 1.07% ปิดที่ 36,407.11 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 92.96 จุด หรือ 1.94% ปิดที่ 4,700.58 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 522.54 จุด หรือ 3.34% ปิดที่ 15,100.17 จุด

          ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ดีดตัว 10.50 ดอลล์ปัจจัยดอลล์อ่อนหนุนตลาด โดยราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพุธ ที่ 5ม.ค. 65 ปรับตัวขึ้น 10.50 ดอลลาร์ โดยได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งจะเพิ่มความน่าดึงดูดของทอง โดยทำให้สัญญาทองมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น

       สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. ดีดตัวขึ้น  10.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,825.10 ดอลลาร์/ออนซ์

ขอบคุณ :  กรุงเทพธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท อ่อนค่าที่ 33.24 บาท

    วันที่ 6 ม.ค. 65 รายงานจากห้องค้าเงิน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้  อ่อนค่าที่ 33.24 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.15 บาท แนวต้านที่ 33.35 บาท

     ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดช่วงนี้มาจากรายงานการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่าสมาชิกเฟดมีมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง และตลาดแรงงานที่กำลังฟื้นตัวสู่ระดับการจ้างงานสูงสุด

      ซึ่งการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐ สำรวจโดยเอดีพีในเดือนธันวาคม 2021 อยู่ที่ 8.07 แสนตำแหน่ง

       สำหรับในประเทศไทยเงินเฟ้อในเดือนธ.ค.อยู่ที่ 2.17% (YoY) ชะลอลงจากเดือนก่อน

         โดยปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีผู้ผลิตยูโรโซนในวันนี้ และเงินเฟ้อยูโรโซน กับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราว่างงานสหรัฐในวันศุกร์

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

สายอาชีพเด่นในปี 65 เผย 7 หุ้นดี

      บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ( KTBST) เผยแพร่บทวิเคราะห์ “7 หุ้นดี จากสายอาชีพเด่นในปี 65” ระบุว่า จากการศึกษาข้อมูลของกรมจัดหางานในปี 2564 พบว่า ความต้องการแรงงานไทยในรอบ 10 เดือนเพิ่มขึ้นถึง 8 เดือน ลดลง 2 เดือน ล่าสุด ในเดือน ต.ค. ความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น +39%YoY สะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ งานในกลุ่มการตลาด, การเงิน, อุตสาหกรรมการผลิต, การบริการ และการส่งออก เป็นที่ต้องการสูง

      ความต้องการของตลาดแรงงานปี 2564 เติบโตขึ้นจากปีก่อนมาเกือบตลอดทั้งปียกเว้นเดือน เม.ย. และ ก.ย.2564 ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ Covid-19 อัตราผู้ขอรับสวัสดิการทดแทนกรณีว่างงานในครึ่งหลังปี 2564 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน

       ในมุมมองนักลงทุนนั้น ความต้องการแรงงานในสายอาชีพนั้นๆสะท้อนการเติบโตของ อุตสาหกรรมต่างที่อ้างอิงอยู่ เราสามารถแบ่งความต้องการแรงงาน 5 อันดับแรกในกลุ่มงานต่าง ๆ ได้ดังนี้

        อาชีพที่ได้รับความต้องการในตลาดแรงงาน 5 อันดับแรกในกลุ่มงานต่างๆ ได้แก่ พนักงานด้านการตลาด, พนักงานการเงิน, วิศวกร (ทุกสาย), พนักงานบริการ และเจ้าหน้าที่คลังสินค้า จะเห็นว่าอุตสาหกรรมดังกล่าว มีการขยายตัวของรายได้สูงในปีที่ผ่านมา จึงมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น เมื่อความต้องในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้น เป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม

     KTBST จึงคัดหุ้นดีจากสายอาชีพเด่นที่คาดว่าจะมีความต้องการสูงในตลาดแรงงานในปี 2565  ได้แก่หุ้น รายละเอียดดังนี้

  • บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ ( EA)
  • บมจ.ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป ( IIG )
  • บมจ.เจ มาร์ท ( JMART)
  • บมจ.สยามแม็คโคร ( MAKRO )
  • บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ ( WICE )
  • บมจ. วันทูวัน คอนแทคส์  ( OTO )
  • บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต ( BLA )

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 5 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 5 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • ICHI (ฟินันเซย ไซรัส) “ซื้อ” เป้าหมาย 13 บาท คาดกำไร Q4/64 ฟื้นตัวทั้ง Q-Q และ Y-Y หลังคลาย Lockdown และปัญหา Logistic คลี่คลาย รวมถึงเข้า High Season ใน H1/65 หน้าร้อน และอยู่ระหว่างเตรียมออกสินค้าใหม่ทั้งเครื่องดื่ม Carbonate และ CBD Drink รวมทั้งมีแผนขยายลงทุนสู่ธุรกิจใหม่ Non Drink สร้างโอกาสและต่อยอดการเติบโต คาดกำไรปี 64 +5% Y-Y และเร่งตัว +20% Y-Y ในปี 65 ปัจจุบันเทรด PER 19 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 25 เท่า
  • JR (เมย์แบงก์) เป้าเชิงกลยุทธ์ 9.00 บาท จับมือ EA พร้อมลุยธุรกิจ EV Charger รับกระแสยานยนต์ EV ที่จะ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 65 หลังรัฐบาลเตรียมออกนโยบายหนุน Backlog ในมือแข่งแกร่งที่ 5 พันลบ.พร้อมประมูลงานใหม่ในปีนี้ โดยมีเป้าหมายงานใหม่ที่ 7 พันลบ.ดัน Backlog แตะระดับ 1 หมื่น ลบ. Outlook รายได้สดใส หลังประมูลงานรถไฟฟ้า ลุ้นงานนำสายไฟลงดินและงานกลุ่มโครงสร้างฟื้นฐาน ICT เป็นหนึ่งในการลงทุนหลักของปี 65 ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • HUMAN (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อเก็งกำไร” เป้าหมาย IAA Consensus 14.60 บาท ประเด็นบวกเข้าซื้อกิจการ DataOn Group ที่เป็น HR Solution Provider เช่นเดียวกัน รวมกันแล้วจะทำให้บริษัทขึ้นเป็นผู้นำ HR &ERP เอเชีย จากจำนวนประชากรอินโดนีเซียมากเป็นอันดับ 4 ของโลก ภายหลัง synergy คาดภายในไม่เกิน 5 ปี รายได้ของบริษัทเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% จากปี 65 คาดว่าจะมีรายได้ 40 ล้านดอลลาร์ และอัตรากำไรสุทธิก้าวกระโดดมากว่า 35%

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ขยับขึ้น 50 บาท

บิตคอยน์วันนี้ปรับตัวร่วงลง 0.22%

     การปรับตัวลงของบิตคอยน์ช่วงเช้าวันนี้ มีขึ้นหลังจากดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร 4ม.ค. 65ปรับตัวขึ้น 214 จุดติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในวันนี้

      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวขึ้น 214.59  จุดหรือ 0.5% ปิดที่ 36,799.65 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลง 0.06% ปิดที่ 4,793.54 จุด และดัชนีแนสแด็ก ร่วง 1.3%  ปิดที่ 15,622.72 จุด 

       ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันอังคาร 4 ม.ค. 65 ฟื้นตัวขึ้น 0.8% โดยสามารถยืนเหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์ หลังจากดิ่งลงอย่างหนักวานนี้

      สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. บวก 0.8%  ปิดที่ราคา  1,814.60 ดอลลาร์/ออนซ์

       ราคาทองทรุดตัวลงเกือบ 30 ดอลลาร์เมื่อวันจันทร์ 3ม.ค. 65  ถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 1.6% และจากการที่นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยง และหันเข้าซื้อหุ้น หลังคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

ขอบคุณ :  กรุงเทพธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท แข็งค่าที่ 33.25 บาท

      วันที่ 5 ม.ค. 65 รายงานจากห้องค้าเงิน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ แข็งค่าขึ้นที่ 33.25 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดสิ้นวันทำการก่อนหน้า โดยกรอบการเคลื่อนไหววันนี้คาดการณ์แนวรับที่ 33.20 บาท แนวต้านที่ 33.35 บาท

      โดยปัจจัยขับเคลื่อนตลาดช่วงนี้มาจากกรณีนายนีล คาสคารี่ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขามีเนอาโพลิส คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ

     ขณะที่โอเปกพลัสและรัสเซียจะเพิ่มกำลังการผลิต 4 แสนบาร์เรลต่อวันในเดือนก.พ.

       ส่วนในประเทศ รัฐบาลไทยอนุมัติงบประมาณ 3.19 ล้านล้านบาท สำหรับปีงบประมาณปี 66 และขยายระยะเวลาชะลอรับนักท่องเที่ยวแบบไม่กักตัว

      สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ตัวเลขเงินเฟ้อของไทยในวันนี้ รายงานการประชุมเฟด และดัชนีผู้ผลิตยูโรโซนในวันพฤหัสบดี และเงินเฟ้อยูโรโซน กับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราว่างงานสหรัฐในวันศุกร์

      

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

โควิดกระทบยอดเสียภาษี คลังหั่นเป้าจัดเก็บจริง 2.56 ล้านล้านบาท

    วันที่ 5 ม.ค. 65 รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 65 กรมภาษีสำคัญ ทั้งกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ตั้งเป้าหมายจัดเก็บรายได้ตามเอกสารงบประมาณ 2.56 ล้านล้านบาทซึ่งเป็นเป้าหมายที่ลดลงไป 2.6 แสนล้านบาท จากเป้าหมายปีงบประมาณ 64 ที่ตั้งไว้ 2.82 ล้านล้านบาท เนื่องจากกระทรวงการคลังได้ประมาณการรายได้ใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน หลังผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด ได้ส่งผลต่อภาคธุรกิจทั้งรายใหญ่ และเอสเอ็มอีมีผลประกอบการลดลง เช่นเดียวกับภาคประชาชน ก็กำลังซื้อน้อยกว่าเดิม ทำให้กระทบต่อยอดการเสียภาษี

      ปีที่แล้ว 3 กรมภาษีจัดเก็บภาษีพลาดเป้าถึง 314,807 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้า 11.1% เนื่องจากเป้าเดิมตั้งไว้สูง ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนเกิดโควิดระบาด แต่เมื่อมีการระบาดและล็อกดาวน์หลายรอบ ประกอบกับรัฐบาลนำมาตรการทางภาษีมาใช้ช่วยเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก็ทำให้การจัดเก็บรายได้หลุดเป้าไปเยอะ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงรอบใหม่ มีการประมาณการณ์รายได้ให้สอดคล้องตามภาวะปัจจุบันมากขึ้น ก็มั่นใจว่าปี 65 จะเก็บภาษีได้เข้าเป้าหมายแน่

         เมื่อแยกเป็นเป้าหมายแต่ละกรมภาษี ในส่วนกรมใหญ่สุด กรมสรรพากร ตั้งเป้าหมายจัดเก็บรายได้ตามเอกสารงบประมาณปี 2565 ไว้ที่ 1.87 ล้านล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ตั้งไว้ 2.08 ล้านล้านบาท  โดยรายได้สรรพากร ส่วนใหญ่มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม  ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้ยังมีรายได้ใหม่จากการเก็บภาษีอีเซอร์วิส ซึ่งจัดเก็บปีงบฯ 65 เป็นปีแรก ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 10,000 ล้านบาท

        ขณะที่ภาษีสรรพสามิต ตั้งเป้าหมายจัดเก็บที่ 592,000 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ตั้งเป้าไว้ 634,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการจัดเก็บภาษีน้ำมันกว่า 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้ทั้งหมด  รองลงมาเป็นภาษีบาป เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา เบียร์ บุหรี่ และยาเส้นกว่า 2 แสนล้านบาท ภาษีรถยนต์ 1 แสนล้านบาท และภาษีอื่นๆ อีกเกือบ 1 แสนล้านบาท

        กรมศุลกากร ตั้งเป้าหมายจัดเก็บรายได้ปีนี้ที่ 1 แสนล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีที่แล้ว เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการนำเข้าและส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยกลุ่มสินค้าที่จัดเก็บภาษีได้สูง ได้แก่รถยนต์ และสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และสินค้าวัตถุดิบ

      นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ปี 65 กรมตั้งเป้าไว้ที่ 1.876 พันล้านบาท และในช่วงเดือนแรกของปีงบประมาณ 65 กรมสามารถเก็บภาษีได้  1.2 แสนล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 6,952 ล้านบาท โดยได้อานิสงส์จากรัฐบาลได้คลายล็อกดาวน์และเปิดประเทศ ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น ประกอบกับการจัดเก็บภาษีอีเซอร์วิส ในเดือนแรกทำได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยจัดเก็บได้ถึง 686 ล้านบาท ทั้งในส่วนของโฆษณาออนไลน์ ขายสินค้าออนไลน์ สมาชิกดูหนังฟังเพลง และธุรกิจตัวกลางให้บริการแพลตฟอร์ม

คุณ : ประชาชาติธุรกิจ

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 4 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 4 มกราคม 2565

หุ้นเด่นวันนี้

  • EPG (เมย์แบงก์) เป้าเชิงกลยุทธ์ 15 บาท คาดกำไร ต.ค.-ธ.ค.64 ที่ 443 ล้านบาท (+8%QoQ,+3%YoY) จาก Covid-19 ผ่อนคลาย ปัญหาเรือขาดแคลนดีขึ้น และแนวโน้มปี 65 จะเติบโตดี และ ทำสถิติสูงสุดใหม่ แรงหนุนการเติบโตทั้งสามธุรกิจ AeroFlex, AeroKlas และ EPP และมีปันผลราว 3.7%ต่อปี
  • ITEL (กรุงศรี) “ซื้อ” เป้า 6.20 บาท คาดกำไรสุทธิ Q4/64 และทั้งปี 64 และ 65 จะพุ่งทำ New high จากการรับรู้รายได้ของงานในมือ (Backlog) ที่มีอยู่กว่า 3,300 ล้านบาท เบื้องต้นคาดกำไรสุทธิ Q4/64 ที่ 91 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 40%qoq และ 153%yoy คาดกำไรสุทธิปี 64 และ 65 ที่ 248 และ 324 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 35%yoy และ 32%yoy
  • JMART (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 62 บาท ประเมินรายได้ J Group โตทุกธุรกิจ Platform Blockchain พร้อมทำงานเพื่อรองรับทุกกิจกรรมในกลุ่มและพันธมิตร คาด Transaction แน่น คาดความสามารถในการทำกำไรจะสูงขึ้นหลังผนึก Big Partner ทั้ง BTS Group และ KBANK ต่อยอดการขายสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ พร้อมฐานลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 1.2 พัน ลบ. และ 1.9 พัน ลบ. +52%YoY, +59%YoY ตามลำดับ

ขอบคุณ :  สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ลดลง 200 บาท

บิตคอยน์วันนี้ปรับลงปรับลง 1.31% 

    ราคาบิตคอยน์ประจำวันที่ 4 ม.ค. 65  ปรับลง -1.31% ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 46,440.60 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,543,360.46 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 33.27 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 7.36 น.

       โดยเหรียญดิจิทัลอื่นๆ Ethereum ปรับลง 1.78% Binance Coin ปรับลง 2.94% และ Dogecoin ขยับขึ้น 2.63% ในช่วง 24 ชั่วโมง

      สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

1. Bitcoin (BTC) ราคา 46,440.60 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.31%


2. Ethereum (ETH) ราคา 3,762.67 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.78%


3. Binance Coin (BNB) ราคา 512.21 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.94%


4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%


5. Solana (SOL) ราคา 169.98 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.62%


6. Avalanche (AVAX) ราคา 108.10 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.98%


7. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.03%


8. XRP (XRP) ราคา .83 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.27%


9. Terra (LUNA) ราคา 89.03 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.63%


10. Polkadot (DOT) ราคา 30.46 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.63%

 

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.24 บาท/ดอลลาร์

         นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า สัปดาห์ส่งท้ายปี 2021 ที่ผ่านมา ตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดต่างคลายกังวลปัญหาการระบาดของโอมิครอน ควรติดตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยเฉพาะ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls: NFP) ไปพร้อมกับการติดตาม สถานการณ์การระบาดของโอมิครอนทั่วโลก

       โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้

     ฝั่งสหรัฐฯ : แม้ว่า สถานการณ์การระบาดของโอมิครอนในสหรัฐฯ จะพบผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ทว่า โดยรวมข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงออกมาสะท้อนแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่อง โดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการจะสามารถขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการโดย ISM (Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนธันวาคม ที่ระดับ 60.2 จุด และ 67 จุด ตามลำดับ (ดัชนีเกิน 50 จุด หมายถึง ภาวะขยายตัว)

        นอกจากนี้ ตลาดจะรอลุ้นการฟื้นตัวของตลาดแรงงานซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ไม่มากนัก ดังจะเห็นได้จากการที่ ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนธันวาคม อาจเพิ่มขึ้นแตะระดับ 4 แสนราย ดีขึ้นเกือบเท่าตัวจากเดือนก่อนหน้า ขณะเดียวกันอัตราการว่างงานก็จะลดลงเหลือ 4.1% อนึ่ง การฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดและอาจทำให้เฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็วกว่าคาด หากเฟดประเมินว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะสามารถกลับสู่สภาวะก่อนเกิดวิกฤติ COVID-19 ได้เร็ว

     ฝั่งยุโรป : ตลาดประเมินว่า ปัญหาการระบาดของโอมิครอนในยุโรปอาจกดดันให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง โดยยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนธันวาคม อาจหดตัวลงกว่า -0.5% จากเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนธันวาคม ที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ -9.0 จุด เช่นกัน ซึ่งภาพเศรษฐกิจยุโรปที่ชะลอตัวลงในระยะสั้นอาจกดดันให้ สกุลเงินยูโร (EUR) แกว่งตัวในกรอบ sideways ต่อในช่วงนี้

        ฝั่งเอเชีย : ตลาดจะรอติดตามสถานการณ์การระบาดของโอมิครอน โดยเฉพาะในประเทศจีน หลังเริ่มมีการรายงานยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น ทั้งนี้ การระบาดระลอกใหม่ในจีนอาจกดดันให้เศรษฐกิจชะลอลงได้ในระยะสั้น เนื่องจากทางการจีนยังคงใช้นโยบาย Zero COVID ทำให้ยังคงมีการใช้มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวด นอกจากนี้ จีนยังไม่ได้เริ่มใช้วัคซีน mRNA ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรับมือการระบาดของโอมิครอน ทำให้สถานการณ์การระบาดในจีนอาจแตกต่างกับฝั่งประเทศพัฒนาแล้วที่เน้นใช้วัคซีน mRNA เป็นหลัก

          ฝั่งไทย : ตลาดจะยังคงจับตาสถานการณ์การระบาดของโอมิครอน หลังยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นและอาจมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องหลังเทศกาลปีใหม่ ซึ่ง เราประเมินว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่อาจไม่มากนัก หากรัฐบาลสามารถเร่งแจกจ่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งข้อมูลงานวิจัยล่าสุดในต่างประเทศต่างชี้ว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นจะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการป่วยหนัก/เสียชีวิตได้ ในส่วนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ตลาดประเมินว่า ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น

       สะท้อนผ่านดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม เดือนธันวาคมที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51 จุด นอกจากนี้ ตลาดยังมองว่า แนวโน้มการทยอยฟื้นตัวเศรษฐกิจจะช่วยหนุนให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) เดือนธันวาคม ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 49 จุด และที่สำคัญการทยอยฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ รวมถึงระดับราคาสินค้าพลังงานที่อยู่ในระดับสูง จะช่วยหนุนให้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนธันวาคม ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 2.8% ทั้งนี้ เงินเฟ้อทั่วไปจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จากระดับฐานราคาสินค้าพลังงานที่อยู่ในระดับสูงในปีก่อนหน้า และภาพรวมเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย 
          สำหรับแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่าเงินบาทจะได้แรงหนุนในฝั่งแข็งค่าตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด (เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและนักลงทุนต่างชาติเดินหน้าซื้อหุ้นไทย) แต่สถานการณ์การระบาดในประเทศ จะทำให้เงินบาทไม่สามารถแข็งค่าไปได้มากนัก ทั้งนี้ ต้องจับตาโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำย่อตัวลงจากแตะแนวต้านสำคัญใกล้ 1,830 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
           ส่วนเงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวย่อตัวลงได้บ้าง โดยภาวะตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) อาจกดดันเงินดอลลาร์ได้ แต่เรามองว่าเงินดอลลาร์ยังพอมีแรงหนุนอยู่หากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาแข็งแกร่งดีกว่าคาด จนทำให้ตลาดประเมินว่าเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็ว อาทิ ขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนมีนาคม
         มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.00-33.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.15-33.30 บาท/ดอลลาร์

ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแข็งค่าทดสอบแนว 33.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนจะลดช่วงบวกกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 33.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ โดยยังคงเป็นระดับที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดปลายปี 2564 ที่ 33.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับภาพรวมสกุลเงินและสินทรัพย์เสี่ยงในฝั่งเอเชีย ท่ามกลางความเชื่อว่า ผลกระทบจากโอมิครอนอาจจะไม่กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ดีกรอบการแข็งค่าของเงินบาทถูกจำกัดไว้บางส่วน เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ยังคงมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มการเตรียมคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ

       สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โอมิครอนที่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในไทยสูงกว่าจำนวนผู้หายป่วยกลับบ้าน รวมถึงตัวเลข ISM ภาคการผลิต และข้อมูลการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของตลาดแรงงานของสหรัฐฯ

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

นักลงทุนคลายกังวลโอมิครอน ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐ

      ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนบวกเช้านี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮในวันจันทร์ (3 ม.ค.) ขานรับมุมมองบวกที่ว่า ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะไม่ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นบริษัทแอปเปิล อิงค์ และหุ้นบริษัทเทสลา มอเตอร์
        ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 29,098.41 จุด เพิ่มขึ้น 306.7 จุด หรือ +1.07%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,400.62 จุด เพิ่มขึ้น 125.87 จุด หรือ +0.54% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,649.15 จุด เพิ่มขึ้น 9.37 จุด หรือ +0.26%

         นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน หลังจากผลการวิจัยบ่งชี้ว่า แม้ไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนสามารถแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตและต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้รัฐบาลของหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์

        นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาหุ้นแอปเปิลที่พุ่งขึ้น 2.5% และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 182.01 ดอลลาร์ ส่งผลให้แอปเปิลกลายเป็นบริษัทจดทะเบียนรายแรกของสหรัฐที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นเทสลา ทะยานขึ้นกว่า 13.53% หลังจากบริษัทรายงานว่าสามารถส่งมอบรถยนต์จำนวน 308,600 คันในไตรมาส 4/2564 ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

       สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจภูมิภาควันนี้ นักลงทุนยังจับตาการรายงานอัตราว่างงานเดือนธ.ค.ของเกาหลีใต้ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนธ.ค. ของจีนจากไฉซิน

คุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 3 มกราคม 2565

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 3 มกราคม 2565

หุ้นยังดี ลงทุนปีเสือ แนะลงทุนนอกกระจายความเสี่ยง เลี่ยงตราสารหนี้ทั่วโลก

      ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนพร้อมคำแนะให้ระวัง ปีเสือ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการจัดพอร์ตหรือจัดสรรเงินลงทุนบนความท้าทาย และโอกาส หลังจากช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้โลกเดินหน้าสู่ภาวะท้าทายในหลายมิติ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า ทิศทางการลงทุนในปี 2565 จะเป็นปีที่หาผลตอบแทนยากลำบาก จากความผันผวนของราคาสินทรัพย์เกือบทุกประเภท

    รวมถึงการดำเนินนโยบายการเงินที่แตกต่างของธนาคารกลางหลักในโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) มีสัญญาณชัดเจนที่จะเริ่มลดวงเงิน QE (QE Tapering) เดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนมกราคม 2565 ซึ่งจะส่งผลให้วงเงิน QE สิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2565 และเฟดส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้น 3 ครั้งในปี 2565 แต่สำหรับไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

    นายวิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ หัวหน้าทีมกลยุทธ์เเละผลิตภัณฑ์การลงทุน Private Wealth Management ธนาคาร กรุงไทยเปิดเผยว่าปี 2565 อาจต้องระวัง แม้ที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกจะทยอยฟื้นตัว แต่นโยบายทางการเงินของเฟดที่จะมีการถอน QE และปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อย 3 ครั้ง ดังนั้น อาจจะเห็นสภาพคล่องที่เคยท่วมตลาดมาค่อนข้างนานจะถูกดึงออกไปบางส่วน แต่ เชื่อว่า “หุ้น” ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดี ส่วนตราสารหนี้รัฐบาลอาจถูกกดดันด้านราคา จากการปรับขึ้นดอกเบี้ย 

    ปี 2565 กรุงไทยจึงเน้น “Quality Growth” หรือการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งในแง่การลงทุน “หุ้น” ยังเป็นธีมการลงทุนที่ยังให้ผลตอบแทนดี มองว่า ยังมีกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเฟดปรับนโยบายการเงิน โดยเฉพาะ “กลุ่มธนาคาร” เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะส่งผลบวกกับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของกลุ่มธนาคารดีขึ้น และการที่เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทำให้ธนาคารมีรายได้จากวาณิชธนกิจมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ จะสนับสนุนหุ้นกลุ่มธนาคาร

        ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) น่าจะเติบโตได้ในระยะยาว เพราะแต่ละประเทศกลับมาตื่นตัวกับการที่ลดการปล่อยคาร์บอนด์และหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการลดภาวะโลกร้อน

      เริ่มจาก “หุ้นไทย” นั้น ปัจจัยพื้นฐาน SET Index ดัชนีหุ้นไทยอยู่ในกรอบ 1,700-1,730 จุด คาดการณ์กำไรของบริษัทน่า จะฟื้นตัว 10-12% แต่ยังไม่รวมสมมติฐานการจัดเก็บภาษีในอัตรา 0.1% ของมูลค่าการขายเกิน 1 ล้านบาท ซึ่งระยะสั้นอาจกระทบมูลค่าการซื้อขายหุ้นบ้าง แต่กลุ่มธนาคารและกลุ่มค้าปลีกที่ได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวภายในประเทศ โดยเฉพาะ 2 ธนาคารใหญ่ (SCB, KBANK) มีความตื่นตัวในการลงทุนเทคโนโลยีและฟินเทค

        ขณะที่หุ้นสหรัฐ ยุโรป จีน เวียดนาม ก็ยังดึงดูด โดยมุมมองปี 2565 หลังจากเฟดปรับตัวถอน QE ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย การทำกำไรหุ้นกลุ่มนี้จะยากขึ้น เพราะกว่า 10ปีที่ผ่านมา หุ้นสหรัฐปรับตัวบวกขึ้น 500-600% และจะเข้าสู่อีก Cycle ถัดมาคือ ฝั่งยุโรป แม้จะเห็นผลกระทบจากโควิด โอมิครอนต่อประเทศในยุโรป ไม่ว่าอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน แต่ระยะสั้นจะเป็นโอกาสการซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในยุโรป เพราะนโยบายการเงินยังสนับสนุนสภาพคล่องอยู่ จากการที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB)ยังไม่เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย

      ส่วน “หุ้นจีน” มองว่า โอกาสที่นักลงทุนจะทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นจีนในปี 2565 ยังมีสูง เพราะหุ้นจีนราคายังถูก อีกทั้งคาดการณ์เติบโตทางเศรษฐกิจของจีนอยู่ในระดับ 4.0% ซึ่งยังเป็นอัตราเติบโตสูงเมื่อเทียบประเทศอื่น แม้ในปี 2564 จะให้ผลตอบแทนต่ำ น้อยที่สุดเมื่อเทียบตลาดหุ้นทั่วโลก สะท้อนความกังวลต่อการดำเนินนโยบายที่เข้มงวดและมีการจัดระเบียบบริษัทเทคโนโลยีที่ตลาดรับรู้กันไปมากแล้ว

      สำหรับ “หุ้นเวียดนาม” ยังโดดเด่นในตลาดหุ้นขนาดเล็ก ถือว่า ราคาหุ้นยังไม่แพง เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตในแง่ของกำไร เห็นได้จากตลาดคาดการณ์อัตรากำไรอยู่ในระดับสูงสุดเฉลี่ย 18-20%

      ด้านตราสารหนี้ผลตอบแทนสูง หรือ High Bond Yield ทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีนอัตราดอกเบี้ยยังน่าสนใจ อาจจะลงทุนในแง่กระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน แต่ตราสารหนี้รัฐบาลทั่วโลก ยังไม่น่าสนใจ เพราะเทรนด์ดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มขึ้น

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

ราคาทองวันนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง

บิตคอยน์วันนี้ปรับลง 1.16%

      ราคาบิตคอยน์ประจำวันนี้ 3 ม.ค. 64 ปรับลง -1.16% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมง โดยมีราคา 47,088.00 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,564,687.15 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 27.77 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อเวลา 7.36 น. ที่ผ่านมา

      ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่น Ethereum ขยับขึ้น 1.1% Binance Coin ขยับขึ้น .64% และ Dogecoin ขยับขึ้น 3.95% ในช่วง 24 ชั่วโมง

     สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี

1. Bitcoin (BTC) ราคา 47,088.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.16%

2. Ethereum (ETH) ราคา 3,807.25 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.10%

3. Binance Coin (BNB) ราคา 528.99 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.64%

4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%

5. Solana (SOL) ราคา 175.15 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.19%

6. Avalanche (AVAX) ราคา 112.48 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.31%

7. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง 0.00%

8. XRP (XRP) ราคา .85 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.85%

9. Terra (LUNA) ราคา 89.66 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.10%

10. Polkadot (DOT) ราคา 29.72 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.95%

หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

ขอบคุณ :  ประชาชาติธุรกิจ

 

สกุลเงินเปลี่ยนโลก คริปโทเคอร์เรนซี

       ปี 64 ถือเป็นปีประวัติการณ์ของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่มูลค่าตลาดเดือน พ.ย.พุ่งทะลุ 3 ล้านล้านดอลลาร์อยู่ครู่หนึ่ง บิตคอยน์ เงินเสมือนใหญ่สุดวัดจากมูลค่าตลาดและอีเทอร์ คริปโทฯใหญ่อันดับสอง มูลค่าสูงสุดทุบสถิติ ขณะที่คอยน์อื่นๆ เช่น ดอดจ์คอยน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากมีมได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกขณะ

       ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ อย่างเหรียญที่ไม่สามารถทดแทนได้ (เอ็นเอฟที) ขายได้หลายล้านดอลลาร์ควบคู่กับการประมูลงานศิลปะครั้งใหญ่ของบริษัทประมูลอย่างซัทเทบีส์และคริสตีส์ นอกเหนือจากงานศิลปะแล้ว เอ็นเอฟทีในรูปสินทรัพย์ในเกมและที่ดินดิจิทัลมูลค่าพุ่งสูงขึ้นเช่นกัน

        แอพพลิเคชันที่ใช้บล็อกเชนเป็นฐานรวมถึงการเงินกระจายศูนย์หรือดีไฟ (DeFi) ได้รับความสนใจจากทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน ผลักดันการเติบโตของเว็บ 3.0 เว็บไซต์กระจายศูนย์ที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังเอ็นเอฟทีและคริปโทฯ ทั้งหมดนี้ช่วยดันคริปโทฯ เข้าสู่กระแสหลักในปี 64 เว็บไซต์ซีเอ็นบีซีรวบรวมห้วงเวลาประทับใจของเงินเสมือนที่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเปลี่ยนเกมในปีที่ผ่านมา อาทิ

     มูลค่าตลาดบิตคอยน์ทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก

      วันที่ 19 ก.พ. มูลค่าตลาดบิตคอยน์ทะลุหมุดหมาย1 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก หลังจากนักลงทุนสถาบันรายใหญ่และบริษัทการเงินอันโดดเด่นเริ่มสนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซี บริษัทอย่างเทสลา, สแควร์ และไมโครสเตรทเตจีเริ่มนำงบดุลมาซื้อบิตคอยน์

       ความสนใจเอ็นเอฟทีล้นหลาม เมื่อไมค์ วิงเคิลแมน ศิลปินที่รู้จักกันในนามบีเพิลขายงานศิลปะที่ชื่อ“ทุกๆ วัน: 5,000 วันแรก” หรือ “Everydays: The First 5,000 Days” ในฐานะเอ็นเอฟทีเมื่อเดือน มี.ค. กลายเป็นประวัติศาสตร์ด้วยหลายเหตุผล

     เหตุผลแรก นี่คือการประมูลสินทรัพย์ดิจิทัลเต็มรูปแบบครั้งแรกของบริษัทประมูลคริสตีส์ ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่คริสตีส์เปิดให้ชำระเงินด้วยอีเทอร์ ราคาชิ้นงาน 69.3 ล้านดอลลาร์สูงสุดทุบสถิติ การประมูลครั้งนี้ทำให้สื่อกระแสหลักรายงานข่าวเอ็นเอฟทีอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

          ในภาพรวมปี 64 ดีที่สุดเท่าที่ตลาดเอ็นเอฟทีเคยมี ด้วยปริมาณการค้าขายกว่า 2.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนเมทาเวิร์สที่ใช้บล็อกเชนปริมาณการซื้อขายกว่า 500 ล้านดอลลาร์ สินทรัพย์ในเกมในรูปของเอ็นเอฟทีปริมาณการค้าขาย 4.5 พันล้านดอลลาร์

     อีลอน มัสก์ ดันดอดจ์คอยน์ราคาสูงเป็นประวัติการณ์

       เดือน พ.ค. ก่อนที่อีลอน มัสก์ เปิดตัวในรายการ“Saturday Night Live” ราคาดอดจ์คอยน์เริ่มพุ่ง วันที่ 8 พ.ค. วันที่มัสก์ปรากฏตัวในรายการดังกล่าว ดอดจ์คอยน์ราคาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราว 73 เซนต์ แต่ราคาอ่อนตัวจากจุดสูงสุดอย่างรวดเร็วหลังมัสก์ออกรายการ ดอดจ์คอยน์ร่วงมากถึง 29.5% จุดหนึ่งร่วงลงมาเหลือ 49 เซนต์ นี่คือภาพแทนความผันผวนของดอดจ์คอยน์ที่มีตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับมัสก์ ซีอีโอเทสลาและสเปซเอ็กซ์สนับสนุนคริปโทเคอร์เรนซีที่ได้แรงบันดาลใจจากมีมสกุลนี้อย่างต่อเนื่อง ดอดจ์คอยน์ราคาเริ่มขึ้นครั้งแรกในเดือน ก.พ.หลังมัสก์รัวทวีต และหลังจากนั้นเขาก็ตื่นเต้นกับดอดจ์คอยน์เรื่อยมา

      เอลซัลวาดอร์ยอมรับบิตคอยน์ใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

      เดือน มิ.ย. เอลซัลวาดอร์ออกกฎหมายใหม่ยอมให้ใช้บิตคอยน์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเป็นประเทศแรก ชำระค่าสินค้าและภาษีได้ ภาคธุรกิจสามารถตั้งราคาสินค้าเป็นบิตคอยน์ การแลกเปลี่ยนไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน

      การล้วงข้อมูลดีไฟสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 600 ล้านดอลลาร์

      เดือน ส.ค. แพลตฟอร์มดีไฟ “โพลีเน็ตเวิร์ก” ถูกแฮก ตอนแรกเงินหายไปกว่า 600 ล้านดอลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แฮกเกอร์สามารถใช้ประโยชน์จากปัญหาโค้ดในเครือข่าย

        แม้สุดท้ายแล้วแฮกเกอร์จะคืนเงินที่ขโมยไปให้ แต่นี่คือการขโมยคริปโทเคอร์เรนซีใหญ่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมี

          การกระทำความผิดเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยตลอดปี 2564 ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน “เชนอะไลซิส” ระบุว่าการฉ้อโกงคริปโทฯ ทั่วโลกในปีที่ผ่านมาสูญเงินไปกว่า 7.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 81% จากปี 63 โดย Rug pull รูปแบบการโกงที่นักพัฒนาทิ้งโปรเจคพร้อมเชิดเงินจากนักลงทุนกลายเป็นการหลอกลวงที่เกิดขึ้นเป็นประจำในอีโคซิสเต็มดีไฟ

         ปี 64 Rug pull ถูกขโมยไปกว่า 2.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 37% ของรายได้จากการฉ้อโกงคริปโทฯ ทั้งหมดเปรียบเทียบกับ 1% ในปี 63

       จีนเล่นงานคริปโทฯ อีกครั้ง

        เดือน ก.ย. ธนาคารประชาชนจีน (พีบีโอซี) ยืนยันจะเดินหน้าปราบปรามเงินเสมือนต่อไป เว็บไซต์ธนาคารระบุว่า กิจกรรมทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคริปโทฯ ผิดกฎหมายในจีน รวมถึงบริการ อาทิ การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล การจับคู่คำสั่ง ออกเหรียญและอนุพันธ์ การแลกเปลี่ยนคริปโทฯ ต่างประเทศที่ให้บริการในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ผิดกฎหมายเช่นกัน

         นั่นคือภาพรวมคริปโทฯ ในปีที่ผ่านมา สำหรับปี 65 ผู้เชี่ยวชาญมองอนาคตของบิตคอยน์ คริปโทฯ สกุลดังสุดที่มูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่ามาอยู่ที่ 60,000 ดอลลาร์ ระหว่างเดือน ธ.ค.63-เม.ย.64 แต่ลดความร้อนแรงลงช่วงเข้าสู่ปีใหม่ซื้อขายกันไม่ถึง 50,000 ดอลลาร์

           “ความผันผวนในปัจจุบันและราคาอันไร้ทิศทางมาพร้อมกับแนวโน้มแรงกดดันขาลง ชี้ให้เห็นความไม่แน่นอนมากมายในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล” ลูคัส ลากูดิส ประธานกรรมการบริหารกองทุนคริปโทฯ “เออาร์เค 36” กล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม การที่นักลงทุนสถาบันยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่องและบูรณาการเข้ากับระบบการเงินดั้งเดิมจะเป็นปัจจัยหลักผลักดันการเติบโตของน่านฟ้าคริปโทฯ ระหว่างปี 65

นักวิเคราะห์บางคนมองว่า เข้าสู่ปี 65 บิตคอยน์เสี่ยงเจอการแข่งขันมากขึ้นโดยเฉพาะจากคู่แข่งสูสีอย่างอีเทอเรียม

          เดือน พ.ย. แจ็ค ดอร์ซีย์ ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอทวิตเตอร์ประกาศลาออกจากทวิตเตอร์ เพื่อมุ่งความสนใจไปที่บริษัทชำระเงินดิจิทัลของเขาแทนหาทางขยายกิจการสู่คริปโทฯ

         ถึงตอนนี้บิตคอยน์ยังคงเป็นผู้เล่นโดดเด่น ข้อมูลจากเว็บไซต์คอยน์เก็กโค กล่าวว่า เซกเตอร์คริปโทฯ มีมูลค่าตลาดรวม 2.36 ล้านล้านดอลลาร์ บิตคอยน์มีมูลค่า 9 แสนล้านดอลลาร์

            ในทัศนะของนักวิเคราะห์อย่างแฟรงก์ ดาวนิง “ความไม่เต็มใจพัฒนาดีไซน์ของบิตคอยน์เมื่อเทียบกับความชอบของอีเทอเรียม แท้จริงแล้วเป็นคุณลักษณะที่ให้ความมั่นคงและต่อเนื่องอันจำเป็นสำหรับทำหน้าที่เป็นสกุลเงินของโลกอย่างแท้จริง” คำพูดนี้สะท้อนนัยของตลาดคริปโทฯในปี 65 ได้ระดับหนึ่ง

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

หุ้นเด่นธีม เมตาเวิร์ส

     ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทและโลโก้จาก “เฟซบุ๊ก” (Facebook) เป็น “เมตา” (Meta) เพื่อเตรียมพร้อมรับบริการใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดย “เฟซบุ๊ก” จะไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียธรรมดาๆ อีกต่อไป แต่จะมุ่งสู่ “เมตาเวิร์ส” หรือ “โลกเสมือนจริง” เพื่อทำให้ผู้ใช้บริการได้เปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ บนโลกออนไลน์ที่หลากหลายมิติมากยิ่งขึ้น

        การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ “เฟซบุ๊ก” เรียกเสียงฮือฮาและสร้างแรงกระเพื่อมไปทั้งโลก โดยมีคำถามตามมามากมายว่าจริงๆ แล้ว “เมตาเวิร์ส” คืออะไรกันแน่? การมาของเทคโนโลยี “เมตาเวิร์ส” จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรมอย่างไรบ้าง? และใครที่จะได้ประโยชน์และเสียประโยชน์?

     “เมตาเวิร์ส” หรือ “จักรวาลนฤมิต” ตามคำบัญญัติของราชบัณฑิตยสภา ถูกพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว โดยเป็นการจำลองโลกเสมือนจริงขึ้นมา คล้ายๆ กับการเล่นเกมออนไลน์ แต่จะมีหลายมิติมากกว่านั้น เนื่องจากจะมีการผสมผสานหลายเทคโนโลยีไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะระบบ Augmented Reality (AR) และระบบ Virtual Reality (VR)

      โดยเมตาเวิร์สสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายกิจกรรม เช่น การเลือกซื้อสินค้า แสดงคอนเสิร์ต ดูภาพยนตร์ งานแสดงศิลปะ การจัดนิทรรศการ การประชุม การท่องเที่ยว ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้บนโลกเสมือนจริง

       รวมไปถึงธุรกิจการเงินและสินทรัพย์ดิจิทัลที่เมตาเวิร์สกำลังเข้ามามีบทบาทด้วยเช่นกัน เห็นได้จากตอนนี้เริ่มมีธนาคารหลายแห่งในต่างประเทศเปิดให้ลูกค้าทำธุรกรรมบนโลกเสมือนจริง โดยที่ลูกค้าไม่ต้องเดินทางไปที่ธนาคาร นอกจากนี้ยังมีการนำเงินดิจิทัลบางสกุลไปซื้อไอเท็มต่างๆ บนโลกเสมือน

      เวลานี้เมตาเวิร์สกำลังจะสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับโลก ดังนั้น การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์จากเมตาเวิร์สเป็นอีกหนึ่งธีมการลงทุนที่น่าสนใจและเข้ากับยุคสมัย

     บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้รับประโยชน์จากเมตาเวิร์สมี “กลุ่มธนาคารพาณิชย์” ซึ่งจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เริ่มปรับตัวเข้าสู่การให้บริการทางการเงินบนเมตาเวิร์ส ทั้งการปรับรูปแบบสาขาให้กลายเป็น Virtual Branch มากขึ้น

      รวมถึงการต่อยอดฟังก์ชั่นการใช้งานของ Digital Platform หรือ Fintech ต่างๆ ที่ลงทุนทำระบบอยู่แล้วให้ทำงานได้บนโลกเสมือนจริง หุ้นเด่นในกลุ่มที่มีศักยภาพในการแข่งขัน คือ SCB และ KBANK

        “กลุ่มไอซีที” เนื่องจากเมตาเวิร์สต้องเชื่อมต่อกันด้วยอินเตอร์เน็ตที่ดีและมีประสิทธิภาพ มองว่ากลุ่มผู้ให้บริการ Fixed Broadband และ Mobile Operator จะได้รับประโยชน์โดยตรง นอกจากนี้กลุ่ม Mobile Operator อาจสร้างรายได้จากห้างเสมือน เช่น กรณี V-Avenue.Co powered by AIS 5G เป็นต้น

      ขณะเดียวกันการใช้งานอุปกรณ์จำพวก VR, AR จะเพิ่มขึ้นเป็นปัจจัยบวกต่อ Wholesale Distributors สินค้าไอทีอย่าง SYNEX และที่สำคัญเมตาเวิร์สจะทำให้เกิดการลงทุนด้าน IT Infrastructure ส่งผลดีต่อ MFEC และ AIT ตามมาด้วยการลงทุนด้าน Cyber Security และ Data Privacy เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค มีหุ้นเด่น คือ SECURE

      “กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์” มองผู้ผลิต PCB และ CHIP จะได้ประโยชน์เพราะการทำเมตาเวิร์ส หลายอุตสาหกรรมต้องลงทุนเพิ่มเติมในหลายด้านเพื่อรองรับการใช้งานใหม่ๆ เป็นผลดีต่อ KCE, HANA

        “กลุ่มการแพทย์” มีโอกาสนำเทคโนโลยี VR มาพัฒนาเทคโนโลยีการรักษาต่อยอดจากปัจจุบันที่มีการรักษาแบบ Telemedicine แนะนำ BDMS, PR9 รวมถึง “กลุ่มอสังหาฯ” การพัฒนาระบบ AR และ VR จะทำให้ผู้บริโภคสามารถชมสินค้าเหมือนจริงโดยไม่ต้องออกจากบ้าน โดยผู้ประกอบการรายใหญ่จะได้รับประโยชน์เร็วที่สุด AP, ORI, LH, SPALI และ “กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง” ที่เมตาเวิร์สจะช่วยให้การทำงานของกลุ่มง่ายขึ้น

     บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุว่า หุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากเมตาเวิร์ส แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (Upstream) ประกอบด้วย 1.ธุรกิจวางโครงข่าย ออกแบบ Platform วางระบบ Cyber Security ได้แก่ INET, SAMTEL, SECURE 2.ผู้ให้บริการ Data Center และ Cloud Service ได้แก่ INSET, JTS 3.ออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟฟิก ได้แก่ YGG

         กลุ่มการเชื่อมต่อ (Midstream) ประกอบด้วย 1.ผู้ให้บริการโครงข่ายการสื่อสาร ได้แก่ ADVANC, TRUE 2.ที่ปรึกษาด้าน Digital Transformation ได้แก่ BBIK, BE8 3.บริการ Digital Currency ได้แก่ BROOK, XPG

          กลุ่มการเข้าถึงผู้บริโภค (Downstream) ประกอบด้วย 1.ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ดิจิทัล ได้แก่ SYNEX, SIS, COM7, SPVI, CPW, IT, JMART 2.ผู้ให้บริการด้านการเงิน ได้แก่ KBANK, SCB, TRUE, CRC 3.ซื้อขายออนไลน์ ได้แก่ CRC, CPALL 4.บริการ Digital Marketing / Adtech ได้แก่ PLANB, VGI และ 5.โรงพยาบาล ได้แก่ BDMS, BH

คุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

       NV (บมจ.โนวา ออร์แกนิค) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สังกัดกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ราคาขาย IPO ที่ 6.90 บาท/หุ้น บล.เคทีบีเอสที ประเมินกำไรสุทธิปี 64 จะหดตัว -88% YoY อยู่ที่ 95 ล้านบาท และปี 65 +101% YoY อยู่ที่ 190 ล้านบาท จากรายได้รวมขยายตัวจากรายได้ถังเช่าฟื้นตัว, GPM ขยายตัวจากสัดส่วนรายได้ Livnest ที่เพิ่ม และ SG&A to total sales ลดลงจากแนวโน้มค่าโฆษณาที่ลดลง YoY ทั้งนี้ ประเมินราคาเหมาะสมปี 65 ของ NV ที่ 7.70 บาท อิง 2565 PER ที่ 24.00x โดยมองว่า NV ควรที่จะ discount valuation จาก Peer ที่เทรดที่ 2565 PER ที่ 26.6x เนื่องจาก Market Share ต่ำกว่า peer, ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์น้อยกว่า peer และประเมินว่ารายได้หลักของบริษัทในปี 65-66 จะมาจากถังเช่า ซึ่งมีความผันผวน และอยู่ระหว่างรอแผนในการทำตลาดถังเช่า โดย NV เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย โดยมีรายได้อยู่อันดับที่ 3 ของผู้ประกอบการอาหารเสริมในไทย และมีแผนที่จะทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

      HFT (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 8.50 บาท Theme EV เด่น นักลงทุนเริ่ม Rotate มาเล่นหุ้น EV แถว 2, ด้าน HFT พร้อมรุกล้อรถ E-Bike คาดปี 65 Order เข้าเพียบ แนวโน้มกำไรปี 22 โต YoY จากมาร์จิ้นการขายเฉลี่ยที่ดีขึ้น ตามการปรับ Product mix และการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ด้าน Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 468 ลบ. และ 546 ลบ. +13%YoY, +17%YoY ตามลำดับ

       KBANK (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 166 บาท เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นตามเงินเฟ้อ สินเชื่อเติบโตดีสุดของกลุ่ม สถานการณ์โควิด-19 เริ่มผ่อนคลายเป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจ SME และเป็นบวกต่อ KBANK เพราะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ SME มากที่สุดของกลุ่มเช่นกัน

 

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.52 บาท/ดอลลาร์

       นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยและแกว่งตัว Sideways ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

      หลังจากที่เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ ตามภาวะการเปิดรับความเสี่ยงของตลาดที่กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และเงินบาทยังได้แรงหนุนจากฟันด์โฟลว์จากนักลงทุนต่างชาติที่ไหลเข้าสินทรัพย์ไทย
เงินบาทอาจได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านสำคัญและทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำ สัญญาณเชิงเทคนิคัลทั้ง RSI และ MACD ยังคงหนุนแนวโน้มเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น

      โดยเงินบาทยังคงมีแนวต้านสำคัญใกล้ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้ส่งออกต่างรอปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ธุรกรรมในช่วงปลายปีอาจเริ่มเบาบางลง ทำให้ตลาดค่าเงินอาจมีความผันผวนสูงได้ หากมีโฟลว์ธุรกรรมขนาดใหญ่เข้ามาไม่ว่าจะเป็นฝั่งซื้อหรือขายเงินดอลลาร์

       กรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.45-33.60 บาท/ดอลลาร์ ตลาดการเงินโดยรวมเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดการเงินคงมุมมองว่า การระบาดของโอมิครอนนั้นอาจมีความรุนแรงน้อยกว่าการระบาดในระลอกก่อนหน้า สอดคล้องกับผลวิจัยเบื้องต้นจากฝั่งยุโรปที่พบว่า แม้โอมิครอนจะแพร่ระบาดได้รวดเร็ว แต่กลับไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงการป่วยหนักหรือเสียชีวิตมากนัก

       ทั้งนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ดัชนี S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น +0.62% ทำจุดสูงสุดใหม่ All time high ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดตลาด +0.85% ใกล้ทำจุดสูงสุดใหม่เช่นกัน
ฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้นราว +1.16% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Cyclical/Reopening theme รวมถึงหุ้นกลุ่มเทคฯ ที่เดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อ อาทิ Santander +3.1%, BMW +2.0%, ASML +1.4% สะท้อนว่าผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาการระบาดของโอมิครอนและต่างคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวต่อเนื่องหลังการระบาดสงบลง
ฝั่งตลาดบอนด์ การเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นราว 4 bps สู่ระดับ 1.49% และเราคาดว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้หลังช่วงเทศกาลคริสต์มาสและวันหยุดสิ้นปี ตามแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกและภาวะของตลาดการเงินที่จะกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
โดยการย่อตัวลงเล็กน้อยของเงินดอลลาร์ ได้ช่วยพยุงให้ ราคาทองคำ ทรงตัวใกล้ระดับ 1,810 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แม้ว่าจะถูกกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดก็ตาม อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อแรงได้ยาก และ Upsides ของราคาทองคำเริ่มจำกัด ซึ่งมีโอกาสที่จะเห็นโฟลว์ขายทำกำไรราคาทองคำมากขึ้น หากราคาทองคำปรับตัวขึ้นใกล้แนวต้านสำคัญแถว 1,820 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ควรระวังความผันผวนในตลาดการเงิน เนื่องจากธุรกรรมในตลาดอาจเบาบางในช่วงวันหยุดก่อนเทศกาลคริสต์มาสในหลายประเทศ ซึ่งผู้ประกอบการและนักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังในการทำธุรกรรม

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

 

บิตคอยน์ ปรับตัวขึ้น 3.60%

      การเคลื่อนไหวในแดนบวกของราคาบิตคอยน์ช่วงเช้าวันนี้ มีขึ้นหลังจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดวันที่ 24ธ.ค.64 ปรับตัวขึ้น 196 จุด

      ก่อนถึงวันศุกร์ ซึ่งเป็นวันซื้อขายวันสุดท้ายของสัปดาห์ก่อนที่ตลาดจะหยุดยาวในช่วงเทศกาลคริสต์มาส โดยภาวะการซื้อขายได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนมีมุมมองบวกว่า เศรษฐกิจโลกจะไม่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน

       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 196.67 จุด หรือ 0.55% ปิดที่ 35,950.56 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 29.23 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 4,725.79 จุด และดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 131.48 จุด หรือ 0.85% ปิดที่ 15,653.37 จุด

      ส่วนราคาทองฟิวเจอร์ ปิดวันพฤหัสบดีที่ 24ธ.ค. 64 ปรับตัวขึ้น 9.50 ดอลลาร์ โดยนักลงทุนชะลอการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

       สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 9.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,811.70 ดอลลาร์/ออนซ์

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

นักท่องเที่ยวคลายกังวลโอมิครอน ดาวโจนส์ปิดบวก 196.67

        ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ วันที่ 23 ธ.ค.64 ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

       หลังผลการวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยรายงานดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม
       ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,950.56 จุด เพิ่มขึ้น 196.67 จุด หรือ +0.55%,
       ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,725.79 จุด เพิ่มขึ้น 29.23 จุด หรือ +0.62% และ
        ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,653.37 จุด เพิ่มขึ้น 131.48 จุด หรือ +0.85%

        ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 เมื่อคืนนี้ ขานรับผลการวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน, มหาวิทยาลัยเอดินบะระแห่งสกอตแลนด์ และสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา

          นอกจากนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโอมิครอนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรงน้อยกว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดลตา

          ทางด้านบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเปิดเผยผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน

           นอกจากนี้ ผลการวิจัยในห้องแล็บยังบ่งชี้ว่า ยาเอวูเชลด์ (Evusheld) ซึ่งเป็นยาแอนติบอดีแบบผสม (Antibody Cocktail) ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสโอมิครอนได้

       ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ของบริษัทเมอร์ค เป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นยาตัวที่สองที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในสหรัฐ หลังจากที่ FDA เพิ่งอนุมัติยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

         ข่าวความคืบหน้าดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจเช่นหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มโรงแรม โดยหุ้นเซาท์เวสต์ แอร์ไลน พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เพิ่มขึ้น 0.67% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ บวก 0.43% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล พุ่งขึ้น 1.61% หุ้นลาสเวกัส แซนด์ส ทะยานขึ้น 4.23% หุ้นวินน์ รีสอร์ทส์ พุ่งขึ้น 3.51%

        หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นขานรับความหวังเกี่ยวกับการเปิดเศรษฐกิจเช่นกัน โดยหุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 1.25% หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) บวก 1.02% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ พุ่งขึ้น 2.01% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา บวก 0.35% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ เพิ่มขึ้น 0.71% หุ้นเจพีมอร์แกน บวก 0.36%

       

ทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการเมื่อคืนนี้ รวมถึงตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกทรงตัวที่ระดับ 205,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากกระเตื้องขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนต.ค.

          ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และหากเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 4.7% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปีตลาดหุ้นนิวยอร์กจะปิดทำการในวันศุกร์ที่ 24 ธ.ค. เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 22 ธันวาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 22 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้

       DITTO (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 18.70 บาท ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้โตต่อเนื่อง 20-30% ในปี 64-65 ไตรมาส4/64 เก็งงบสวยหลังเริ่มรับรู้รายได้จากงานใหม่ของกรมที่ดินและธนาคารกรุงไทย , ลุ้นงาน Document management พ่วง Cyber Security รับการ Transform องค์กรที่จะเป็น Trend หลักของปี 65 Bloomberg Consensus ประเมินกำไรสุทธิปี 2021-2022 ที่ 157 ลบ. และ 226 ลบ. +37%YoY, +44%YoY ตามลำดับ
        BAM (เมย์แบงก์ฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 24.20 บาท คาดกำไรปี 65-66 เติบโตเฉลี่ย 32% ทั้งยอดเก็บเงินสดในระดับ 13-14%YoY ทั้งเป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การเร่งโอนที่ดีต่อเนื่อง ,แนวโน้มอุปสงค์และสภาพคล่องลูกหนี้ที่ดีขึ้น %ROE คาดฟื้นจากจุดต่ำสุด 5% เป็น 7% ในปีหน้า ขณะที่ปัจจุบันเทรด PE เพียง 21 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มฯ
        TKS (ฟินันเซีย ไซรัส) “ซื้อ” เป้า 22 บาท คาดกำไรไตรมาส 4/64 โดดเด่นตามส่วนแบ่งกำไรจาก SYNEX ที่สูงขึ้นจาก High Season รวมถึงได้ประโยชน์ทางอ้อมจากมาตรการช้อปดีมีคืนต้นปี 2565 ซึ่งคาดกลุ่มขายสินค้า IT จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นหนุนยอดขายให้ปรับเพิ่มขึ้น ปัจจุบัน SYNEX ปรับขึ้นแรงและเกือบเต็มมูลค่าเทียบกับราคาเป้าหมาย เรามอง TKS น่าสนใจกว่าจาก Discount ปัจจุบันที่สูงเกือบ 40% และเทรด 2022PER เพียง 13 เท่า

ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ 

ราคาทองวันนี้ ขยับลง 50 บาท

อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท 33.675 บาท/ดอลลาร์

     นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวน แต่เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่รุนแรงอย่างที่คิด เพราะถึงจะมีความกังวลการระบาดของโอมิครอนในประเทศแต่ภาพดังกล่าวก็ได้อยู่ในการประเมินเบื้องต้นของทั้ง กนง. และ นักลงทุนต่างชาติพอสมควร โดยเฉพาะในฝั่งนักลงทุนต่างชาติ ที่ยังไม่ได้เทขายบอนด์ระยะสั้นอย่างรุนแรงสะท้อนว่า นักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้คาดหวังว่า สถานการณ์การระบาดจะเลวร้ายมาก จนเงินบาทอ่อนค่าจากระดับปัจจุบันไปมาก ทั้งนี้ ถ้อยแถลงของ กนง. ในวันนี้ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจ รวมถึงประมาณการเศรษฐกิจใหม่จะมีส่วนที่ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ หาก กนง. มีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากขึ้น

      หากเงินบาทอ่อนค่าลง ก็อาจเผชิญแนวต้านสำคัญใกล้ระดับ 33.80 บาทต่อดอลลาร์ก่อน แต่ สัญญาณในเชิงเทคนิคัลยังคงสนับสนุนแนวโน้มการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในระยะสั้น ทำให้เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่ารุนแรง หากนักลงทุนต่างชาติไม่ได้เทขายสินทรัพย์ไทยอย่างหนัก ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

        ผู้เล่นในตลาดการเงินเริ่มทยอยเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะฝั่งผู้เล่นที่ต่างรอจังหวะการปรับฐานของสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อเพิ่มสถานะถือครอง (Buy on Dip) หนุนให้ราคาหุ้นโดยรวมต่างรีบาวด์ขึ้น

    หลังจากที่ย่อตัวลงต่อเนื่องในสัปดาห์นี้ นำโดยหุ้นในกลุ่มเทคฯ ส่งผลให้ในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนี Nasdaq ปิดตลาด +2.40% และดัชนี S&P500 ก็ปรับตัวขึ้น +1.78% เช่นเดียวกันกับฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ก็รีบาวด์ขึ้นราว +1.65% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และ หุ้นกลุ่ม Cyclical/Reopening theme เช่นกัน ASML +3.6%, Adyen +2.4%, Santander +2.1%

       ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นที่เริ่มกล้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นและเชื่อว่า เฟดจะเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเพิ่มเติมทำให้บอนด์ยีลด์10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับ 1.46% ซึ่งในระยะยาว เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ยังสามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ ตามแนวโน้มการใช้นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของบรรดาธนาคารกลางทั่วโลก

      ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักตามการทยอยเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ซึ่งล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ทรงตัวใกล้ระดับ 96.49 จุด อนึ่ง แนวโน้มเงินดอลลาร์ยังคงแกว่งตัว sideways แต่บอนด์ยีลด์ 10ปี ปรับตัวสูงขึ้น ก็กดดันให้ ราคาทองคำ ย่อตัวลง ใกล้ระดับ 1,785 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และเราคงมองว่า แนวโน้มนโยบายการเงินที่เข้มงวดของเฟด รวมถึง ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดจะกดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อแรงได้ยาก (อาจพอลุ้นการรีบาวด์ได้บ้าง) และ Upsides ของราคาทองคำเริ่มจำกัด

      สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอจับตาผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) โดยเรามองว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะหนุนให้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50%

       กนง. อาจมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจมากขึ้น แต่อาจจะเน้นย้ำว่าการเติบโตเศรษฐกิจคือปัจจัยสำคัญที่มีน้ำหนักต่อนโยบายการเงินมากกว่าเงินเฟ้อ

     ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบประมาณ 33.65-33.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังเปิดตลาดช่วงเช้านี้ (22 ธ.ค.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวันทำการก่อนหน้าที่ 33.68 บาทต่อดอลลาร์ฯ

     โดยแม้เงินบาทน่าจะปรับตัวในกรอบแคบๆ ระหว่างรอติดตามสัญญาณและมุมมองเกี่ยวกับนโยบายการเงินและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยในช่วงบ่ายวันนี้ แต่อาจมีจังหวะการขยับแข็งค่าเล็กน้อย ตามทิศทางของสกุลเงิน/ตลาดหุ้นในเอเชีย ตามบรรยากาศตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในภาพรวม ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ มีปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคในการผลักดันมาตรการหนุนเศรษฐกิจวงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ของปธน. โจ ไบเดน (ซึ่งจะเน้นใช้จ่ายด้านสวัสดิการและแก้ไขปัญหาโลกร้อน)

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ คาดไว้ที่ 33.55-33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยติดตามจะอยู่ที่ผลการประชุมกนง. ทิศทางเงินทุนของต่างชาติ สถานการณ์โควิด-19 และการรับมือกับสายพันธุ์โอมิครอน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2564 (final) และยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. 64

 

ขอบคุณ :  ฐานเศรษฐกิจ

 

ราคาบิตคอยน์ ขยับขึ้น 4.47%

      ราคาบิตคอยน์วันนี้ 22 ธ.ค.64 ขยับขึ้น +4.47% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมงก่อน โดยมีราคา 48,989.70 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,649,973.10 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 27.12 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลล่าสุด เมื่อ 6.57 น. ของวันนี้ ราคาเหรียญดิจิทัลคริปโตฯ อื่นๆ Ethereum ขยับขึ้น 2.1% Binance Coin ขยับขึ้น 1.13% และ Dogecoin ดีดขึ้น 9.04% ในช่วง 24 ชั่วโมง

    สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี
 

1. Bitcoin (BTC) ราคา 48,989.70 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.47%
2. Ethereum (ETH) ราคา 4,021.61 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +2.10%
3. Binance Coin (BNB) ราคา 529.19 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +1.13%
4. Tether (USDT) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง 0.00%
5. Solana (SOL) ราคา 180.26 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.72%
6. Polkadot (DOT) ราคา 25.21 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +4.83%
7. Cardano (ADA) ราคา 1.28 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +3.62%
8. USD Coin (USDC) ราคา 1.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.02%
9. Terra (LUNA) ราคา 87.52 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +7.06%
10. Avalanche (AVAX) ราคา 123.54 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +9.04%

     หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่ง 560.54

      ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,492.70 จุด เพิ่มขึ้น 560.54 จุด หรือ +1.60%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,649.23 จุด เพิ่มขึ้น 81.21 จุด หรือ +1.78% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,341.09 จุด เพิ่มขึ้น 360.14 จุด หรือ +2.40%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กกลับมาคึกคักอีกครั้ง นักลงทุนขานรับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีไบเดน ที่ต่อชาวอเมริกันเมื่อคืนนี้(21 ธ.ค.64)ว่า รัฐบาลสหรัฐจะไม่กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์เหมือนกับที่เคยทำในเดือนมี.ค. 2563 พร้อมกับขอความร่วมมือให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต

     ประธานาธิบดีไบเดนได้อนุมัติการแจกชุดตรวจโควิด-19 แบบ rapid test ฟรีจำนวน 500 ล้านชุดให้แก่ประชาชน เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 2565 และจะจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์ของรัฐบาลกลางไปยังโรงพยาบาลที่กำลังเผชิญปัญหาในการรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงฤดูหนาวนี้

     ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ซีดีซี) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ขณะนี้โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐแล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วน 73% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในสหรัฐ ขณะที่สัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาลดลงเหลือเพียง 27% เท่านั้น

    หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นจากแรงช้อนซื้อ หลังราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญพุ่งขึ้นจากแรงช้อนซื้อเช่นกัน  ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้น 3.7%

        หุ้นไนกี้ เพิ่มขึ้น 6.2% หลังบริษัทเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 ของปีงบการเงินที่สิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย. 2564 โดยระบุว่าบริษัทมีกำไรต่อหุ้น 83 เซนต์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 78 เซนต์ของช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแตะ 1.136 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 1.124 หมื่นล้านดอลลาร์

        นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนพ.ย.จากเฟดชิคาโก, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564, ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ  

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564

หุ้นวันนี้