LOGO Goo Invest
ข่าวหุ้น เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน Goo Invest Trade

ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ธปท. เตือนประชาชน ระวังชักถูกชวนลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ให้ผลตอบแทนสูง

นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การชักชวนให้ลงทุนซื้อขายเงินตราต่างประเทศหรือเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน (FOREX) ได้ผลตอบแทนที่ดี มักเป็นการหลอกลวง มีลักษณะคล้ายแชร์ลูกโซ่ที่ไม่มีการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศจริง จึงขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อการชักชวนให้ลงทุนในลักษณะดังกล่าว เพราะนอกจากธุรกิจดังกล่าวจะผิดกฎหมายแล้ว ประชาชนยังมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินคืนด้วย

 ตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ประชาชนจะต้องทำกับธุรกิจที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเท่านั้น รวมถึงปัจจุบันยังไม่เคยให้ใบอนุญาตแก่บุคคลหรือนิติบุคคลที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อการลงทุนแต่อย่างใด แต่การประกอบธุรกิจหรือมีส่วนร่วมกับการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ FOREX ในประเทศไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การให้บริการรับ-ส่งเงินเพื่อให้ประชาชนทำธุรกรรมหรือเพื่อชำระเงินในธุรกรรม FOREX บนเว็บไซต์ ทั้งในและต่างประเทศ มีความผิดตาม พ.ร.บ. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน

 ทั้งนี้บุคคลที่โฆษณาหรือเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามาซื้อขายเงินตราต่างประเทศ หรือ FOREX กับตนโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนด้วย  หากมีข้อสงสัย โปรดสอบถาม ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธปท. โทร 02 3567799 หรือ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร 1213

 

ขอบคุณ : ธนาคารแห่งประเทศไทย

 

ราคาบิตคอยปรับตัวเป็นบวก61,350ดอลลาร์

วันที่ 16 ต.ค.64 เวลา 05.42 น. ราคาบิตคอยน์ เทรดที่เว็บไซต์อินเวสต์ติง ดอท คอม  การเคลื่อนไหวที่ 61,350.0 ดอลลาร์ปรับตัวในช่วงขาขึ้นของราคาบิตคอยน์เป็นการปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเมื่อวันที่15ต.ค.ที่ราคาบิตคอยน์พุ่งขึ้นทะลุระดับ 61,000 ดอลลาร์ และอยู่เหนือระดับ 2,000,000 บาท ขณะที่นักลงทุนเชื่อมั่นว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ จะอนุมัติจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์เพื่อทำการซื้อขายในตลาดล่วงหน้า

โดยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.64 เวลา 00.33 น.ตามเวลาไทย บิตคอยน์ได้ทะยานขึ้น 5.98% สู่ระดับ 61,333.62 ดอลลาร์ หรือราว 2,042,400 บาท ในการซื้อขายบนแพลตฟอร์มคอยน์เบส ซึ่งก่อนหน้านี้ บิตคอยน์ได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 64,889 ดอลลาร์ในขณะที่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา “เบน เคสลิน” หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทเอเอเอ็กซ์  คาดการณ์ว่า การจัดตั้งกองทุนอีทีเอฟบิตคอยน์ในสหรัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้นในไตรมาส 4

ซึ่งสถิติที่ผ่านมาชี้ว่า สกุลเงินดิจิทัลมักปรับตัวได้ดีในเดือนต.ค. สามารถฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย. ในรูปแบบการปรับตัวของบิตคอยน์ปีนี้สอดคล้องกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะบิตคอยน์ดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย.ปีนี้ ใกล้หลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์ หลังจีนสั่งกวาดล้างการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์

สำหรับธนาคารกลางจีนออกแถลงการณ์กล่าวว่า การทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งรวมถึงบิตคอยน์ ถือเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย และจะถูกกวาดล้างอย่างหนัก นอกจากนี้ แพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่ให้บริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลแก่ลูกค้าในจีน ก็ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายเช่นกัน และพนักงานที่ทำงานให้แก่แพลตฟอร์มดังกล่าวจะถูกดำเนินการสอบสวน

ในเดือนก.ค. ธนาคารกลางจีนมีคำสั่งห้ามสถาบันการเงิน รวมทั้งอาลีเพย์ ซึ่งเป็นบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ในเครือของบริษัทแอนท์กรุ๊ปของอาลีบาบา ให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินคริปโต ขณะที่รัฐบาลจีนสั่งกวาดล้างเหมืองขุดบิตคอยน์

 ทั้งนี้บิตคอยน์ยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานที่ว่า กองทุนของ”จอร์จ โซรอส” เจ้าของฉายาพ่อมดการเงิน ได้เข้าลงทุนในบิตคอยน์

 

ขอบคุณ: ประชาชาติธุรกิจ

 

นักวิเคราะห์คาดเศรษฐกิจจีนขยายตัว 5%

สำนักข่าวบลูมเบิร์กสำรวจพบว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 5% ในไตรมาส 3 จากระดับ 7.9% ในไตรมาส 2 ในขณะที่ได้รับผลกระทบจากการทรุดตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จากวิกฤตหนี้ของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ รวมทั้งการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า, ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอของผู้บริโภค และต้นทุนวัตถุดิบที่พุ่งขึ้นในภาคการผลิต

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขการลงทุนที่ซบเซา การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอในเดือนก.ย.ที่ผ่านมายอดค้าปลีกอาจฟื้นตัวขึ้น หลังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยก่อนหน้านี้สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (เอ็นบีเอส) รายงานว่า เศรษฐกิจจีนขยายตัว 7.9% ในไตรมาส 2 ทำสถิติขยายตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส โดยได้ปัจจัยหนุนจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งนี้ด้านจีดีพีประจำไตรมาส 2 ของจีนชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวเป็นประวัติการณ์ถึง 18.3% นอกจากนี้จีดีพีในไตรมาส 2 ยังขยายตัวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัวราว 8.0-8.1%ส่วนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัว 12.7%

 

ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

เฮิร์บ เทรเชอร์ จับมือสวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปลูกกัญชงตั้งเป้าปีละพันล้าน

นางสาวรมย์ชลี จันทร์ประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการปลูกกัญชงเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ บริษัท เฮิร์บ เทรเซอร์  ได้เห็นความสำคัญในการส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ทดสอบสายพันธุ์กัญชงเพื่อใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ตั้งแต่การเพาะปลูก การบำรุงรักษา ตลอดจนเก็บเกี่ยวผลผลิต และการแปรรูปจำหน่ายในเชิงพาณิชย์  โดยที่ผ่านมาร่วมลงนามความร่วมมือกับ การยาสูบแห่งประเทศไทย  ว่าด้วยความร่วมมือโครงการส่งเสริมการปลูกกัญชงเพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกร และ สมาคมผู้บ่มผู้เพาะปลูกและผู้ค้าใบยาสูบเชียงราย-พะเยา เพื่อเสริมสร้างอาชีพและส่งเสริมรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ  ยังเปิดโอกาสให้เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชน ที่สนใจเข้าร่วมโครงการประสานมายังบริษัทฯได้ รวมถึงผู้ที่สนใจซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและถูกต้องตามกฏหมาย

ซึ่งในปัจจุบันบริษัท มีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร อาหารเสริม เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ในประเทศทั้งฝั่งเอเชีย และ ยุโรป ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อสารสกัด CBD อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการที่บริษัทฯ มีพันธมิตรที่แข็งแรง จะสามารถขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการได้อย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าผลผลิตแรกจะเริ่มออกในช่วงปลายปีนี้ และจะทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายภาคิณ ปุณณเกษมกิจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ  ROJNA กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ จำกัด ด้วยการเข้าซื้อเงินลงทุนในหุ้นสามัญเป็น จำนวนหุ้น 255,000 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 51% ในระยะแรกให้ความสำคัญและการเติบโตของธุรกิจกัญชงแบบครบวงจรที่เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ในอนาคต รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องผลิตสายพันธุ์ การปลูก สกัด จากการปลูกใน 300 โรงเรือนอัจฉริยะ บนพื้นที่ 100 ไร่ ซึ่งสามารถผลิตสาร CBD Isolateได้ประมาณ 9 ตันต่อปี  เพื่อตอบสนองความการเติบโตของตลาดของสาร CBD เชิงพาณิชย์หลายด้านในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ อุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมอาหารเสริม เป็นต้น  โดยในระยะแรกบอร์ดอนุมัติลงทุน 250 ล้านบาท สำหรับเดินหน้าก่อสร้างโรงงานสกัดสาร CBD ระยะที่หนึ่ง และมีแผนเพิ่มทุนระยะที่2 ในระยะเวลาอันใกล้เพื่อให้เสร็จภายในปี 2565 

สำหรับการลงทุนแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะแรกคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติเงินลงทุนจำนวน 250 ล้านบาทเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของกลุ่มลูกค้าที่ได้ส่งเอกสารแสดงความต้องการจะซื้อผลิตภัณฑ์ของทางบริษัท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเตรียมการเพื่อขยายกำลังการผลิตและรองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นอีกในระยะเวลา 2 ปี  โดยเฮิร์บ เทรเชอร์ ยังเป็นบริษัทเดียวในประเทศไทยที่ได้รับใบอนุญาตส่งออก และคาดการณ์ว่าการร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมกัญชงแบบครบวงจรครั้งนี้ จะทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจกัญชงตั้งแต่ปี 2565  ตั้งเป้าปีละ 1,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เหตุผลหลักในการตัดสินใจเข้าลงทุนในธุรกิจกัญชงครบวงจร เนื่องจากผู้บริหาร ROJNA จำเป็นต้องมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งมูลค่าผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาวเพื่อพิจารณาถึงธุรกิจที่มีความเป็นไปได้จริงและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนซึ่งเฮิร์บ เทรเชอร์  เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ มีประสบการณ์จริง ที่สำคัญมีผู้บริหารที่มีความสามารถ อีกทั้งยังมีนโยบายและหลักการในการบริหารธุรกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาด

 

 ขอบคุณ: กรุงเทพธุรกิจ

 

 

ลูกค้า เอเชียประกันภัย เตรียมโอมกรมธรรม์ไปบริษัทในเครือ คปภ.13 บริษัท หลัง บริษัทเอเชียประกันภัยถูกเพิกถอนใบอนุญาต

จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีคำสั่งกระทรวงการคลังที่ 1936/2564 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ให้เพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 จำกัด(มหาชน)โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2564เป็นต้นไป

ซึ่งคำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่มีคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2564 ตามความเห็นคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ให้บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 จำกัดหยุดรับประกันวินาศภัยเป็นการชั่วคราวเมื่อวันที่23ก.ย.2564เพิ่มทุนหรือแก้ไขสถานะให้มีค่าCAR ตามที่กฎหมายกำหนดตามที่กฎหมายกำหนดภายใน 30 วัน และแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายโดยประจำการที่ทำการของบริษัทพร้อมได้เร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยคืบหน้ากว่า 13,000 รายวงเงินกว่า 800 ล้านบาท

 ในขณะที่สินไหมค้างจ่ายทดแทนคงเหลือ 29,560 กรมธรรม์จำนวนเงิน 1,792.78 ล้านบาท โดยทรัพย์สินของบริษัทยังไม่เพียงพอที่จะดูแลค่าเคลมที่ทยอยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่บริษัทไม่สามารถแก้ไขปัญหาฐานะทางการเงินและมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน-327.40%

จาก ข้อมูลจากการตรวจสอบ “บมจ.เอเชียประกันภัย 1950 โดยข้อมูลทางการเงินของบริษัทที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต ณเดือนกันยายน 2564 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 3,713.48 ล้านบาทหนี้สินรวม 5,256.54ล้านบาท หนี้สินเกินกว่าทรัพย์สิน -1,543.06ล้านบาท สินทรัพย์สภาพคล่อง 1,366.05 ล้านบาท จึงเป็นเหตุต้องเพิกถอนใบอนุญาตเพื่อให้กองทุนประกันวินาศภัยเข้าดูแลโดยใช้เงินกองทุนเยียวยาผู้เอาประกันภัย  

ต่อมาทาง คปภ.ได้ร่วมมือกับกองทุนประกันวินาศภัยและบริษัทประกันวินาศภัยรวม 13 บริษัทเพื่อรับโอนกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่หมดอายุความคุ้มครองแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ 1.กรมธรรม์ประกันโควิด 8 แสนฉบับ ประกันรถยนต์ภาคสมัครใจ 2แสนบาทและประกันรถยนต์ภาคบังคับและอื่นๆมากกว่า 1 ล้านฉบับ  สำหรับผู้เอาประกันภัยโควิคที่ต้องการความคุ้มครองอยู่ คปภ.ร่วมกับบมจ.ทิพยประกันภัยเสนอแพ็คเกจกรมธรรม์คุ้มครองโควิชกรณีภาวะโคม่าด้วยทุนประกันภัย 300,000 บาทเบี้ยประกันภัย 300 บาท

ทั้งนี้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้มีคำสั่งถอนใบอนุญาติประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เช่น บมจ.เจ้าพระยาประกันภัย ตั้งแต่วันที่ 7กันยายน 2561 ซึ่งคปภ.ได้รับความร่วมมือจากบริษัทประกันวินาศภัย 26บริษัทรับโอนกรรมสิทธิกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ที่ยังมีผลผูกพันของผู้เอาประกันภัยทั้งภาคสมัครใจและประเภทอื่น ๆและมีกองทุนประกันวินาศภัยเพื่อช่วยเหลือเจ้าหนี้กรณีบริษัทถูกถอนใบอนุญาต

ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ