
ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 14 ธันวาคม 2564
หุ้นวันนี้
PRG-W1 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ.พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น(PRG)) เทรดวันนี้วันแรก มีจำนวน 29,990,554 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 5.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 16 วัน นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ (30 พฤศจิกายน 2564) ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 17 ม.ค. 2565 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 15 พ.ย. 2567
MBK-W3 (ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญบมจ. เอ็ม บี เค (MBK) มีจำนวน 70,206,017 หน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ : 1 หุ้นสามัญใหม่ ราคาการใช้สิทธิ 3.00 บาทต่อหุ้น อายุใบสำคัญแสดงสิทธิ 2 ปี 11 เดือน 16 วัน นับตั้งแต่วันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งแรก ราคาใบสำคัญแสดงสิทธิ 0.00 บาทต่อหน่วย กำหนดวันใช้สิทธิครั้งแรก 17 ม.ค. 2565 วันใช้สิทธิครั้งสุดท้าย 15 พ.ย. 2567
KBANK (กรุงศรี) “ซื้อ”เป้า 166 บาท เทรนด์ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นตามเงินเฟ้อ สินเชื่อเติบโตดีสุดของกลุ่ม สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มผ่อนคลายเป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจ SME และเป็นบวกต่อ KBANK เพราะมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ SME มากที่สุดของกลุ่มเช่นกัน
SAT (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 22.50 บาท รายได้ปี 65 โตต่อ ยอดผลิตรถยนต์ขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนปี 65 ตลาดรถยนต์จะกลับมาคึกคัก ลูกค้าคนสำคัญอย่าง Toyota เร่งลงทุน ทั้งนี้ Q2/65 ปรับเพิ่มราคาขายสินค้า ฝั่ง Demand เติบโตต่อหลังโควิด-19 ซา Order ใหม่ทยอยเข้า เพิ่ม U-Rate ให้โรงงาน พร้อมประเมินกำไรสุทธิปี 2564-2565 ที่ 1 พันลบ. และ 1.1 พันลบ. +172%YoY, +11%YoY ตามลำดับ
ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทผันผวน
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีแนวโน้มผันผวนจากภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาด ที่ส่งผลให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟดระยะสั้น
คาดว่า หากผลการประชุมเฟดเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หรือ เฟดส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า “น้อยกว่า” ที่ตลาดคาดการณ์ เช่น จำนวนเจ้าหน้าที่เฟดที่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 2 ครั้งไม่ต่างจากการประชุมในเดือนกันยายน
ภาพดังกล่าว อาจหนุนให้ตลาดกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น และอาจกดดันให้เงินดอลลาร์ย่อตัวลงได้ นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และท่าทีของเฟดที่ไม่ได้เร่งรีบใช้นโยบายการเงินอย่างที่ตลาดคาดหวังก็อาจหนุนให้ ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น ซึ่งการรีบาวด์ของราคาทองคำจะสามารถช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้เช่นกัน
ดังนั้น ในช่วงก่อนรับรู้ผลการประชุมเฟด เงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways หรือ อ่อนค่าลงได้บ้าง แต่เงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังผลการประชุมเฟดอาจไม่ได้ Hawkish เท่าที่ตลาดคาดหวังไว้
ทั้งนี้ ในส่วนของแนวต้านเงินบาทจะอยู่ที่ระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับเงินบาทยังคงอยู่ในโซน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งมองว่ายังพอมีแรงซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน ช่วยพยุงไม่ให้เงินบาทแข็งไปได้เร็ว ยกเว้นว่า นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว
ตลาดการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวังตัว (Cautious Mode) จากความกังวลแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินเร็วขึ้น หลังจากที่ดัชนีราคาสินค้าผู้ผลิต (Producer Price Index: PPI) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 9.6% สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก
นอกจากนี้ ปัญหาการระบาดของ Omicron ในฝั่งยุโรป รวมถึงสหรัฐฯ ก็ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่าการฟื้นตัวเศรษฐกิจอาจชะลอลงในระยะสั้น ซึ่งภาวะระมัดระวังตัวของตลาดส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะลดความเสี่ยงลงก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมเฟดในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ นี้ ทำให้ดัชนีหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ต่างย่อตัวลงต่อเนื่อง
โดยในฝั่งสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลงราว -1.14% เนื่องจากหุ้นเทคฯ ซึ่งมีระดับ Valuation ที่สูงนั้นจะมีความอ่อนไหวกับแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.75% จากทั้งการปรับตัวลงของหุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ Microsoft -3.3%, Google -1.2% รวมถึงแรงขายหุ้นกลุ่ม Cyclical อื่นๆ
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX50 ย่อตัวลงต่อเนื่องราว -0.92% กดดันจากความกังวลว่าแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจอาจชะลอลงหลังรัฐบาลหลายประเทศอาจทยอยใช้นโยบาย Lockdown ที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมปัญหาการระบาดของโอมิครอน นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคฯ ยังปรับตัวลงหนัก จากความกังวลแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟด Adyen -5.0%, Infineon Tech. -3.1%, ASML -2.7%
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดจะอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้น ทว่าแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด ก็ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ 1.44% ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ ตามการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของเฟด
ราคาทองวันนี้ประกาศครั้งแรกของวัน ปรับลดลง 150 บาท
ราคาทองคำประจำวันนี้ 15 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งแรกของวัน ปรับลดลง 150 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้ โดยราคาขายออกทองรูปพรรณ อยู่ที่ 28,600 บาท อ้างอิงข้อมูลล่าสุดจากสมาคมค้าทองคำ ที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ เมื่อเวลา 9.27 น.ที่ผ่านมา
ทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ รับซื้ออยู่ที่บาทละ 28,000 บาท ขายออกบาทละ 28,100 บาท ตามประกาศครั้งล่าสุด
สำหรับทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 27,500.24 บาท และมีราคาขายออกที่ 28,600 บาท ส่วนราคาทองคำโลก หรือ Gold Spot อยู่ที่ 1,773.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ราคาทองคำ วันที่ 15 ธ.ค. 64 ประกาศครั้งที่ 1
ทองแท่ง
• รับซื้อ บาทละ 28,000 บาท
• ขายออก บาทละ 28,100 บาท
ทองรูปพรรณ
• รับซื้อ บาทละ 27,500.24 บาท
• ขายออก บาทละ 28,600 บาท
ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ
หุ้น YGG พุ่งแรง 11.43%
นายธนัช จุวิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. อิ๊กดราซิล กรุ๊ป (YGG) ยืนยันการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น ให้ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) อัตราจัดสรร 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุน กำหนดราคาเสนอขาย 0.50 บาทต่อหุ้น มีความเหมาะสม และเป็นไปตามแผนดำเนินการย้ายหลักทรัพย์จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
คาดปี65 จีดีพีไทยเติบโต 3.5%
นายกุลฉัตร จันทวิมล รองกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจโลกและการลงทุนในปี 2565 โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ การกระตุ้นเศรษฐกิจลดลงและนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น
แต่ความเสี่ยงทางการเมืองสูงขึ้น ส่วนผลตอบแทนจาการลงทุนแนวโน้มอัตราผลตอบแทน(Yield)ระยะสั้นสูงขึ้น Yieldระยะยาวย่อลง สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้(Bond)
วนมุมมองสำหรับประเทศไทย ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศของไทย(จีดีพี)ในปี 2565 นั้น ประมาณการจีดีพีจะขยายตัวที่ประมาณ 3.5% บนสมมติฐานภาคการท่องเที่ยวของไทยสามารถกลัยมาเปิดได้เต็มรูปเแบบ พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 1.5% ขณะเดียวกันเริ่มเห็นปัจจัยเสี่ยงจากทางการเมือง การเลือกตั้ง ทั้งในส่วนระดับประเทศและการเลือกผู้ว่า กทม. อย่างไรก็ตามไทยยังอยู่ในโหมดของการประคองเศรษฐกิจเพื่อรอเปิดประเทศ
นายกุลฉัตรมองตลาดหุ้นไทยในปี 2565 มีแนวโน้มอยู่ในกรอบ 1,650-1,700 จุด ซึ่งเป็นปีแห่งการเทิร์นอราวด์ โดยกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการเปิดประเทศและกลุ่มหุ้นในระบบเศรษฐกิจแบบเก่า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานจะเป็นกลุ่มที่โดดเด่น
ขณะเดียวกันในกลุ่มการเงินนั้น จะเห็นการควบรวมและขยายธุรกิจไปสู่ช่องทางดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้มีโอกาสในการสร้างผลกำไรต่อราคาปรับตัวดีขึ้นส่วนกลุ่มสุดท้ายน่าจะเป็นกลุ่มหุ้นสุขภาพที่ยังมีความน่าสนใจอย่างต่อเนื่องหลังจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงปี 2565 มองกรอบดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,650-1,670 จุด
สำหรับธีมหุ้นเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นที่เกี่ยวกับกลุ่ม Economy กลุ่มEnergy ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ จะกลับมาโดดเด่นในปี2565 จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกึ่งขาขึ้น ประกอบกับราคายังไม่แพงมาก โดยที่สถาบันการเงินให้ความสนใจเกี่ยวกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันธุรกิจการเงินให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและกลุ่มเฮลล์แคร์จะกลับมาโดดเด่นในช่วงครึ่งหลังของปีหน้า เมื่อมีการเปิดประเทศเต็มที
อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ลงทุนอย่างรีทส์(REIT)และอสังหาริมทรัพย์เริ่มกลับมามีความน่าสนใจ โดยเฉพาะ กองรีทส์ที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยรวมของรีทส์คาดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5% และมีโอกาสสูงขึ้นในครึ่งหลังของปีหน้า หากมีความชัดเจนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ขณะที่บอนด์ยีลด์ 10ปีมีโอกาสแตะ 2.00%
ส่วนแนวโน้มเงินค่าบาททิศทางแข็งค่าที่ระดับ 32.5บาทต่อดอลลาร์พร้อมประเมินแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับ 0.50%ต่อปี
ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนในช่วงปี 2565 ดร.จิติพลแนะลดสัดส่วน พันธบัตร(บอนด์) เพิ่ม ธีมอนาคต ซึ่งมี 3 ธีมเด่น ได้แก่ ธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม ธีมระบบการเงินไร้ตัวกลาง และธีมวิวัฒนาการของการบริโภค โดยธีมปฏิวัติอุตสาหกรรม มองว่า การใช้หุ่นยนต์เพิ่มผลผลิตด้านอุตสาหกรรมทํากําไรได้แล้ว AI เข้ามาเป็นส่วนหลักของทุกกิจกรรม และมีธุรกิจยานยนต์ไร้คนขับเป็นโอกาสในอนาคต
โดยธีมระบบการเงินไร้ตัวกลาง ได้รับการยอมรับมาก สถาบันเตรียมเข้าลงทุนแม้ว่ากฎระเบียบยังไม่ชัดเจน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ได้รับหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและแนวโน้มดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ขณะที่Fintech ต้องมาพร้อมกับ Cybersecurity เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค
ส่วนธีมวิวัฒนาการของการบริโภคนั้น มองการบริโภค Online จะฟื้นตัวกลับมาจากกระแส Metaverse แม้กฎเกณฑ์จะไม่สนับสนุนมาก แต่มีความเป็นแฟชั่นและเปลี่ยนแปลงเร็ว
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 30 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 30 มกราคม 2566 ตลาดจับตาเฟดแถลงผลการประชุมวันพุธนี้ คาดขึ้นดอกเบี้ย
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 24 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 24 มกราคม 2566 (รอบเช้า) ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรแข็งเทียบดอลล์ ร
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 มกราคม 2566 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $16.90 เ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $27.7 ด
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบบ่าย)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบบ่าย) ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเล็กน้อ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $2.5 บอนด