Categories
ความรู้ทั่วไป

เคล็ดลับความสำเร็จของเหล่าคนดังและนักธุรกิจระดับโลก

เคล็ดลับความสำเร็จของเหล่าคนดังและนักธุรกิจระดับโลก

เคล็ดลับความสำเร็จของเหล่าคนดังและนักธุรกิจระดับโลก ความสำเร็จ…? คืออะไร ความสำเร็จ และ ความล้มเหลวเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องเจอ โดย ความสำเร็จ ของแต่ละบุคคลนั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่จุดมุ่งหมายของแต่ละคนที่ตั้งเป้าหมายไว้ ดังนั้นความสำเร็จจึงหมายถึง ความสามารถ การเอาชนะปัญหา อุปสรรค หรือแม้กระทั่งการทำงานให้บรรลุไปถึงจุดมุ่งหมายที่เราวางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ นั้นคือความสำเร็จ การที่คนหนึ่งคนจะก้าวไปสู่การประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างสง่างาม บุคคลเหล่านี้มีวิธีคิดอย่างไร มีการสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน ค้นหา Passion ให้ตัวเองยังไง ที่พาตัวเองมาไกลถึงระดับโลก เราไปทำความรู้จัก ผู้ทรงอิทธิพลแห่งยุค เหล่าคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก กันครับ ว่าคนเหล่านี้มีวิธีคิดมีเคล็ดลับความสำเร็จอย่างไร

เคล็ดลับความสำเร็จของเหล่าคนดังและนักธุรกิจระดับโลก

Warren Edward Buffett ( วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ )

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ 1930 ที่เมือง โอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศ สหรัฐอเมริกา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็น CEO ของบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เป็นสุดยอดนักลงทุนระดับโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก นักลงทุนที่เก่งที่สุดตลอดกาล  และ เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับที่ 5 ถือครองสินทรัพย์รวม 118,000 ล้านดอลลาร์ และมีสถิติว่าเป็นผู้บริจาคเงินตลอดชีวิตให้กับการกุศลมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันด้วยเงินมูลค่า 46,100 ล้านดอลลาร์วอร์เรน บัฟเฟตต์ บอกว่า สิ่งที่ควรลงทุนมากที่สุดคือ การลงทุนในชีวิตของตัวเอง เพราะตัวเราเอง คือสินทรัพย์ที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นเราควรมอง ว่าอะไรคือสิ่งที่ตัวเรารักและอยากทำมากที่สุด เมื่อเรารู้แล้วก็จงลงทุนในสิ่งนั้น เพราะการลงทุนในชีวิตตัวเอง จะไม่สูญหาย ไม่สูญเปล่าแน่นอน ไม่ว่าเราทำไปไหนทำอะไรสิ่งนั้นก็จะยังคงติดตัวคุณไปตลอดและไม่มีใครจะขโมยไปจากตัวคุณได้  

Warren Edward Buffett ( วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ )

Jack Ma ( แจ๊ค หม่า )

แจ๊ค หม่า หรือ หม่ายุน เกิดวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2507 ที่เมืองหางโจว ประเทศจีน ครูสอนภาษาอังกฤษที่เมืองหางโจวผู้ยากจน สู่ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของจีน เศรษฐีชาวจีนอันดับ 20 ต้นๆ ของโลก เจ้าของ Alibaba.comซึ่งเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซอันดับต้น ๆ ของจีน และกำลังจะเสนอขายหุ้นในตลาดหุ้นนิวยอร์กอย่างหวือหวา สามารถทำให้อาลีบาบามีมูลค่าตลาดอันดับต้น ๆ ของโลก แจ๊ค หม่า มีแนวคิดที่ว่า มองให้ไกล แล้วพยายามไปให้ถึง เขาเชื่อว่า ผู้นำที่ดี ต้องเป็นคนที่มองการณ์ไกลและต้องอยู่นำหน้าคู่แข่ง 1 ก้าวเสมอ “แม้ว่าคุณจะทำผิดพลาดเป็น 100 ครั้ง หรือ 1,000 ครั้ง คุณจงอย่ายอมแพ้  เพราะความผิดหวังจะเป็นแรงผลักดัน ให้คุณต้องฝึกซ้อมให้มากยิ่งขึ้น ความล้มเหลวเป็นเรื่องปกติ กุญแจที่จะพาเราสู่ความสำเร็จ คือ การที่เราต้องรักและภูมิใจในงานของตัวเองและไม่ยอมรับคำปฏิเสธง่ายๆ

 

Pablo Ruiz Picasso ( ปาโบล รุยซ์ ปีกัสโซ )

ปาโบล ปิกัสโซ จิตรกรระดับโลกผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ทางด้านศิลปะหลากหลายสไตล์ เป็นบุคคลที่นิตยสารไทม์ยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 และได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะที่มีความสามารถหลากหลาย ปัจจุบันผลงานภาพวาดของเขามีมูลค่าสูงมาก อย่างภาพวาดสีน้ำมัน ชื่อ Women of Algiers มีราคาประมูลสูงถึง 179.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5,900 ล้านบาทเลยทีเดียว เป็นภาพเขียนราคาแพงที่สุดในโลกปาโบล ปิกัสโซ เกิดเมือวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1881 ที่เมืองมาลากา ประเทศสเปน พ่อของเขาเป็นครูสอนศิลปะในมหาวิทยาลัย ปิกัสโซ บอกว่า “เขาไม่ได้วาดภาพเพื่อเงิน แต่เขาวาดภาพเพื่อยิ่งใหญ่” เขามองเป้าหมายในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น การที่เขาไปถึงเป้าหมายได้นั้นเขาต้องมีการวางแผนและการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอทุกวัน ซึ่งต้องใช้ความเชื่อมั่นว่าเขาทำได้ เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ เราทุกคนทำได้

ปาโบล ปิกัสโซ จิตรกรระดับโลก

Elon Reeve Musk ( อีลอน รีฟ มัสก์ )

อีลอน มัสก์ เกิด 28 มิถุนายน ค.ศ. 1971 ประเทศแอฟริกาใต้ นักธุรกิจและนักลงทุน ผู้ก่อตั้ง SpaceX ( สเปซเอ็กซ์ ) ธุรกิจการขนส่งทางอวกาศ ซึ่งเขาประกาศไว้ว่าจะพาผู้คนไปท่องอวกาศ และไปตั้งอาณานิคมบนดาวอังคาร และ CEO ของบริษัท Tesla ( เทสลา ) บริษัทยานพาหนะไฟฟ้า ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก สถิติตอนนี้ เรียกได้ว่า เขาเป็น มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และ ล่าสุดกับตำแหน่งบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทมส์ประจำปี 2021 ปัจจุบัน อีลอน มัสก์ มีทรัพย์สินมูลค่า 253,800 ล้านดอลลาร์ ไปดูกันว่าเวลาว่างเขาทำอะไรบ้าง เขาได้ฉายาว่าเป็น โทนี่ สตาร์ก หรือ Iron Man ในโลกจริง อีลอน มัสก์ กล่าวว่า “I think it is possible for ordinary people to choose to be extraordinary.”(ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้สําหรับคนธรรมดาที่จะเลือกที่จะไม่ธรรมดา)ก็คือ ทุกอย่างเป็นไปได้สำหรับทุกคน ที่มีความพยายาม ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถเลือกเกิดมารวยได้ แต่เราพยามที่จะทำพยามที่จะประสบความสำเร็จได้ นั่นไม่ใช่อุปสรรคหรือข้ออ้างที่เราจะเลือกประสบความสำเร็จในชีวิต

จุดเริ่มต้นของเส้นทางแห่งความสำเร็จในชีวิตของเรา เริ่มง่ายๆ ด้วยการตอบคำถามที่ว่า อะไร คือ สิ่งที่เราอยากทำอะไรคือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข และ คิดว่าจะทำมันออกมาได้ดี นั้นแหละสิ่งแรกที่เราควรต้องเริ่มทำ กำหนดเป้าหมายให้ตัวเอง ถ้าเราไม่ได้กำหนดเป้าหมาย เราก็ไม่รู้ว่า จุดไหนคือ คำว่า “ความสำเร็จ”

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

5 คำถามสำคัญก่อนการลงทุน

5 คำถามสำคัญก่อนการลงทุน

5 คำถามสำคัญก่อนการลงทุน คำว่า “การลงทุน” มักจะต่อท้ายด้วยคำว่า “มีความเสี่ยง” ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนเสมอ” ฉะนั้น ผู้ลงทุนทุกท่านควรศึกษา หาความรู้ ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับบริษัท หรือ สินค้า ที่น่าสนใจ เงื่อนไขการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ดังนั้นบทความนี้ เราจะมาทบทวนคำถามต่างๆ ก่อนการลงทุน เพื่อป้องกันไม่ให้เงินในมือคุณ สูญหายโดยเปล่าประโยชน์ หรือ หายไปกับความไม่รู้คุณ

“การลงทุน” มักจะต่อท้ายด้วยคำว่า “มีความเสี่ยง” ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนเสมอ”

1.การรู้จักตัวเองให้ดีก่อนลงทุน

เราพบว่าหลายๆคน อยากลงทุน ซึ่งบางคนยังไม่มีความรู้ เรื่องการลงทุนเลย ปัจจัยแรกของการลงทุน คือ สถานภาพทางการเงิน ต้องมีการจัดสัดส่วนของ รายได้ / รายจ่าย / เงินเย็นเงินนอน / เงินเก็บ ต้องคำนวณภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ว่าเรามีสภาพคล่อง ทางการเงินมากน้อยแค่ไหน ถ้าเกิดมีคำถามขึ้นมาในหัวว่า“มีเงินทุนเท่านี้ ลงทุนอะไรดี” คำถามนี้แปลว่าเรา ยังไม่รู้จักยังไม่มีความรู้ด้านการลงทุนเลย ฉะนั้นอับดับแรกศึกษา หุ้น ที่เราอยากจะลงทุนให้ดี ว่าตัวไหนเหมาะสมกับสถานภาพทางการเงินของเรามากที่สุด โดยไม่ให้เกิดผลกระทบตามมาในภายหลัง

2. คุณรู้อะไรเกี่ยวกับการลงทุนบ้าง

เมื่อรู้จักตัวเองแล้ว ต่อไป สิ่งที่เราควรรู้ คือการรู้จักศึกษาเรื่องการลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุสิ่งทีี่หลายๆคนตัดสินใจลงทุนเป็นอย่างแรกคือ การเล่นหุ้น สำหรับการลงทุนในหุ้นนั้น ต้องอาศัยความรู้ และ ประสบการณ์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจ วิเคราะห์สภาวะอุตสาหกรรม ของบริษัท ที่เราสนใจลงทุน เราต้องมีทักษะบางอย่างที่เฉพาะตัว ในการมองการวิเคราะห์ต่าง ๆ ศึกษา เทคนิคทำกำไรในตลาดหุ้น พิจารณาข้อดี-ข้อด้อย เกี่ยวกับการลงทุน แต่ละประเภท ให้ดี(ซึ้งตรงนี้ถ้าเราศึกษามากๆ เราจะรู้เองโดยธรรมชาติ)ดังนั้น หากเรามีความพร้อมที่จะลงทุนในหุ้นแล้วรู้จักตัวเอง รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนแล้ว เราก็สามารถเริ่มได้เลยสำหรับมือใหม่

3. หุ้นแบบไหนที่ควรจะลงทุน

เมื่อเรารู้จักตัวเองแล้ว ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนแล้ว เรามาดูว่าหุ้นตัวแรกของเราหรือหุ้นแบบไหนที่เราควรจะลงทุน มันขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์ของ แต่ละคน การเลือกซื้อหุ้น อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ ของแต่ละคน เช่น บางทำงานประจำ จะไปเลือกซื้อหุ้น ที่มีราคาขึ้นลง หวือหวา ก็ไม่ได้ยังไม่แนะนำซึ้ง การเลือกซื้อหุ้นจะเรียกว่าเป็นศาสตรหรือศิลป์อย่างหนึ่ง ก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่ว่า ทุกคนที่เล่นหุ้น แล้วจะได้กำไร เหมือนกันทุกคน ถึงแม้ว่า เราจะเล่นหุ้น ตัวเดียวกันก็ตาม นักลงทุนควรรู้จุดอ่อนตัวเองและตั้งกฎเกณฑ์ที่จะไม่เล่นหุ้นที่ไม่ถนัด เพื่อลดความเสี่ยง ให้ตัวเอง >>>>>>>> อ่านบทความเกี่ยวกับ “หุ้นแบบไหน…?ที่คุณควรจะซื้อ”

4.ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

ผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงขาดทุน จากการลงทุน ได้มากน้อยแค่ไหนการลงทุนแต่ละประเภทมีความเสี่ยงมากน้อยแตกต่างกันออกไป ทุกครั้งที่ตัดสินใจลงทุน จึงเท่ากับว่าเราเตรียมใจยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาด้วย หรือ อาจจะได้ผลตอบแทนที่ไม่ตรงไปตามที่คาดหวัง เพราะถ้าหากว่านักลงทุนยอมรับความเสี่ยงไม่ได้เลย จะได้พิจารณาการลงทุนตั้งแต่เริ่มต้น เพราะความเสี่ยงจะ มาพร้อมกับการลงทุนเสมอ

5.เงินเข้าออกจากพอร์ตคุณจะบริหารอย่างไร?

การบริหารเงินในพอร์ตก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่สำคัญและควรวางแผนไว้เพราะว่านี้เป็นตัววัดว่าพอร์ตของเราจะโตได้ในระยะยาวหรือไม่ เราควรมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนว่าจะสะสมเพิ่มเดือนละเท่าไหร่ ปีละเท่าไหร่ ยิ่งพอร์ตใหญ่มากเท่าไหร่ พอร์ตก็จะโตได้มากขึ้นเท่านั้นจะต้องมีการเติมทุนเข้าไปเพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น นักลงทุนจึงควรวางแผนหาเงินเติมพอร์ตตลอดเวลาและลดการนำเงินจากพอร์ตออกไปใช้จ่ายเพื่อเพิ่มการสร้างดอกเบี้ยทบต้นให้สูงที่สุด สำหรับนักลงทุนมือใหม่อย่าพึ่งรีบร้อนอยากลงทุนเพื่อสร้างผลกำไร ควรต้องไตร่ตรองให้ดีด้วยว่า เงินก้อนนี้ คือ เงินทั้งหมดที่เราถืออยู่พอร์ตหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นแบบนั้นเราอย่าพึ่งรีบถอน ให้เก็บหรือเติมเพื่อสร้างผลตอบแทนให้มากขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่า เงินเก็บสำรองสำหรับตัวเองและครอบครัวในยามที่ฉุกเฉิน ฉะนั้นเงินสำหรับลงทุนควรแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน

เห็นได้ว่าในทุกวันนี้ มีคนสนใจเรื่องการลงทุนกันเป็นจำนวนมาก แม้จะมีความเสี่ยง แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่ทุกการลงทุนจะให้ผลตอบแทนที่น่าพึ่งพอใจ แต่นี้ก็เป็นอีกทางเลือกของนักลงทุน เพราะ การลงทุนเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ไม่ยาก เริ่มจากศึกษาสิ่งที่สนใจแล้วนำมาต่อยอด ยิ่งมีวางแผนที่ดี การลงทุนก็จะได้ดียิ่งขึ้นไปอีก อ่านเพิ่มเติม วิธีเล่นหุ้น และเทคนิคเอาตัวรอดในตลาดหุ้น จะต้องเข้าใจในสิ่งที่ตนเองกำลังลงทุน

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

การลงทุนแบบ ESG

การลงทุนแบบ ESG

การลงทุนแบบ ESG การลงทุนอย่างยั่งยืน คือการลงทุน ที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทน ในระยะยาว ความเสี่ยงต่ำ และ ไม่ผันผวนจนเกินไป เป็นแนวคิดการลงทุน ที่คำนึงถึงการดำเนินงาน ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยวิเคราะห์โอกาส และ ความเสี่ยง ผ่านทางสิ่งแวดล้อม ที่ให้ผลตอบแทน มั่นคงในระยะยาว ลดผลกระทบเชิงลบ ต่อสังคม และ สิ่งแวดล้อม หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การลงทุนแบบ ESG (Environmental, Social and Governance)

การลงทุนแบบ ESG

ESG คืออะไร?

ESG คืออะไร?

E คือ สิ่งแวดล้อม (Environment)

การบริหาร จัดการด้าน สิ่งแวดล้อม อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการดำเนินการ ในการจัดสรรสิ่งแวดล้อมนั้น ขึ้นอยู่กับ การดำเนินงาน ของแต่ละบริษัท แต่ละธุรกิจ ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ บริษัทนี้มีการบริหาร จัดการพลังงาน บริหารจัดการทางน้ำ บริหารจัดการทางขยะ บริหารการจัดการด้านมลพิษ เพื่อการฟื้นฟู สภาพแวดล้อม ที่มีผลกระทบ จากการทำงาน ของบริษัท ให้ดีขึ้น

S คือ สังคม (Social)

การมุ่งเน้น การปฏิบัติ ต่อพนักงาน อย่างเท่าเทียม และ เป็นธรรม เรื่องการดูแลสวัสดิการ ของพนักงาน ให้ค่าตอบแทน อย่างสมเหตุผล การส่งเสริม และพัฒนา พนักงาน อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการประกอบธุรกิจ อย่างมีความรับผิดชอบ ต่อลูกค้า คู่ค้า ชุมชน และสังคม

G คือ การบริหารงานที่ดี โปร่งใส และตรวจสอบได้ (Governance)

การบริหารงานที่ดี โปร่งใส เป็นกลไก ในการขับเคลื่อนบริษัท ให้มีคุณค่า เพื่อให้กิจการ เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะบทบาท ของ คณะกรรมการบริหาร ซึ่งทำหน้าที่ ดูแลบริษัท ให้ดำเนินธุรกิจอย่างมี บรรษัทภิบาล และ มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการ สร้างความเชื่อมั่น ให้แก่ผู้ที่มี ส่วนได้เสียของบริษัท

ขณะนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำลังมุ่งส่งเสริม การลงทุนอย่างยั่งยืน การลงทุนอย่างยั่งยืน ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ในระยะสั้น แต่ได้รับความนิยมเป็นที่สนใจมานานหลายสิบปีแล้วอย่าง กองทุนรวม Pax World Fund กองทุนด้านความยั่งยืนแห่งแรกของโลก ที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมมาตั้งแต่ปี 1972

สรุปโดยรวมว่า ข้อดีของ การลงทุนอย่างยั่งยืน นอกจากจะช่วย สร้างผลตอบแทน ที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังมีโอกาสเติบโต ไปกับเทรนด์โลกในอนาคต บริษัทที่ใช้หลัก แนวการลงทุนอย่างยั่งยืน จะอยู่ในกลุ่มพลังงานสะอาด กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า กลุ่มพลังงาน ที่ช่วยลดมลภาวะ ทางการอากาศ มลภาวะที่มีพิษ นอกจากจะช่วยสังคม ยังช่วยลดความเสี่ยงของบริษัท ก็ยังจะอยู่ในเทรนด์อนาคตอีกด้วย ดังนั้น ESG จึงเป็นปัจจัยหลัก อีกหนึ่งทางเลือกที่ดี สำหรับนำมาพิจารณาประกอบ การตัดสินใจ ในการลงทุน ขยายธุรกิจ อย่างไรกำไรตั้งแต่เริ่ม

Categories
ความรู้ทั่วไป

หุ้นแบบไหน…?ที่คุณควรจะซื้อ

หุ้นแบบไหน…?ที่คุณควรจะซื้อ

หุ้นแบบไหน…? ที่คุณควรจะซื้อ เรามักจะเจอ คำถามนี้อยู่บ่อยๆ หรือ มักจะตั้งคำถามนี้ กับตัวเอง อยู่เสมอ เรามาทำความรู้จักกับคำว่า หุ้น กันก่อน หุ้น คือ สิ่งที่ใช้บอก ความเป็นเจ้าของ บริษัท แบบสัดส่วน โดยผู้ถือหุ้น นั้นจะมีฐานะ เป็นเจ้าของบริษัท ความแตกต่าง ของผู้ถือหุ้นนั้น จะต่างกันออกไป โดยที่ว่า ใครถือหุ้นมาก หุ้นน้อย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น นายA กับ นายB ร่วมหุ้นกันเปิดคาเฟ่ โดยใช้เงินลงทุน 200,000 บาท ลงหุ้นกันตามสัดส่วน นายA ลงทุน 25% คิดเป็นเงิน 50,000 บาท นายB ลงทุน 75% คิดเป็นเงิน 150,000 บาท ผ่านไป 1 ปี คาเฟ่มีกำไร 100,000 บาท ทั้ง นายA และ นายB จะได้รับกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น ในกรณีนี้ A จะได้รับเงินปันผล 25,000 บาท B ได้รับเงินปันผล 75,000 บาท เป็นต้น

หุ้นแบบไหน…?ที่คุณควรจะซื้อ

กลับมาที่คำถามของเราว่า หุ้นแบบไหน…? ที่คุณควรจะซื้อ

หุ้นแบบไหน…? ที่คุณควรจะซื้อ ถามตัวเองก่อน ว่าเรามีเงินเย็นในมือ มากน้อยแค่ไหน เงินที่เราไม่จำเป็น ต้องนำไปใช้ทำอะไร เพราะการลงทุน ย่อมมีความเสี่ยง ถึงแม้ว่าเรา จะศึกษามาดีแล้วก็ตาม หากเกิดกรณีเลวร้าย เราจะทนมองดูพอร์ต ติดลบได้นานแค่ไหน ฉะนั้นเราถ้าเล่นหุ้นด้วยเงินเย็นก็ไม่ต้องกังวล และไม่ต้องรีบขาย แบบขาดทุน การเลือกซื้อหุ้นจะเรียกว่าเป็นศาสตรหรือศิลป์อย่างหนึ่ง ก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่ว่า ทุกคนที่เล่นหุ้น แล้วจะได้กำไร เหมือนกันทุกคน ถึงแม้ว่า เราจะเล่นหุ้น ตัวเดียวกันก็ตาม มันขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์ของ แต่ละคน การเลือกซื้อหุ้น อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ ของแต่ละคน เช่น บางทำงานประจำ จะไปเลือกซื้อหุ้น ที่มีราคาขึ้นลง หวือหวา ก็ไม่ได้ยังไม่แนะนำ เพราะคนที่ทำงานประจำ จะไม่ค่อย มีเวลาติดตามหุ้นตลอด เพราะการซื้อหุ้น ประเภทนี้ต้องซื้อมาขายไป แบบรวดเร็ว คนที่ไม่ค่อยมีเวลา จึงไม่ควรซื้อเก็บหุ้น ประเภทนี้ไว้ในพอร์ต มันเสี่ยงต่อการขาดทุนสูง การเลือกหุ้น เพื่อให้ได้ ผลตอบแทนที่ดี แต่มีความเสี่ยงต่ำ เราควรเริ่มจากการเลือกบริษัท ที่มีความน่าเชื่อถือ มีพื้นฐานดี ไม่มีข่าว หรือ ประวัติเสียหาย จากนั้นรอจังหวะการซื้อ ในราคาที่ถูก แล้วอดทนถือหุ้น ระยะยาว ไม่ซื้อขาย หรือหวั่นไหว กับอะไร ในระยะสั้นๆ ที่เข้า วางแผนการกระจาย ความเสี่ยง ในการลงทุน และติดตามผล อย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตามแผนที่เราวางไว้ แล้วค่อยขยายธุรกิจ ขยายอย่างไรให้ได้กำไรตั้งแต่เริ่ม

การลงทุนในตลาดหุ้น เป็นอีกหนึ่งวิธี ที่สามารถช่วยเพิ่ม ความมั่นคงของรายได้ ได้ในระยะยาว

ข้อดีของการลงทุนเยอะ ๆ คือ สามารถซื้อหุ้น ได้เป็นจำนวนมาก ๆ และหลากหลาย เมื่อเจอภาวะหุ้นขึ้น ก็จะได้ผลตอบแทนที่สูง เป็นการลดความเสี่ยง พอร์ตติดลบ แต่ข้อเสีย ของการลงทุนเยอะ ๆ คือ หากหุ้นที่เราถือ ราคาตก ก็จะเจอสภาวะ ขาดทุน เป็นเงินจำนวนมากเช่นกัน

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

3 อันดับความเก่าแก่ของ indicator

3 อันดับความเก่าแก่ของ indicator

Indicator (อินดิเคเตอร์) คือ เครื่องมือชี้วัด เครื่องมือช่วยวิเคราะห์แนวโน้มสภาพตลาด Up-Trend, Down-Trend, Sideways ด้วยเงื่อนไข, สูตรการคำนวณต่าง ๆ ซึ่งผู้เทรดจะใช้ Indicator ในการช่วยตัดสินใจว่าราคาจะขึ้นหรือลง indicator มีอยู่เป็นจำนวนมาก และแบ่งออกเป็นหลายประเภท แต่หนึ่งอย่างที่นักเทรดต้องสิ่งที่ต้องรู้ไว้ก็คือไม่มี Indicator ใดที่แม่นยำ และแน่นอน 100% เนื่องจาก Indicator เหล่านั้น มาจากการคำนวณตามสูตรคณิตศาสตร์ จึงอาจมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาด บทความนี้เราจึงมาจัดอันดับ indicator ที่เก่าแก่และน่าสนใจมากที่สุด

Moving Average Indicator (MA)

1. Fibonacci Indicator ฟิโบนักชี

Leonardo Pisano Bogollo นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี ผู้แนะนำลำดับฟีโบนักชี กลยุทธ์แบบคณิตศาสตร์ ลำดับของตัวเลข เป็นการตั้งราคาเป้าหมายจากแนวรับและแนวต้าน โดยให้ค่าตัวเลข แบบ Basic โดยตัวเลขเหล่านี้มีวิธีคิด คือ นำตัวเลขตัวหน้า 2 ตัวมาบวกกัน ก็จะได้ตัวเลขปัจจุบันและเพิ่มไปเรื่อยๆ จนเรียกได้ว่ามีค่าเป็นอนันต์ เช่น (0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233 … ) นี้คือการควบคุมด้านเวลา และราคา1วิธีของกลยุทธ์การซื้อขาย Forex เป็นอิดิเคเตอร์ตัวหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ถูกคิดค้นเมื่อทศวรรษที่ 13

Fibonacci Indicator ฟิโบนักชี

2. Moving Average Indicator (MA)

Moving Average การหาค่าเฉลี่ยของราคา หรือ เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เครื่องมือทางเทคนิคสำหรับการคำนวณค่าเฉลี่ย (Average) ของราคาใน ตลาดหุ้น, ตลาด Forex เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาหุ้น ซึ่งวิธีนี้เป็น INDICATOR ที่ทำความเข้าใจได้ง่ายที่สุด โดยใช้ข้อมูลของราคาหุ้นย้อนหลังตามที่ระยะเวลาที่เรากำหนด เช่น ระยะเวลาย้อนหลัง 5 วัน เราจะใช้ราคาหุ้น 5 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรของค่าเฉลี่ย หรือ ถ้าสนใจระยะเวลาย้อนหลัง 10 วัน ก็หมายความว่าเราจะใช้ราคาหุ้น 10 วันย้อนหลังนับจากวันปัจจุบัน มาคำนวณด้วยสูตรค่าเฉลี่ยที่เราสนใจ MOVING AVERAGE มีหลายประเภท ขึ้นกับวิธีการคำนวณค่าเฉลี่ยทุกประเภทจะใช้หลักการเดียวกัน คือ การหาค่าเฉลี่ยของราคา แล้วนำมาวาดเป็นกราฟเส้น แต่ สิ่งที่แตกต่างกันของ Moving Average แต่ละประเภท คือ การให้น้ำหนักของข้อมูลแต่ละตัวที่แตกต่างกันก่อนนำมาคำนวณค่าเฉลี่ย

Moving Average Indicator (MA)

3. Ichimoku Indicator อิชิโมกุ

อิชิโมกุ ถูกคิดค้นขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ 1950 โดนนาย Goishi Hosoda เป็นนักข่าวชาวญี่ปุ่นที่เชี่ยวชาญในตลาดการเงิน เขาใช้เวลา 30 ปีในการพัฒนาเทคนิคต่างๆ ก่อนที่จะปล่อยออกมาให้แก่ผู้คนใช้จริง  Ichimoku คือ การวิเคราะห์กราฟราคา ที่มีความหลากหลาย อย่างแนวรับ-แนวต้าน หรือยืนยันทิศทางของราคา ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากที่ “ญี่ปุ่น” เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค นั่นก็คือ “กราฟแท่งเทียนญี่ปุ่น”เราสามารถเข้าใช้ อิชิโมกุ ได้โดยเข้าไปที่ โปรแกรม MetaTrader 4 หรือโปรแกรม MetaTrader 5 เข้ามาที่แท็บเมนู Insert > Indicators > Trend > Ichimoku Kinko Hyo แล้วกดตกลง (อิชิโมกุ) มีเครื่องมือย่อยอยู่ 5 อย่าง ได้แก่
1. Tenkan Sen (เท็นกัง เซ็น) เส้นสีแดงคือเส้นเฉลี่ยค่าคณิตหรือเส้น SMA โดยมีค่าเท่ากับ 9
2. Kijun Sen (คิจุน เซ็น) เส้นสีน้ำเงินคือเส้นเฉลี่ยค่าคณิตหรือเส้น SMA โดยมีค่าเท่ากับ 26
3. Senkou Span A (เซ็นโคว สแปน เอ) ก้อนเมฆสีชมพูหากก้อนเมฆเป็นสีชมพู หมายความว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
4. Senkou Span B (เซ็นโคว สแปน บี) ก้อนเมฆสีส้มถ้าหากก้อนเมฆเป็นสีส้ม หมายความว่าราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
5. Chinkou Span (ชินโคว สแปน) เส้นสีเขียวถ้าหากเส้นสีเขียวห่างกราฟราคามาก แนวโน้วนั้นก็จะแข็งแรง หากเส้นสีเขียวติดกราฟราคาหมายความว่าแนวโน้มนั้นไม่แข็งแรงหรือราคาอยู่ในแนวโน้ม Sideway

Ichimoku Indicator อิชิโมกุ

นี้คือ3อันดับ Indicator ที่น่าสนใจที่สุด ในการใช้หลักการ แนวรับ แนวต้าน หรือการประกอบการวิเคราะห์ทางเทคนิคของแต่ละบุคคล ที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อนักเทรดทุกท่าน อย่าลืมหา Indicator ที่ตรงกับสไตล์การเทรดของทุกท่านนะครับ และยังมี อินดิเคเตอร์ ที่น่าสนใจมากโดยเฉพาะ เทรดเดอร์ ที่เทรดแบบ Price Action

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ

Categories
ความรู้ทั่วไป

10 นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

10 นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

ในยุคที่เศรษฐกิจแบบนี้เชื่อว่าหลายๆ คนอยากที่จะประสบความสำเร็จ ในชีวิต คงเริ่มรู้สึกท้อ เพราะผลกระทบที่ได้รับมาจาก การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ซึ้งแม้ว่าในตอนนี้ การแพร่ระบาด จะน้อยลง แต่ก็ทำให้พฤติกรรม การใช้ชีวิตของหลายๆ คนเปลี่ยนแปลงไป มีคนหลายกลุ่ม และ ธุรกิจบางประเภท ที่กำลังจะเติบโต แล้วต้องหยุดตัวลง ในบทความนี้ เราจึงอยากสร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกท่าน มีแนวคิดใหม่ๆ หรือ หลักการ ที่จะประความสำเร็จ จาก 10 นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

10นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

คนที่ 1 Benjamin Graham (เบนจามิน แกรม)

Benjamin Graham (เบนจามิน แกรม)

เบนจามิน แกรม หรือ เบน เกรแฮม เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1894 เป็นนักลงทุน นักเศรษฐศาสตร์ อาจารย์ ชาวอเมริกันที่เกิดในอังกฤษ เป็นสุดยอดนักลงทุน ระดับตำนานของโลก เรียกได้ว่าเป็น บิดา” ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ การลงทุนตามมูลค่า ถึงขนาดว่า สุดยอดนักลงทุนอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ยังต้องเรียก เบน เกรแฮม ว่าอาจารย์ เบน เกรแฮม เป็นเจ้าของ หนังสือ “The Intelligent Investor ” และ “Security Analysis” ทั้งสองเล่มนี้ นับว่าเป็นที่ยอมรับอย่างสูง ในแวดวงการลงทุน แนวคิดหลักๆ ทางการลงทุน ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ของ เบน เกรแฮม คือ “การวิเคราะห์หลักทรัพย์ด้วยเหตุผล แทนการใช้อารมณ์ หลีกเลี่ยงการเก็งกำไร”

benjamin Graham

คนที่ 2 Warren Edward Buffett (วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์)

Warren Edward Buffett (วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์)

วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ 1930 ที่เมือง โอมาฮา รัฐเนแบรสกา ประเทศ สหรัฐอเมริกา วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็น CEO ของบริษัท เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ เป็นสุดยอดนักลงทุนระดับโลก ได้รับการยกย่องว่า เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก แนวคิดหลักๆทางการลงทุน ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ เร็ว ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ”กลัวเมื่อคนอื่นกล้า และ กล้าเมื่อคนอื่นกลัว”

Warren Edward Buffett

คนที่ 3 Philip A. Fisher (ฟิลลิป เอ ฟิชเชอร์)

Philip A. Fisher (ฟิลลิป เอ ฟิชเชอร์)

ฟิลิป ฟิชเชอร์ เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1907 ที่ซานฟรานซิสโก แคลิฟอร์เนีย ฟิลิป ฟิชเชอร์ เป็นนักลงทุนที่ให้ความสนใจ การลงทุนแบบ ปัจจัยพื้นฐานที่เน้นการเติบโต เน้นการลงทุน ในระยะยาว ระดับตำนาน คนหนึ่งของโลก จนได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งการลงทุน แบบเน้นการเติบโตแนวคิดหลักๆ ทางการลงทุนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ทำประสบความสำเร็จ คือ
“ก่อนจะลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่ง จะต้องหาข้อมูลให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ เพื่อจะได้รู้จักและเข้าใจบริษัทนั้นอย่างลึกซึ้ง แล้วจึงค่อยตัดสินใจลงทุน”

Philip A. Fisher (ฟิลลิป เอ ฟิชเชอร์)

คนที่ 4 Jesse Livermore (เจสซี่ ลอริสตัน ลิเวอร์มอร์)

Jesse Livermore (เจสซี่ ลอริสตัน ลิเวอร์มอร์)

เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ เกิดที่เมือง Shrewsbury, Massachusetts เขาคือนักค้าหุ้นระดับตำนาน ที่นักเทรดทุกคนต้องรู้จัก เขาเป็นนักลงทุน แบบเน้นเก็งกำไร ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก จนได้รับฉายาว่า “Boy Plunger” เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ สนใจการลงทุนการค้าหุ้นตั้งแต่เขายังเด็ก เมื่อตอนเขาอายุ 15 เขาได้ลองเก็งกำไรใน Bucket shop (ตลาดหุ้นเถื่อน) ด้วยเงิน $5 นี้คือจุดเริ่มต้น
เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลายเรื่อง เขาเคยทำเงินได้มหาศาล จากตลาดหุ้น และ เจ๊งจนหมดตัว อยู่หลายครั้ง เคยทำกำไรได้ 100 ล้านเหรียญ แต่ก็สุดท้ายเหลือแค่ศูนย์ ในเวลาไม่นาน และ ก็กลับมาได้ในหลายๆ ครั้ง สุดท้ายในปี 1940 (อายุ 63) เขาได้ยิงตัวตายที่โรงแรม The Sherry-Netherland ใน Manhattan สิ่งที่เราจะเรียนรู้ได้จาก เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ คือ “ทุกคนไม่ได้เก่งมาแต่เกิด ทุกคนควรใช้พรแสวงในการศึกษาหาความรู้ ทุ่มเททำการบ้าน วางแผนที่ดี มีวินัย ทำให้เรามีแต้มต่อในการแข่งขัน ลองผิดได้ลองถูกได้ จนกว่าเราจะมีความเชี่ยวชาญในแนวทางที่เราถนัด” เพราะเขาเชื่อว่า.“ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์เรา คือ ความเป็นมนุษย์ในตัวเราเอง”

Jesse Livermore (เจสซี่ ลอริสตัน ลิเวอร์มอร์

คนที่ 5 John Bogle (จอห์น ซี. โบเกิล)จอห์น คลิฟตัน)

John Bogle (จอห์น ซี. โบเกิล)จอห์น คลิฟตัน)

” แจ็ค ” โบเกิล เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2472 ในเมือง Montclair รัฐนิวเจอร์ซีย์ ต้นตำรับกองทุนอิงดัชนี (กองทุนอิงดัชนีเป็นกองทุน ที่ผู้จัดการกองทุนพยายามบริหารผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี ที่ใช้อ้างอิงให้มากที่สุด) เขาเป็นนักลงทุนระดับโลก ที่ได้เปลี่ยนการลงทุนแบบเชิงรุก มาเป็นการลงทุนเชิงรับ หลักการลงทุน แนวคิดหลักๆทางการลงทุนที่ทำประสบความสำเร็จ มีจุดเด่นคือความ “ง่าย” เขาเน้นให้ลงทุนด้วย “สามัญสำนึก” ทำอะไรที่ง่ายๆ ไม่ต้องแปลกพิสดาร จะได้รับผลตอบแทนที่ดี

John Bogle (จอห์น ซี. โบเกิล)

คนที่ 6 Sir John Marks Templeton (เซอร์จอห์น มาร์ค เทมเปิลตัน)

 Sir John Marks Templeton (เซอร์จอห์น มาร์ค เทมเปิลตัน)

เซอร์จอห์น มาร์ค เทมเปิลตัน หรือ จอห์น เทมเปิลตัน เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1912 เขาถูกขนานนามว่าเป็น”นักลงทุนที่เก่งที่สุดในศตวรรษที่ยี่สิบ”จอห์น เทมเปิลตัน เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่าซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ ของ เบนจามิน เกรเฮม แนวคิดหลักๆ ทางการลงทุน ที่ทำประสบความสำเร็จ ของ เซอร์จอห์น เทมเพิลตัน คือ “วัตถุประสงค์หลักในการลงทุนระยะยาว คือการสร้างผลตอบแทนหลังหักภาษีให้สูงที่สุด”

คนที่ 6 Sir John Marks Templeton (เซอร์จอห์น มาร์ค เทมเปิลตัน)

คนที่ 7 William Hunt "Bill" Gross(วิลเลียม ฮันต์ "บิล" กรอส)

 William Hunt “Bill” Gross(วิลเลียม ฮันต์ “บิล” กรอส)

วิลเลียม ฮันต์ “บิล” กรอส หรือ บิล กรอส เกิดเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1944บิล กรอส นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก เป็นนักลงทุน และ ผู้จัดการกองทุน ชาวอเมริกันเขาได้รับฉายา ว่า “Bond King หรือ ราชาแห่งพันธบัตร”เพราะ การลงทุนในตลาดพันธบัตรของเขา ทำให้เขามีสินทรัพย์รวมกว่า 49,500 ล้านบาท บิล กรอส ให้ความสำคัญ ในการทำงานเป็นอย่างมาก สมาธิ และ การโฟกัส ในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ “เขาไม่ใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างการทำงานเพื่อให้ความสำคัญกับสมาธิ”

William Hunt "Bill" Gross(วิลเลียม ฮันต์ "บิล" กรอส

คนที่ 8 Carl Icahn (คาร์ล ไอคาห์น)

Carl Icahn (คาร์ล ไอคาห์น)

คาร์ล ไอคาห์น เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2479 ที่ ควีนส์ นครนิวยอร์กคาร์ล ไอคาห์น เป็นนักลงทุน ระดับโลกที่สามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จากการเป็นนักลงทุน  เขาประสบความสำเร็จ ติดทำเนียบคนรวยระดับโลก และ เป็นผู้มีวิธีการลงทุน ที่ต่างจากผู้อื่นอย่างสิ้นเชิง หลักการลงทุน ของ คาร์ล ไอคาห์น ที่ว่าแปลก และ ต่างจากผู้อื่นก็คือ เขาจะเอาตัวเองเป็นศัตรูกับประธานบริษัท หรือ บอร์ดบริหาร โดยเน้นว่าตัวเขาเอง เป็นฝ่ายตัวแทน ของผู้ถือหุ้นรายย่อย และ หั่นกิจการนั้น ออกเป็นชิ้นๆ และ นำไปแยกขาย ด้วยหลักการนี้ ทำให้เขาเข้าซื้อกิจการได้หลายๆกิจการ และ สามารถทำกำไรได้มหาศาล

Carl Icahn (คาร์ล ไอคาห์น)

คนที่ 9 Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์)

Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์)

ปีเตอร์ ลินช์ เกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1944 เป็นผู้จัดการกองทุน บริหารกองทุนที่มีชื่อว่ากองทุนมาเจลลัน เรียกได้ว่าเป็นผู้จัดการกองทุนในตำนาน เพราะในเวลา13ปี เขาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย ทบต้นถึง 29.2% ต่อปี ปีเตอร์ ลินช์มีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนที่ชื่อว่า “Beating the Street” มีกฎของการลงทุนในหุ้น 25 ข้อ ที่เป็นแนวทางให้กับนักเทรดได้เ็นอย่างดี แนวคิดหลักๆ ทางการลงทุน ที่ทำประสบความสำเร็จ ของ ปีเตอร์ ลินช์ ที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ ในการลงทุนคือ “การทำงานหนัก”

Peter Lynch (ปีเตอร์ ลินช์)

คนที่ 10 George Soros (จอร์จ โซรอส)

George Soros (จอร์จ โซรอส)

จอร์จ โซรอส เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1930 นักธุรกิจชาวอเมริกันเชื้อสายฮังกา เป็นสุดยอดนักลงทุน ระดับโลกอีกหนึ่งคนที่ได้ฉายาว่า “พ่อมดทางการเงิน” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Soros Fund Management และสถาบัน Open Society Instituteจอร์จ โซรอสมีชื่อเสียงโด่งดังสุดๆ เมื่อปี 1992 จากการเข้าโจมตีค่าเงินปอนด์ จนธนาคารกลางอังกฤษ “ในครั้งนั้น จอร์จ โซรอส ทำเงินได้มากกว่า กว่าพันล้านดอลลาร์ จอร์จ โซรอส บริจาคเงินไปทั่วโลกแล้วถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เขามักบอกกล่าวเสมอว่า “ผมชอบหาเงินให้ได้เยอะๆ ก็เพื่อคืนกลับไปเป็นสาธารณประโยชน์” หลักการในการลงทุน ที่ทำประสบความสำเร็จ ของ จอร์จ โซรอส เขาเชื่อว่า”ราคาได้เคลื่อนที่ ไปถึงจุดสุดของมัน เขาจะเดิมพันในการ วกกลับมาของราคา”

นี้คือ 10 สุดยอดนักลงทุนระดับโลก ที่ประสบความสำเร็จ ตามแนวคิด และ หลักการ การลงทุนในแบบของแต่ละบุคคล Goo Invest Trade หวังว่าบทความนี้ จะมีประโยชน์ไปช่วยในการลงทุน ของทุกท่านไม่มากก็น้อย ขอบพระคุณครับ

Categories
ความรู้ทั่วไป

รู้หรือไม่ การซื้อขายทองคำ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ Goo Invest Trade

รู้หรือไม่ การซื้อขายทองคำ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร่ ?

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า? การซื้อขายทองคำครั้งแรกมีความเป็นมายังไง? และการซื้อขายทองคำบนกระดานราคาทองคำเกิดขึ้นเมื่อไหร่? วันนี้ Goo Invest จะมาเล่าให้คุณฟัง

รู้หรือไม่ การซื้อขายทองคำ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อไหร goo invest trade

ในอดีตการซื้อขายทองคำมีประวัติยาวนาน และเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล ประเทศอียิปต์ เป็นแหล่งผลิตและสร้างงานทองคำ (ประเทศที่ถือทองคำมากที่สุดในโลก)

โดยชาวอียิปต์จะใช้ทองคำในการ ‘แลกเปลี่ยน’ สินค้าและบริการ ซึ่งค่าซื้อขายจะถูกกำหนดโดยจำนวน และคุณภาพของทองคำที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยน โดยการแลกเปลี่ยนนั้น จะนำทองคำไปตัดเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วมาเทียบกับสิ่งของ เช่น ถุงดิน อาหาร และอื่น ๆ อีกทั้งทองคำถูกใช้เป็นเครื่องประดับ รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความร่ำรวย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป จนกระทั่งประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศตวรรษ อาณาจักรอียิปต์ได้เปลี่ยนทองคำให้เป็น ‘สกุลเงิน’ ที่ถูกยอมรับให้เป็นสำหรับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งการใช้เหรียญทองถือเป็นสกุลเงินกลาง และได้มาตรฐานทั่วทุกที่ในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนและในเอเชียกลาง อีกทั้งอาณาจักรโรมันก็ขุดทองคำ มาใช้อย่างแพร่หลาย และออกเหรียญทองในนาม “DUCAT” ซึ่งกลายเป็นเหรียญที่ได้รับความนิยมที่สุดในอาณาจักรโรมัน
.
จากนั้นทองคำก็ถูกใช้ไปทั่วโลก แม้ภายหลังแต่ละประเทศได้ออก ‘สกุลเงินเฟียต’ (Fiat Currency) หรือเงินที่ถูกประกาศให้มีมูลค่าโดยธนาคารกลาง หรือรัฐบาล ซึ่งมักจะอยู่ในรูปของธนบัตรและเหรียญ แต่ในปี 1946 ประเทศสหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ กลายเป็นผู้กำหนด “ระบบการเงินของโลก” ให้ทองคำกลายเป็นทรัพยากรสำรองที่สนับสนุนเฟียต ตามข้อตกลง “Bretton Woods System” หรือ “ระบบเบรตตัน วูดส์”
โดยมีข้อตกลงว่าจะให้ทองคำและสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ และให้สกุลเงิน ‘ดอลลาร์สหรัฐ’ ผูกกับทองคำเพียง ‘สกุลเดียว’ ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 35 ดอลลาร์สหรัฐต่อทองคำ 1 ออนซ์ จากนั้นให้สกุลเงินของประเทศต่าง ๆ มาผูกกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐด้วยค่าคงที่ สามารถนำสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ มาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำได้ ส่งผลให้การค้าภายใต้ระบบเบรตตัน วูดส์ และเศรษฐกิจทั่วโลกมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
.
และในปี 1972 เกิดตลาดซื้อขายอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนมาถึงปัจจุบัน คือ Chicago Mercantile Exchange หรือที่รู้จักกันในนาม (CME) ได้เริ่มต้นจัดทำการซื้อขายล่วงหน้า (Future Trading) 7 สกุลเงิน และในปี 1974 ได้เปิดตลาด Commodity Exchange หรือ COMEX ใน New York สำหรับการซื้อขายสัญญาการซื้อทองคำล่วงหน้า (Gold Futures) บนกระดานครั้งแรก จากนั้นหลังปี 1980 เป็นต้นไป ก็มีแหล่งซื้อขายเกิดขึ้นอย่างมากมายทั่วโลก จนกระทั่งมีการพัฒนาระบบซื้อขายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เกิดการซื้อขายบนระบบออนไลน์ในที่สุด

Categories
การลงทุน

gold spot มีดีกว่าที่คุณคิด

gold spot

Gold Spot คืออะไร

Gold Spot มีดีกว่าที่คุณคิด ไม่ขายไม่ขาดทุนทำได้จริง หลายคนที่ซื้อขายทองคำแท่งอยู่แล้วอาจได้ยินคำนี้กันจนชิน แต่รู้หรือไม่ หลักการไม่ขายไม่ขาดทุนก็สามารถใช้กับ Gold Spot ได้เช่นกันเมื่อคุณซื้อขายโดยวางเงินค้ำประกันเท่าเท่ามูลค่าทองจริงที่คุณซื้อ อีกทั้งยังมีข้อได้เปรียบอีกมาดมายกว่าการซื้อทองคำแท่ง

ไม่เสียค่าธรรมเนียมข้ามคืน 

แน่นอนว่าทุกคนที่ซื้อขายทองคำรู้กันดีว่าจะต้องเสียค่าการเก็บรักษาหรือมิฉะนั้นจะต้องรับทองกลับบ้านเพื่อมาเก็บเองแต่เมื่อคุณเทรด Gold Spot กับ Goo Invest เรามีโบรคเกอร์ที่เป็นพันธมิตรกับเราโดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าบริการการเก็บรักษาหรือค่าค้างคืนอีกต่อไป

ไม่ต้องถูกบังคับขายหรือให้รับทองกลับไปเก็บรักษาเองและการซื้อขาย Gold Spot นั้นยังไม่มีอายุสัญญาให้ต้องบังคับขายเมื่อหมดอายุอีกด้วย นั่นหมายความว่าคุณจะถือครองไปนานเท่าใดก็ได้

 

คอมมิสชั่นต่ำเพียง 5บาท/บาททอง 

อย่างที่ทราบกันดีว่าการซื้อขายทองคำ Gold Spot นั้นซื้อขายกันเป็น Lot แต่คุณเคยเปรียบเทียบค่าส่วนต่างราคารับซื้อขาย หรือไม่ เมื่อคุณลองคำนวนดูแล้วคุณจะพบว่า ค่าส่วนต่างรับซื้อขายหรือ คอมมิสชั่น ที่เราทราบกันดีนั้นจะตกอยู่ที่ 5บาท/1บาททองเท่านั้น นับว่าเป็นคอมมิสชั่นที่ต่ำมากครับ และ ปริมาณการซื้อขั้นต่ำนั้นเริ่มต้นเพียงแค่ 2บาททองเท่านั้น 

มีเงินหลักร้อยก็เริ่มลงทุนได้ หลายคนอยากลงทุนในหลายๆรูปแบบแน่นอนครับว่าต้องใช้ เงินทุนจำนวนหนึ่งเลยทีเดียว แต่การลงทุนในรูปแบบ Gold Spot นั้น เริ่มต้นแค่เงินเพียง 300-400 บาทก็สามารถลงทุนได้

 Gold Spot อาจจะเป็นการเริ่มต้นในการลงทุนเพราะแค่มีทุนน้อยก็สามารถที่จะลงทุนได้

หรือเป็นจุดเริ่มต้นเรียนรู้ในรูปแบบของการลงทุนครับ หรือหากคุณเป็นนักเทรดทองคำมืออาชีพอยู่แล้ว การที่คุณได้ต้นทุนค่าคอมมิสชั่นที่ต่ำก็นับว่ามีชัยไปกว่าครึ่งอีกทั้งไม่ต้องกังวลเรื่องของค่าการเก็บรักษาทองอีกด้วย

Categories
การลงทุน

Demand Zone & Supply Zone – แนวรับ แนวต้าน คือ อะไร

แนวรับแนวต้าน

Demand Zone & Supply Zone

เชื่อว่าแทบทุกคนต้องคุ้นหูหรือเคยได้ยินคำว่า “แนวรับ-แนวต้าน”  โดยเฉพาะเมื่อเปิดไปดูข่าว หรือเจอวิเคราะห์เรื่องหุ้นต่าง ๆ ก็จะได้ยินคำสองคำนี้แน่นอน มือใหม่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแนวรับ-แนวต้านที่นักลงทุนพูดกันหมายถึงอะไร และเทคนิคนี้มีความสำคัญอย่างไรกับการเทรด วันนี้ Goo invest จะมาให้คำตอบครับ

 

แนวรับ (Demand Zone)  คือ ระดับราคาที่มีคนต้องการซื้อมากที่บริเวณนั้น แต่ระดับราคานั้นจะอยู่บริเวณที่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างมากเมื่อราคาลงมาที่บริเวณดังกล่าว และหากมีการซื้อเข้ามาที่มากเพียงพอก็จะสามารถหยุดหรือรับราคาที่กำลังลงมาได้ นั่นหมายถึงมีแรงซื้อที่มากกว่าแรงขาย ยิ่งมีการทดสอบหรือพยายามจะลงให้ผ่านแนวรับนี้มากเท่าไหรแต่ไม่สามารถลงไปได้จะยิ่งตอกย้ำความมั่นใจให้กับฝั่งที่เป็นแรงซื้อมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันมันกลับทำลายความมั่นใจให้กับกลุ่มที่เป็นฝั่งขายด้วยเช่นกัน

แนวต้าน (Supply Zone)  คือ ระดับราคาที่มีคนต้องการขายมากที่บริเวณนั้น แต่ระดับราคานั้นจะอยู่บริเวณที่สูงกว่าราคาในปัจจุบัน คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาอย่างมากเมื่อราคาขึ้นมาที่บริเวณดังกล่าว และหากมีการขายเข้ามาที่มากเพียงพอก็จะสามารถหยุด หรือต้านราคาที่กำลังขึ้นมาได้ นั่นหมายถึงมีแรงขายที่มากกว่าแรงซื้อ ยิ่งมีการทดสอบหรือพยายามจะขึ้นให้ผ่านแนวต้านนี้มากเท่าไหร่แต่ไม่สามารถขึ้นไปได้จะยิ่งตอกย้ำความมั่นใจให้กับฝั่งที่เป็นแรงขายมาก

 

Demand Zone & Supply Zone

 

ขึ้นเท่านั้น กลับกันมันกลับทำลายความมั่นใจให้กับกลุ่มที่เป็นฝั่งซื้อด้วยเช่นกัน

 

สรุปแล้ว แนวรับ แนวต้าน หากจะให้พูดถึงโดยรวม จะเรียกว่า จิตวิทยาการเทรดกันเลยทีเดียว ค่าทั้งสองค่านี้ต่างมีผลอย่างมากต่อการวางแผน หรือการใช้กลยุทธ์ในการเทรดหุ้น ทั่วโลกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และเป็นจุดที่จะทำให้นักเทรดหรือนักลงทุน ตัดสินใจซื้อหรือขาย ที่บริเวณกล่าว เกิดการต่อสู้กัน ระหว่าง นักเทรด ที่มีมุมมองต่างกัน กระทำการบางอย่างที่บริเวณนี้ ยิ่งเป็น แนวรับแนวต้านสำคัญในระดับ เดือน หรือ ปี แล้วยิ่งมีจำนวน การซื้อขายมากซึ่งหากเกิดความชัดเจนหลังการต่อสู้กันของ นักลงทุน หรือนักเทรดที่เห็นต่างกันในแต่ละระดับราคา ก็จะยิ่งส่งให้ เกิด ปริมาณการซื้อขายตามมาอีกที่ เช่นการทดสอบแนวต้านแล้วไม่ผ่านก็มักจะมีแรงขายตามมาจำนวนมาก หรือหาก สามารถผ่านแนวต้านไปได้ ราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไป ไกล และมีปริมาณซื้อตามเข้ามาในตลาดจำนวนมากเช่นกัน ซึ่งหากเกิดความชัดเจนหลังการต่อสู้กันของ นักลงทุน หรือนักเทรดที่เห็นต่างกันในแต่ละระดับราคา ก็จะยิ่งส่งให้เกิดปริมาณการซื้อขายตามมาอีกที่ เช่นการทดสอบแนวต้านแล้วไม่ผ่านก็มักจะมีแรงขายตามมาจำนวนมาก หรือหาก สามารถผ่านแนวต้านไปได้ ราคาก็มักจะวิ่งขึ้นไป ไกล และมีปริมาณซื้อตามเข้ามาในตลาดจำนวนมากเช่นกันส่วนนักลงทุนท่านใดสนใจในเรื่องทองคำ วิเคราะห์ทองคำ ซื้อขายทองคำ สามารถเปิดบัญชีได้กับเรา Goo Invest อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนเราให้ทำบทความและคลิปวีดีโอดีๆกันต่อไปครับ

Categories
การลงทุน

IB คือ อะไร ทำไมต้อง Gooinvest

IBคืออะไร

IB คืออะไร

IB คืออะไร

ในโลกของการเทรดทุกวันนี้จะได้ยินศัพท์เฉพาะเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะคำว่า IB เป็นชื่อที่หลายคนคุ้นหูและสงสัยไหมว่าย่อมาจากอะไร ยกตัวอย่างโดย IB ในโลกของ Social Network นั้นอาจจะย่อมาจากคำว่า Inbox คือการรับส่งข้อความนั่นเอง แต่รู้หรือไม่ว่าคำว่า IB ในโลกของการเทรดนั้นความหมายแตกต่างจากโลกของของ Social Network อย่างมาก วันนี้ Goo invest จะมาบอกความหมายของของคำว่า IB ว่าคืออะไรและมีประโยชน์หรือข้อดีข้อเสียยังไง

         ในโลกของการเทรด IB ย่อมาจาก Introducing Broker ที่แปลความหมายตรงตัวเลยคือ ผู้แนะนำโบรกเกอร์ หรือพาร์ทเนอร์ของโบรกเกอร์ โดยหน้าที่หลักของ IB ก็คือ แนะนำและเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชีภายใต้ลิงค์ของตนเอง ซึ่งเป็นการตลาดแบบ Affiliate โดยการตลาดแบบนี้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Amazon ก็จะใช้ระบบการตลาดแบบ Affiliate ด้วยเช่นกัน หรือในรูปแบบบริษัทประกันภัยต่างๆ ที่เรียกตัวเองว่า นายหน้าประกันภัย ก็มีระบบแบบเดียวกัน ทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็มีหน้าที่หลักที่คล้ายคลึงกัน

การทำงานของ IB

       IB จะมีรายได้มาจากการซื้อขายของเทรดเดอร์ โดยรายได้ค่าคอมมิชชั่นที่ทาง IB จะได้รับขึ้นอยู่กับเงื่อนไขแต่ละโบรกเกอร์ แต่ IB จะไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียของกำไรหรือขาดทุดในการเปิดออเดอร์ของเทรดเดอร์ โดยหน้าที่หลักจริงๆแล้วของ IB คืองานบริการ ข้อมูล ข่าวสาร ให้ลูกค้าที่เข้าร่วมสมัครและอยู่ภายใต้การดูแลของ IB นั้นๆ โดยวิธีที่นิยมทำกันก็คือการที่ IB จัดงานสัมมนา สอนเทรด สอนเทคนิค โดยจะมีโบรกเกอร์คอยให้การสนับสนุนในการจัดหรือประชาสัมพันธ์งาน โดยในมุมของเทรดเดอร์ จะมีต้นทุนเท่าเดิม ไม่ได้มีข้อเสียอะไร แต่ถ้าเทรดเดอร์มี IB ที่ดี ก็จะช่วยให้การเทรดของเราราบรื่นมากยิ่งขึ้น มีคนคอยบริการหรือสนับสนุนโดยที่เราไม่ได้มีค่าเสียบริการใดๆเลย

 ทำไมต้องมี IB

       โดยปัจจุบันเทรดเดอร์ทุกคนก็สามารถเทรดเองได้โดยไม่จำเป็นต้องสมัครผ่าน IB ครับ เพียงแต่ว่าสิ่งที่คุณจะได้รับจากการมี IB หรือการเข้าร่วมกับ IB ก็เสมือนกับเรามีสังกัดที่จะคอยดูแลเราอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ได้สิทธิพิเศษ คอร์สเรียนฟรี ส่วนลดในการซื้อคลาสเรียนหรือการวิเคราะห์แนวโน้ม ซิกแนลต่างๆ ที่ทาง IB มอบให้เรา แถมยังได้รู้จักเพื่อนนักเทรดเพิ่มขึ้นและร่วมแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนนักเทรดในกลุ่ม โดยสิ่งที่คุณจะได้รับจากการมี IB นั้นมีข้อดีเยอะมาก ดังนั้น ถ้าหากเป็นผู้เริ่มเทรดแรก ๆ นักเทรดที่ต้องการคนคอยชี้แนะให้คำปรึกษา ก็สามารถใช้บริการ IB ได้ครับ

มาทำความรู้จักกับเรา Goo Invest

       ทำไมต้อง Goo Invest เพราะเราเป็นทีมการตลาดที่มีทักษะด้านการเทรด มาแล้วกว่าสิบปี และยังมีบนวิเคราะห์ ให้สำหรับลูกค้า ที่หาแนวทางในการเทรด และเรายังมีในส่วนของผู้จัดการส่วนตัว ที่จะคอยแก้ไขพอตให้ท่าน เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนอย่างใกล้ชิด และยังมีข่าวอัพเดทสถาณการณ์ต่างๆที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำในทุกๆ 

และยังมีโปรโมชั่นอีกมากมายที่เรา ที่เราสนับสนุนนักเทรด มาเทรดกับเราที่ gooinvest trade 

เปิดบัญชีซื้อขายทองคำ