
ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 6 ธันวาคม 2564
บริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป เผย หุ้นทรุดลง 12% ต่ำสุดในรอบ 11 ปี
หุ้นบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ทรุดลง 12% แตะที่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปีวันนี้ หลังจากบริษัทยอมรับว่า ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะสามารถหาเงินได้เพียงพอเพื่อมาชำระหนี้ได้ตามกำหนดหรือไม่ ขณะทางการจีนได้เรียกตัวประธานของบริษัทเข้าประชุมเป็นการด่วน โดยหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ร่วงลงกว่า 12% แตะที่ 1.98 ดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2553
โดยหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ปรับตัวลง หลังบริษัทไม่สามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้มูลค่า 82.5 ล้านดอลาร์ได้ทันกำหนดไถ่ถอนในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา และนักลงทุนกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า บริษัทแห่งนี้จะสามารถหาเงินมาชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ได้ทันในช่วงระยะเวลาผ่อนผัน 30 วันซึ่งสิ้นสุดในวันนี้ 6 ธ.ค.) 64
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า เอเวอร์แกรนด์พยายามดิ้นรนอย่างหนักเพื่อระดมเงินทุนในระหว่างที่ต้องรับมือกับภาระหนี้สินมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งหากเอเวอร์แกรนด์ล้มละลายก็จะส่งผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ของจีนอย่างหนัก
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์ได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงว่า บรรดาเจ้าหนี้ได้ทวงหนี้จากบริษัทมูลค่ารวมราว 260 ล้านดอลลาร์
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลท้องถิ่นมณฑลกวางตุ้งได้เรียกตัวนายฮุย คา หยาน ประธานบริษัทเข้าประชุม โดยระบุในแถลงการณ์ว่า ทางการจีนจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยบริหารจัดการความเสี่ยง พร้อมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับการควบคุมภายในบริษัท และรักษาการดำเนินงานให้เป็นปกติ
ทั้งนี้นาคารกลางจีน (PBOC) ระบุว่า ความเสี่ยงระยะสั้นที่เกิดจากปัญหาภายในของเอเวอร์แกรนด์นั้นจะไม่บ่อนทำลายการระดมทุนของตลาดในระยะกลางและระยะยาว พร้อมเสริมว่าการขายบ้าน การซื้อที่ดิน และการจัดหาเงินทุนในจีนได้กลับสู่ภาวะปกติแล้ว
ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
ราคาทองวันนี้เพิ่มขึ้น 50 บาท
สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขายประจำวันที่ 6 ธ.ค.64 ครั้งที่ 1 เมื่อเวลา 09.24 น. เพิ่มขึ้น 50 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,500.00 บาท ขายออกบาทละ 28,600.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,985.36 บาท ขายออกบาทละ 29,100.00 บาท
ในขณะที่ราคาทองเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.64 2564 ที่ผ่านมา สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาขาย 1 ครั้ง เพิ่มขึ้น 150 บาท ทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 28,450.00 บาท ขายออกบาทละ 28,550.00 บาท ทองคำรูปพรรณรับซื้อบาทละ 27,939.88 บาท ขายออกบาทละ 29,050.00 บาท
ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์3 ธ.ค.64 สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. พุ่งขึ้น 21.2 ดอลลาร์ หรือ 1.2% ปิดที่ 1,783.9 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาทองคำ ลดลง 0.1% จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนที่ 1,785.50 ดอลลาร์
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ
ธปท.ผนึกกำลัง ก.ล.ต.คุมเข้ม เหรียญคริปโท
คริปโทเคอร์เรนซี(cryptocurrency) ที่ได้รับความสนใจจากนักเก็งกำไรคนรุ่นใหม่อย่างมาก ซึ่งข้อมูลจากสำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มียอดเปิดบัญชีซื้อขายอยู่ที่ 1.64 ล้านบัญชี (สิ้น ก.ย. 2564) ขณะที่มูลค่าการซื้อขายแต่ละสัปดาห์หลายหมื่นล้าน หรือเกือบ ๆ แสนล้านบาท
ขณะเดียวกันก็มีภาพของตลาดซื้อขายคริปโท สร้างอีโคซิสเต็ม จับมือพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ ทั้งอสังหาฯ ค้าปลีก สายการบิน ร้านกาแฟ โรงพยาบาล รถยนต์ เปิดรับชำระสินค้าและบริการด้วยคริปโทสกุลเงินต่าง ๆ ขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลอย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกมาส่งสัญญาณเตือนถึงการยกระดับการกำกับดูแล
เรื่องการกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงสเตเบิลคอยน์ (stablecoin) ในช่วงที่ผ่านมากระทรวงการคลังได้มีการหารือกับ ธปท.และ ก.ล.ต.อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะมีการยกระดับการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น ทั้งในด้านของการลงทุนหรือซื้อขาย รวมถึงในส่วนของการนำมาใช้ในการรับชำระสินค้าและบริการ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการวางแผน แต่เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้ตลาดคริปโทมีความร้อนแรงมากขึ้น รวมถึงมีกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดดเข้ามาร่วมในการรับชำระค่าสินค้าและบริการมากขึ้น จนทำให้ ธปท.ออกมาส่งสัญญาณเตือนไม่สนับสนุนให้ใช้ชำระสินค้าและบริการ
สินทรัพย์ดิจิทัล ภายใต้พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อใช้รองรับเรื่องการลงทุน อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็ไม่ได้เขียนห้ามเรื่องการชำระสินค้า แต่แบงก์ชาติในฐานะผู้กำกับระบบการชำระเงิน มองเห็นถึงความเสี่ยงก็ออกมาส่งสัญญาณ
โดยขณะนี้กำลังเร่งหารือถึงแนวทางกำกับ ซึ่งต้องยอมรับว่าจากเทคโนโลยีบล็อกเชนทำให้นวัตกรรมทางการเงินมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก เป็นความท้าทายของหน่วยงานกำกับต้องมีการปรับเพื่อให้ทันการเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่การปิดกั้น แต่จะต้องมีการกำกับเพื่อดูแลเสถียรภาพของระบบการเงิน รวมถึงการปกป้องนักลงทุนไม่ให้ถูกเอาเปรียบ
เนื่องจากกฎหมายที่ออกมาเมื่อปี 2561 นั้นเป็นการเขียนตามหลักการ ซึ่งตอนนี้ก็มีการพิจารณาแก้ไข สิ่งที่ผู้กำกับดูแลพยายามกำกับ คือ สร้างความเป็นธรรม และป้องกันนักลงทุน เพราะหากปล่อยไปจะมีปัญหาเหมือนที่เกิดขึ้นในสหรัฐ ในฐานะผู้กำกับจะต้องดูว่ามีประโยชน์กับเศรษฐกิจและประเทศชาติหรือไม่ ซึ่งตอนนี้กำลังไล่เรียงดูเรื่องกฎหมายกันอยู่
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 64 ที่ผ่านมา นางสาวสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้ติดตามการนำสินทรัพย์ดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งเพื่อการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรมการให้บริการทางการเงิน รวมถึงการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในรูปแบบที่เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการที่คาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ธปท.ไม่สนับสนุนการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ทั้งยังมีความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ ความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคลรั่วไหล หรือถูกใช้เป็นเครื่องมือของการฟอกเงิน ที่จะส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจ รวมถึงผู้ใช้บริการให้ได้รับความเสียหาย และหากมีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลใช้ชำระค่าสินค้าและบริการในวงกว้าง อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการชำระเงิน และระบบการเงินของประเทศ และความเสียหายแก่สาธารณชนทั่วไปได้
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า ททท.ประเมินว่าหลังวิกฤตโควิด ภาคการท่องเที่ยวทั่วโลกจะหันไปโฟกัสในเรื่อง “ดิจิทัลทัวริซึ่ม” มากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพ และประเทศไทยก็ต้องไปตามทิศทางของโลก โดย ททท.มีแผนจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อก้าวสู่ดิจิทัลทัวริซึ่ม และสร้างโอกาสใหม่ ๆ
2.บริษัทที่รับคริปโทเคอร์เรนซี ใช้ชำระสินค้าบริการ อาทิ บมจ.แสนสิริ, บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เอสซี แอสเสท, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้, บมจ.แอสเซทไวส์, บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์, บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป, บมจ.อาร์เอส และกลุ่มอื่น ๆ เช่น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (ร้านกาแฟอินทนิล), บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.เจ มาร์ท, ทิพย กรุ๊ป โฮลดิ้งส์, บมจ.เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์
3.บริษัทที่เข้าไปลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีโดยตรง อาทิ บมจ.บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป และ 4.บริษัทที่เข้าไปลงทุนขุดเหรียญ bitcoin อาทิ บมจ.จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เป็นต้น
ขอบคุณ : ประชาชาธุรกิจ
จีน เผย แผน 5 ปี ลุยพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล
ไชน่า เดลี สื่อทางการจีนรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจีน (เอ็มไอไอที) เปิดตัวแผน 5 ปี (ฉบับที่ 14) ช่วงปี 2021-2025 เมื่อวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ตั้งเป้ายกระดับเศรษฐกิจของประเทศด้วยการบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตทั้งหมดภายในปี 2025 ด้วยมาตรการการผลักดันการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านการผลิต รวมถึงการออกแบบแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตในระบบอุตสาหกรรมการผลิต ภายใต้เป้าหมายทำให้ อุตสาหกรรมเป็นดิจิทัล” และทำให้ “ดิจิทัลเป็นอุตสาหกรรม
เซี่ยเส้าเฟิง ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศของเอ็มไอไอทีระบุว่า โดยตั้งเป้าหมายทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ขีดเส้นว่าภายในปี 2025 จะต้องมีการใช้เครื่องมือในการออกแบบวิจัยและพัฒนาดิจิทัลอย่างน้อย 85% ในระบบเศรษฐกิจ และการใช้งานแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตในระบบอุตสาหกรรมต้องไม่น้อยกว่า 45%
โกลบอลไทมส์ สื่อทางการจีนอีกรายยังระบุเพิ่มเติมว่า จีนตั้งเป้าหมายให้การใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการและการดำเนินงานภายในองค์กรต่าง ๆ เพิ่มเป็น 80% ภายในปี 2025 โดยขั้นตอนการผลิตที่สำคัญในอุตสาหกรรมต้องควบคุมด้วยระบบดิจิทัลอย่างต่ำ 68%
เอ็มไอไอทีระบุว่า การเร่งพัฒนาเครือข่าย 5 จี (5G) ในระบบอุตสาหกรรมของจีน เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบูรณาการ โดยขณะนี้มีการพัฒนาแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตที่รองรับการทำงานของภาคอุตสาหกรรมแล้วกว่า 100 รายการ และยังมีโครงการเชื่อมต่อเครือข่าย 5 จี อีกกว่า 1,800 โครงการ ครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญอย่าง เหมืองแร่ ถ่านหิน และโรงไฟฟ้า
โดยระบบ 5 จี ในอุตสาหกรรมจะเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและการดำเนินงานของภาคอุตสาหกรรม เช่น การประชุมเชิงปฏิบัติการผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้าง “โรงงานอัจฉริยะ” ที่ยกระดับอุตสาหกรรมหลักของประเทศตั้งแต่เครื่องจักร ยานยนต์ การบินและอวกาศ รวมถึงอิเล็กทรอนิกส์
หนี กวงหนาน นักวิชาการจากสถาบันการศึกษาแห่งชาติด้านวิศวกรรมของจีนระบุว่า ความพยายามในการเร่งพัฒนาระบบ 5 จี ในภาคอุตสาหกรรมจะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตของจีนได้อย่างมาก และยังจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของจีนในระดับโลกได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ แผน 5 ปียังกำหนดเป้าหมายในการขยายขนาดอุตสาหกรรม “บิ๊กดาต้า” ของประเทศ โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ให้มีมูลค่าถึง 3 ล้านล้านหยวนภายในปี 2025 จากราว 1 ล้านล้านหยวนในปี 2020
ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนขยายตัวสูงกว่า 30% ต่อปี และยังมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลของบริษัทวิจัยการตลาด “อินเตอร์เนชั่นแนล ดาต้า คอร์ป” ประมาณการว่า ภายในปี 2025 อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนจะมีสัดส่วนถึง 27.8% ของโลก ซึ่งจะส่งผลให้อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าของจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
ซุนเค่อ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของจีนระบุว่า ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล การเชื่อมโยงข้อมูลด้านอุตสาหกรรมจำนวนมากเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมบิ๊กดาต้าจีนมีขนาดใหญ่มากยิ่งขึ้น
เอ็มไอไอทียังเปิดเผยว่า จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการบูรณาการระบบอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารในแผน 5 ปี (ฉบับที่ 13) ช่วงปี 2016-2020 โดยการใช้งานระบบดิจิทัลในภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 68.1% และยังมีการเปิดใช้งานสถานีฐาน 5 จี มากถึง 700,000 สถานี ในช่วงเวลาดังกล่าว ถือเป็นความสำเร็จก้าวใหม่ในการยกระดับอุตสาหกรรมของจีน
ขออบคุณ : ประชาติธุรกิจ
อดีตบอร์ดแบงก์ชาติเห็นด้วย ธปท. ไม่ควรนำคริปโทซื้อสินค้าเพราะผันผวนสูง
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวถึง การที่ภาคธุรกิจหลายแห่งได้ปรับตัวด้วยการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” (Cryptocurrency) ในการชำระค่าสินค้าและบริการ หรือออกเหรียญดิจิทัลเองนั้น เป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการเงินดิจิทัลซึ่งเป็นแนวโน้มแห่งอนาคตและสอดคล้องกับระบบการชำระเงินแบบใหม่
ภาคการเงินกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบของบริการทางการเงินในด้านต่างๆ โดยมีผู้เล่นใหม่ที่มิใช่สถาบันการเงินอย่างบริษัทเทคโนโลยีเข้ามาแข่งขันกับสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะการเข้ามาเป็นผู้ให้บริการในระบบชำระเงินซึ่งมีรูปแบบการให้บริการที่ซับซ้อนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับบริการทางการเงินประเภทอื่น
นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินสามารถแยกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ กลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินแบบไม่กระทบกิจการธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิม และกลุ่มนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินที่กระทบต่อกิจการธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิม
ผลกระทบที่สำคัญจากนวัตกรรมทางการเงินแบบที่ไม่ไปกระทบต่อกิจการธนาคารแบบเดิมจะเพียงผลักดันระบบชำระเงินไปสู่โลกไร้เงินสด (Cashless world) ได้เร็วขึ้นและเพิ่มบทบาทของ “ผู้เล่นใหม่” ที่มิใช่สถาบันการเงินซึ่งเข้ามาให้บริการ ณ จุดต่างๆ ของระบบชำระเงิน ทำให้ความไว้วางใจเดิมที่ลูกค้าเคยมีต่อสถาบันการเงินค่อยๆ ถูกเปลี่ยนผ่านไปยังผู้เล่นใหม่เหล่านี้ แน่นอนว่าย่อมนำไปสู่การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์และส่วนแบ่งทางการตลาดในอนาคต อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมในกลุ่มนี้ยังไม่ได้ทดแทนหรือทำให้สถาบันการเงินหายไปจากวงจรการชำระเงิน โดยสถาบันการเงินยังคงมีบทบาทอยู่ในส่วนใดส่วนหนึ่งของการชำระเงิน จึงกระทบต่อกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินแบบเดิมไม่รุนแรง ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงิน
ส่วนนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงินอีกลุ่มหนึ่ง ถือเป็น Disruptive innovation นวัตกรรมเหล่านี้เริ่มจากการให้บริการการโอนเงินและชำระเงินระหว่างประเทศ โดยช่วยลดขั้นตอนของการโอนเงินในปัจจุบันที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลานานเนื่องจากขั้นตอนมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายในระบบธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยเทคโนโลยีทางการเงินแบบใหม่ทำให้ระบบชำระเงินไม่จำเป็นต้องอาศัยสถาบันการเงินเป็นตัวกลางหรือตัวกลางทางการเงินบางประเภทหายไปจากวงจรการชำระเงิน
สิ่งนี้ได้ขยายมายังการจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการด้วย “คริปโทเคอเรนซี” ของผู้ประกอบการไทยหลายแห่งจากหลายกิจการ หากแพร่หลายแล้วจะทำให้บทบาทของ “เงิน” หรือ Fiat Money ที่กำกับดูแลโดยแบงก์ชาติลดความสำคัญอย่างรวดเร็ว และแบงก์ชาติอาจสูญเสียอำนาจในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ นโยบายการเงินของแบงก์ชาติจะมีประสิทธิภาพน้อยลง
การออกใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (retail CBDC) จัดว่าเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาไว้ซึ่งสมดุลระหว่าง fiat money และสกุลเงินดิจิทัลทางเลือก อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่ออธิปไตยทางการเงิน คือ การเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบของ public money ให้สอดคล้องกับพัฒนาการของภูมิทัศน์ทางการเงินที่เปลี่ยนไปให้มีโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงินที่สามารถรองรับและเชื่อมโยงกับสกุลเงินทางเลือกใหม่ๆ รวมถึงผู้เล่นใหม่ๆ ในระบบเศรษฐกิจการเงินที่จะมาต่อยอดตอบโจทย์โลกยุคดิจิทัลในวันข้างหน้าได้
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวเตือนว่า ราคาคริปโทเคอเรนซีเข้าสู่ขาลงรอบใหม่และผันผวน โดยบิทคอยน์ปรับลง 17% อิเธอเรียมปรับลง 16% ภายในวันเดียวเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และตลาดหุ้นอาจมีการปรับฐานใหญ่ คริปโทเคอเรนซี ไม่เหมาะสมเป็น “เงินตราดิจิดัล” เพราะมีความผันผวนสูง เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนที่ไม่มีเสถียรภาพนัก ไม่สามารถวัดมูลค่าหรือสะสมค่าได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก เป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนได้แต่อาจจะไม่สามารถเป็น “เงินตรา” ในการแลกเปลี่ยนเพื่อซื้อสินค้าบริการได้ดีหรือมีประสิทธิภาพ
แต่แบงก์ชาติควรปล่อยให้ “เอกชน” ตัดสินใจเลือกเองได้ว่า เอกชนหลายใดจะนำ “คริปโทเคอเรนซี” มาใช้ในการชำระสินค้าและบริการ เพราะขณะนี้หลายบริษัทประกาศให้ลูกค้าชำระค่าสินค้าด้วยคริปโทฯ เช่น กลุ่มอสังหาฯ ทั้งบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน), บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ยังมี กลุ่มค้าปลีก อย่างเช่น “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” ร่วมมือกับ “Bitkub” “ร้านกาแฟอินทนิล” ของบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีแผนออกเหรียญโทเคนเอง
สิ่งที่แบงก์ชาติต้องดำเนินการ คือ วางระบบบริหารความเสี่ยงในการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” ชำระสินค้าและบริการ และเอกชนต้องรับความเสี่ยงจากการดำเนินการดังกล่าวเอง แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่ได้ห้ามให้ทำธุรกรรมดังกล่าว แต่ประกาศไม่สนับสนุนให้ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลมาชำระค่าสินค้าและบริการ เนื่องจากมองว่ามีความผันผวนสูง เสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า จากประกาศล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ไม่สนับสนุนการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” นั้น แม้ไม่ได้เป็นการห้ามทำธุรกรรมแต่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกรรมการซื้อสินค้าและบริการผ่าน “คริปโทเคอเรนซี” อย่างแน่นอน อย่าง JMART และ BTS จะได้รับผลกระทบจากยอดขายและการใช้บริการในกลุ่มลดลง เพราะมีแผนนำเหรียญ JFin Coin ใช้ชำระสินค้าในกลุ่ม, CRC ที่เตรียมเปิดรับเหรียญในการซื้อสินค้าและบริการ ส่วนกลุ่มอสังหาฯ ORI, ANAN ให้ซื้อบ้านด้วย BTC, ETH และ USDT
ประกาศของ ธปท. ส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทจดทะเบียนอยู่บ้าง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจประเภท ICO Portal เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในการออกโทเคน แต่ประกาศอาจมีความจำเป็นต่อการป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนสูง เสี่ยงที่จะถูกโจรกรรมทางไซเบอร์ และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน ส่วนกลุ่มที่รับชำระค่าสินค้าบริการคาดไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากจำนวนผู้บริโภคที่จะใช้โทเคนซื้อขายสินค้าและบริการยังจำกัดมาก ด้าน SCB อาจได้รับผลกระทบจากธุรกรรมของ Bitkub ที่อาจต่ำกว่าเป้าหมาย ถ้าเป็น Stable Coin แบงก์ชาติควรสนับสนุนมาใช้ชำระค่าสินค้าและบริการได้ ทางแก้ คือ แบงก์ชาติควรเร่งออก “เงินดิจิทัล” เอง เพื่อประชาชนและธุรกิจทั่วไปได้ใช้บริการ
ขณะที่ Mobile money ได้เกิดขึ้นเป็นเรื่องปรกติในสังคมแล้ว การโอนเงินผ่านโทรศัพท์มือถือผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ อาจเป็นการโอนเงินระหว่างผู้ใช้บริการภายในเครือข่ายโทรศัพท์ด้วยกันหรือการโอนเงินไปยังผู้รับปลายทางที่อยู่นอกเครือข่ายโดยอาศัยการส่ง SMS และรหัสลับ (PIN) ให้กับผู้รับเงินเพื่อนำไปเบิกเงินกับร้านค้าที่เป็นตัวแทนหรือ ATM ซึ่งพบทั้งการโอนเงินในประเทศและการโอนเงินระหว่างประเทศ ตัวอย่างเช่น M-Pesa ใช้ในอินเดีย หรือ Wing ของกัมพูชา เป็นต้น P2P cross-border money transfer: การโอนเงินระหว่างประเทศผ่านบัญชีผู้ใช้งานซึ่งให้บริการโดย Non-banks ระบบจะตรวจสอบความต้องการโอนเงินในแต่ละประเทศด้วย Algorithm เพื่อจับคู่ความต้องการโอนเงินที่ตรงกัน ซึ่งระบบนี้ใช้กันทั้งในละตินอเมริกา หรือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เป็นต้น
เวลานี้เอง Distributed ledger technology (DLT) หรือ เทคโนโลยีการลงบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Blockchain การโอนเงินอาจเกิดขึ้นได้โดยอาศัยสัญญาอัจฉริยะ หรือ Smart contract ที่มีเทคโนโลยีนี้เป็นพื้นฐาน ข้อตกลงจะบันทึกไว้ด้วยรหัสคอมพิวเตอร์ให้เกิดการทำตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้อัตโนมัติเมื่อมีเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น การจ่ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาอัตโนมัติ และไม่จำเป็นต้องอาศัยตัวกลางทางการเงินที่เป็นธนาคารตัวแทนต่างประเทศ หรือเครือข่าย SWIFT เหมือนการโอนเงินรูปแบบเดิม
กลุ่มนวัตกรรมการเงินที่กล่าวมาข้างต้นเป็น Disruptive innovation ที่จะกระทบระบบการชำระเงินและระบบธนาคารแบบดั้งเดิมมาก สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระดับ คือ ระดับที่หนึ่ง การเสริมบริการชำระเงินของสถาบันการเงิน ปัจจุบันบริการโอนเงินผ่านมือถือ และการโอนเงินบุคคลต่อบุคคลโดยไม่ผ่านตัวกลางทางการเงินได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของบริการทางการเงินในประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากและทำให้เกิดบริการทางการเงินที่ทั่วถึงมากขึ้นซึ่งช่วยเสริมบริการทางการเงินและทดแทนบริการของธนาคารพาณิชย์ในเวลาเดียวกัน โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ อัตราการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่
อย่างไรก็ดี สำหรับพื้นที่หรือประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินพร้อมและพัฒนาเป็นอย่างดี การชำระเงินผ่านสถาบันการเงินยังคงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับผู้บริโภค ระดับที่สอง การทดแทนบริการทางการเงินหลักของสถาบันการเงิน เทคโนโลยีการลงบัญชีแบบกระจายตัว หรือ Distributed ledger มีศักยภาพในการทดแทนการโอนเงินระหว่างประเทศในรูปแบบเดิมจากคุณสมบัติเฉพาะหลายประการ โปร่งใส ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่ำ ลดขั้นตอนและรวดเร็วกว่า
อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Distributed ledger เพื่อใช้ในระบบการชำระเงินขนาดใหญ่ที่มีปริมาณธุรกรรมจำนวนมากและเชื่อมโยงธุรกรรมระหว่างประเทศทั่วโลกทดแทนระบบชำระเงินผ่านสถาบันการเงินแบบเดิมต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5-10 ปี ในเวลานี้ สถาบันการเงินที่มีรายได้จากการโอนเงินระหว่างประเทศต้องรีบเร่งในการปรับตัวหารายได้อย่างอื่นมาทดแทน Distributed ledger จะเพิ่มผู้เล่นรายใหม่ในธุรกิจบริการการเงิน
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรวิตกกังวลผลกระทบของเทคโนโลยีทางการเงินและ “คริปโทเคอเรนซี” มากเกินไปจนกระทั่งไปออกระเบียบหรือมาตรการใดๆ ที่ไปชะลอหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาระบบการชำระเงินหรือระบบการเงินภายใต้เทคโนโลยีแบบใหมและเข้าใจว่าธนาคารกลางของทุกประเทศรวมทั้งแบงก์ชาตินั้นมีหน้าที่ให้เกิดระบบการเงินและระบบการชำระเงินที่มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ แต่ความมั่นคงและเสถียรภาพอย่างแท้จริงนั้นต้องเกิดจากการปรับตัวของระบบธนาคารและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิมที่เกิดขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ภายใต้พลวัตของเทคโนโลยีทางการเงินในศตวรรษที่ 21 ด้วย
การรักษาความสมดุลระหว่างการส่งเสริมให้เกิดการใช้ระบบการเงินและระบบชำระเงินด้วยเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ รวมทั้งการใช้ “คริปโทเคอเรนซี” กับการประคับประคอง “ระบบการเงินและสถาบันการเงินแบบดั้งเดิม” ให้สามารถดำเนินต่อไปได้ในระยะเปลี่ยนผ่านเพื่อไม่ให้เกิดการความเสี่ยงในเชิงระบบ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเฉพาะหน้าขณะนี้ คือ การระมัดระวังไม่ให้เกิดการลุกลามของปัญหาการล้มละลายและการขาดสภาพคล่องของธุรกิจอุตสาหกรรมประกันวินาศภัยสู่ภาคการเงินอื่นๆ และรัฐบาลและธนาคารกลาง ควรประสานให้ คปภ มีแนวทางและมาตรการชัดเจนในการทำให้ผู้ประกอบการประกันภัยที่มีฐานะการเงินอ่อนแอสามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษเพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องเฉพาะหน้า และปรับเปลี่ยนกฎระเบียบบางประการเพื่อให้กิจการประกันภัยสามารถประคับประคองสถานการณ์ความเสี่ยงเชิงระบบจากวิกฤติโควิด
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า อนาคตธุรกิจการเงินการธนาคารไทยจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จะมีการขยายพรมแดนทางธุรกิจออกไป พลวัตนี้ส่งผลบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดการเงิน อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินและธนาคารแบบดั้งเดิมที่ไม่ปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคย่อมมีสภาพไม่ต่างจากความล่มสลายลงของกิจการทางด้านบริการอื่นๆ แบบดั้งเดิม เช่น ธุรกิจสื่อสารมวลชนแบบดั้งเดิม ธุรกิจโทรคมนาคมดั้งเดิม เป็นต้น
ธุรกิจการให้บริการการเงินของธนาคารแบบดั้งเดิม Traditional Banking Service จะลดบทบาทลงอย่างรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์หากไม่มีแรงต้านต่อการเปลี่ยนแปลงจากกฎระเบียบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มธนาคารแบบดั้งเดิม ขณะที่การให้บริการทางการเงินและปล่อยสินเชื่อแบบดิจิทัล (Digital Financial Service) และ ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม การลงทุนและการบริการทางด้านเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเป็นอนาคตของกลุ่มธุรกิจการเงิน
ขอบคุณ : กรุงเทพธุรกิจ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 30 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 30 มกราคม 2566 ตลาดจับตาเฟดแถลงผลการประชุมวันพุธนี้ คาดขึ้นดอกเบี้ย
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 24 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 24 มกราคม 2566 (รอบเช้า) ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรแข็งเทียบดอลล์ ร
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 มกราคม 2566 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $16.90 เ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $27.7 ด
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบบ่าย)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบบ่าย) ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเล็กน้อ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $2.5 บอนด