
ข่าวหุ้นล่าสุด ข่าวเด่นวันนี้ วันที่ 11 มกราคม 2565
หุ้นเด่นวันนี้
- TFG (ฟินันเซีย ไซรัส)”ซื้อ” ปรับเป้าหมายขึ้นเป็น 6 บาท เริ่มเห็นผลบวกราคาหมูปรับขึ้นแรงตั้งแต่ Q4/64 คาดจะพลิกมีกำไรได้อีกครั้ง หลังขาดทุนใน Q3/64 และจะได้ผลบวกเต็มที่ใน Q1/65 รวมถึงราคาไก่ที่ปรับขึ้นตาม และหากรัฐลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จะยิ่งเป็นบวกต่อต้นทุน ปรับสมมติฐานราคาขายหมูหน้าฟาร์มปี 65 จาก 79 บาท/กก.เป็น 95 บาท/กก.มองว่าโรคระบาดจะทำให้ราคาหมูยืนสูงนานจากปัจจุบันราคาเฉลี่ย 104 บาท/กก.จึงปรับเพิ่มกำไรปีนี้ขึ้นเป็น 2.27 พันลบ. +300% Y-Y
- PSL (เคทีบีเอสที) เป้าเชิงกลยุทธ์ 21.50 บาท โควิดระลอกใหม่ใหม่-จีนคุมท่าเรืออาจทำให้ค่าระวางกลับมาสูงอีกครั้ง ค่าระวางเรือปี 65 มีโอกาสกลับมาสูงหลังการระบาดระลอกใหม่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยจีนมีโอกาสใช้นโยบายคุมโควิดและเข้มงวดกับท่าเรือ ปริมาณการขนส่งทั่วโลกปีนี้เพิ่มขึ้นรับเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว สถานการณ์ท่าเรือยังไม่ปกติคงอยู่ในภาวะ Congestion เรือขาด ประเมินกำไรสุทธิปี 64-65 ที่ 3.83 พัน ลบ. และ 2.64 พัน ลบ.พลิกจากขาดทุนในปี 63 ชะลอตัว -31%YoY ในปี 65 ตามลำดับ
- ASIAN (คิงส์ฟอร์ด) “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 22.60 บาท ธุรกิจหลักอาหารสัตว์เลี้ยงยังเป็นหนึ่งในธุรกิจที่รับความผันผวนได้ดีจากปัจจัยโควิด โดยกำไรสุทธิ Q3/64 ที่ 271 ลบ. +34.0%YoY,-7.6%QoQ ยังเติบโตได้ดีจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ช่วง Q4/64 ยังมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากเงินบาทอ่อน (รายได้ส่งออกราว 70%) ส่วนช่วงถัดๆไปยังมีความน่าสนใจจากภาพรวมธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงโลกเติบโตแข็งแกร่ง รวมถึงแผนนำ เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (AAI) เข้าตลาดหุ้นปีนี้ ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรสุทธิจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และ EPS ปี 65 จะขยับขึ้นมาที่ 1.42 บาท/หุ้น
ขอบคุณ : สำนักข่าวอินโฟเควสท์
ราคาทองวันนี้คงที่
ราคาทองคำวันนี้ 11 ม.ค. 65 คงที่ เมื่อเทียบกับราคาปิดเมื่อวานวันที่ 10 ม.ค.65 โดยราคาขายออกทองรูปพรรณ อยู่ที่ 29,150 บาท ตามข้อมูลล่าสุด จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำ เมื่อเวลา 9.25 น.ที่ผ่านมา
ทองคำแท่งในประเทศ ราคารับซื้ออยู่ที่บาทละ 28,550 บาท ขายออกที่ราคาบาทละ 28,650 บาท ตามประกาศครั้งล่าสุด
สำหรับทองรูปพรรณ 96.5% รับซื้ออยู่ที่บาทละ 28,030.84 บาท และขายออกที่ราคา 29,150 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของราคาทองคำโลก (Gold Spot) อยู่ที่ระดับ 1,806.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สรุปราคาทองคำ วันที่ 11 ม.ค. 65
ประกาศครั้งที่ 1
ทองแท่ง
• รับซื้อ บาทละ 28,550 บาท
• ขายออก บาทละ 28,650 บาท
ทองรูปพรรณ
• รับซื้อ บาทละ 28,030.84 บาท
• ขายออก บาทละ 29,150 บาท
ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ
บิตคอยน์วันนี้ปรับลง 0.04%
ราคาบิตคอยน์วันนี้ 11 ม.ค.65 ปรับลง -0.04% เมื่อเทียบกับราคาเมื่อ 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 41,833.60 เหรียญสหรัฐ หรือราว 1,406,780.30 บาท มูลค่าซื้อขายรวม 32.09 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลอัพเดต เมื่อเวลา 6.59 น. ของวันนี้
ขณะที่เหรียญดิจิทัลคริปโทเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ Ethereum ปรับลง 2.11% Binance Coin ขยับขึ้น .01% และ Dogecoin ปรับลง 3.33% ในช่วง 24 ชั่วโมง
สรุปราคาเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี
1. Bitcoin (BTC) ราคา 41,833.60 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.04%
2. Ethereum (ETH) ราคา 3,083.80 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -2.11%
3. Tether (USDT) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง +0.01%
4. BNB (BNB) ราคา 424.90 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.12%
5. USD Coin (USDC) ราคา 01.00 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -0.01%
6. Avalanche (AVAX) ราคา 84.48 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -5.46%
7. Cardano (ADA) ราคา 1.12 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.86%
8. XRP (XRP) ราคา .74 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -1.72%
9. Terra (LUNA) ราคา 69.46 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -6.69%
10. Polkadot (DOT) ราคา 23.78 เหรียญสหรัฐ เปลี่ยนแปลง -3.33%
หมายเหตุ : ข้อมูลข้างต้นอาจมีความคลาดเคลื่อนและไม่ควรใช้เพื่อการตัดสินใจลงทุนหรือซื้อขาย ผู้อ่านควรตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทาง www.sec.or.th
ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท ทรงตัว 33.62 บาท/ดอลลาร์
อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 33.62 บาทต่อดอลลาร์ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย ระบุว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้มผันผวนในระหว่างวัน โดยแรงกดดันด้านอ่อนค่ายังคงเป็นการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็ว และปัญหาการระบาดของโอมิครอนในประเทศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปมากนัก เนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้ส่งสัญญาณว่ามีความกังวลต่อสถานการณ์การระบาดมาก ดังจะเห็นได้จากการที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิอย่างต่อเนื่อง
ที่น่าสนใจคือ นักลงทุนต่างชาติได้ซื้อบอนด์ระยะสั้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งอาจสะท้อนภาพการเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า โดยอาจมองได้ว่า นักลงทุนต่างชาติได้รอจังหวะให้เงินบาทอ่อนค่าลง เพื่อรอเข้าเก็งกำไรเงินบาทฝั่งแข็งค่า
อนึ่ง ผู้ส่งออกเริ่มมีการขยับออเดอร์และทำให้โซนแนวต้านขยับมาอยู่ที่โซนใกล้ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนแนวรับสำคัญ ยังอยู่ในช่วง 33.30-33.50 บาทต่อดอลลาร์มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-33.70 บาท/ดอลลาร์
ผู้เล่นในตลาดยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนักจากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดได้เร็วขึ้นกว่าคาด ซึ่งล่าสุดเริ่มมีนักวิเคราะห์ของทาง Goldman Sachs มองว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้ถึง 4 ครั้งในปีนี้และอาจเริ่มลดงบดุลได้เร็วกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ทั้งนี้ แม้ว่าความกังวลแนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น จะกดดันให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นสไตล์ Growth หรือ หุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับฐานหนัก ทว่ายังมีผู้เล่นบางส่วนรอซื้อสินทรัพย์ดังกล่าวตอนย่อตัว (Buy on Dip) หนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สามารถปิดตลาด +0.05% (จากที่ลงลึกมากกว่า -2% ในระหว่างวัน) ส่วนดัชนี S&P 500 ย่อตัวลง -0.14%
ทั้งนี้ เราคงมองว่า ในระยะสั้น ตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนสูงและมีโอกาสย่อตัวลงต่อได้ หากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง เงินเฟ้อทั่วไป รวมถึง ถ้อยแถลงของประธานเฟดและบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดได้สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของเฟดได้เร็ว ซึ่งในภาวะดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้ หุ้นในกลุ่ม Cyclical อาทิ กลุ่มการเงิน, กลุ่มพลังงาน หรือ หุ้นสไตล์ Value สามารถปรับตัวขึ้นได้ดีกว่า หุ้นในกลุ่มเทคฯ หรือ หุ้นสไตล์ Growth
ส่วนในฝั่งยุโรป ดัชนี STOXX50 ของยุโรป ย่อตัวลงกว่า -1.54% ตาม sentiment ของตลาดโลกที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงนอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากปรับตัวลงหนักของหุ้นกลุ่มเทคฯ ซึ่งอ่อนไหวต่อแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อาทิ Adyen -8.4%, ASML -6.4%, Infineon Tech. -4.0% ทั้งนี้ เราคงมองว่า จังหวะการปรับฐานของหุ้นยุโรปอาจเปิดโอกาสในการเข้าสะสม หรือ Buy on Dip
เนื่องจากหุ้นยุโรปยังมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Cyclical หรือ หุ้นในธีม Reopening เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวได้ดี หากสถานการณ์การระบาดของโอมิครอนเริ่มสงบลง อีกทั้ง นโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็ยังมีความผ่อนคลายมากกว่าเฟด
ส่วนทางด้านฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคาดว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยและปรับลดงบดุลได้เร็วกว่าคาด ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เดินหน้าปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1.80% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อยจากภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดสู่ระดับ 1.77% นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี ทั่วโลก ต่างปรับตัวขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจัยที่จะหนุนให้บอนด์ยีลด์ทั้งระยะสั้นและระยะยาวปรับตัวขึ้นต่อได้จะเป็นประเด็นการปรับลดงบดุลของเฟด ว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไหนและแผนการลดงบดุลเป็นอย่างไร (เฟดจะลดงบดุลโดยการปล่อยให้ตราสารครบกำหนดแบบในอดีต หรือ เฟดเลือกที่จะขายตราสารที่ถือครองอยู่) ซึ่งต้องติดตามความชัดเจนของประเด็นดังกล่าวผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดในสัปดาห์นี้
ในฝั่งตลาดค่าเงิน แนวโน้มเฟดใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดเร็วขึ้น และสภาวะตลาดที่ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยง ได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นมาใกล้ระดับ 96 จุด อย่างไรก็ดี ราคาทองคำยังสามารถรีบาวด์ขึ้นมาแตะระดับ 1,804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ราคาทองคำย่อตัวต่อเนื่องสู่แนวรับสำคัญ จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี เรามองว่า โอกาสที่ราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไปมากนัก คงเป็นไปได้ยาก เพราะเฟดมีแนวโน้มเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ราคาทองคำมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ ซึ่งผู้เล่นอาจต้องรอจังหวะการย่อตัว เพื่อเข้าซื้อรอการรีบาวด์
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดและที่สำคัญตลาดจะจับตาการแถลงต่อคณะกรรมาธิการ Senate Banking ในกระบวนการสรรหาประธานและรองประธานเฟด (Confirmation Hearing) ของว่าที่ประธานเฟดสมัยที่ 2 Jerome Powell และ ว่าที่รองประธานเฟด Lael Brainard ว่าทั้งสองท่านจะมีมุมมองต่อภาวะตลาดแรงงานและเงินเฟ้ออย่างไร
รวมถึงมุมมองต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินเฟดในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งนี้ เรามองว่า ทั้งสองท่าน รวมถึงเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วน อาจรอประเมินผลกระทบของการระบาดของโอมิครอนต่อการเติบโตเศรษฐกิจ ทำให้ทั้งมีความเป็นไปได้ว่าทั้ง Jerome Powell และ Lael Brainard อาจไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดอาจจะเร่งใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น ทว่า มุมมองของว่าที่ประธานเฟดและว่าที่รองประธานที่อาจเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ หรือ มุมมองที่ระมัดระวังต่อแนวโน้มเงินเฟ้อ จะทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดอาจเริ่มขึ้นดอกเบี้ยได้ตั้งแต่เดือนมี.ค.นี้
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ
ยันเก็บภาษีปีนี้แน่ ขาขายหุ้น 0.1% รมว.คลัง มั่นใจไม่กระทบตลาดหุ้นไทย
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้น ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง หลังจากที่ได้ยกเว้นการจัดเก็บมานาน 30 ปี แต่คงต้องพิจารณาแนวทางการจัดเก็บให้มีความเหมาะสมที่สุด โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยทำการศึกษาแนวทางเพื่อให้มีรูปแบบการจัดเก็บภาษีที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล
ปัจจุบันการจัดเก็บภาษีหุ้นในต่างประเทศมี 2 รูปแบบ คือ
1. เก็บจากส่วนต่างของกำไร (Capital Gain) ซึ่งมีข้อดี แต่การดำเนินการยุ่งยาก เป็นภาระกับผู้เสียภาษีมากกว่า หากกรมสรรพากรดำเนินการรูปแบบนี้จะต้องออกระเบียบและแก้กฎหมายใหม่
2.เก็บจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้น ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซียนส่วนใหญ่จัดเก็บวิธีการนี้
สำหรับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกรรมการซื้อขายหุ้นน่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด โดยในต่างประเทศจัดเก็บทั้ง 2 ขา ทั้งขาขายและขาซื้อ แต่ในส่วนของไทยศึกษาการจัดเก็บจากการขายหุ้นฝั่งเดียวเท่านั้น ซึ่งภาระไม่ได้มาก อัตราจัดเก็บที่ 0.1% เท่ากับหากมีการขายหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาท จะเสียภาษีเพียง 1,000 บาทเท่านั้น
กรมสรรพากรจะเสนอแนวทางการศึกษาทั้งหมดให้ รมว.คลัง พิจารณาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการจะเริ่มเก็บภาษีต้องดูสภาพตลาดหุ้นด้วย ต้องยอมรับว่าแม้จะมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นไทยก็มีดัชนีเพิ่มขึ้น และมูลค่าการซื้อขายก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นมองว่าหากมีการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นไทยมากนัก
การเก็บภาษีหุ้นไม่ได้มุ่งหวังเรื่องของรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษีด้วย เพราะเป็นการเสียในรูปแบบภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจประกัน การซื้อขายอสังหาริมทรัยพ์ ก็ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะทั้งหมด ไม่ได้รับการยกเว้นแต่อย่างใด ซึ่งภาษีหุ้นก็อยู่ในหมวดธุรกิจเฉพาะที่จะต้องเสียภาษีในอัตรา 0.1% เพียงแต่ที่ผ่านมาได้รับการยกเว้นมานานถึง 30 ปี
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้าคณะกรรมการ FETCO จะมีการประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการการจัดเก็บภาษีจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Financial Transaction tax) เพื่อหาข้อสรุปในการทำหนังสือในนาม FETCO ไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อชี้แจงมุมมองให้รับทราบ
เสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการดังกล่าว และส่วนตัวก็ไม่เห็นด้วยเช่นกัน เนื่องจากช่วงเวลาเก็บภาษีจากการขายหุ้นยังไม่เหมาะสม แม้จะเห็นใจรัฐบาลที่ขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง แต่หากมองมาตรการดังกล่าวในระยะยาวอาจกระทบต่อสภาพคล่องของตลาดทุน ซึ่งเป็นจุดขายหลักของตลาดหุ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องโดดเด่นสุดในอาเซียน จึงไม่อยากเห็นการออกมาตรการที่จะส่งกระทบต่อสภาพคล่องและไม่เห็นด้วยที่จะออกมาในปีนี้
หากมีการเก็บภาษีจากการขายหุ้นในปีนี้จริง เบื้องต้นประเมินว่าผลกระทบโดยรวมจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายตลาดจะหายไปราว 20-30% โดยกลุ่มนักลงทุนที่จะกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเนื่องจากต้นทุนในการซื้อขายหุ้นปกติก็สูงกว่า 1 เท่าตัวของนักลงทุนในประเทศอยู่แล้ว
หากมีการจัดเก็บภาษีจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น นักลงทุนต่างชาติอาจเลือกไปเทรดในตลาดอื่นที่มีต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งจะทำให้ยอดเทรดลดลงจากปัจจุบันที่มีสัดส่วนกว่า 40% ของปริมาณการซื้อขายรวม และกลุ่มถัดไปที่จะโดนผลกระทบคือกลุ่มเทรดเดอร์และ Prop Trade
ด้านนายวัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง นักลงทุนรายใหญ่ กล่าวว่าเบื้องต้นประเมินการเก็บภาษีจากธุรกรรมซื้อขายหุ้น จะส่งผลกระทบต่อวอลุ่มซื้อขายหลักทรัพย์แน่นอน เพราะไม่ต่างกับการถูกเรียกเก็บค่านายหน้าซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น) เพิ่ม นอกจากนี้การเก็บภาษีขายหุ้นคาดว่าจะกระทบต่อการซื้อขายของหุ่นยนต์ (โรบอทเทรด) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 30% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นทั้งหมด โดยคาดว่าวอลุ่มของกลุ่มนี้จะลดน้อยลง หรือหายไปชั่วขณะ เพราะต้องปรับระบบ หรือปรับสูตรใหม่ ภายหลังต้นทุนการขายต่อครั้งเพิ่มขึ้น
แต่หากมองในมุมบวก การเก็บภาษีขายหุ้นอาจส่งผลดีต่อนักลงทุนที่ถือหุ้นยาว เพราะที่ผ่านมาต้นทุนค่าคอมมิชชั่นถูก ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดสามารถซื้อขายหุ้นระยะสั้นได้ แต่หากเก็บภาษีขายหุ้น คาดว่าการเก็บกำไรอาจลดลง เพราะนักลงทุนอาจหันมาถือยาวเพื่อเก็บกำไรยาวขึ้น
ขอบคุณ : ฐานเศรษฐกิจ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 30 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 30 มกราคม 2566 ตลาดจับตาเฟดแถลงผลการประชุมวันพุธนี้ คาดขึ้นดอกเบี้ย
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 24 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 24 มกราคม 2566 (รอบเช้า) ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ยูโรแข็งเทียบดอลล์ ร
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 มกราคม 2566 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 มกราคม 2566 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $16.90 เ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 21 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $27.7 ด
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบบ่าย)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบบ่าย) ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเล็กน้อ
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า)
ข่าว หุ้น ธุรกิจ เศรษฐกิจ วันที่ 20 ธันวาคม 2565 (รอบเช้า) ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $2.5 บอนด