LOGO Goo Invest
Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ วันที่ 24 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 23 ตุลาคม 2564

เพิ่มเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอีก 6 แห่ง อนิงสงค์หุ้นนิคม

ครม.เห็นชอบจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่มอีก 6  แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษจำนวน 1 แห่ง ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมในอนาคต ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่รองรับการประกอบอุตสาหกรรมและการค้า 15,836 ไร่ มีการรองรับการลงทุน ได้เพียง 5 ปีเท่านั้น จึงมีการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพิ่ม 6 แห่ง พื้นที่ EEC

1. จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการอุตสาหกรรมรูปแบบนิคมอุตสาหกรรม มีจำนวน 5 แห่ง โดยรองรับการประกอบกิจการได้ 5,098 ไร่ มีพื้นที่รวม 6,884 ไร่ สามารถรองรับการประกอบกิจการได้ 5,098 ไร่ ประกอบด้วย นิคมอุตสากรรมโรจนะแหลมฉบัง, นิมคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อันดัสเตรียล เอสเตท ระยอง, นิคมอุตสาหกรรมเอ็กโกระยอง,นิคมอุตสาหกรรมโรจนะหนองใหญ่

รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การบิน โลจิสติก และดิจิทัล รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมเอเชียคลีน รองรับอุตสาหกรรมอิเลกทรอนิกส์อัจฉริยะ ยานยนต์สมัยใหม่การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ภายใน 10 ปี เป้าหมายการลง 3 แสนล้านบาท ระหว่างปี 2564-2573

2. เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อกิจการพิเศษ จำนวน 1 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีขั้นสูงบ้านฉาง จ.ระยอง ภายใน 10 ปี ตั้งเป้าหมายการลงทุน20,000 ล้านบาท ระหว่างปี 2564-2573

3. เปลี่ยนแปลงเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ เพื่ออกิจการพิเศษ 1 แห่ง คือ ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรธรรมศาสตร์ พัทยา โดยเปลี่ยนแปลผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน ให้พื้นที่รวมของศูนย์585 ไร่ จากเดิม 566 ไร่ โดยเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ 6 แห่งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท สวนสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) , บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน)

 สำหรับบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) ได้ประโยชน์ 2 ใน 6 นิคม อุตสาหกรรม ได้แก่ โรจนะแหลมฉบัง 698 ไร่ โรจนะหนองใหญ่ 1,501 ไร่ ซึ่งแนวโน้มการขายที่ดินนิคมในไตรมาส 2 ปี 2564 ลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะคนจีนมาเซ็นสัญญากว่า 100 ไร่ ไตรมาส 3 ถึงปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 มาก ซึ่งงในไตรมาส 4 ยังคงดีอย่างต่อเนื่องจากการเปิดประเทศในอนาคต โดยตั้งเป้าขายที่ดิน 400-500 ไร่ต่อปี ประมาณรายได้และกำไรระหว่างปี 2564-2566 รายได้หลัก80% มาจากการขายไฟให้กับบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) และโรงงานในนิคม ซึ่งมองว่ารายได้จากการขายที่ดินเป็นปัจจัยหนุน สอดคล้องกับ บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของนิคมมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จ.ระยอง พื้นที่ 1,498 ไร่ รองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ใหม่ หุ่นยนต์ การบิน โลจิสติก วึ่งขั้นตอนแรกต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เดิมก่อน ซึ่งรายได้จะเกิดขึ้นหลังจากที่พัฒนาแล้ว แนวโน้มรายได้ปี 2565 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพื้นที่เตรียมไว้สำหรับนิคมใหม่ที่เพิ่งอนุมัติจะต้องรอการพัฒนาก่อน ขณะที่แนวโน้มรายได้ปีนี้เติบโตขึ้น 30% สูงสุดในประวัติการณ์ เศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดคือไตรมาส 3 ปี 2564

ทั้งนี้ปัจจุบันมีบริษัท 10 นิคมอุตสาหกรรมพื้นที่ EEC รวมถึงมีพื้นที่พัฒนาและสร้างใหม่ทุกปี พร้อมเปิดขายได้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์ 10,000 ไร่ พัฒนา infrastructure รองรับการขายพร้อมทั้งหมด 5,000ไร่ อี 5,000 ไร่ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ขออนุมัติทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม

 

ขอบคุณ : ข่าวหุ้น

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยแนะติดตาม 5ปัจจัยชี้ทิศค่าเงินบาทและดัชนีหุ้นไทย

ธนาคารกสิกรไทยประเมินสัปดาห์หน้าระหว่างวันที่ 25-29ตุลาคม 2564 กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.80-33.80 บาทต่อดอลลาร์ฯ มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ ตัวเลขการส่งออกและเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเดือนก.ย. ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.  ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย รายได้/รายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core Price Index เดือนก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค. และจีดีพีไตรมาส 3 ประจำปี 2564  

นอกจากนี้ตลาดยังรอติดตามผลการประชุม ECB และ BOJ ข้อมูลกำไรภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.จีน และจีดีพีไตรมาส 3/64 ของยูโรโซน โดยในวันพฤหัสบดี 21 ต.ค. เงินบาทอยู่ที่ระดับ 33.38 เทียบกับระดับ 33.31 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า 5 ต.ค.

ทั้งนี้ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน รายได้และรายจ่ายส่วนบุคคล และอัตราเงินเฟ้อที่วัดจาก PCE/Core PCE Price Index เดือนก.ย.รวมถึงตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3 ประจำปี2564 ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BoJ และ ECB ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/64 และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนต.ค.ของยูโรโซน ตลอดจนกำไรบริษัทภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย.ของจีน   โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,643.42 จุด เพิ่มขึ้น 0.31% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 79,001.31 ล้านบาท ลดลง 8.61% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้น 0.94% มาปิดที่ 559.65 จุด

 

ขอบคุณ : ฐานเศษฐกิจ

แบงก์ยันคุ้มครองลูกค้าทุกบัญชี ลุยจับ เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรัฐมนตรีกลาโหม เร่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสกัดยับยั้งสะสางปัญหาโดยเร็ว ล่าสุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกำหนด 5 แนวทาง ในการเยียวยา แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น รวมถึงการติดตามลงโทษผู้กระทำความผิด ได้แก่

 แนวทางที่1 ธนาคารและบริษัทเจ้าของบัตรฯ คืนเงินลูกค้าภายใน 5 วันนับจากได้รับแจ้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

แนวทางที่2 เปิดศูนย์ Hotline 1710 ประสานตำรวจ-ธนาคารรอายัดบัญชีคนร้าย ป้องกันการถ่ายเทเงินในบัญชี

แนวทางที่ 3  สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประสานข้อมูลกับผู้ให้บริการเครือข่าย ช่วยสืบหาข้อมูลของคนร้าย

แนวทางที่ 4 กระทรวงดิจิทัล ให้ความรู้ สร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับประชาชนเท่าทันพฤติกรรมคนร้าย และการแก้ไขกฎเกณฑ์ให้ทันกับรูปแบบอาชญากรรม

 แนวทางที่ 5 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ศูนย์ PCT  บูรณาการร่วมกับ บช.สอท., และ ศูนย์ PCT นครบาล, ภูธร 1-9 ในการรวบรวม ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินคดีจากทุกพื้นที่ ตั้งชุดสืบสวนสอบสวน Online รายจังหวัด

 ซึ่งขณะนี้เร่งประสานผู้ให้บริการเครือข่ายร้านค้าต่างประเทศ  ให้ไปไล่เบี้ยตรวจสอบร้านค้าในต่างประเทศ เป็นไปได้ว่า ร้านค้าเหล่านั้นก็อาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือ

 ดร.ปริญญา หอมเอนก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ภัยไซเบอร์จะกลายเป็น New Normal สำหรับผู้ใช้บริการดิจิทัลเซอร์วิส ที่เกิดขึ้นทุกวัน ใน 3 ภัยหลัก ได้แก่

 1. การส่งอีเมล์ หรือ SMS หลอกโอนเงิน หรือหลอกให้ส่งหมายเลขบัตรเครดิต ซึ่งเกิดขึ้นมาเป็นเวลานับ 10 ปี แต่เปลี่ยนเทคนิคไป

2. แรนซัมแวร์ ที่มุ่งการโจมตีเพื่อดูดข้อมูลไปขายในเว็บตลาดมืด 

3. การโจมตีเพื่อทำให้ระบบบริการล่ม หรือการโจมตี DDoS ยิ่งวันจะมีปริมาณและความถี่เพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบสร้างความเสียหายในวงกว้างมากขึ้น

ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (TB-CERT) กล่าวว่า  ที่ผ่านมา TB-CERT ร่วมกับธปท.และค่ายมือถือ บล็อกข้อความ SMS ที่แปลกปลอมเข้ามา ทำให้ช่วงหลังมีแนวโน้มลดลง ส่วนรูปแบบภัยไซเบอร์มีหลากหลาย หลักๆ ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการหลอกลวงบนโซเชียล การปล่อยมัลแวร์ขู่เรียกค่าไถ่รวมถึงการส่งอีเมล์หลอกลวงหรือพวกฟิชชิ่ง โดย แฮกเกอร์ต้องการเงินเป็นหลัก แต่จะไม่ใช้วิธีขโมยเงินโดยตรง แนวโน้มข้อมูลและชื่อเสี่ยงของหน่วยงานหรือองค์กร มีความสำคัญมากขึ้น จึงถูกใช้เป็นตัวประกันในการเร่งให้หน่วยงานจ่ายเงินเรียกค่าไถ่ ส่วนใหญ่เทคนิคส่วนใหญ่จะทำควบคู่กันระหว่างการขโมยข้อมูลและสร้างมัลแวร์ เว็บไซด์หรือฟิชชิ่ง ซึ่งภัยไซเบอร์ทั่วโลกจะมีลักษณะนี้ แต่จะมีบริษัทเทคโนโลยีเป็นเป้าหมาย และกลุ่มธุรกิจเฮลธ์แคร์”

 

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

 

ธนาคารไทยกำไรพุ่งรวมกันกว่า 4.3 ล้านบาท

ธนาคารพาณิชย์ 10 ธนาคาร คือ  ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) และ บมจ.แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป (LHFG) ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ไตรมาส 3 ปี 2564 มีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่  43,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.87% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

   ซึ่งทั้งปีคาดการณ์ว่ากำไรแบงก์ทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และอาจมีโอกาสไปแตะ 1.72-1.73 แสนล้านบาท หรือโตราว 20% สะท้อนว่ากลุ่มแบงก์ผลการดำเนินงานดีขึ้น และพ้นจุดต่ำสุดแล้ว ส่วนสำรองทั้งปีคาดอยู่ที่ 2 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ 3.38 แสนล้านบาท และคาดลดต่อเนื่องเหลือ 1.9 แสนล้านบาทในปีหน้า ตามกลุ่มแบงก์ยังคงมีความท้าทายอยู่ หลังจากหมดมาตรการช่วยเหลือทางการเงิน แบงก์อาจจะต้องมาดูใกล้ชิด เกี่ยวกับหนี้เสีย ในกลุ่มเอสเอ็มอี และสินเชื่อรายย่อยที่ยังเปราะบาง ดังนั้นความเสี่ยงยังมีอยู่

 อย่างไรก็ตาม ธนาคารต้องความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจ พิจารณาตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตในระดับสูง และบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ

 

ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ

ข้าวไทย รับอนิสงค์จากเงินบาทอ่อนตัวลง

นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การส่งออกข้าวไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปรับตัวมาอยู่ที่ระดับ 32 – 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของข้าวไทยในตลาดโลกสูงขึ้น สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งที่สำคัญได้มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวขาวและข้าวนึ่งของไทยที่ราคาได้ปรับมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับข้าวจากอินเดียและเวียดนาม

ซึ่งแนวโน้มการส่งออกข้าวไทยในช่วงครึ่งหลังปี 2564 ว่ามียอดคำสั่งซื้อเริ่มกลับมาอย่างต่อเนื่อง จากสถิติกรมศุลกากรการส่งออกข้าวไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกตั้งแต่เดือนมิ.ย. – ส.ค. อัตราการขยายตัว 25.27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตลาดหลักที่ไทยส่งออกข้าวเพิ่มขึ้น คือ จีน ฟิลิปปินส์ แคเมอรูน มาเลเซีย โมซัมบิก และสิงคโปร์

คาดว่าการส่งออกข้าวไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะยังขยายตัวดีต่อเนื่อง เห็นได้จากสถิติการขอใบอนุญาตส่งออกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศในเดือน ก.ย. ที่มีปริมาณสูงถึง 877,555 ตัน ขยายตัว 124.87% ล่าสุดเดือนต .ค.ระหว่างวันที่ 1 – 18 ต.ค. ปริมาณ 380,234 ตัน เพิ่มขึ้น 47.11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งตั้งแต่เดือนม.ค. – ส.ค. 2564 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 3.18 ล้านตันคิดเป็นมูลค่า 58,685 ล้านบาท โดยข้าวไทยยังคงได้รับการยอมรับด้านคุณภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ดังนั้น คาดว่าในปีนี้ไทยจะสามารถส่งออกข้าวได้ตามเป้าที่ปริมาณ 6 ล้านตัน

 สำหรับการส่งออกข้าวไทยที่กลับมาฟื้นตัวดังกล่าวเป็นผลมาจากความสำเร็จจากการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างภาคเอกชนของไทยและกระทรวงพาณิชย์ และทูตพาณิชย์ในฐานะเซลส์แมนประเทศเร่งการเจรจาเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยกับคู่ค้าสำคัญอย่างต่อเนื่อง เช่น ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ซึ่งทำให้คู่ค้าเชื่อมั่นในศักยภาพในการส่งออกข้าวคุณภาพของไทยแม้ในช่วงสถานการณ์โควิดฯ และหันมาสนใจนำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ คาดการณ์ว่าจากปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งสถานการณ์โควิดที่เริ่มคลี่คลาย ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อในคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทย ประกอบกับราคาข้าวไทยที่สามารถแข่งขันได้ในปัจจุบัน จะทำให้ข้าวไทยเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น โดยคาดว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โตต่อเนื่องจะสามารถส่งออกข้าวได้เดือนละกว่า 7 แสนตัน และการส่งออกข้าวไทยทั้งปีจะได้ตามเป้าที่วางไว้ที่ 6 ล้านตัน

ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ

Categories
ข่าวหุ้น

ข่าว หุ้น ธุรกิจ 16 ตุลาคม 2564

ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ธปท. เตือนประชาชน ระวังชักถูกชวนลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ให้ผลตอบแทนสูง

นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การชักชวนให้ลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (FOREX) ได้ผลตอบแทนที่ดี มักเป็นการหลอกลวง มีลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ที่ไม่มีการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศจริง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าว เพราะนอกจากธุรกิจดังกล่าวจะผิดกฎหมายแล้ว ประชาชนยังมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินคืนด้วย

 ตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ประชาชนจะต้องทำกับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น รวมถึงปัจจุบันยังไม่เคยให้ใบอนุญาตแก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อการลงทุนแต่อย่างใด แต่การประกอบธุรกิจหรือมีส่วนร่วมกับการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ FOREX ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การให้บริการรับ-ส่งเงินเพื่อให้ประชาชนทำธุรกรรมหรือเพื่อชำระเงินในธุรกรรม FOREX บนเว็บไซต์ ทั้งในและต่างประเทศ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน

 ทั้งนี้บุคคลที่โฆษณาหรือเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือ FOREX กับตนโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย  หากมีข้อสงสัย โปรดสอบถาม ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธปท. โทร 02 3567799 หรือ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร 1213

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ราคาบิตคอยปรับตัวเป็นบวก61,350ดอลลาร์

วันที่ 16 ต.ค.64 เวลา 05.42 น. ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม  การเคลื่อนไหวที่ 61,350.0 ดอลลาร์ปรับตัวในช่วงขาขึ้นของราคาบิตคอยน์เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเมื่อวันที่15ต.ค.ที่ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 61,000 ดอลลาร์ และอยู่เหนือระดับ 2,000,000 บาท ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ จะอนุมัติจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์เพื่อทำการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า

โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.64 เวลา 00.33 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์ได้ทะยานขึ้น 5.98% สู่ระดับ 61,333.62 ดอลลาร์ หรือราว 2,042,400 บาท ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มคอยน์เบส ซึ่งก่อนหน้านี้ บิตคอยน์ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 64,889 ดอลลาร์ในขณะที่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา “เบน เคสลิน” หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทเอเอเอ็กซ์  คาดการณ์ว่า การจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์ในสหรัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 4

ซึ่งสถิติที่ผ่านมาชี้ว่า สกุลเงินดิจิทัลมักปรับตัวได้ดีในเดือนต.ค. สามารถฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย. ในรูปแบบการปรับตัวของบิตคอยน์ปีนี้สอดคล้องกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะบิตคอยน์ดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย.ปีนี้ ใกล้หลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ หลังจีนสั่งกวาดล้างการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์

สำหรับธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์กล่าวว่า การทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งรวมถึงบิตคอยน์ ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และจะถูกกวาดล้างอย่างหนัก นอกจากนี้ แพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่ให้บริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแก่ลูกค้าในจีน ก็ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายเช่นกัน และพนักงานที่ทำงานให้แก่แพลตฟอร์มดังกล่าวจะถูกดำเนินการสอบสวน

ในเดือนก.ค. ธนาคารกลางจีนมีคำสั่งห้ามสถาบันการเงิน รวมทั้งอาลีเพย์ ซึ่งเป็นบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในเครือของบริษัทแอนท์กรุ๊ปของอาลีบาบา ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต ขณะที่รัฐบาลจีนสั่งกวาดล้างเหมืองขุดบิตคอยน์

 ทั้งนี้บิตคอยน์ยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า กองทุนของ”จอร์จ โซรอส” เจ้าของฉายาพ่อมดการเงิน ได้เข้าลงทุนในบิตคอยน์

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจจีนขยายตัว 5%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจพบว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 5% ในไตรมาส 3 จากระดับ 7.9% ในไตรมาส 2 ในขณะที่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จากวิกฤตหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ รวมทั้งการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า, ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอของผู้บริโภค และต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นในภาคการผลิต

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการลงทุนที่ซบเซา การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอในเดือนก.ย.ที่ผ่านมายอดค้าปลีกอาจฟื้นตัวขึ้น หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) รายงานว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7.9% ในไตรมาส 2 ทำสถิติขยายตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ด้านจีดีพีประจำไตรมาส 2 ของจีนชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวเป็นประวัติการณ์ถึง 18.3% นอกจากนี้จีดีพีในไตรมาส 2 ยังขยายตัวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวราว 8.0-8.1%ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัว 12.7%

 

ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

เฮิร์บ เทรเชอร์ จับมือสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปลูกกัญชงตั้งเป้าปีละพันล้าน

นางสาวรมย์ชลี จันทร์ประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ บริษัท เฮิร์บ เทรเซอร์  ได้เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ทดสอบสายพันธุ์กัญชงเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตั้งแต่การเพาะปลูก การบำรุงรักษา ตลอดจนเก็บเกี่ยวผลผลิต และการแปรรูปจำหน่ายในเชิงพาณิชย์  โดยที่ผ่านมาร่วมลงนามความร่วมมือกับ การยาสูบแห่งประเทศไทย  ว่าด้วยความร่วมมือโครงการส่งเสริมการปลูกกัญชงเพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร และ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงราย-พะเยา เพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ  ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ที่สนใจเข้าร่วมโครงการประสานมายังบริษัทฯได้ รวมถึงผู้ที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและถูกต้องตามกฏหมาย

ซึ่งในปัจจุบันบริษัท มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร อาหารเสริม เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ในประเทศทั้งฝั่งเอเชีย และ ยุโรป ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสารสกัด CBD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่บริษัทฯ มีพันธมิตรที่แข็งแรง จะสามารถขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าผลผลิตแรกจะเริ่มออกในช่วงปลายปีนี้ และจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายภาคิณ ปุณณเกษมกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ  ROJNA กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด ด้วยการเข้าซื้อเงินลงทุนในหุ้นสามัญเป็น จำนวนหุ้น 255,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 51% ในระยะแรกให้ความสำคัญและการเติบโตของธุรกิจกัญชงแบบครบวงจรที่เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องผลิตสายพันธุ์ การปลูก สกัด จากการปลูกใน 300 โรงเรือนอัจฉริยะ บนพื้นที่ 100 ไร่ ซึ่งสามารถผลิตสาร CBD Isolateได้ประมาณ 9 ตันต่อปี  เพื่อตอบสนองความการเติบโตของตลาดของสาร CBD เชิงพาณิชย์หลายด้านในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมอาหารเสริม เป็นต้น  โดยในระยะแรกบอร์ดอนุมัติลงทุน 250 ล้านบาท สำหรับเดินหน้าก่อสร้างโรงงานสกัดสาร CBD ระยะที่หนึ่ง และมีแผนเพิ่มทุนระยะที่2 ในระยะเวลาอันใกล้เพื่อให้เสร็จภายในปี 2565 

สำหรับการลงทุนแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 250 ล้านบาทเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของกลุ่มลูกค้าที่ได้ส่งเอกสารแสดงความต้องการจะซื้อผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเตรียมการเพื่อขยายกำลังการผลิตและรองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกในระยะเวลา 2 ปี  โดยเฮิร์บ เทรเชอร์ ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตส่งออก และคาดการณ์ว่าการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชงแบบครบวงจรครั้งนี้ จะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชงตั้งแต่ปี 2565  ตั้งเป้าปีละ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เหตุผลหลักในการตัดสินใจเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชงครบวงจร เนื่องจากผู้บริหาร ROJNA จำเป็นต้องมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งมูลค่าผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาวเพื่อพิจารณาถึงธุรกิจที่มีความเป็นไปได้จริงและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งเฮิร์บ เทรเชอร์  เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์จริง ที่สำคัญมีผู้บริหารที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีนโยบายและหลักการในการบริหารธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาด

 

 ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

ลูกค้า เอเชียประกันภัย เตรียมโอมกรมธรรม์ไปบริษัทในเครือ คปภ.13 บริษัท หลัง บริษัทเอเชียประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต

จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 จำกัด(มหาชน)โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564เป็นต้นไป

ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2564 ตามความเห็นคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ให้บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 จำกัดหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่23ก.ย.2564เพิ่มทุนหรือแก้ไขสถานะให้มีค่าCAR ตามที่กฎหมายกำหนดตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 30 วัน และแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายโดยประจำการที่ทำการของบริษัทพร้อมได้เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยคืบหน้ากว่า 13,000 รายวงเงินกว่า 800 ล้านบาท

 ในขณะที่สินไหมค้างจ่ายทดแทนคงเหลือ 29,560 กรมธรรม์จำนวนเงิน 1,792.78 ล้านบาท โดยทรัพย์สินของบริษัทยังไม่เพียงพอที่จะดูแลค่าเคลมที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่บริษัทไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะทางการเงินและมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน-327.40%

จาก ข้อมูลจากการตรวจสอบ “บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 โดยข้อมูลทางการเงินของบริษัทที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ณเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,713.48 ล้านบาทหนี้สินรวม 5,256.54ล้านบาท หนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน -1,543.06ล้านบาท สินทรัพย์สภาพคล่อง 1,366.05 ล้านบาท จึงเป็นเหตุต้องเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยเข้าดูแลโดยใช้เงินกองทุนเยียวยาผู้เอาประกันภัย  

ต่อมาทาง คปภ.ได้ร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัยและบริษัทประกันวินาศภัยรวม 13 บริษัทเพื่อรับโอนกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่หมดอายุความคุ้มครองแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1.กรมธรรม์ประกันโควิด 8 แสนฉบับ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ 2แสนบาทและประกันรถยนต์ภาคบังคับและอื่นๆมากกว่า 1 ล้านฉบับ  สำหรับผู้เอาประกันภัยโควิคที่ต้องการความคุ้มครองอยู่ คปภ.ร่วมกับบมจ.ทิพยประกันภัยเสนอแพ็คเกจกรมธรรม์คุ้มครองโควิชกรณีภาวะโคม่าด้วยทุนประกันภัย 300,000 บาทเบี้ยประกันภัย 300 บาท

ทั้งนี้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งถอนใบอนุญาติประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เช่น บมจ.เจ้าพระยาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 7กันยายน 2561 ซึ่งคปภ.ได้รับความร่วมมือจากบริษัทประกันวินาศภัย 26บริษัทรับโอนกรรมสิทธิกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ยังมีผลผูกพันของผู้เอาประกันภัยทั้งภาคสมัครใจและประเภทอื่น ๆและมีกองทุนประกันวินาศภัยเพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้กรณีบริษัทถูกถอนใบอนุญาต

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ